วันเสาร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2566

พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ร่วมงานวันพบปะมุสลีมะห์ ส่งเสริมบทบาทสตรีเข้มแข็ง

(วันที่ 16 กันยายน 2566) ผู้สื่อข่าวรายงานจากปัตตานี บาซาร์ อำเภอเมืองปัตตานี จังหวัดปัตตานี ว่า พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดกิจกรรมวันพบปะมุสลีมะห์ ครั้งที่ 16  ภายใต้โครงการพัฒนาศักยภาพครอบครัวมุสลิมจังหวัดปัตตานี หัวข้อ ครอบครัวของฉัน สวรรค์ของฉัน กับความท้าทายในโลกยุคดิจิทัล เพื่อพัฒนาศักยภาพ เสริมสร้างความเข้มแข็งของสถาบันครอบครัวและชุมชน ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของสตรีในการพัฒนาท้องถิ่น เพื่อการขับเคลื่อนสู่สังคมแห่งสันติ ไปปรับใช้ในการดำเนินชีวิต บนพื้นฐานคุณธรรมจริยธรรม กับความท้าทาย ในโลกยุคดิจิทัลในโอกาสนี้ พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้มอบโล่ ให้กับ สตรีผู้นำ ตัวอย่าง ครอบครัวตัวอย่าง รวมถึง องค์กรตัวอย่างในจังหวัดชายแดนภาคใต้อีกด้วย โดยมี นางพาตีเมาะ สะดียามู ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี นางสุวรรณา สาแม นายกสมาคมสตรี นายเศรษฐ์ อัลยุฟรี นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปัตตานี  รศ.ดร.อิสมาอีล ลุตฟี จะปะกียา อธิการบดีมหาวิทยาลัยฟาฏอนี และประชาชนในพื้นที่ร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก 


พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าว ตอนหนึ่งว่า รู้สึกยินดีอย่างเป็นอย่างยิ่ง และเป็นเกียรติ ที่ได้มีโอกาสมาเป็นประธานในการเปิดกิจกรรม วันพบปะมุสลีมะห์ครั้งที่ 16 ปี 2566 แสดงให้เห็นว่า เราจัดกิจกรรมนี้มา 16 ปี ซึ่งเหตุการณ์ความไม่สงบมีมานานกว่านั้นต้องรับตั้งแต่ 4 มกราคม 2547 ปีนี้ครบ 20 ปี เพื่อจะเป็นสถานที่สร้างกำลังใจในการเป็นกำแพงจากปัญหาความไม่สงบ เราต้องยอมรับว่าจังหวัดชายแดนภาคใต้มีครอบครัวเราถูกโจมตีครอบครัวด้วยความขัดแย้ง ความไม่สงบและความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน จากทุกคนที่อยู่ดียินดีมีสุขเป็นครอบครัวที่เด็กสลายและล่มสลายหรือครอบครัวเปราะบาง ทำให้ชีวิตของคนที่มีความอยู่ดีมีสุขไปสู่ชีวิตเราบ้างลูกต้องขาพ่อแม่ภรรยาต้องขาดสามีสามีต้องขาดลูก คือ สิ่งที่เป็นผลกระทบ



การที่นายก อบจ. ได้จัดกิจกรรมการพบปะมุสลีมะห์ เพื่อต้องการให้สังคมนี้ได้รับ และยอมรับถึงครอบครัวเข้มแข็ง การมีพื้นที่สร้างพลังด้วยวิธีพบปะทางศาสนามีศาสนาเป็นสิ่งยึดเหนี่ยว ในทางกฎหมายบอกว่าบุคคลจะเสมอกันด้วยกฎหมายชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกันแต่ในทางปฏิบัติทางสังคมผู้ชายจะมากกว่าผู้หญิง ในสัดส่วนผู้หญิง ที่เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด มี 3 คนในประเทศไทยในพื้นที่ชายแดนใต้คือผู้ว่าจังหวัดปัตตานีในส่วนราชการมีปลัดกระทรวงหญิง 2 คนในจำนวนส.ส 500 คนมีสสผู้หญิง 97 คนคือ 20% ซึ่งในหลักสากลควรจะมี 26% เป็นสัดส่วนที่แสดงให้เห็นว่า ปัตตานีมีผู้ว่าราชการหญิงเป็นสิ่งที่น่าภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง

นอกจากนี้ในการพบปะ มีครูปอเนาะ อยากทำปอเนาะสีขาวร่วมแก้ปัญหา ยาเสพติดไม่กลัวทหาร ตำรวจ กฎอัยการศึก หรือ พ.ร.บ. ฉุกเฉิน แต่กลัวโต๊ะครู กลัวแม่ ความเป็นแม่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จทุกอย่างในหัวใจของลูกแม่จะยิ่งใหญ่ความสำเร็จของครอบครัวส่วนใหญ่เกิดมาจากแม่ สังคมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ได้รับผลกระทบจากมือที่มองไม่เห็น เราไม่รู้ว่าใครมาทำร้ายมาเอาชีวิตของคนที่เรารัก มาทำให้ครอบครัวแตกสลาย

ในนามพรรคประชาชาติผมเป็นหนึ่ง ที่เป็นหนี้บุญคุณ ผมเป็นรัฐมนตรียุติธรรมได้ เพราะที่พี่น้องที่นี่เลือกผมที่เสมอว่าผมต้องอยู่รับใช้พี่น้องประชาชนถ้ากระทรวงยุติธรรมให้ความยุติธรรมกับพี่น้องคนไทยไม่ได้ ผมต้องพิจารณาทำทุกอย่างเพื่อให้ได้รับสิทธิเสรีภาพ ซึ่งคงจะทำคนเดียวไม่ได้ ทุกคนต้องช่วยต้องร่วมมือกัน และถึงเวลาที่สตรีต้องลุกขึ้น ต้องมีความเป็นธรรมในทุก ๆ เรื่อง มีความเชื่อมั่นกับนายกอบจ. และผู้ว่าราชการจังหวัด 


ขอชื่นชมและขอบคุณคณะผู้จัดงานทุกท่าน ที่เสียสละเวลาจัด กิจกรรม ให้รู้ล่วงไปสำเร็จในทุกประการครับ



