วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2562

นิทรรศการ: ขบวนพยุหยาตราทางชลมารค


เชิญชวนประชาชนร่วมชมนิทรรศการองค์ความรู้เกี่ยวกับการเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 ระหว่างวันที่ 24 ต.ค.-11 พ.ย. 2562 ณ ท้องสนามหลวง จะเปิดให้เข้าชม เวลา 10.00-22.00น. มีการจัดแสดงเรือพระที่นั่งจำลอง และการแสดงศิลปวัฒนธรรม / ภาพ: ดร.จรัล อัมพรกลิ่นแก้ว

นิทรรศการ การเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 นั้น จัดแสดงภายในอาคารจัดแสดงนิทรรศการ "เถลิงถวัลย์ราชสมบัติ สยามรัฐสีมา” ขนาด 3,600 ตรม. จัดแบ่งเป็นห้องต่างๆ 3 ห้อง ได้แก่



ห้องที่ 1 นิทรรศการ "มหามงคลสมัยพระขวัญไผทเถลิงรัช” แสดงองค์ความรู้พระราชพิธีบรมราชาภิเษก สมัยรัตนโกสินทร์และพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว


ห้องที่ 2 การแสดงแสง สี เสียงสื่อผสม "นิรมิตเรืองนทีเถลิงหล้า” นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับ ความสุขของคนไทยใต้ร่มพระบารมี ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์



ห้องที่ 3 ขบวนพยุหยาตราทางชลมารคจากอดีตถึงปัจจุบัน "ขบวนนาวาอารยศิลป์แผ่นดินสยาม” แสดงองค์ความรู้เรื่องขบวนพยุหยาตราทางชลมารคตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ และขบวนพยุหยาตราทางชลมารคเนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562


นอกจากนี้ ยังมีการจัดแสดงเรือพระที่นั่งจำลอง 4 ลำ และการแสดงศิลปวัฒนธรรม "ศรีศุภยาตรา ปวงประชารวมใจถวายพระพร” พร้อมสาธิตการเห่เรือโดยกองทัพเรือ เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ (จำลอง) เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 (จำลอง) เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช (จำลอง) เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ (จำลอง) รวมถึงการแสดงศิลปวัฒนธรรมเทิดพระเกียรติ จาก 4 ภูมิภาค และการแสดงโขน เรื่องรามเกียรติ์ การแสดงละครนอก ละครใน โดยสำนักการสังคีต กรมศิลปากรและสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ จัดแสดงวันละ 2 รอบ เวลา 18.30 - 20.00 น. และเวลา 20.30 - 22.00 น.












“ตรีรัตน์” ซัดประยุทธ์ เล่นแง่-ดองเลือกตั้งท้องถิ่น

รุ่นใหม่เพื่อไทย “ตรีรัตน์” ซัดประยุทธ์ เล่นแง่ ม.44 ปลดท้องถิ่น ดองไว้หลายจังหวัด ที่บอกรองบฯเพื่อหวังคะแนนนิยมรัฐบาลตนเอง


นายตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส อดีตผู้สมัคร ส.ส. และ โฆษกคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคเพื่อไทย แสดงความคิดเห็นต่อกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้ให้สัมภาษณ์ถึงการเลือกตั้งท้องถิ่น ซึ่งจะเกิดขึ้นในปีหน้า เมื่อทุกอย่างพร้อม เพราะต้องรองบประมาณและเรื่องอื่นๆ พร้อมบอกด้วยว่าวันนี้ก็ยังมีคนทำงานตรงนี้อยู่แล้วว่า

ขอเตือนสติไปยังท่านนายกรัฐมนตรีให้คำนึงถึงสภาพความเป็นอยู่ปัจจุบันของประชาชนด้วย เพราะเวลานี้ประชาชนรอการเลือกตั้งท้องถิ่นมานานกว่า 6 ปีแล้ว นานกว่าการเลือกตั้งทั่วไปอีก เท่ากับว่ามีการแช่แข็งสิทธิและหน้าที่ของประชาชนที่จะได้เลือกผู้แทนท้องถิ่นของตัวเองยาวนานกว่าการเลือกตั้ง ส.ส. ซึ่งตรงนี้ถือว่าทำงานใกล้ชิดกับประชาชนมากเช่นเดียวกัน

ขณะที่ในหลายจังหวัด ผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ไม่ว่าจะ อบต. อบจ. เทศบาล ซึ่งมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ก็ถูกหัวหน้าคสช. ซึ่งก็คือท่านนายกฯ คนปัจจุบันใช้อำนาจ ม.44 โยกย้าย ปลดออก รวมถึงมีการดองตำแหน่งไม่ให้ทำงานอยู่เป็นจำนวนมากทั่วประเทศ แม้แต่ผู้ว่าฯ กทม. ซึ่งมาจากการเลือกตั้งก็ถูกคนที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ปลดออกจากตำแหน่งไปแล้ว เมื่อวันที่ 18 ต.ค. 2559 โดยอ้างว่าเพื่อเปิดทางตรวจสอบข้อกล่าวหาต่างๆ และให้การทำงานมีประสิทธิภาพ หลายกรณีจนวันนี้ก็ยังไม่เห็นคดีคืบหน้าแต่อย่างไร แต่พอใกล้เลือกตั้งใหญ่ก็มีการปลดล็อก ม.44ให้กับบางจังหวัด

การใช้อำนาจ ม.44 ที่สามารถยกตัวอย่างให้เห็นภาพได้อีก เช่น ปลดกรรมการพนักงานส่วนตำบล จ.สมุทรสาคร 7 ตำแหน่ง พักงานเจ้าหน้าที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรวม 193 ตำแหน่ง และโยกย้ายปฏิบัติราชการในตำแหน่งอื่นรวมอีก 104 ตำแหน่ง และรวมไปถึงการย้ายผู้ว่าราชการจังหวัดรวม 11 จังหวัด ได้แก่ ผู้ว่าฯ ศรีสะเกษ,ตาก, จันทบุรี, ปัตตานี, กาญจนบุรี, กาฬสินธุ์, เชียงราย, ภูเก็ต, ราชบุรี, สิงห์บุรี ไปเป็นผู้ตรวจราชการพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยว่าอ้างให้เกิดความเหมาะสมในการทำงาน และย้ายผู้ว่าฯ สมุทรสาคร ไปประจำสํานักงานปลัดกระทรวง อีกด้วย

“ผมจึงเรียนท่านนายกรัฐมนตรีว่ายุคคสช.นั้นจบไปแล้ว และตามหลักสากลต้องให้มีการจัดการเลือกตั้ง และคืนอำนาจสู่ประชาชนโดยเร็วที่สุด ซึ่งรวมไปถึงการเลือกตั้งท้องถิ่นด้วย ขอให้คำนึงถึงผลโยชน์ของตนให้น้อยลง และคิดถึงประชาชนให้มากขึ้น มิใช่รอวันที่จะรอใช้งบประมาณ เพื่อหวังทำให้คะแนนนิยมของตนเองขึ้นหรือไม่ หรือใช้กลไกอำนาจเหล่านั้นที่เคยกดเขาไว้มาเป็นเครื่องมือทางการเมืองของตนเองในการเลือกตั้งท้องถิ่นครั้งประวัติศาสตร์ที่กำลังจะเกิดขึ้น คนอื่นพร้อมแล้ว แต่พวกท่านยังไม่พร้อมสักทีก็น่าประหลาดใจ ที่สำคัญมองประเทศไปให้เห็นภาพกว้างว่าประโยชน์ส่วนรวมคือประชาชนทั้งประเทศนะครับ”

"ชัชชาติ" หนุนแก้ปัญหา น้ำทะเลท่วมกรุงเทพฯ

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้


เมื่อวานมีหนังสือพิมพ์นิวยอร์คไทม์รายงานผลวิจัยว่าในปี 2050 หรืออีก 31 ปีข้างหน้า ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น อาจจะกระทบกับประชากรของประเทศไทยถึง 10% (6-7 ล้านคน) แทนที่แต่เดิมเข้าใจว่ากระทบเพียงประมาณ 1% (3-6 แสนคน) ข่าวนี้มาจากงานวิจัยในวารสาร Nature Communications โดย Scott A.Kulp และ Benjamin H.Strauss ที่มีการตีพิมพ์เมื่อวันที่ 29 ตุลาคมที่ผ่านมา (เอกสารอ้างอิง)

การคาดการณ์ผลกระทบของน้ำท่วมจากสภาวะโลกร้อน (Global Warming) ในอนาคตจะขึ้นกับตัวเลขสองตัว

1. การคาดการณ์ระดับน้ำทะเลที่จะเพิ่มสูงขึ้น
2. การหาค่าระดับพื้นดินว่าอยู่เท่าไร

พื้นที่ไหนที่มีระดับต่ำกว่าระดับน้ำทะเลในอนาคตก็จะถือว่ามีโอกาสน้ำท่วมและกระทบกับประชากรในพื้นที่

งานวิจัยนี้ไม่ได้บอกว่าน้ำทะเลจะเพิ่มสูงกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ แต่มีการพัฒนาวิธีการคำนวณระดับพื้นดินที่ถูกต้องมากขึ้น เนื่องจากแต่ก่อนใช้อ่านค่าจากภาพถ่ายดาวเทียม ติดหลังคาสิ่งปลูกสร้างหรือต้นไม้ใหญ่ ทำให้ระดับพื้นที่สูงกว่าความเป็นจริง พอใช้วิธีคำนวณใหม่ทำให้พบว่าระดับพื้นที่จริงต่ำกว่าที่เคยคำนวณไว้มาก ทำให้ผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลมากกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ โดยประมาณ 70% ของผู้ที่ได้รับผลกระทบ อยู่ใน 7 ประเทศ: จีน บังคลาเทศ อินเดีย เวียตนาม อินโดนีเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น

จากการหารือกับผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ ผมคิดว่าเราคงยังไม่ต้องตื่นตระหนกถึงกับย้ายบ้านหนีน้ำท่วม เพราะงานวิจัยดังกล่าวก็ใช้สมมติฐานหลายเรื่องในการสรุปผล แต่เราควรจะต้องตระหนักถึงปัญหาดังกล่าวว่ามีโอกาสที่น้ำทะเลจะสูงขึ้นและกระทบต่อประเทศไทยในอนาคต ซึ่งเราเริ่มเห็นแล้วในบางพื้นที่ เช่นบริเวณชายทะเลบางขุนเทียน ซึ่งนอกจากระดับน้ำทะเลแล้วยังมีผลเรื่องการทรุดตัวของดิน และการกัดเซาะพื้นที่ชายฝั่งร่วมด้วย