วันพฤหัสบดีที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2566

พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม เข้ากระทรวงวันแรก ใช้หลักนิติธรรม เร่งแก้ปัญหาประชาชน

"พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง" รมว.ยุติธรรม เข้ากระทรวงวันแรก มอบนโยบาย ให้หลักนิติธรรม เร่งแก้ปัญหาประชาชน


วันที่ 14 กันยายน 2566 พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงยุติธรรม ศาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ศาลตายาย และพระพุทธยุติธรรมโลกนาถ เพื่อความเป็นสิริมงคล เนื่องในโอกาสเข้าปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมอย่างเป็นทางการ โดยมี นางพงษ์สวาท นีละโยธิน ปลัดกระทรวงยุติธรรม นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นางอรัญญา ทองน้ำตะโก รองปลัดกระทรวงยุติธรรม พันตำรวจโท ประวุธ วงศ์สีนิล รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และคณะผู้บริหารส่วนราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับ และร่วมแสดงความยินดีในการดำรงตำแหน่งใหม่ ณ อาคารกระทรวงยุติธรรม


ขณะที่ช่วงบ่าย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม พร้อมด้วย นางพงษ์สวาท กายอรุณสุทธิ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม และ นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ร่วมแถลงหลังมอบนโยบายให้หน่วยงานในกระทรวงฯ โดย พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า วันนี้มาประชุมหารือร่วมผู้บริหารระดับสูงในกระทรวงยุติธรรม พร้อมมอบนโยบายตามข้อสั่งการของรัฐบาล คือ รื้อฟื้นและฟื้นฟูหลักนิติธรรม  โดยมีแผนในห้วง 100 วัน จะนำความยุติธรรมให้ประชาชนและต้องเกิดการเปลี่ยนแปลง โดยตนจะลงกำกับดูแลหน่วยงานต่างๆ เพราะกระทรวงฯ มีเครื่องมือช่วยปกป้องสิทธิเสรีภาพและประชาชน ต้องยึดหลักกฎหมายเป็นใหญ่ในกระบวนการยุติธรรม ส่วนนโยบายเร่งด่วนตามข้อสั่งการของรัฐบาล เช่น ปัญหาหนี้สินครัวเรือน ลูกหนี้ SME อยากให้มีการฟื้นฟูลูกหนี้บุคคลธรรมดาที่มีหนี้สินมากกว่าทรัพย์สิน ต้องแก้ปัญหาจากโครงสร้าง ไม่ใช่กู้เงินใหม่มาแก้ปัญหาหนี้เก่า ซึ่งมันจะไม่จบ ขณะที่คนไทยหนี้ครัวเรือนมี 80-90% ของ GDP ถือเป็นเรื่องท้าทาย รวมทั้งอยากให้ผลักดันแก้ปัญหาหนี้ของSME และประชาชนทั่วไปเท่าเทียมกรณีล้มละลายเหมือนบริษัทนิติบุคคล


ทั้งนี้ มอบหมายให้ทุกกรมได้ไประดมความคิด อีกทั้งยังมีแผนการดำเนินงานใน 100 วันแรก เพื่อความยุติธรรมของประชาชน เพื่อที่ในช่วง 3 เดือนแรกจะเกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างไร ซึ่งทุกหน่วยงานก็ได้มีการเสนอแนะ และจะต้องลงไปดูอย่างจริงจัง และที่สำคัญกระทรวงยุติธรรมมีเครื่องมือที่จะปกป้องคุ้มครองประชาชน เราจะทำให้ระบบความยุติธรรมอยู่เหนืออิทธิพลให้ได้ กฎหมายบริหารยุติธรรม กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ได้มีการพาผู้นำองค์กรต่างๆมาพูดคุยกัน เพื่อประสานเชื่อมต่อข้อมูลกัน และดูปัญหาเรื่องอาชญากรรมที่มีผลต่อประชาชนเพื่อร่วมกันแก้ปัญหา


อย่างไรก็ตาม แม้กฎหมายดีแค่ไหนแต่ถ้าเจ้าหน้าที่ไม่มาประชุมร่วมกัน ติดตามความคืบหน้าระหว่างกัน ก็ไม่สามารถติดตามคนร้ายได้ทัน ดังนั้น จึงต้องเร่งสร้างงานกระบวนการยุติธรรม สร้างความเชื่อมั่น อย่างดีเอสไอจะเข้าไปถ่วงดุลและสนับสนุนหน่วยงานในท้องที่ จะไม่ปล่อยให้องค์กรหนึ่งองค์กรใดสร้างความหดหู่ ความไม่เป็นธรรมต่อประชาชน เราจะทำกฎหมายเป็นใหญ่

พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า นอกจากนี้ให้ความสำคัญเรื่องการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ในกรณีผู้ด้อยโอกาสที่ไร้สัญชาติมีอยู่ปีละเกือบ 1 ล้านคน ที่ยังไม่ได้สัญชาติ จะเป็นปัญหามากสำหรับผู้ที่ต้องเรียนหนังสือ เรื่องที่ผ่านมา DSI และสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ได้ช่วยในการตรวจให้พิสูจน์ได้รับสัญชาติได้แค่หลักพันถึงหลักหมื่น คนต่อปีเท่านั้น ส่วนเรื่องการแก้ไขปัญหายาเสพติดนั้น พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่ในรอบ 50 ปี เราได้มีประมวลกฎหมายยาเสพติด เป็นกฎหมายที่ยกระดับการแก้ปัญหายาเสพติดได้มาก ซึ่งถ้าเราแก้ไขตามกฎหมายนี้ได้ทั้งหมด ที่มีทั้งเรื่องการป้องกันและปราบปราม การฟื้นฟู และการติดตามยึดอายัดทรัพย์สิน โดยเฉพาะผู้ค้ายาเสพติดที่อยู่เบื้องหลัง เราจะดำเนินการไปในส่วนของเรื่องการเงินด้วย อย่างไรก็ตาม การฟื้นฟูรักษาผู้ใช้ยาเสพติด ก็ต้องทำให้ได้ที่ว่า ผู้เสพคือผู้ป่วย อีกทั้งในขณะนี้จำนวนผู้เสพยาเสพติดที่อยู่ในการควบคุมของกรมคุมประพฤติมี 200,000 คน แต่ที่อยู่นอกการคุมประพฤติตามข้อมูลพบกว่า1.9ล้านคน ซึ่งจะต้องหาวิธีแก้ปัญหาไม่ให้ยาเสพติดเป็นความเดือดร้อนต่อประชาชนคนอื่นๆ