การดำเนินการที่เป็นรูปธรรมที่น่าจะเป็นไปได้คือ

1. กทม. และจังหวัดต่างๆจัดทำแผนที่ความเสี่ยง (Risk Map) โดยเฉพาะค่าระดับ ความเสี่ยงจากน้ำท่วม ของพื้นที่ต่างๆให้ชัดเจน เพื่อประชาชนจะได้เข้าใจความเสี่ยงของพื้นที่ต่างๆดีขึ้น โดยควรมีการทำแบบจำลองระดับความละเอียดถูกต้อง +/-10 เซนติเมตร (ซึ่งเข้าใจว่าปัจจุบันทางกรุงเทพมหานครกำลังดำเนินการอยู่) การปรับปรุงข้อมูลแผนที่มาตราส่วน 1:4000 และ จัดทำข้อมูลภูมิประเทศและระดับความสูงด้วยเทคโนโลยีไลดาร์ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะมีความละเอียดมากกว่าการใช้แบบจำลองจากดาวเทียมในผลการศึกษา และ ทำให้เราประเมินความเสี่ยงได้ถูกต้องมากขึ้น

2. การกำหนดผังเมือง แนวทางการพัฒนาเมือง การสร้างระบบระบายน้ำ แนวคันกั้นน้ำ ต้องคำนึงถึงความเสี่ยงจากเรื่องนี้อย่างจริงจัง

3. เพื่อป้องกันระดับน้ำทะเลที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต เราอาจจะพิจารณาการพัฒนาแนวคันกั้นตามแนวคิดของคันกั้นน้ำด้านตะวันออกอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยยกระดับแนวถนนที่วิ่งขนานกับอ่าวไทยตั้งแต่แม่น้ำบางปะกง เจ้าพระยา ท่าจีน โดยใช้แนวถนนเดิมที่มีอยู่แล้วเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายและใช้เป็นเส้นทาง Logistics ได้ เช่น สุขุมวิทสายเก่า ถนน 3243 ( วัดแหลม-นาเกลือ) ถนน 3423 (สมุทรสาคร-โคกขาม) ถนนพระราม 2

4. ทำเขื่อนกั้นน้ำทะเลและประตูน้ำเพื่อควบคุมน้ำทะเลในจุดที่เส้นทางแนวกั้นน้ำผ่านแม่น้ำและคลองเพื่อทำให้แนวคันกันน้ำมีความต่อเนื่อง

5. วางแผนระยะยาวสำหรับการขนส่งทางเรือในแม่น้ำเจ้าพระยา และ การใช้ท่าเรือคลองเตยในอนาคต เพราะการขนส่งทางเรือขนาดใหญ่จะได้รับผลกระทบถ้ามีการสร้างเขื่อนหรือประตูน้ำ

6. รณรงค์เรื่องการลดภาวะโลกร้อนอย่างจริงจัง มีการกำหนดเป้าหมายในการลด Carbon Footprint ของประเทศและจังหวัดอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะกรุงเทพฯซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดก๊าซเรือนกระจกหลักของประเทศ

(สิ่งที่ไม่ควรทำคือการตั้งคณะกรรมการอีก 5 คณะเพื่อศึกษาเรื่องนี้เพิ่มเติม)

ปัญหาทุกอย่าง รับมือได้ ถ้าเราเข้าใจและเอาจริงครับ

'วันนอร์' ย้ำ 'ประชาชาติ' คือพรรคการเมืองของประชาชน


นาย วันมูหะมัดนอร์ มะทา หัวหน้าพรรคประชาชาติ เปิด 'งานครบรอบ 1 ปีวันสถาปนาพรรคประชาชาติ' เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2562 ณ โรงแรม ซีเอส ปัตตานีอำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี พร้อมทั้ง ระบุว่า พรรคประชาชาติ รักประชาธิปไตยเคารพกติกาและประสงค์ที่จะอยู่ร่วมกันแบบประชาธิปไตยโดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและเชื่อว่าประชาธิปไตยจะนำมาซึ่งสันติ มีผู้นำทางการเมืองที่มีจิตสำนึกและเข้าใจวัฒนธรรมของความเป็นประชาธิปไตยและต้องไม่คิดว่าแผ่นดินนี้เป็นของคนเพียงคนเดียว หรือ กลุ่มเดียว หรือ คิดเพียงแค่ประชาชนเป็นลูกจ้างและผู้พลอยอาศัย อีกทั้ง ทำทุกอย่างตามอำเภอใจและไม่แยแสต่อความรู้สึกของผู้อื่น นอกจากนี้ พวกอำนาจนิยมเผด็จการมักจะไม่ยอมรับรู้ระบบการปรึกษา การพึ่งพา การแบ่งปัน ฯลฯเพราะผู้นำลักษณะนี้จะเชื่อว่าวิถีชีวิตจริงต้องอยู่ภายใต้คำสั่ง หรือ อำนาจของตน ตลอดเวลา พร้อมกันนี้ นาย วันมูหะมัดนอร์ มะทา ยังย้ำให้ผู้บริหารและสมาชิกภูมิใจความเป็น 'ประชาชาติ' และบุคคลที่ประชาชนเลือก หรือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของประชาชาติ ต้องกล้าหาญที่จะสะท้อนปัญหา หรือ สาระทุกข์สุขดิบของประชาชน มีความองอาจที่จะตรวจสอบรัฐบาลตามภารกิจหน้าที่และต้องคิดถึงประชาชนเป็นสำคัญ


พรรคประชาชาติ เป็นพรรคที่ประกอบด้วยสมาชิกต่างชาติพันธุ์ หลากหลายวัฒนธรรม แต่เรามีอุดมการณ์ร่วมกัน คือ การเห็นคุณค่าของความเป็นมนุษย์และเชื่อว่าทุกคนมีค่ามีความหมายมีความดีงาม ตลอดจน มีความปรารถนาดีที่จะอยู่ร่วมกันอย่างเข้าอกเข้าใจกัน เห็นคุณค่าของความแตกต่าง มีการแบ่งปันพึ่งพาและพร้อมที่จะร่วมกันสร้างสังคมสันติสุข

     
นาย วันมูหะมัดนอร์ มะทายังได้ยกตัวอย่างปรากฏการณ์ที่หดหู่ไว้ 3  ประการ ประกอบด้วยประการที่หนึ่ง  พรรคการเมืองก่อนวันเลือกแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายที่ไม่เอาพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีและฝ่ายที่มีนโยบายเสนอ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี แต่หลังเลือกตั้งมีพรรคการเมืองจำนวนหนึ่งที่เคยปฏิเสธ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา และได้รับการเลือกตั้งเป็นกอบเป็นกำได้ลงมติสนับสนุน พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี โดยไม่แถลงเหตุผลต่อประชาชนและปรากฏการณ์นี้ถือเป็นปรากฏการณ์ที่ 'ไร้สัจจะและบกพร่องทางจริยธรรม'  สร้างความคับข้องใจและสับสนให้แก่ประชาชน ประการที่สอง พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชาผู้รับสนองพระบรมราชโองการประกาศใช้รัฐธรรมนูญปี 2560 และได้รับโปรดเกล้าเป็นนายกรัฐมนตรีได้กล่าวคำถวายสัตย์ไม่ครบถ้วนตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด แต่เลือกที่จะหยิบและอ่านข้อความที่เขียนใส่กระเป๋าเสื้อตัวเองมาอ่านและเป็นข้อความที่ไม่เหมือน หรือ แตกต่างจากที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญและเมื่อมีคนทักท้วงกลับไม่แยแส ไม่สนใจ หรือ ไม่ตอบข้อสงสัยและการประพฤติตนของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถือว่าเป็น 'ประชาธิปไตยนอกนอกรัฐธรรมนูญ' เพราะผู้นำไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ประการที่สาม พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้นำที่มีลักษณะปกปิดซ่อนเร้นเลื่อนลอย เช่นไม่มีความชัดเจนเรื่องคุณสมบัติว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐและยังแถลงนโยบายต่อรัฐสภาโดยไม่แสดงที่มาของงบประมาณตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ กล่าวคำถวายสัตย์ไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญและขัดสาระสำคัญ มักแสดงอารมณ์เพื่อกลบเกลื่อนเบี่ยงเบนประเด็น เลี่ยงความจริงและปรากฏการณ์ เช่นนี้ สามารถเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า'ประชาธิปไตยมืดคล้ำจริยธรรมอำพราง'

     
นอกจากนี้ นาย วันมูหะมัดนอร์ มะทา ยังกล่าวด้วยว่า ได้มีเหตุการณ์หนึ่งที่ไม่สมควรเกิดขึ้น แต่เกิดขึ้นแล้ว กล่าวคือ เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2562 ซึ่งเป็นวันที่หัวหน้าพรรคฝ่ายค้านทั้ง 7 พรรค ได้รวมตัวกันจัดกิจกรรมพบพี่น้องประชาชน ณ จังหวัดปัตตานีและในที่สุดได้มีทหารกลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นตัวแทนของ กอ.รมน.ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าได้เข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจณสถานีตำรวจภูธรเมืองปัตตานี พร้อมทั้ง กล่าวหาว่า การปราศรัยบนเวทีในวันที่ 28 กันยายน 2562 เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายอาญามาตรา 116 ซึ่งหมายถึง การยุยง ปลุกปั่นให้เกิดความไม่สงบ กระด้างกระเดื่องเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของชาติและความผิดนี้ท้ายที่สุดอาจจะต้องติดคุก หรือ ประหารชีวิต หรือ จะเป็นประการใดไม่มีใครรู้และพรรคประชาชาติไม่ต้องการให้เหตุการณ์ ข้างต้น จบ หรือ ลงเอยเหมือนกับ 'ท่านหะยีสุหลง' นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยชาวปัตตานีที่ถูกข้อหากล่าวหาว่า เป็นกบฏจากการที่เรียกร้องความเสมอภาค เสรีภาพทางศาสนาและการศึกษา อีกทั้ง ถูกเรียกไปชี้แจงและหายสาบสูญไปพร้อมกับผู้ติดตามเป็นเวลา 60 ปีแล้ว แต่ยังหาศพท่านไม่พบ


เหตุการณ์เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2562 ทำให้ประชาชนที่สนับสนุนพรรคฝ่ายค้านตกใจกลัว แต่ในขณะเดียวกันก็ได้สร้างความฮึกเหิมให้กับฝ่ายเผด็จการ เพราะได้สร้างให้เกิดความหวาดกลัวจากการแจ้งความอันเป็นเท็จ แต่อย่างไรก็ตาม พรรคฝ่ายค้าน 7 พรรค ก็มีจุดยืน พร้อมทั้ง ได้แจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐฐานแจ้งความเท็จไว้ด้วยและในฐานะที่เป็นเจ้าของบ้าน นาย วันมูหะหมัดนอร์ มะทา ได้กล่าวว่ารู้สึกอับอายที่เพื่อนฝ่ายประชาธิปไตยไปเยี่ยมบ้าน ไปพูดถึงเรื่องประชาธิปไตย เรื่องรัฐธรรมนูญ แต่ได้รับข้อหา หรือ คดีกลับบ้านไปเป็นของฝากทดแทนการกลับไปและไปบอกกับเพื่อนๆและครอบครัว ว่า สามจังหวัดใต้น่าอยู่ คนน่ารักและน่าไปเที่ยว แต่การกระทำ ข้างต้น ทำให้คนภูมิภาคอื่นๆเข้าใจว่าพื้นที่สามจังหวัดเป็นพื้นที่น่าเป็นห่วง หรือ เป็นพื้นที่หวงห้าม เป็นเขตของการค้าความขัดแย้ง คนภายนอกห้ามไปเยี่ยมเยือน หรืออาจจะหมายรวมถึงว่า พวกประชาธิปไตยห้ามเข้าสาม จังหวัด เพราะกลายเป็นพื้นที่ที่ถูกแบ่งแยกและถูกปกครองเป็นพิเศษ มีการใช้กฎหมายหลายฉบับที่ไม่ใช้ในพื้นที่อื่นของประเทศและการกระทำ ดังกล่าว  ถือเป็นการกดหัวประชาชนและหลายคนถูกกล่าวหาว่า เป็น 'พวกแบ่งแยกดินแดน' ซึ่งเป็นวาทกรรมของคนที่ชอบ 'เอาดีใส่ตัวเอาชั่วให้คนอื่น' และการใช้กฎหมาย หรือ กระบวนการยุติธรรมและเงื่อนไขพิเศษที่ปฏิบัติต่อประชาชนในสามจังหวัดภาคใต้ถือเป็นการแยกพื้นที่ของสามจังหวัดภาคใต้ออกจากพื้นที่อื่นๆของประเทศ

     
อนึ่ง เรามีรัฐธรรมนูญ มีการเลือกตั้ง มีกฎหมาย มีศาล มีสภาไว้อ้างความชอบธรรม แต่ในทางปฏิบัติ เรามีบรรยากาศทางการเมืองที่มีลักษณะเป็น 'แบบเผด็จการ' ข้อบัญญัติทั้งหลาย มีไว้บังคับประชาชนบางจำพวก บางกลุ่มที่ไม่ใช่ฝ่ายตน แต่หากเป็นฝ่ายตนจะใช้สิทธิ์เหนือระเบียบ หรือ กติกาซึ่งขัดกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 4 ที่ระบุไว้ว่า 'ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิ เสรีภาพและความเสมอภาคของบุคคลย่อมได้รับความคุ้มครอง ประชาชนชาวไทยย่อมได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญเสมอกัน' 
       
'การที่มีผู้พิพากษาจังหวัดยะลารายหนึ่งยิงตัวเองหน้าบัลลังก์ศาลเพื่อประท้วงกระบวนการยุติธรรมที่ถูกแทรกแซงคำวินิจฉัยเป็นเหตุการณ์หนึ่งบ่งบอกถึงความดำมืดในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ต้องได้รับการแก้ไข'


นอกจากนี้ นาย วันมูหะมัดนอร์ มะทา ยังได้ระบุว่า พรรคประชาชาติ ยังได้เสนอนโยบายเพื่อสร้างสรรค์ หรือ ฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมของประเทศทั้งในระยะสั้นและระยะยาว พร้อมกับยกตัวอย่างข้อเสนอซึ่งถือว่าเป็นวาระแห่งชาติที่สำคัญสำคัญไว้รวม 5 ประการ อาทิ การขุดคลองไทยเชื่อมทะเลอันดามันกับอ่าวไทย การบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตรและการอุปโภคบริโภคทั่วประเทศและในเบื้องต้นได้ให้ความสำคัญ หรือ เน้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นวาระเร่งด่วน  การกระจายอำนาจสู่การปกครองท้องถิ่นทุกระดับ การแก้ไขปรับปรุงกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมและทันสมัย การเยียวยาเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ให้เท่าเทียมกับประชาชนในภูมิภาคอื่น เป็นต้นเพื่อแก้ปัญหาของชาติ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
   
นอกจากนี้ พรรคประชาชาติยัังไม่เห็นด้วยกับมาตรการแก้ไขเศรษฐกิจระยะสั้นของรัฐบาล เช่น โครงการชิมช็อปใช้ เพราะไม่ได้แก้ปัญหาให้ถูกจุด
     
อนึ่ง พรรคประชาชาติ เป็นพรรคการเมือง ที่คำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชน สิ่งใดที่เป็นประโยชน์ พรรคประชาชาติจะให้การสนับสนุน แต่สิ่งใดที่ไม่เป็นประโยชน์ พรรคประชาชาติและพรรคฝ่ายค้านในฐานะที่เป็นผู้แทนของประชาชนก็ต้องตั้งข้อสังเกต หรือ คัดค้านและต้องกระตุก หรือ กระตุ้นให้รัฐบาลกระทำให้เป็นไปอย่างถูกต้องและการเป็นฝ่ายค้านมิได้หมายความว่าเป็น 'ผู้แพ้' แต่เรามีหน้าที่ที่ต้องทำเพื่อประชาชนและต้องเคารพกฎกติกา เคารพคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนว่า เรา (พรรคฝ่ายค้าน) จะดำเนินการทางการเมืองโดยไม่สนับสนุนพวกสืบทอดอำนาจและพร้อมที่จะทำงานกับทุกฝ่ายเพื่อรักษาผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชน ตามอุดมการณ์และจุดยืนของพรรคการฝ่ายประชาธิปไตยและพรรคประชาชาติ" นาย วันมูหะมัดนอร์ มะทา กล่าวในที่สุด


"อนุสรณ์" เผยงบกองทัพไทย ขาดเป้าหมายรับมือสงครามการค้า


นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ขอให้ผบ.เหล่าทัพเตรียมพร้อมชี้แจงงบฯของแต่ละเหล่าทัพ เพราะอาจจะโดนหนักหน่อย เนื่องจากตนเป็นนายกฯมาจากทหาร ว่า ไม่แน่ใจว่าพล.อ.ประยุทธ์ เข้าใจผิด หรือสื่อสารไม่ครบ การตรวจสอบปรับลดงบประมาณ ไม่ได้หนักหรือไม่หนัก จากการมีนายกฯมาจากทหารหรือพลเรือน สาระสำคัญของการพิจารณางบประมาณ คือการตรวจสอบการจัดสรรงบประมาณให้กับหน่วยงานต่างๆ อย่างเหมาะสมและเอื้อต่อการเสริมศักยภาพการแข่งขันของประเทศ งบกระทรวงกลาโหมหรืองบของกองทัพติดอยู่ในอันดับที่ได้รับการจัดสรรเงินงบประมาณสูงมาโดยตลอด จะให้แข่งกันทำลายสถิติพิจารณาเร็วขึ้นทุกปีเหมือน 5 ปีที่ผ่านมาคงไม่ได้ ตัวเลขการจัดสรรงบประมาณปี 2563 พบว่า ยังขาดเป้าหมายหรือยุทธศาสตร์เชิงรุกในการรับมือกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและผลกระทบจากสงครามการค้า ขาดการรับมือความท้าทายของการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี งบประมาณปี 2563 ไม่ได้มุ่งแก้ปัญหาสำคัญของประเทศ โดยเฉพาะปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ การลดการผูกขาด เพิ่มการแข่งขัน ปัญหาความถดถอยของความสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนความยากลำบากทางเศรษฐกิจและหนี้สินของประชาชนระดับฐานราก

"แทบทุกประเทศ ต่างเตรียมการรับมือผลกระทบจากสงครามการค้า แต่การจัดทำงบประมาณของกระทรวงกลาโหมและเหล่าทัพ ยังคงวนเวียนอยู่กับการสร้างความเข้มแข็งของกองทัพ มากกว่าการเอาตัวรอดทางเศรษฐกิจของประเทศ" นายอนุสรณ์ กล่าว

"เพื่อไทย" ซัดรัฐบาลไร้ประสิทธิภาพ หลังปธน.สหรัฐฯปฎิเสธคำเชิญประชุมอาเซียน

รองโฆษกเพื่อไทย ซัดรัฐบาลไร้ประสิทธิภาพ หลังปธน.สหรัฐฯปฎิเสธคำเชิญเข้าประชุมอาเซียน


นางสาว สรัสนันท์ อรรณนพพร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จ.ขอนแก่น และ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ได้ให้สัมภาษณ์ถึง การที่ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาปฎิเสธคำเชิญเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำ ASEAN Summit 2019 ที่ไทยเป็นเจ้าภาพว่า เป็นการหักดิบความสัมพันธ์การต่างประเทศระหว่างไทย และ สหรัฐฯ

โดย น.ส. สรัสนันท์ ได้กล่าวถึงเหตุการณ์นี้ว่า “การที่นายโดนัล ทรัมป์ เซ็นระงับสิทธิทางภาษีนำเข้า GSPนั้น ได้ส่งผลกระทบต่อสินค้าไทยหลายร้อยรายการอย่างมีนัยยะสำคัญ และต่อด้วยการปฎิเสธคำเชิญเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำ ASEAN Summit 2019 ที่เป็นเจ้าภาพ เป็นการบ่งบอกถึงสัญญาณที่ทางสหรัฐฯไม่ได้ให้น้ำหนักกับประเทศไทยเหมือนเคย ถือว่าเป็นการหักดิบความสัมพันธ์การต่างประเทศ

“แม้การเซ็นระงับสิทธิทางภาษีนำเข้า GSP กับประเทศไทยนั้น อาจมาจากหลายๆปัจจัย เช่น นโยบาย America First ที่มุ่งเน้นการปรับดุลการค้าที่ขาดดุลมาตลอดระยะเวลาหลายสิบปี แต่ก็อาจมาจากจุดยืนด้านการต่างประเทศ ที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์แลดูให้ความสำคัญกับประเทศจีนเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการเซ็นโครงการเมกะโปรเจค ที่เอื้อแก่กลุ่มเจ้าสัว และรัฐบาลจีน หรือการปล่อยให้ Alibaba เข้ามาทำกิจการอย่างง่ายดายโดยไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบอื่นๆ  ส่งผลให้อุตสาหกรรมไทยขนาดเล็ก หลายพันบริษัท ต้องประสบสภาวะขาดทุน ซึ่งสวนทางกับรัฐบาลที่เคยพูดว่า ให้ความสำคัญกับการสร้างธุรกิจ ecommerce แต่ที่สำคัญกว่ารัฐบาลไทยดูท่าจะไม่มีแนวทางรองรับกับผลกระทบที่กำลังจะตามมาเป็นระลอกจากการแย่งชิงอำนาจระหว่างสองประเทศมหาอำนาจ”