เมื่อถามว่าจะมีการแก้ปัญหาเรื่องผู้มีอิทธิพลอย่างไรบ้าง ? พ.ต.อ.ทวี กล่าวว่า กลุ่มคนเหล่านี้ต้องการเงิน เป็นการทุจริตคอรัปชั่นประเภทหนึ่ง ซึ่งการจัดซื้อจัดจ้างจะมีกรมบัญชีกลางที่ดูแลตรงนี้ และเราคงจะจับมือกับกรมบัญชีกลางเพื่อให้ดำเนินการจริงจัง อาจจะต้องใช้มาตรการทางภาษีและเรื่องการเงินเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ทั้งนี้ หากมีความสงสัยว่ามีการฮั้วประมูลหรือไม่นั้น ส่วนใหญ่ราคาที่ประมูลโครงการได้ไปมักจะมีราคาที่ใกล้เคียงกับราคากลาง และเป็นการประมูลที่ได้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ซึ่งหลังจากนี้ปลัดกระทรวงยุติธรรมจะต้องเข้าไปดูเพื่อให้เกิดความชัดเจน เกิดผลอย่างจริงจัง เพื่อคอยสนับสนุนค้ำยันและทำกฎหมายให้เป็นกฎหมาย ทำผิดก็ต้องได้รับผิด ซึ่งจะไม่ทำเฉพาะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในจังหวัดนครปฐมแต่จะต้องทำทั้งหมด ตนเชื่อมั่นว่ารัฐบาลที่ได้มีการจะฟื้นฟูหลักนิติธรรมให้เข้มแข็ง หลักนิติธรรมจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่ได้รับความร่วมมือของข้าราชการภายในกระทรวงยุติธรรมทั้งหมด ให้ธำรงไว้ซึ่งหลักนิติธรรม และประชาชนจะยอมรับคนที่ทำงานความตรงไปตรงมาเอง

“สำหรับการฮั้วประมูลของกำนันนกนั้น ดีเอสไอดำเนินการอยู่แล้ว แต่ปลัดกระทรวงยุติธรรมคงเข้าไปดูแล และจะต้องทำให้สังคมเห็นถึงความตรงไปตรงมา อย่าถือเพียงแค่เป็นการเสียชีวิตของตำรวจ หรือจบที่เรื่องกำนันนก แต่ให้ขยายการตรวจสอบไปทั่วประเทศ จะต้องป้องกัน การคอรัปชั่นจากการฮั้วประมูล ซึ่งถ้าทำได้ งบประมาณของประเทศจะถูกใช้ไปกับประชาชน ซึ่งดีเอสไอจะทำเรื่องนี้ให้ครบ หากภายหลังพบว่าใครอื่นมีพฤติกรรมในลักษณะนี้ก็จะต้องดำเนินการตรวจสอบเช่นเดียวกัน” พ.ต.อ.ทวี กล่าว

วันพุธที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2566

"เศรษฐา-ทวี" ประกาศต่อต้านคอรัปชัน ยึดหลักนิติธรรมที่เข้มแข็ง

นายกรัฐมนตรีประกาศต่อต้านคอรัปชัน ยึดหลักนิติธรรมที่เข้มแข็ง ใช้เทคโนโลยีตรวจสอบให้เกิดความโปร่งใส เป็นรัฐบาลดิจิทัล เปลี่ยน “รัฐอุปสรรค” เป็น “รัฐสนับสนุน”

วันนี้ (6 กันยายน 2566) เวลา 11.45 น. ณ สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ กรุงเทพมหานคร นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมด้วย พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ร่วมงานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) รวมพลังคนไทยต่อต้านคอร์รัปชัน โดยมีนายวิเชียร พงศธร ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) เครือข่ายองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน และมีประชาชนกว่า 3,000 คน เข้าร่วม โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้ร่วมแสดงสัญลักษณ์ต่อต้านคอรัปชันร่วมกับภาคีเครือข่ายทุกองค์กรทุกภาคส่วน



นายกรัฐมนตรีกล่าวปาฐกถาตอนหนึ่งว่า การปราบปรามการทุจริตและเรื่องความโปร่งใสของรัฐบาล เป็นหนึ่งในนโยบายที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งของรัฐบาล และเป็น “หน้าที่” ของหน่วยงานภาครัฐที่จะต้องสนับสนุน และปฏิบัติตาม อย่างไม่มีข้อยกเว้น ทั้งนี้ ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับโดยองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ เป็นอันดับที่ 101 ของโลก ในด้านของดัชนีการรับรู้การทุจริต เป็นอันดับ 4 ของอาเซียน ตามหลังสิงคโปร์ มาเลเซีย และเวียดนาม ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชัน นอกจากที่จะทำให้เกิดความเสียหายโดยตรงต่อภาครัฐแล้ว ยังทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่นของนักลงทุน ซึ่งเป็นปัญหาหลักที่ทำให้เศรษกิจไทยถดถอย และมีผลต่อเนื่องไปสู่ปัญหาการขับเคลื่อน GDP ของประเทศอีกด้วย เพื่อที่จะขจัดปัญหาทุจริตคอร์รัปชันให้หมดไป ทางรัฐบาลมีนโยบาย ทั้งด้านการใช้หลักนิติธรรม หรือ Rule of Law ที่เข้มแข็ง และนำเทคโนโลยีเข้ามาเพื่อให้เกิดความโปร่งใสและตรวจสอบได้ในกระบวนการต่าง ๆ ของภาครัฐ ทำให้เป็นรัฐบาลดิจิทัล ซึ่งจะช่วยพี่น้องประชาชนได้ทั้งความโปร่งใส และการให้บริการภาครัฐที่เร็วยิ่งขึ้น ใช้หลักนิติธรรมที่มั่นคงแข็งแรงมาจากระบบการเขียนกฎหมาย และการออกกฎหมายที่ยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นหัวใจสำคัญ และประชาชนต้องมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นเพื่อช่วยกันกำหนดทิศทางและอนาคตของตัวเองและของประเทศ ปรับปรุงกฎหมายเพื่อลดกระบวนการและเงื่อนไขต่าง ๆ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน เปลี่ยน “รัฐอุปสรรค” ให้เป็น “รัฐสนับสนุน” และป้องกันการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่เรียกรับเงินสินบนจากประชาชน




นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อไปว่า นอกจากกฎหมายที่เข้มแข็งแล้ว รัฐบาลของเราจะให้ความสำคัญกับการบังคับใช้กฎหมายและการลงโทษที่เฉียบขาดและครอบคลุม เจ้าหน้าที่รัฐในหลาย ๆ ตำแหน่งจะต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สิน และในระดับสูงจะต้องเปิดเผยต่อสาธารณะ เพื่อแสดงความโปร่งใส และเปิดให้ประชาชนร่วมตรวจสอบการมีกฎหมายที่เข้มแข็ง เน้นประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก  และการบังคับใช้กฎหมายที่โปร่งใส ยุติธรรม มีประสิทธิภาพ และตรวจสอบได้นี้จะส่งเสริมความแข็งแกร่งและสร้างรากฐานของสังคมที่เคารพในกฎหมายร่วมกัน และขจัดการคอร์รัปชันให้หมดไปจากประเทศไทย ซึ่งนอกจากนิติธรรมที่มั่นคงแข็งแรงแล้ว เราจะนำเทคโนโลยีเข้ามาเพื่อช่วยให้เราสามารถเกิดความโปร่งใสตรวจสอบได้ ตัวอย่าง นโยบายที่จะนำมาใช้ในอนาคตอันใกล้คือ

1) ใช้ระบบการจ่ายเงินภาครัฐผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์แทนการใช้เงินสด

2) เปิดให้ขอใบอนุญาตและการติดต่อราชการผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ และทำให้ขอได้โดย “ง่าย” เป็น One-stop service (พ.ร.บ.การปฏิบัติราชการทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2565) 

3) ปรับปรุงระบบการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐให้ทันสมัยและโปร่งใส เพื่อป้องกันการทุจริต และเปิดข้อมูลให้ตรวจสอบได้ตามแนวทาง Open Government

4) ปรับเปลี่ยนการบริหารประเทศของรัฐบาลให้เป็น Digital Government และปรับใช้เทคโนโลยีสำหรับระบบการอนุมัติ การอนุญาต การควบคุมตรวจสอบ เพื่อให้มีความโปร่งใส และลดการต้องใช้ดุลพินิจของเจ้าหน้าที่รัฐที่เป็นผู้ติดต่อกับประชาชน

นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่าภายใต้การทำงานของรัฐบาล ปัญหาการคอร์รัปชันจะลดลง ความโปร่งใสและเป็นธรรมจะเพิ่มมากขึ้น และตามมาด้วยความน่าเชื่อถือและการยอมรับจากประชาชนและนักลงทุน ซึ่งจะส่งผลกระทบที่ดีต่อเศรษกิจของประเทศต่อไป ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีได้รับข้อเสนอจากนายวิเชียร พงศธร ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) จำนวน 5 ข้อ ดังนี้

1. กำหนดให้การปราบปรามคอร์รัปชันเป็นวาระแห่งชาติ ตั้งคณะกรรมการที่มีตัวแทนทุกภาคส่วน

มีนายกรัฐมนตรีนั่งเป็นประธาน พร้อมมี War Room เพื่อการทำงานอย่างทันเหตุการณ์

2. สนับสนุนให้ ป.ป.ช. สตง. และ ป.ป.ท. ทำหน้าที่ได้อย่างอิสระ เป็นกลาง มีเอกภาพออกจากรัฐบาล

3. เร่งรัดการออกกฎหมายต่อต้านคอร์รัปชันที่ค้างคาอยู่ เช่น กฎหมายข้อมูลสาธารณะในความครอบครองของรัฐ กฎหมายปกป้องผู้เปิดโปงคอร์รัปชัน หรือกฎหมายป้องกันการเกิดผลประโยชน์ทับซ้อน เป็นต้น

4. ทุกหน่วยงานต้องพร้อมเปิดเผยข้อมูล นับจาก TOR ไปจนถึงสัญญาต่าง ๆ ในรูปแบบที่สามารถเชื่อมโยงกับ ACT Ai ตามมาตรฐานสากลได้อย่างโปร่งใสและถูกต้อง

5. แก้ไขกฎระเบียบราชการต่าง ๆ ที่ถูกนำมาใช้เป็นข้ออ้างในการไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลปัญหาคอร์รัปชัน และเมื่อพบกรณีทุจริตคอร์รัปชัน ให้ติดตามแก้ไขลงโทษในทันที อย่าประวิงเวลาจนประชาชนลืม นอกจากนี้ ยังมีการตั้งวอร์รูมแก้ปัญหาเชิงรุก ปลุกพลังคนไทยร่วมตรวจสอบโครงการเสี่ยงทุจริตคอร์รัปชัน ด้วยเว็บไซต์ “ACT Ai” “แค่สงสัยก็เสิร์ชเลย” องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) จัดงาน “วันต่อต้านคอร์รัปชัน 2566”



วันจันทร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2566

พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง กังวลการยกเลิกเบี้ยผู้สูงอายุถ้วนหน้า-เห็นว่าเป็นแนวทางล้าหลัง-ไม่ก้าวหน้า หนุนสิทธิเสมอกัน รองรับสังคมสูงอายุ

พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชาติ คัดค้านกรณีที่กระทรวงมหาดไทย ออกระเบียบวิธีการจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ โดยกำหนด “เป็นผู้ไม่มีรายได้หรือมีรายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพตามที่คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ตามกฎหมายว่าด้วยผู้สูงอายุกำหนด” ซึ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษาและมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 สิงหาคม 2566 ลงนามโดย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ที่รักษาการในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

.
พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน แสดงทัศนะต่อประเด็นดังกล่าวว่า “ประเทศไทยเป็นประเทศกำลัง พัฒนาแรกของโลกที่ก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ ทำให้ตัวเลขสูงถึงร้อยละ 18 ติดอันดับ 2 ของอาเซียน เป็นรองเพียงสิงคโปร์ ที่มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นจนคาดการณ์ว่าอีก 9 ปีข้างหน้า จะกลายเป็นสังคมสูงอายุแบบสุดยอด สูงถึงร้อยละ 28 ของประเทศ ทำให้ช่วงที่ผ่านมาเริ่มเห็นภาพผู้สูงอายุตามเขตชนบทถูกทอดทิ้งอยู่ลำพัง อันมีสภาพความเป็นอยู่ย่ำแย่ เพราะขาดรายได้ขาดการส่งเสียจากบุตรต้องพึ่งพาเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุรับเงินรายเดือน 600-1,000 บาท แล้วแน่นอนว่า วัยที่เพิ่มขึ้น ร่างกายย่อมเสื่อมถดถอยลงตามมาด้วยโรคภัยไข้เจ็บอีกมากมาย”


พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง กล่าวด้วยว่า “ด้วยภาวะสังคมสูงวัย พรรคประชาชาติได้มีนโยบายพรรคที่สนับสนุนสวัสดิการถ้วนหน้า 3,000 บาท/เดือน ด้วยหลักการระบบบำนาญแห่งชาติและสวัสดิการถ้วนหน้า ซึ่งรัฐต้องจัดให้ประชาชนอย่างเสมอหน้า ด้วยสิทธิที่เสมอกันไม่ว่ายากดีมีจน ภายใต้หลักการที่ว่าสวัสดิการเป็น สิทธิอันพึงมีของประชาชน มิใช่เพียงแค่หน้าที่ของรัฐในการสงเคราะห์คนอนาถาเพื่อให้เป็นหลักประกันความมั่นคงในชีวิต จึงมีความจำเป็นสำคัญที่สอดคล้องกับ ภาคประชาสังคม และแวดวงนักวิชาการ ต่างร่วมกันขับเคลื่อนผลักดันนโยบายบำนาญถ้วนหน้า สำหรับผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป รับเงินรายเดือนละ 3,000 บาท เพื่อยกระดับให้ประชาชนเกิดความเท่าเทียมกันครับ”



วันพฤหัสบดีที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2566

“ดร.เผ่าภูมิ” ยืนยัน Digital Wallet ไม่ใช่ประชานิยม แต่เป็นการพลิกโฉมเศรษฐกิจไทย

ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ในฐานะกรรมการและโฆษกคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้ความเห็นในงานสัมนาของ ธปท. ว่า


ผมมีความเห็นแลกเปลี่ยนกับผู้ว่าแบงค์ชาติ 5 ประเด็น


1. เข้าใจความกังวลของผู้ว่าแบงก์ชาติเรื่อง ประชานิยม ซึ่งหากรัฐบาลใหม่หมายถึงรัฐบาลเพื่อไทย นโยบายนี้ก็คงจะหมายถึง Digital Wallet ซึ่งผมแลกเปลี่ยนดังนี้

1.1. Digital Wallet ไม่ใช่ประชานิยม แต่คือการชุบชีวิต ศก. ครั้งใหญ่ 10,000 บาทสำหรับทุกคน (16 ปีขึ้นไป) สร้างพายุหมุนทาง ศก. กระจายอยู่ทั่วทุกชุมชนทั่วประเทศ Digital Wallet เป็นความจำเป็น ไม่ใช่ทางเลือก ในจังหวะที่ประเทศบอบช้ำ และการสร้างกำลังซื้อตามธรรมชาตินั้นไม่ทันการ

1.2. เทคโนโลยี Blockchain ของ Digital Wallet สร้างเงินหมุนได้รวดเร็ว ตรงเป้า เขียนเงื่อนไขและระยะเวลาได้ จะเกิดเงินหมุนที่พลังสูงกว่าและเป็นตัวจุดกำลังซื้อรวดเร็วแม่นยำกว่าแบบดั้งเดิม

1.3. Digital Wallet นอกจากกระตุ้นเศรษฐกิจ ยังสร้างโครงสร้างพื้นฐานการเงินรองรับโลกยุคใหม่ พลิกโฉมประเทศ การลงทุนที่จะตามมานั้นมีผลตอบแทนมากกว่าเงินที่ลงทุนไป

1.4. ทุกนโยบายของพรรคเพื่อไทยให้ความสำคัญสูงสุดต่อความมั่นคงทางการคลัง ทุกบาทที่ใช้ต้องมีผลตอบแทนสูง และย้อนกลับมาเป็นความมั่นคงทางการคลังในระยะยาว

2. เห็นตรงกันว่าหนี้ครัวเรือนคือปัญหาใหญ่ แต่เห็นต่างกันที่ต้นตอของหนี้ครัวเรือน ธปท. มองว่าเกิดจากดอกเบี้ยต่ำ คนจึงก่อหนี้เยอะ แต่ข้อเท็จจริงนั้นเกิดจากประชาชนและภาคเอกชนรายได้ทรุดลงอย่างกะทันหัน (Income Shock) จำเป็นต้องก่อหนี้เพื่อการดำรงชีวิต และความอยู่รอดของธุรกิจ พรรคเพื่อไทยจึงมีนโยบายเข้าแก้ไขปัญหาใน 2 ขั้นตอนทันที 1.แก้หนี้ทันที ทั้งมาตรการพักหนี้เกษตรกร และหนี้ SME ในรหัส 21 ที่เดือดร้อนจากโควิด และ 2.สร้างงานสร้างรายได้ทันที เริ่มจาก Digital Wallet ตามด้วยการดึงรายได้ใหม่เข้าประเทศจากการดูดการลงทุนใหม่ เปิดประเทศด้วยนโยบายต่างประเทศเชิงรุกทันที เป็นต้น