ดังนั้นการที่นายโดนัล ทรัมป์ เลือกที่จะไม่มาร่วมการประชุม ซึ่งต่างกับทุกๆครั้งที่ผู้นำสูงสุดของประเทศจะต้องมาร่วมเอง แต่เลือกที่จะส่ง นายโรเบิร์ต โอบราเอน ซึ่งเป็นผู้ช่วยด้านความมั่นคง ในฐานะทูตแต่งตั้งพิเศษพร้อมรัฐมนตรีการพาณิชย์ เป็นการกระทำที่ทำให้เห็นชัดเจนว่าสหรัฐอเมริกากำลังใช้ไม้แข็งกับรัฐบาลไทย

"หมวดเจี๊ยบ" ดักทางรัฐ อย่าซื้ออาวุธต่อรอง GSP กับสหรัฐ

รัฐบาลประยุทธ์ควรหยุดโกหกได้แล้ว เพราะสาเหตุหลักที่สหรัฐตัด GSP ไทยเป็นเพราะ AFL-CIO ร้องเรียนว่ารัฐบาลประยุทธ์ไม่คุ้มครองสิทธิแรงงานชาวไทย มีทั้งปล่อยให้แกนนำสหภาพรัฐวิสาหกิจการรถไฟ ถูกหักเงินเดือนเหลือเงินกินข้าวแค่เดือนละ 270 บาท เป็นเวลา 10 ปี และบางคนโดนริบเงินบำนาญ เพื่อชดใช้ค่าเสียหาย 25 ล้านบาท ให้การรถไฟ ฯ เพียงเพราะรณรงค์เรื่องมาตรฐานการทำงานที่ปลอดภัย นอกจากนี้  รัฐบาลยังปล่อยให้มีการจับลูกจ้าง บริษัท มิตซูบิชิอิเลคทริคไปปรับทัศนคติในค่ายทหาร ทั้ง ๆ ที่ ลูกจ้างรวมตัวประท้วงนายจ้างตามสิทธิ  ส่วนเรื่องตั้งสหภาพแรงงานต่างด้าวเป็นแค่ประเด็นรอง เขากล่าวถึงแค่ไม่กี่คำเท่านั้น รัฐบาลประยุทธ์อย่าเบี่ยงเบนประเด็นเพื่อปลุกกระแสคลั่งชาติ และ อย่าฉวยโอกาสขอซื้ออาวุธโดยอ้างว่าเพื่อต่อรองขอ GSP ส่วนที่รัฐบาลอ้างว่าประเทศไทยไม่จำเป็นต้องเหมือนสากลนั้น สงสัยท่านคิดไปเองฝ่ายเดียว เพราะคนไทยส่วนใหญ่อยากมีคุณภาพชีวิตที่ดีทัดเทียมสากล


ร.ท.หญิง สุณิสา ทิวากรดำรง รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องหยุดโกหกประชาชน อย่าอ้างมั่วๆ ว่า สหรัฐตัด GSP สินค้าไทยเพราะไทยไม่ยอมให้แรงงานต่างด้าวตั้งสหภาพแรงงาน เพราะนั่นไม่ใช่ประเด็นหลักที่รัฐบาลประยุทธ์ถูกร้องเรียน แต่ข้อร้องเรียนหลัก ๆ ของ สมาพันธ์แรงงานและสภาอุตสาหกรรมแรงงานสหรัฐฯ หรือ AFL-CIO คือ การที่ รัฐบาลประยุทธ์ ไม่คุ้มครองสิทธิแรงงานและลูกจ้างชาวไทย โดยเฉพาะกรณี ปล่อยให้แกนนำสหภาพรัฐวิสาหกิจการรถไฟ 7 คน ถูกหักเงินเดือน จนบางคนเหลือเงินกินข้าวแค่เดือนละ 270 บาท เป็นเวลา 10 ปี ในขณะที่บางคนที่เกษียณไปแล้วกูถูกริบเงินบำนาญ เพื่อชดใช้ค่าเสียหายและดอกเบี้ย รวม 25 ล้านบาท ให้การรถไฟ ฯ เพียงเพราะแกนนำสหภาพฯการรถไฟ รณรงค์เรื่องมาตรฐานการทำงานที่ปลอดภัย ซึ่งเป็นประโยชน์สาธารณะ ไม่ได้เรียกร้องประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งเริ่มโดนหักเงินเดือนตั้งแต่ พ.ย 2018 ดังนั้นห้ามโทษรัฐบาลยิ่งลักษณ์ นอกจากนี้  รัฐบาลยังปล่อยให้มีการจับลูกจ้าง บริษัท มิตซูบิชิ อิเลคทริคไปปรับทัศนคติในค่ายทหาร ทั้ง ๆ ที่ ลูกจ้างรวมตัวประท้วงนายจ้างตามสิทธิ ดังนั้น รัฐบาลประยุทธ์ไม่ควรปลุกกระแสคลั่งชาติ โดยอ้างว่าเป็นเรื่องการบีบให้ไทยยอมรับการจัดตั้งสหภาพแรงงานต่างด้าว เพราะนั่นไม่ใช่สาระสำคัญของคำร้องทุกข์ของ องค์กร AFL-CIO รัฐบาลประยุทธ์ไม่ควรบิดเบือนความจริงแล้วปลุกกระแสคลั่งชาติเพื่อกลบเกลื่อนความผิดของตนเอง แต่ควรนำตำหนิเหล่านั้นมาเป็นแนวทางปรับปรุงการคุ้มครองสิทธิของประชาชนทุกสาขาอาชีพ เพื่อไม่ให้ต่างชาติใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างเพื่อกีดกันทางการค้าของประเทศไทยด้วย

ส่วนที่ คนในรัฐบาลบอกว่าประเทศไทยไม่จำเป็นต้องเป็นเหมือนสากลนั้น สงสัยพวกท่านคงคิดไปเองฝ่ายเดียว เพราะคนไทยส่วนใหญ่ต้องการให้รัฐบาลเอาภาษีที่เก็บไปมาใช้ดูแลสวัสดิการประชาชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีทัดเทียมมาตรฐานสากล

และอยากถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่อายต่างชาติ งั้นหรือ ที่ท่านดูแลแรงงานไทยไม่ดีจนเขาต้องไปขอความช่วยเหลือจากสหรัฐผ่านขบวนการแรงงานสากลต่าง ๆ เพื่อให้ช่วยกดดันรัฐบาลไทยอีกต่อหนึ่ง แผลว่ารัฐบาลประยุทธ์ไม่สามารถเป็นที่พึ่งให้เขาได้ เพราะเขาเจรจากับรัฐบาลหลาวครั้งแล้วแต่ไม่ได้รับการเหลียวแล

และหวังว่า รัฐบาลประยุทธ์จะไม่ใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างเพื่อหาเรื่องซื้ออาวุธ โดยอ้างว่าจำเป็นต้องต่อรองขอ GSP จากสหรัฐ เพราะขณะนี้ พรรคเพื่อไทยได้รับรายงานจากกรรมาธิการฯ ที่กำลังพิจารณาแปรญัตติ ร่าง พรบ.งบประมาณรายจ่าย พ.ศ 2563 ว่าการจัดงบประมาณ มีลักษณะน่าสงสัย เช่น ตั้งงบประมาณหลายหมื่นล้านบาท ไปแขวนไว้เป็นงบกองทุนที่ไม่มีการระบุแผนงานโครงการที่ชัดเจนจึงตรวจสอบไม่ได้ และยังมีการจัดงบในแผนบูรณาการที่สามารถโยกไปใช้ข้ามกระทรวงได้ ซึ่งอาจเปิดช่องให้รัฐบาลสามารถเปลี่ยนวัตถุประสงค์ในการใช้เงินได้ง่าย จึงน่ากลัวว่าจะนำไปใช้ซื้ออาวุธโดยอ้างว่าเพื่อต่อรองผลประโยชน์ทางการค้าหรือไม่ ดังนั้น รัฐบาลควรพูดให้ชัดว่า ที่รองนายกฯ วิษณู เครืองาม บอกว่าจะเอาบางเรื่องไปต่อรองกับสหรัฐเรื่อง GSP นั้น ใช่การเสนอซื้ออาวุธจากอเมริกาหรือไม่? ซึ่งหวังว่าจะไม่มีการใช้เวทีการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออกที่จะจัดขึ้นที่ไทย ในช่วงต้นเดือน พ.ย นี้ เป็นเวทีตกลงซื้อขายอาวุธ ทั้ง ๆ ที่ คนไทยจำนวนมากทยอยฆ่าตัวตายหนีหนี้ก็แล้วกัน

“วิสาร” ชี้มหาดไทยแจงงบไม่เคลียร์ จ่ออภิปรายไม่ไว้วางใจ

“วิสาร” ชี้มหาดไทยแจงงบประมาณไม่เคลียร์ จ่ออภิปรายไม่ไว้วางใจ



นายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมาธิการป้องกันและบรรเทาผลกระทบจากภัยธรรมชาติและสาธารณภัย สภาผู้แทนราษฎร พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย พร้อมคณะ เดินทางมาตามคำเชิญของคณะกรรมาธิการ โดยชี้แจงข้อมูลเกี่ยวกับกรณีการใช้งบประมาณ จำนวน 15,800 ล้านบาท เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วม

การขี้แจงของพลเอกอนุพงษ์ถือว่าชี้แจงได้ในระดับหนึ่งและยืนยันว่าการใช้จ่ายงบประมาณของกระทรวงมหาดไทยโปร่งใสไม่มีปัญหาคอรัปชั่น ส่วนกรณีการใช้จ่ายงบประมาณ 15,800 ล้านบาทที่มีปัญหาจ่ายเงินไม่เหมาะสมนั้น กระทรวงหมาดไทยอ้างว่าเป็นเรื่องที่สำนักงบประมาณดำเนินการทางกระทรวงมหาดไทยแค่ทำเรื่องของบประมาณเท่านั้นไม่ได้เป็นผู้กำหนดว่าจังหวัดไหนควรได้เท่าไหร่ รวมทั้งใกล้สิ้นปีต้องเร่งใช้จ่ายงบประมาณ

นาย วิสาร กล่าวด้วยว่า ทางคณะกรรมาธิการจะเร่งตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณของกระทรวงมหาดไทยอย่างเข้มงวดต่อไป โดยเฉพาะโครงการถนนพาราซอยซีเมนต์ที่กระทรวงมหาดไทยมีการกันงบประมาณไว้หลายพันล้านบาท เพราะในความเป็นจริงถนนพาราซอยซีเมนต์ใช้งานไม่ได้และไม่เหมาะสมกับงบประมาณ

“ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจกระทรวงมหาดไทยคงจะเป็นหนึ่งในกระทรวงที่พรรคร่วมฝ่ายค้านจะยื่นอภิปรายอย่างแน่นอน เพราะการใช้จ่ายงบประมาณหลายโครงการ การตอบคำถามกรรมาธิการเกี่ยวกับการใช้จ่ายงบประมาณไม่ชัดเจนในหลายประเด็น” นายวิสารกล่าว