3. เห็นแย้งกับ ธปท. ที่ไม่กังวลกับการตั้งรัฐบาลช้า การขาดงบลงทุนใหม่หลายแสนล้านบาทไปครึ่งปีนั้น ไม่ใช่เรื่องที่น่าสบายใจ เสมือนรถใส่เกียร์ว่าง ไร้คันเร่ง ที่กำลังถูกแซงไปครึ่งปี สำคัญกว่านั้นคือส่วนที่ไม่ใช่งบประมาณ ค่าเสียโอกาสของประเทศจากการชะลอการลงทุน การสูญเสียความเชื่อมั่น การย้ายฐานการผลิต ความสูญเสียในตลาดทุน และการขาดทิศทางของประเทศ เหล่านี้ประเมินค่าไม่ได้ คือสุญญากาศทางเศรษฐกิจ

4. เสถียรภาพ vs ศักยภาพ ของสถาบันการเงิน ตรงนี้เห็นต่าง ที่ผ่านมาไทยติดกับดักคำว่าเสถียรภาพ สร้างธนาคารเป็นสถาบันที่แข็งแกร่ง แต่กลับไม่ถูกใช้เป็นกลไกผลักดันทางเศรษฐกิจไปสู่รากหญ้าและ SME เพราะกลัวความเสี่ยง และกันคนเสี่ยงออกนอกระบบ จนการสร้างศักยภาพจากฐานของประเทศยังทำได้ไม่ดีพอ

5. พรรคเพื่อไทย หากจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จ จะเดินหน้าพลิกโฉมประเทศสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ โดยวิธีคิดแบบใหม่ สร้างรายได้แบบใหม่ ทัศนคติใหม่ แนวทางการบริหารแบบใหม่ สู่การพลิกโฉมเศรษฐกิจไทย และสร้างการทำงานประสานระหว่างนโยบายทางการคลังกับนโยบายทางการเงินอย่างไร้รอยต่อ

วันจันทร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2566

ชื่นมื่น ! ภูมิใจไทย-เพื่อไทย” แถลงจัดตั้งรัฐบาล ได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งแล้ว

(Politica) - วันที่ 7 สิงหาคม 2566 ที่พรรคเพื่อไทย มีการแถลงข่าวจัดตั้งรัฐบาลระหว่างพรรคเพื่อไทย 141 เสียง กับพรรคภูมิใจไทย 71 เสียง รวม 212 เสียงนำโดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรค นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรค ขณะที่พรรคภูมิใจไทย นำโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ เลขาธิการพรรค และนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองหัวหน้าพรรค

นพ.ชลน่าน ได้อ่านคำแถลงจัดตั้งรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทย ว่าพรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทยจะร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล โดยการสนับสนุนจากพรรคการเมืองต่าง ๆ และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากหลายพรรคการเมือง ซึ่งขณะนี้มีเสียงเกินกึ่งหนึ่งแล้ว แต่เรายังคงต้องการเสียงสนับสนุนจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภาเพื่อให้จัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ สามารถบริหารประเทศ และเร่งแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนได้โดยเร็ว

รัฐบาลที่จะจัดตั้งขึ้นในครั้งนี้ แม้จะมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งแล้ว แต่เรายังต้องการการสนับสนุนจากทุกฝ่าย เนื่องจากปัญหาของประเทศชาติ และพี่น้องประชาชนที่กำลังเผชิญอยู่นี้มีความเดือดร้อนรุนแรง การประวิงเวลาออกไปยิ่งทำให้เกิดความเสียหายยิ่งขึ้น การจัดตั้งรัฐบาลได้เร็วเท่าไรจะยิ่งแก้ไขปัญหาได้รวดเร็วมากขึ้นเท่านั้น

เรามีความประสงค์จะทำงานการเมืองอย่างสร้างสรรค์ โดยเฉพาะในสถานการณ์ทางการเมืองที่มีความพิเศษ ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมือง ความขัดแย้งในสังคม และวิกฤตรัฐธรรมนูญก่อตัวเป็นปัญหาของประเทศ และประชาชนทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง

เราจึงต้องการเสียงสนับสนุนจากทุกพรรคการเมืองให้มาสนับสนุนนายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย โดยยึดถือประโยชน์ของประเทศ และประชาชนเป็นหลัก อาทิ เมื่อฝ่ายค้านเสนอกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม รัฐบาลพร้อมจะให้การสนับสนุน นอกจากนี้ จะเปิดโอกาสให้ฝ่ายค้านตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลได้อย่างเต็มที่

พรรคเพื่อไทยในฐานะพรรคการเมืองที่เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ร่วมกับพรรคภูมิใจไทย เห็นว่าทุกฝ่ายสามารถทำงานร่วมกันได้ จึงกำหนดแนวทางในการจัดตั้งรัฐบาล ดังนี้

1.ยึดวาระของประเทศและประชาชนเป็นที่ตั้ง โดยเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจและประชาธิปไตย นำความปรองดอง สมานฉันท์กลับคืนสู่ประเทศ

.

2.จะเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยการประชุมคณะรัฐมนตรีในวาระแรก จะมีมติให้ทำประชามติขอจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยกระบวนการจัดตั้ง ส.ส.ร.

.

3.ดำเนินงานการเมืองอย่างสร้างสรรค์ ฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐบาลสามารถทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างเต็มที่ สิ่งใดที่เป็นประโยชน์จะร่วมกันผลักดันให้สำเร็จ สิ่งใดที่เป็นปัญหาจะต้องถูกตรวจสอบและเร่งแก้ไขให้ถูกต้อง

.

4.จัดตั้งรัฐบาลที่มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้

.