"อนุสรณ์" แนะ "ประยุทธ์" สอบคนใกล้ตัว ก่อนตั้งศูนย์ต้านข่าวปลอม

"อนุสรณ์" แนะ "ประยุทธ์" สอบคนใกล้ตัว ก่อนตั้งศูนย์ต้านข่าวปลอม


นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ขอให้ประชาชนช่วยกันแจ้งข่าวปลอมเข้ามา จะได้สอบสวนสืบสวนหาต้นตอ แก้ปัญหาตั้งแต่ต้นทางโดยเร็วที่สุด ว่า เพื่อพิสูจน์ความจริงใจในเรื่องการต่อต้านข่าวปลอม พล.อ.ประยุทธ์ ควรเริ่มต้นโดยการตั้งกรรมการสอบสวน พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ที่ถูกร้องเรียนประพฤติมิชอบ ไม่เป็นกลางทางการเมือง ทั้งในเวลาราชการปกติ และในระหว่างมีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้ง เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการเมืองให้กับพรรคพลังประชารัฐ หากกระทำเช่นนั้นจริง จะถือว่ากรมประชาสัมพันธ์ ภายใต้การนำของพล.ท.สรรเสริญ คนใกล้ชิดของพล.อ.ประยุทธ์ เป็นต้นตอของการผลิตและเผยแพร่ข่าวปลอมเสียเองหรือไม่ รวมถึงการใช้งบประมาณ 25,166,800 ล้านบาท ในการจัดซื้อจัดจ้างการก่อสร้างอาคารฝ่ายนิทรรศการและศิลปกรรม โดยใช้งบประมาณอย่างเร่งรีบ ราคากลางไม่เหมาะสม พบจุดชำรุด ไม่สามารถใช้งานได้ ซึ่งไม่เป็นไปตามแบบการก่อสร้าง รวมถึงตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์รับเงินจากบริษัท เอส จี อาร์ เอนเตอร์ไพร์ส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้รับจ้าง เพื่อเร่งรัดให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำเรื่องเบิกจ่าย หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องทำเรื่องนี้ให้กระจ่างด้วยตัวเอง เพราะถ้าไม่ทำเช่นนั้น จะไปเรียกความเชื่อมั่นมาจากไหน อย่าปล่อยให้คณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ ป.ป.ช. สภาฯ ทำหน้าที่เพียงฝ่ายเดียว พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ต้องดำเนินการอย่างตรงไปตรงมาในเรื่องนี้

“อย่าให้ประชาชนเข้าใจว่า ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมนี้ ตั้งขึ้นมาเพื่อกำจัดฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง แต่ถ้าเป็นพวกพ้อง ฝ่ายเดียวกันกับรัฐบาล ทำข่าวปลอมขึ้นมาเสียเองแล้วตัวเองเป็นฝ่ายได้ประโยชน์ ไม่มีความผิด การตรวจสอบควรทำอย่างเสมอภาคเท่าเทียม ”  นายอนุสรณ์ กล่าว

"วัฒนรักษ์" แนะ "ประยุทธ์" พัฒนาครัวไทยสู่ครัวโลก แก้ปัญหาเศรษฐกิจ

"ผู้กองมาร์ค" แนะ "ประยุทธ์" เร่งเข้าใจและแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ โดย พัฒนาครัวไทยสู่ครัวโลก 


ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช เลขานุการกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการควบคุมการใช้สารเคมีในภาคอุตสาหกรรม สภาผู้แทนราษฎร และอดีตผู้สมัครส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจรัฐบาล ได้กำชับว่าในที่ประชุม ครม.เศรษฐกิจ ว่า “สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรทางการค้า (จีเอสพี) เป็นเรื่องที่เขาให้สิทธิประโยชน์เรื่องของภาษีศุลกากรกับประเทศกำลังพัฒนา หมายความว่า การให้สิทธิประโยชน์ดังกล่าวเหมือนการช่วยเหลือให้ประเทศกำลังพัฒนามีศักยภาพในการแข่งขันบนเวทีโลก และไม่เกี่ยวข้องกับการที่สหรัฐตัดจีเอสพีประเทศไทย เพราะประเทศไทยแบนสารพิษ”  นั้น ถือว่าเป็นการเดินมาถูกทางแล้ว แต่สำหรับการแก้ไขปัญหาเศรฐกิจ และชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนคนไทย ควรเป็นเรื่องสำคัญที่ควรแก้ไขอย่างเร่งด่วน ซึ่งจากการที่พล.อ.ประยุทธ์ฯ เป็นนายกรัฐมนตรี มากว่า 5 ปี และได้จัดสรรงบประมาณเพื่อซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ถ่านหิน 1.5 แสนตัน และอื่น ๆ อีกมากมายนั้น ถือว่าเป็นการสนับสนุน “ประธานาธิบดีดอนัลด์ ทรัมป์” หรือไม่ และประเทศไทยได้ประโยชน์อะไร ในขณะที่ประเทศของเรายังไม่มีวี่แววการทำสงคราม ในขณะที่ทั่วโลกกำลังพัฒนาใช้พลังงานสะอาด ประเทศไทยกลับประสบกับปัญหาฝุ่นพิษหนักหนายาวนานมาถึง 3 ปี ถึงเวลาแล้วหรือไม่ที่เราควรจะลดการสร้างฝุ่นพิษ PM10 PM2.5 และน้องใหม่ PM1

ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ฯ กล่าวต่ออีกว่า การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจควรดำเนินการให้เป็นขั้นตอนและแบ่งตามความเร่งด่วนโดยระยะสั้นนั้นควรต้องเร่งเจรจาให้สหรัฐคืนสิทธิจีเอสพีให้กับประเทศไทยโดยเร็วที่สุด ระยะกลางคือประเทศไทยเองก็ต้องพิจารณาการเปิดการค้าเสรีเพื่อให้เรามีผลประโยชน์มากกว่า กับประเทศอื่น ๆ โดยขยายการลงทุน และการส่งออกให้เป็นระบบมาตรฐานสากล  ส่วนการแก้ไขปัญหาระยะยาว ควรปรับเปลี่ยนจากยุคของผู้เชี่ยวชาญมาสู่ยุคของ Big Data โดยรัฐบาลควรสนับสนุนเรื่องปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) ให้เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อที่จะช่วยให้คนไทยเข้าใจความต้องการของตลาดโลกอย่างถูกต้องและแม่นยำ ไม่ตกทิศทางในการพัฒนาสู่ตลาดโลก โดยเน้นส่งเสริมและสนับสนุนให้คนไทยสามารถค้าขายสินค้าได้ทั่วโลก

ประเทศไทยเราอาจไม่ใช้ผู้ผลิตหุ่นยนต์ แข่งกับประเทศมหาอำนาจ ดังนั้น สิ่งที่เราควรพัฒนาอย่างเร่งด่วนและยั่งยืนเพื่อยกระดับให้ได้มาตรฐานสากล คือการพัฒนาสิ่งที่เรามีอยู่แล้วเพื่อพัฒนาให้เป็นไปในทิศทางที่ยั่งยืนและมั่นคงให้กับประเทศชาติ โดยควรพัฒนาการท่องเที่ยวให้มีความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย และเราควรมาคิดว่าทำอย่างไรให้อาหารไทยเป็นอาหารที่มีคุณภาพของโลก โดยทำให้ประเทศไทย เป็น HUB ของแหล่งผลิตอาหารปลอดภัยของโลก ซึ่งนโยบายเหล่านี้สามารถประสบความสำเร็จได้ อยู่ที่การบริหารจัดการให้เป็น โดยเราควรเน้นในเรื่องของ อาหารไทย เพราะอาหารไทยเรามีชื่อเสียงอันดันต้น ๆ ของโลกอยู่แล้ว เราควรต้องสร้างเรื่องราว (Story) ให้กับพืช ผัก ผลไม้ ให้เป็นพืชผักที่ปลอดสารพิษ และพัฒนาไปสู่อาหารคลีน (Clean Food)   และควรส่งเสริมในเรื่องของการ “พัฒนาครัวไทยสู่ครัวโลก” ซึ่งเป็น เหมือนดังโครงการของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ และจะส่งผลดีต่อทั่วทุกภาคทั้งการเกษตรอินทรีย์ ภาคการประมง การส่งออก และอื่น ๆ

เกษตรอินทรีย์อยู่ไหน? "ชวลิต" ติงรัฐหาสารเคมีทดแทน 3 สารพิษ

"ชวลิต" ท้วง "เฉลิมชัย" หาสารเคมีทดแทน 3 สารพิษ ไหนว่าจะทำเกษตรอินทรีย์ 1 ล้านไร่?


นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส. นครพนม ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการพิจารณาแนวทางควบคุม
การใช้สารเคมีในภาคเกษตรกรรม สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมาธิการ ฯ ในวันนี้สรุปว่า
         
1. กมธ.ขอคัดค้านคำสั่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ทึ่ 2300/2562 ลงวันทึ่ 25 ตุลาคม 2562 เรื่อง. แต่งตั้งคณะทำงานพิจารณาแนวทางช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากการยกเลิกใช้สารเคมีทางการเกษตร 3 ชนิด โดยคณะทำงานดังกล่าวมีปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานคณะทำงาน ร่วมกับคณะทำงาน รวม 17 ท่าน โดยให้มีอำนาจ หน้าที่ รวม 6 ประการ และหนึ่งในอำนาจหน้าที่นั้น คือ ศึกษา รวบรวมข้อมูล ฯลฯ และสารเคมีทดแทน ฯลฯ
     
คณะ กมธ.ได้ร่วมกันพิจารณาอย่างกว้างขวางแล้ว ไม่เห็นด้วยกับแนวทางการมอบนโยบายการหาสารเคมีทดแทนของนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์  เพราะนอกจากเป็นการหักล้างนโยบายของท่านเองที่เพิ่งประกาศไปเมื่อวันทึ่ 7 ต.ค.62 ที่ผ่านมา ท่านเพิ่งมอบนโยบายแก่ข้าราชการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 3 ประการ เพื่อรองรับการแบน 3 สารเคมีอันตรายร้ายแรง คือ. 
         (1) จะส่งเสริมโครงการเกษตรอินทรีย์ โดยจะพัฒนาให้ได้ถึง 1 ล้านไร่ ในปีนี้
         (2) สั่งการให้ศูนย์วิจัยพืชสวนทั่วประเทศหาสารชีวภาพ ชีวภัณฑ์ทดแทนสารเคมี 3 ชนิด
         (3) เร่งผลักดันกฎหมายเกษตรกรรมยั่งยืน
           
แต่คำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานดังกล่าว กลับให้หาสารเคมีทดแทนการแบนสารเคมี 3 ชนิด ซึ่งก็เป็นสารเคมีเช่นกัน  จึงนับเป็นนโยบายที่ตรงกันข้ามกับโครงการเกษตรอินทรีย์ที่ท่านรัฐมนตรีเพิ่งมอบนโยบายไปอย่างสิ้นเชิง
           
ดังนั้น กมธ.จึงขอคัดค้านนโยบายการใช้สารเคมีทดแทน โดยขอให้แก้ไขคำสั่งดังกล่าวให้มีสาระสนองนโยบายโครงการเกษตรอินทรีย์ให้เป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งก็จะตรงกับความเห็นของ กมธ.ที่จะเสนอให้โครงการเกษตรอินทรีย์เป็นวาระแห่งชาติ และจะตรงกับความเห็นของสังคมที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของเกษตรกรและผู้บริโภคอย่างยิ่งอยู่ในขณะนี้
         
2. กมธ.มีมติให้ส่งความเห็นไปยังรัฐบาลว่า ควรจัดตั้งห้องแล็บ ที่ด่านเชียงของ จ.เชียงราย ภายในวันที่ 1 ธันวาคม 2562 เพื่อสุ่มตรวจผัก ผลไม้ที่นำเข้าจากจีนว่ามีสารเคมีปนเปื้อนเกินค่ามาตรฐานหรือไม่?  และมีสารเคมี 3 ชนิด ที่คณะกรรมการวัตถุอันตรายเพิ่งมีมติแบนไป ว่ามีการปนเปื้อนในผัก ผลไม้ หรือไม่ เพื่อให้สอดคล้องกับมติของคณะกรรมการวัตถุอันตรายดังกล่าว
         
3. ในการประชุมวันนี้ กมธ.ได้เชิญวิทยากรผู้ประสบความสำเร็จในการทำโครงการเกษตรอินทรีย์แปลงใหญ่มาให้องค์ความรู้ ประกอบการจัดทำรายงานของ กมธ. คือ อ.เชาว์วัช หนูทอง ประธานศูนย์เรียนรู้กสิกรรมปลอดสารพิษละโว้ธานี อ.ท่าวุ้ง จ.ลพบุรี และอดีตผู้ว่า ฯ ศักดิ์ สมบุญโต ผู้จัดการสวนสายศร อ.วิหารแดง จ.สระบุรี
           
นอกจากนั้น กมธ.ยังได้เชิญ อ.ปัญญา เหล่าอนันต์ธนา อ.ประจำภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งประสบความสำเร็จในการนำนักศึกษามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ชนะเลิศการแข่งขันหุ่นยนต์ระดับโลก ถึง 4 ปีซ้อน มาให้ความรู้เกี่ยวกับนวัตกรรม เทคโนโลยีการเกษตร เครืองจักรกลการเกษตร เพื่อนำมาใช้ในโครงการเกษตรอินทรีย์ โดยท่านตั้งเป้าหมายจะเผยแพร่องค์ความรู้ไปยังวิทยาลัยอาชีวศึกษาทั่วประเทศเพื่อผลิตขายเกษตรกรในราคาถูก
           
ทั้งหมดทั้งมวลทึ่กล่าวมานั้น จะบรรจุไว้ในรายงานของ กมธ.เพื่อเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป

วันพุธที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2562

"ลดาวัลลิ์" ห่วงชาวนา เผยข้าวแห้งตาย ไม่พอกิน-ขาย


นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะทำงานรับเรื่องราวร้องทุกข์ โพสต์เฟสบุ้ค Ladawan Wongsriwong ชาวนาพะเยาเดือดร้อนหนักข้าวแห่งตาย วอนรัฐบาลสำรวจความเสียหายและช่วยเหลือด่วน โดยมีเนื้อหาดังนี้

#เกี่ยวข้าวทั้งน้ำตา วันนี้ชาวนาทุ่งลอถิ่นทุ่งรวงทองของจังหวัดพะเยาร้องทุกข์มาว่า นาข้าวที่ขาดน้ำฝนหล่อเลี้ยงมาตั้งแต่เริ่มปลูก หน้าฝนก็มีฝนตกน้อยช่วง ก.ค.-ต.ค.เกิดฝนทิ้งช่วง ต้นข้าวไม่สมบูรณ์บางรายข้าวออกรวงแค่ 20% ส่วนหนึ่งต้นข้าวรวงข้าวแห้งตายแล้ว บางส่วนกำลังออกรวงและต้องการน้ำหล่อเลี้ยงด่วน จึงขอเสนอให้สำรวจความเสียหายตามความเป็นจริง แล้วจ่ายชดเชยดอกเบี้ย ธกส.ให้ชาวนาด้วยเพราะปีนี้ข้าวจะไม่พอกินและจะไม่พอขาย เคยขอฝนเทียมก็ไม่เคยได้รับความช่วยเหลือเลย วอนรัฐบาลอย่าทิ้งชาวนา แบ่งงบฯกลาโหมช่วยชาวนาบ้าง

“วรวัจน์” อัดรัฐบาลใช้งบประมาณไม่เหมาะสม

“วรวัจน์” อัดรัฐบาลใช้งบประมาณไม่เหมาะสมติงรัฐเทงบ 200 ล้านซื้ออาคารใหม่ในต่างแดน ไม่สนใจชาวบ้านเดือดร้อน



นายวรวัจน์  เอื้ออภิญญากุล รองประธานคณะคณะกรรมาธิการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 เปิดเผยว่า การพิจารณาการพิจารณางบประมาณของกระทรวงพาณิชย์ ตั้งงบประมาณไว้ 7.5 พันล้านบาท ยังคงมีข้อสงสัยในหลายประการที่ผู้แทนกระทรวงพาณิชย์ตอบคำถามของคณะกรรมาธิการไม่ชัดเจน

โดยกรรมาธิการ ได้ตั้งข้อสังเกตกรณีสำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ ใช้งบประมาณ 203ล้าน เพื่อซื้อที่ดินพร้อมอาคารที่ทำการคณะผู้แทนการค้าไทยถาวรประจำองค์การการค้าโลกและองค์การทรัพย์สินทางปัญญา ที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ว่า คุ้มค่าหรือไม่  เนื่องจากงบประมาณ ปี 2563 เป็นงบประมาณขาดดุล และกู้เงินจากต่างประเทศมาทำงบประมาณเกือบ 5 แสนล้านบาท

ขณะที่อาคารหลังนี้เช่ามาเป็นเวลา 24 ปีแล้ว จึงต้องพิจารณาว่าจะเอางบประมาณซึ่งมาจากการกู้ ไปซื้อจะคุ้มกับค่าดอกเบี้ยและค่าดูแลที่ต้องเสียหรือไม่ เมื่อเทียบกับค่าเช่าที่เช่าอยู่  กรรมาธิการซีกฝ่ายค้านคัดค้านแนวคิดดังกล่าวเพราะเห็นว่าในสภาพที่ประเทศมีหนี้สินที่ต้องกู้เงินมาจ่ายงบประมาณติดต่อกันนานแล้วเป็น 10 ปีและอย่างน้อยจะต้องกู้ไปอีกไม่ต่ำกว่า 10 ปี เป็นการใช้งบประมาณที่ไม่เหมาะสม

นายวรวัจน์ กล่าวด้วยว่า การดำเนินการเรื่องนี้ภายใต้สถานการณ์ของประเทศและประชาชนกำลังเดือดร้อน ขาดรายได้ บริษัทต่างๆปิดกิจการ มีการคาดการณ์ว่าในปีหน้าจะมีคนตกงานอีกไม่น้อยกว่า 500,000 คนจึงเป็นสภาพการณ์ที่ไม่เหมาะสมที่จะใช้จ่ายเม็ดเงินไหลออกไปต่างประเทศ จึงควรกลับไปใช้วิธีการเช่าเหมือนที่เคยทำมาทุกปีก่อน  และนำเงินตรงนั้นมาช่วยเหลือประเทศในการกระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยเหลือประชาชนภายในประเทศ ซึ่งตนได้ขอสงวนคำแปรญัตติเอาไว้พูดกันในสภาเพื่อชี้แจงถึงการตัดเพื่อค้านการดำเนินการของกระทรวงพาณิชย์

"ชาวบ้านจะตายอยู่แล้ว ยังจะใช้เงินแบบนี้อีกขนาดเอาสภาพเศรษฐกิจชาวบ้านมาเปรียบเทียบแล้ว ก็ยังไม่ฟังหากให้ 1 กระทรวง เกรงว่าในอนาคตจะมี อีกหลายหน่วยงาน อาทิ กระทรวงต่างประเทศ หน่วยงานกองทัพ ฯลฯ ของบประมาณเพื่อซื้ออาคารเช่นเดียวกับกระทรวงพาณิชย์" นายวรวัจน์กล่าว

วันอังคารที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2562

“วรวัจน์” ติงตัด GSP กระทบส่งออกหมื่นล้านบาท

 “วรวัจน์” หวั่นตัดGSPกระทบส่งออกหมื่นล้านบาท อัดกระทรวงพาณิชย์เผยเจรจาเหลวไร้มาตรการรับมือ


นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รองประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญ  เปิดเผยว่า การประชุมกรรมาธิการวิสามัญพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563   จะเป็นการพิจารณางบประมาณในส่วนของกระทรวงพาณิชย์ต่อเนื่อง เพราะยังมีอีกจำนวน 11 หน่วยงานและ 1 รัฐวิสาหกิจ โดยเฉพาะกลุ่มงานการค้าต่างประเทศ ทั้งกรมการค้าต่างประเทศ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศเป็นต้น 

ในที่ประชุมกรรมาธิการผู้แทนจากกระทรวงพาณิชย์  เปิดเผยข้อมูลว่า หลังการรัฐประหาร ปี 2557
หลายประเทศ เริ่มดำเนินการตัดสิทธิพิเศษทางภาษี หรือ GSPไทย โดยปี 2558  สหภาพยุโรปหรือ  EU มีการตัด GSPไทย ต่อมาต้นปี2562 ประเทศญี่ปุ่น ก็ตัดGSPไทย

และล่าสุดอเมริกา ก็ตัด GSP ไทย นอกจากนี้ที่ผ่านมามาตราการ เจรจาของรัฐบาลยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ในขณะที่มาตราการช่วยเหลือภาคเอกชน ยังไม่มีความชัดเจน มีแต่การออกมาขอให้ภาคเอกชนปรับตัวลดต้นทุน และปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตเอง และกระทรวงพาณิชย์ คาดว่า ถึงแม้ถูกตัดGSPแต่ก็ไม่มี ผลกระทบกับเกษตรกร

โดยกระทรวงพาณิชย์ ได้ยืนยันในที่ประชุมกรรมาธิการงบประมาณ ว่า ปัญหาจีเอสพี  จะทำให้ประเทศไทยได้รับผลกระทบเพียง 1,800 ล้านบาท ไม่ใช่ 40,000 ล้านบาท อย่างที่มีการวิเคราะห์ออกมาก่อนหน้านี้ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ก็มีมาตรการในการรับมือ แต่ไม่แจ้งรายละเอียดต่อกรรมาธิการ นั่นอาจหมายถึงไม่ได้มีแผนมาตราการแก้ไขเตรียมไว้ และบรรจุในงบประมาณปี 63 ทั้งที่เรื่องนี้ เป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วนที่ควรมีคำตอบให้กับประชาชน