5.การจัดตั้งรัฐบาลในครั้งนี้เปิดกว้างให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภามีส่วนร่วมอย่างสำคัญในการเลือกนายกรัฐมนตรี เพื่อผ่าทางตันระบบการเมืองของประเทศ และฝ่าวิกฤตรัฐธรรมนูญที่สร้างปัญหาอยู่ในปัจจุบัน


หลังจากนี้ เราจะเดินหน้าทำความเข้าใจกับทุกภาคส่วนในสังคม รวมทั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา เพื่อแสวงหาความร่วมมือ และกำหนดเจตนารมณ์ในการบริหารประเทศ จึงร้องขอการสนับสนุนจากทุกพรรคการเมือง ทุกฝ่าย ทุกคน มาร่วมกันกอบกู้วิกฤตของประเทศในครั้งนี้

.

นพ.ชลน่าน ตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่ถามว่า มีพรรค 2 ลุง และพรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน หรือไม่ ? ว่า ในคำแถลงชัดเจนอยู่แล้วว่าไม่มี 2 ลุง แต่เราเองไม่ปฏิเสธเงื่อนไขว่า ถ้าจะมี สส. และ สว.ลักษณะเป็นบุคคล หรือกลุ่มบุคคลเป็นเอกสิทธิ์ของสมาชิกแต่ละคน

.

ด้านนายภูมิธรรมกล่าวว่า หลังจากนี้ไปเราเริ่มที่พรรคการเมืองต่าง ๆ ในสัปดาห์นี้เราจะเห็นว่าเราจะดึงใครเข้ามาร่วมเป็นรัฐบาลเราบ้าง ในแถลงการณ์ไม่ได้จัดตั้งสมาชิกที่เป็นรายบุคคล

.

นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ยืนยันหลักการร่วมรัฐบาลว่า ต้องไม่มีการแตะต้องกฎหมายอาญามาตรา 112 และต้องไม่ใช่รัฐบาลเสียงข้างน้อย รวมทั้งไม่มีพรรคก้าวไกล ร่วมอยู่ในพรรคร่วมรัฐบาล สอดคล้องกับคำตอบของ นพ.ชลน่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่ระบุว่า เงื่อนไขของพรรคภูมิใจไทย พรรคเพื่อไทยรับได้ หากมีพรรคก้าวไกลจะไม่ได้รับการโหวตจากพรรคการเมืองอื่น และไม่มีเสียงสนับสนุนจากวุฒิสมาชิก

.

ผู้สื่อข่าวถามว่า จะมีพรรคไหนมาร่วมบ้าง ? และมีเงื่อนไขอะไรอีกหรือไม่ ? นพ.ชลน่านกล่าวว่า วันนี้ถือเป็นการเริ่มต้นระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย เป็นสารตั้งต้นที่มีความเข้มแข็ง หลังจากนี้จะมีการเชิญ หรือเข้าไปหาพรรคการเมืองอื่น ๆ ภายในสัปดาห์นี้ทั้งหมด

.

เมื่อถามว่า เป็นการสลาย 188 เสียงหรือไม่ ? นายภูมิธรรมกล่าวว่า เราไม่มีความตั้งใจตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย เรารวบรวมเสียงได้เกินกึ่งหนึ่งแล้ว และพยายามสร้างความมั่นคงเต็มที่ เรียกร้องทุกพรรคการเมือง ทุกกลุ่ม ทุกคนสามารถเลือกนายกฯ ได้โดยไม่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งรัฐบาล จากนี้ไปทั้งสัปดาห์จะเห็นภาพการร่วมมือกันจัดตั้งรัฐบาลจากนี้ไป

นายอนุทินกล่าวเสริมว่า คำตอบอยู่ในตัวมันเองอยู่แล้ว การที่พรรคภูมิใจไทยเสนอพรรคเพื่อไทย ในการหารือครั้งแรก ว่าไม่มีนโยบายจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย เพราะไม่เกิดความมั่นคงใด ๆ ทางการเมือง และไม่มีประโยชน์กับประเทศ ต้องถือว่า 188 ไม่เคยมีอยู่ในสมการจัดตั้งรัฐบาล

.

เมื่อถามว่า เป็นรัฐบาลสมานฉันท์หรือไม่ ? นพ.ชลน่านกล่าวว่า สถานการณ์ขณะนี้โดยเฉพาะวิกฤตรัฐธรรมนูญที่ทำให้เราไม่สามารถทำเจตนารมณ์ของพี่น้องประชาชน หรือสิ่งที่เรามุ่งหวังได้ มันติดไปทุกด้าน การที่เราหันหน้าเข้าหากันจัดตั้งรัฐบาล เพื่อแก้ปัญหาให้กับประเทศชาติบ้านเมือง น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด

.

นายภูมิธรรม กล่าวเสริมในคำถามเดียวกันว่า ในแถลงการณ์ชัดเจนว่าวิกฤตปัจจุบันของประเทศมี 3 ด้าน ทั้งวิกฤตรัฐธรรมนูญ เศรษฐกิจที่ประชาชนกำลังเผชิญ สังคมเรื่องความขัดแย้ง ซึ่งรัฐบาลจะต้องเข้ามาช่วยกันแก้ปัญหา

.

“การที่เราพยายามให้ทุกฝ่ายมีส่วนร่วมในการเลือกนายกฯ เป็นการที่ให้ทุกฝ่ายเข้ามาคลี่คลายปัญหาของประเทศ ถ้าครั้งนี้ทำได้สำเร็จก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี”

.

เมื่อถามพรรคภูมิใจไทย ว่าการจับมือกับพรรคเพื่อไทย มี 2 ลุงก็ได้ ไม่มีก็ได้ใช่หรือไม่ ? นายอนุทินตอบว่า มีเพียง 3 เงื่อนไขที่แจ้งกับพรรคเพื่อไทยไป ส่วนการดำเนินการอย่างไรเป็นดุลพินิจพรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล

.

เมื่อถามว่าจะจับมือกับพรรคเพื่อไทยไม่มีสลับดีลอะไรกันอีกแล้วใช่หรือไม่ ? นายอนุทินกล่าวว่า เราทำทุกอย่างเพื่อประเทศชาติ บ้านเมือง การพูดอะไรที่ผูกมัดตัวเองเกินไปอาจทำให้เกิดทางตันได้ เราเอาบ้านเมืองกับประชาชนเป็นหลัก มั่นใจว่าจะหาทางออกได้

.