นายวรวัจน์ กล่าวด้วยว่า  ที่ประชุมได้ท้วงติงไปยังกระทรวงพาณิชย์ ว่า จำนวนเงิน 1,800 ล้านบาทดังกล่าวที่กระทรวงพาณิชย์ชี้แจง  อาจเป็นเพียงแค่ส่วนต่างทางภาษี ซึ่งหากจะคำนวณแบบนี้ คงไม่ถูกต้อง เพราะต้องรวมมูลค่าส่งออกในภาพรวมทั้งหมดไปด้วย ดังนั้นการดำเนินการของสหรัฐครั้งนี้อาจจะส่งผลเสียมากกว่าที่หน่วยงานรัฐคาดการณ์ ทั้งนี้คาดว่าผลกระทบจากการส่งออกสินค้าไทยอาจสูงถึงหลักหมื่นล้านบาท

วันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2562

"ชัชชาติ" แนะอ่าน AI Super-Powers เข้าใจปัจจัยของการอยู่รอดในอนาคต ของประเทศไทย

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้


ผมเพิ่งอ่านหนังสือ AI Superpowers ที่เขียนโดย Dr.Kai-Fu Lee จบ ด้วยความรู้สึกที่หนักอื้งในใจว่า แล้วอนาคตของเราจะแข่งขันกับโลกอย่างไร

Dr. Kai-Fu Lee เป็นคนไต้หวันที่ไปเรียนหนังสือที่อเมริกาตั้งแต่อายุ 11 ปี เรียนจบปริญญาเอกด้าน AI (Artificial Intelligence) จากมหาวิทยาลัย Carnegie Mellon เคยทำงานที่ Apple, SGI, Microsoft เป็นประธานบริษัท Google China และ ปัจจุบันเป็นประธานและ CEO ของ Sinovation Ventures บริษัทลงทุนที่เน้นการพัฒนาบริษัทเทคโนโลยีแห่งอนาคตของจีน น่าจะเป็นผู้ทรงอิทธิพลด้าน AI ลำดับต้นๆของจีน

Dr. Kai-Fu Lee อธิบายถึง AI ในประเด็นสำคัญดังนี้

- การพัฒนา AI ว่าในปัจจุบันได้ผ่านขั้นตอนวิจัยที่ยากและเป็นนามธรรม (Abstract) ไปแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการที่ผู้ประกอบการต้องนำ Algorithms มาปรับใช้กับธุรกิจ (ในอเมริกาและจีน 7 บริษัทยักษ์ใหญ่ในยุค AI: Google, Facebook, Amazon, Microsoft, Baidu, Alibaba และ Tencent ได้เดินหน้าใช้ AI กันอย่างเต็มตัวแล้ว)

- เปลี่ยนจาก The Age of Discovery มาเป็น The Age of Implementation คือ เปลี่ยนจากยุคของการค้นคว้าวิจัย มาเป็น ยุคแห่งการประยุกต์ใช้และลงมือทำ (ทำให้ต้องการ AI Engineer มากขึ้น)

- เปลี่ยนจาก The Age of Expertise มาเป็น The Age of Data คือเปลี่ยนจากยุคของผู้เชี่ยวชาญมาสู่ยุคของ Big Data (ทำให้ข้อมูลมีความสำคัญมาก)

- ปัจจัยของความสำเร็จของ AI มีสามอย่างคือ
1) Big Data
2) พลังในการคำนวณ (Computing Power)
3) AI Algorithm Engineer

- อเมริกาและจีน จะแข่งขันกันในการเป็นผู้นำด้าน AI ของโลก โดยจีนมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดจากการกำหนดนโยบายอย่างจริงจังจากทางรัฐบาลและภาคเอกชนมีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงมาก

- เนื่องจาก AI ต้องใช้ข้อมูลจำนวนมาก ดังนั้นการพัฒนาในระยะยาวจะนำไปสู่รูปแบบของการผูกขาด (Monopoly) เพราะยิ่งมีข้อมูลมากยิ่งแข็งแกร่งยิ่งขยายข้อมูลได้มากอีก ทำให้ผู้เล่นรายใหม่แข่งขันได้ยาก มีการคาดการณ์ว่าในปี 2030 AI จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจโลกถึง 15.7 ล้านล้านเหรียญ แต่ 70% ของมูลค่านี้ จะตกไปอยู่กับจีนและอเมริกา ประเทศที่กำลังพัฒนาจะมีความสามารถในการแข่งขันที่ลดลง จุดแข็งเดิมเรื่องแรงงานราคาถูกจะถูกทดแทนด้วยเครื่องจักรฉลาดที่ขับเคลื่อนด้วย AI

- ในอนาคต AI จะทำให้ความเหลื่อมล้ำสูงขึ้น งานในสำนักงานจะถูกทดแทนด้วย Algorithm ของ AI รวดเร็วกว่าแรงงานในโรงงานที่จะถูกทดแทนด้วยหุ่นยนต์ เพราะ AIgorithm ที่จะทำบัญชี คำนวณภาษี วิเคราะห์กฎหมาย ด้วย AI นั้นมีอยู่แล้วและสามารถส่งให้คนใช้ทั่วโลกได้ในทันทีผ่าน Internet โดยไม่เสียค่าส่ง ในขณะที่หุ่นยนต์ต้องใช้เวลาในการผลิต การค้นคว้า โดยเฉพาะกับงานที่มีความละเอียดและไม่แน่นอน เช่นการดูแลคนป่วย การซื้อ จัดส่ง ทดลองใช้ ทำได้ยากกว่า

อ่านที่ Dr.Kai-Fu Lee อธิบายแล้ว จะเห็นว่า บ้านเรายังขาดปัจจัยสำคัญในการนำ AI ไปประยุกต์ใช้สองส่วนคือคือ Big Data กับ AI Algorithm Engineer รวมไปถึงแนวนโบายที่ชัดเจนในการพัฒนา AI ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเตรียมตัวสำหรับอนาคต

มีเรื่องนึงที่ Dr.Kai-Fu Lee ได้เขียนไว้ถึงโลกของ "OMO" หรือ Online-Merge-Offline โดยได้อธิบายว่า AI ทำให้การเชื่อมโยงระหว่าง Online กับ Offline ไร้รอยต่อ ผ่านคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์มือถือต่างๆ

เรื่องนี้ทำให้ผมวาบความคิดนึงขึ้นมาคือ จริงๆแล้ว ชีวิตเรายังขาดของ Offline ไม่ได้ ของส่วนใหญ่ที่เราใช้งาน หรือ จ่ายเงินซื้อมานั้น มันอยู่ในรูปแบบ Offline หรือ เป็น Analog เกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เสื้อผ้า การเดินทาง ที่อยู่อาศัย หรือ ปัจจัยสี่ทั้งหมด ส่วนระบบ Online หรือ Digital นั้น ส่วนใหญ่คือการปรับปรุงขบวนการผลิตของ Offline ให้ดีขึ้น หรือ ช่วยในการค้นหาของที่เราจะบริโภค Offline เช่น การใช้ App หาร้านและสั่งก๋วยเตี๋ยวหมูมาทาน การกินก๋วยเตี๋ยวหมูเป็น Offline แต่การหาและสั่งเป็น Online ถ้าไม่มีคนทำก๋วยเตี๋ยวหมู ระบบ Online ก็ไม่มีความหมาย

ผมคิดว่าปัจจัยของการอยู่รอดในอนาคต ของประเทศไทย อาจจะไม่ใช่การไปผลิต AI หรือ หุ่นยนต์ แข่งกับจีนหรืออเมริกา (ซึ่งคงเป็นไปไม่ได้) แต่เราควร เน้นจุดแข็งของเราที่เป็นส่วน Offline โดยใช้ระบบ Online หรือ เทคโนโลยีที่เหมาะสมในการพัฒนาสินค้า Offline หรือ ตัว Product ให้ดีขึ้น มีความแตกต่างมากขึ้น เช่น การท่องเที่ยวซึ่งเป็นจุดแข็งของบ้านเรา เราต้องเอาเทคโนโลยีต่างๆมาปรับปรุง Supply Chain ของการท่องเที่ยวให้มีความสะดวก ปลอดภัย รวดเร็ว เอา AI มาช่วยในการวิเคราะห์ตลาด หาลูกค้า เอาระบบ Online มาพัฒนาสินค้า Offline ให้เข้มแข็งขึ้น

หนังสือเล่มนี้ดีครับ ช่วยให้เราเข้าใจอนาคตได้ดีขึ้น มีโอกาสลองหามาอ่านกันนะครับ

"ภราดร" แนะสอบ ถนนพาราซอยซีเมนต์

“เพื่อไทย” หวั่นซ้ำรอยงบขุดลอกคูคลอง เผยรัฐเตรียมมอบกองทัพทำถนนพาราซอย

พลโท ภราดร พัฒนถาบุตร ที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า จากสภาวะปัญหายางพารา ที่มีราคาตกต่ำลง รัฐบาลมีนโยบายนำยางพารามาใช้เป็นวัสดุในการก่อสร้างทางหรือพื้นผิวจราจร โดยมีหลายภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการ โดยการส่งเสริมการใช้พาราซอยซีเมนต์ ช่วงที่ผ่านมากระทรวงกลาโหม มีการนำน้ำยางข้นประมาณ 17,913 ตันไปทำถนนพาราซอยซีเมนต์ และสระเก็บน้ำ วงเงินงบประมาณทั้งหมดประมาณ 2,600 ล้านบาท ซึ่งเป็นงบประมาณฉุกเฉินเพื่อแก้ปัญหาราคายางพาราตกต่ำ หวังดูดซับผลผลิตน้ำยางที่ออกสู่ตลาด เชื่อมั่นว่าจะสามารถทำให้ชาวสวนยางที่ขายน้ำยางสด มีรายได้เพิ่มมากขึ้นและกระตุ้นเศรษฐกิจภาคครัวเรือน อย่างไรก็ตามผลการดำเนินการที่ผ่านมาประชาชนในหลายพื้นที่ ร้องเรียนกับส.ส.ของพรรคว่า ถนนพาราซอยซีเมนต์ที่ดำเนินการโดยหน่วยงานของกองทัพ ใช้งานได้ไม่สมบูรณ์พอ งานที่ดำเนินการไม่เกิดการมีส่วนร่วมของภาคประชาชน ไม่กระจายรายได้สร้างงานในพื้นที่ พลโทภราดร กล่าวด้วยว่า มีรายงานข่าวออกมาว่าในปีงบประมาณ 2563 รัฐบาลเตรียมก่อสร้างถนนพาราซอยซีเมนต์อีกทั่วประเทศภายใต้งบประมาณ 8,000 ล้านบาท โดยเป็นงบประมาณของกระทรวงคมนาคมและกระทรวงมหาดไทย ทั้งนี้มีรายงานว่ารัฐบาลเตรียมมอบหมายให้กองทัพบกรับผิดชอบโครงการดังกล่าว การดำเนินการในรูปแบบเดิมๆ หวั่นจะเกิดข้อครหาเช่นเดียวกับองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกฯ ที่รัฐบาลคณะรักษารักษาความสงบแห่งชาติหรือ คสช.อนุมัติงบประมาณกว่า 4,800 ล้านบาท ให้องค์การทหารผ่านศึก ดำเนินการขุดคลองทั่วประเทศเพื่อแก้ปัญหาภัยแล้ง ผลออกมามีการร้องเรียนเรื่องทุจริตเป็นจำนวนมาก ทั้งเรียกรับเงิน หักค่าหัวคิว จนผู้รับเหมาทิ้งงานในหลายจังหวัด จนสุดท้ายกระทรวงการคลังต้องยกเลิกสิทธิพิเศษในที่สุด “การดำเนินการถนนพาราซอยซีเมนต์เป็นเรื่องที่ดี แต่ควรให้บริษัทเอกชนที่มีความรู้ความสามารถดำเนินการดีกว่า เพราะเงินงบประมาณจะได้กลับไปสู่ท้องถิ่นจากการจ้างงานคนในพื้นที่ ซึ่งดีกว่าให้หน่วยงานทหารที่เงินก็ไม่กระจายและไม่เกิดการจ้างแรงงานในพื้นที่แต่อย่างใด”พลโทภราดร กล่าว