เมื่อถามว่าพรรคเพื่อไทยเคยออกแคมเปญไล่หนูตีงูเห่าจะชี้แจงประชาชนอย่างไร ? รวมถึงกระทรวงที่พรรคภูมิใจไทยเคยบริหารจะได้อยู่หรือไม่ ? นพ.ชลน่านกล่าวว่า เรื่องกระทรวงเรายังไม่ลงลึกรายละเอียดจะต่อรองกระทรวงไหนอย่างไร เราไม่ได้เริ่มต้นจากกระทรวง แต่ภายใต้วิกฤตแบบนี้ มีความจำเป็นที่ทุกคนต้องหันหน้าเข้าหากันและทำงานร่วมกัน

.

ส่วนการรณรงค์หาเสียงของพรรคเพื่อไทยกับภูมิใจไทย ไล่หนูตีงูเห่า มันเป็นการรณรงค์เพื่อให้ได้มาเพื่อคะแนนเสียงเลือกตั้ง มิติทางการเมืองเราไปขอเสียงประชาชน เราไม่เคยประกาศเป็นศัตรูกับใคร แต่เราเป็นคู่แข่งกันจริง เทคนิคการหาเสียงต่างฝ่ายต่างมี เราไม่เคยคิดว่าเป็นศัตรูกัน พรรคเพื่อไทยไม่เคยคิดว่าเป็นศัตรูกับใคร แต่ทุกพรรคเป็นคู่แข่งทางการเมืองกัน เมื่อประชาชนตัดสินใจมอบอำนาจให้ใคร เราก็มาทำหน้าที่ตามที่ได้รับมอบอำนาจ ถ้าร่วมกันจัดตั้งเป็นรัฐบาลของประชาชนได้ก็ร่วมกันทำ ถ้าทำไม่ได้ก็มาเป็นฝ่ายค้าน



วันศุกร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2566

"ประชาชาติ" แนะรัฐเร่งเยียวยาความเสียหาย โกดังพลุระเบิดมูโนะ หนุนตั้งคณะกรรมการอิสระสอบข้อเท็จจริง

นายกมลศักดิ์ ลีวาเมาะ กมลศักดิ์ ลีวาเมาะ สส.นราธิวาส พรรคประชาชาติ เสนอญัตติ พิจารณาการดูแลเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากโกดังพลุระเบิดที่มูโนะ ว่า ผมและพรรคประชาชาติ เล็งเห็นความเดือดร้อนจากการลงพื้นที่เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2566 ได้เห็นและรับฟังสภาพความเดือดร้อนของประชาชนที่นั่น และขอบคุณท่านประธานฯ ที่ท่านเองก็ได้เดินทางไปในฐานะประธานสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 31 เช่นกัน คลิปที่ผมเตรียมไว้นี้สะท้อนให้เห็นถึงอานุภาพความร้ายแรงของเหตุที่เกิดที่หมู่ 1 โกดังเก็บพลุที่ตําบลมูโนะ อําเภอสุไหงโก-ลก ความรุนแรงที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ ผมและพรรคประชาชาติ ต้องขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวและพี่น้องประชาชนหมู่ที่ 1 ตําบลมูโนะ และบริเวณใกล้เคียงประมาณหกร้อยกว่าหลังคาเรือน สะท้อนให้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากลภายใต้สถานการณ์ความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีภาพสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่ามันมีผลประโยชน์สีเทาอยู่ภายใต้สถานการณ์สามจังหวัดชายแดนภาคใต้มานานแล้ว เพียงแต่ว่ามันไม่มีเหตุการณ์อื่นที่สะท้อนให้เห็นชัดเจนเหมือนเช่นนี้

รัฐมีหน้าที่ดูแลให้มีการปฏิบัติตามกฎหมายโดยเคร่งครัด หลังเหตุการณ์ที่มูโนะ ผมรอเวลาที่รัฐบาล, นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่ต้องดูแลรับผิดชอบ หน่วยงานของท่านปรากฏว่ายังไม่มีคําตอบใด ๆ ที่ชัดเจนที่ออกมาแถลงโดยนายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีรักษาการ ถึงแม้จะเป็นนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีรักษาการ แต่ท่านยังต้องมีหน้าที่ที่ต้องออกมาแสดงความรับผิดชอบ

ผ่านมาหลายวัน ข้อเท็จจริงหลายหลายอย่างเริ่มปรากฏ พลุต่าง ๆ ที่อยู่ที่โกดังแห่งนี้ โกดังที่อยู่ใจกลางชุมชนที่เก็บพวกดอกไม้ไฟจํานวนเป็นพันตัน มันไม่น่าจะอยู่ได้ และมันสะท้อนให้เห็นว่านี่คือการละเว้นปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงาน เราอาจจะโฟกัสไปที่เจ้าของโกดัง เมื่อไหร่จะมอบตัว ? จะดําเนินคดีกับเจ้าของโกดัง ? ยังไม่กลับมาสักที ? 

สิ่งที่พี่น้องประชาชนอยากเห็นการดําเนินการทางกฎหมายอย่างตรงไปตรงมาตามรัฐธรรมนูญ ก็คือการปฏิบัติตามกฎหมายโดยเคร่งครัด

เราอยากเห็นหน่วยงานที่รับผิดชอบ อยากให้มีการตั้งคณะกรรมการอิสระเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงนําเสนอ สอบสวนข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะอย่างนี้อีก เพราะผมเชื่อว่ายังมีอีกหลายโกดังตามตะเข็บชายแดน ในจังหวัดนราธิวาส

ขอขอบคุณหน่วยงานภาคเอกชนไปเยี่ยมและบริจาคเงินอีกหลายสิบล้านบาท ขอขอบคุณมาก ๆ ขออัลเลาะห์ได้ทรงตอบแทนความดีงามให้ท่านด้วย แต่ผมขอให้คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ หรือมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ จนเป็นเหตุให้พี่น้องเสียชีวิต-บาดเจ็บ-ล้มตาย ขอให้พระผู้เป็นเจ้า อัลเลาะห์จงลงบารอให้กับคนเหล่านี้ด้วยครับ