"หมวดเจี๊ยบ" แนะรัฐแจงผลกระทบ สหรัฐตัดสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร


ร.ท.หญิง สุณิสา ทิวากรดำรง รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า รัฐบาลไม่ควรประเมินความเสียหายจากการที่สหรัฐตัด GSP ไทยต่ำเกินไป เพราะการคำนวณความเสียหายเรื่องนี้จะดูแค่ตัวเลขภาษี 1,500 -1,600 ล้านบาท ที่ผู้ประกอบการต้องจ่ายเท่านั้น แต่ต้องคำนวณค่าเสียโอกาสจากการที่สินค้าไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันทางการค้าด้วย ซึ่งรวม ๆ แล้ว อาจจะมากกว่า 40,000 ล้านบาทด้วยซ้ำ และในการเจรจากับสหรัฐเพื่ออุทธรณ์เรื่องนี้ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ควรดูโมเดลที่ประเทศอื่นใช้แก้ปัญหา โดยเฉพาะอินเดีย ซึ่งเขาใช้วิธีชี้ให้สหรัฐเห็นข้อเสียที่จะเกิดกับผลประโยชน์ของสหรัฐเองจากการตัด GPS ประเทศกำลังพัฒนา เพราะจะทำให้ผู้บริโภคชาวอเมริกันซื้อของในราคาแพงขึ้น และจะทำให้ต้นทุนการผลิตของสินค้าสหรัฐสูงขึ้นด้วย เพราะในอดีตผู้ประกอบการสหรัฐ ก็ได้ประโยชน์จากการซื้อวัตถุดิบราคาถูกจากประเทศที่ได้สิทธิ GSP เช่นกัน

ที่สำคัญ จะทำให้ผู้ประกอบการจีนได้ประโยชน์ เพราะสามารถแข่งขันด้านราคาได้กับคู่แข่งที่เคยขายสินค้าราคาถูกกว่าเพราะถูกตัด GSP และจีนจะได้ส่วนแบ่งการตลาดมากขึ้น ซึ่งก็จะสวนทางกับนโยบายของสหรัฐเองที่ต้องการลดการขาดดุลการค้ากับจีน  นอกจากนี้ อินเดียยังเพิ่มกำแพงภาษีเพื่อตอบโต้สหรัฐด้วย ซึ่งถ้ารัฐบาลประยุทธ์สามารถชี้ให้สหรัฐเห็นข้อเสียที่จะเกิดขึ้นต่อผลประโยชน์ของชาวอเมริกันเอง ก็อาจทำให้สหรัฐมีท่าทีที่ผ่อนคลายลงได้ โดยที่ไทยไม่ต้องเอาผลประโยชน์ของชาติด้านอื่น ๆ ไปแลก ซึ่งนี่คือท่าทีที่ถูกต้องในการเจรจาต่อรองทางการค้าที่รัฐบาลประยุทธ์ควรดูเป็นตัวอย่าง อย่าใช้อารมณ์ตัดสินโดยใช้ถ้อยคำรุนแรง เพราะนอกจากจะไม่แก้ปัญหาแล้ว ยังจะเป็นการสร้างเงื่อนไขที่เป็นอุปสรรคในการเจรจา ทั้งยังอาจลุกลามไปส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ด้านอื่น ๆ ระหว่างไทยและสหรัฐด้วย นอกจากนี้ มันก็ย้อนแย้งกับท่าทีของรัฐบาลประยุทธ์เอง ที่กำลังจะยื่นอุทธรณ์ขอความเห็นใจจากสหรัฐ แต่กลับไปต่อว่าเขานิสัยไม่ดี ซึ่งอันที่จริง หากรัฐบาลประยุทธ์ไม่แคร์สหรัฐก็อย่าไปแบมือขอGSP จากเขา แต่ถ้าหากยังต้องการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างกันอยู่ ก็ต้องระมัดระวังคำพูดมากกว่านี้ แต่ทางที่ดี รัฐบาลควรพัฒนาขีดความสามารถของผู้ประกอบการไทย ให้สามารถแข่งขันได้โดยไม่ต้องพึ่งพา GSP และต้องเปิดตลาดการค้ากับประเทศใหม่ ๆ บ้าง จะได้ไม่ถูกต่างชาติใช้เรื่องนี้มาบีบหรือข่มเหง เพราะในอนาคต สหรัฐอาจล้มเลิกการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีผ่านโครงการ GSP เพราะมีแรงกดดันจากการเมืองภายในสหรัฐเช่นกันให้ยุติการให้ GSP ต่างชาติเสียที และที่สำคัญ อยากถามรัฐบาลประยุทธ์ว่าเตรียมรับมือแล้วหรือยัง กับการถูกตัด GSP ระลอกใหม่ที่อาจเกิดขึ้น เพราะขณะนี้ยังมีประเด็นที่สมาพันธ์ผู้ค้าสุกรสหรัฐร้องทุกข์ไปยังสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐว่าถูกไทยกีดกันการนำเข้าเนื้อหมูและเครื่องใน ซึ่งหากรัฐบาลประยุทธ์ไม่มีแผนรองรับในการแก้ปัญหา ก็จะยิ่งซ้ำเติมผู้ส่งออกไทยที่ประสบปัญหาค่าเงินบาทแข็งทำให้สินค้าไทยมีราคาสูงกว่าคู่แข่งอยู่แล้ว หากโดนตัด GSP เพิ่มอีก ก็จะยิ่งทำให้มีต้นทุนสูงขึ้นและแข่งขันยากขึ้นอีก

และจะทำให้มูลค่าการส่งออกไทยติดลบหนักกว่าที่มีการคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ และอาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของ GDP ที่เคยคาดการณ์ไว้ ซึ่งขณะนี้ ความผิดพลาดของรัฐบาลประยุทธ์ ได้ส่งผลให้ไทยเสียประโยชน์ทางการค้าไปแล้ว 40,000 ล้านบาท แต่ยังเหลือผลประโยชน์ทางการค้าของไทยที่มีกับสหรัฐอีก ราว 900,000 ล้านบาท ที่รัฐบาลประยุทธ์ ต้องใช้สติปัญญาในการปกป้อง หากท่านคิดไม่ออกว่าต้องทำอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ ก็ควรลาออกไป แล้วหลีกทางให้แคนดิเดตนายกฯท่านอื่นเข้ามาแก้ปีญหาแทนโดยด่วน

นอกจากนี้ เพื่อลดอุปสรรคในการเจรจาบนเวทีการค้าระหว่างประเทศ รัฐบาลประยุทธ์ก็ต้องระมัดระวังท่าทีในการมีความสัมพันธ์กับชาติมหาอำนาจ ที่เขากำลังมีความขัดแย้งกันอยู่ด้วย อย่าทำตัวเป็นลูกไล่หรือเป็นลูกน้องของชาติมหาอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดที่กำลังมีความขัดแย้งกันอยู่ เพราะไทยต้องเป็นมิตรกับทุกประเทศ อย่าเอาคนไทยไปยืนอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งของชาติอื่น   เพราะคนไทยมีนิสัยรักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด และ รัฐบาลประยุทธ์ ควรย้อนดูว่าบรรพบุรุษของไทยในอดีตดำเนินกุศโลบายทางการทูตอย่างไรจึงพาบ้านเมืองพ้นภัยไม่ต้องตกเป็นเมืองขึ้นของชาติใด ท่ามกลางความแย้งที่เกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลกส่วนรัฐบาล ประยุทธ์ นั้น ก็อย่าเก่งแต่เฉพาะบดขยี้ฝ่ายค้านในบ้าน แต่กลับเอาตัวไม่รอดบนเวทีการเมืองระหว่างประเทศ

ที่สำคัญ รัฐบาลประยุทธ์ควรบอกคนไทยให้ชัดเจนว่า ผลกระทบจากการโดนสหรัฐตัด GSP จะส่งผลกระทบต่อตัวเลข GDP และเป้าหมายการส่งออกที่เคยคาดการณ์ไว้อย่างไร เพื่อให้นักลงทุนและประชาชนรู้ตัวล่วงหน้าจะได้ปรับตัวและวางแผนชีวิตได้ทัน

"ชวลิต" หนุนผลิตผักปลอดภัย ทดแทนการนำเข้า


นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส. นครพนม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางควบคุมการใช้สารเคมีในภาคเกษตรกรรม สภาผู้แทนราษฎร ให้ความเห็นหลังจากเรียกร้องให้รัฐบาลติดตั้งห้องแล็บสำหรับสุ่มตรวจผัก ผลไม้ ที่นำเข้าจากจีนผ่านด่านเชียงของ จ.เชียงราย โดยไทยนำเข้าผักจากจีนผ่านด่านเชียงของ มีมูลค่าถึง ปีละกว่า 3,000 ล้านบาท นั้น
           
ผมเห็นว่า ไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมแท้ ๆ แต่กลับนำเข้าผักจากจีน ส่งผลให้เงินตราออกนอกประเทศไปอย่างไม่ควรจะเป็น
       
นอกจากนี้ จากภาวะเศรษฐกิจทึ่กำลังตกต่ำ ฝืดเคืองอยู่ในปัจจุบัน เราควรประหยัดเงินตราที่จะซื้อผักจากต่างประเทศ แล้วส่งเสริมให้ผลิตเองอย่างเป็นระบบ เงินก็จะสะพัดหมุนเวียนในประเทศหลายรอบ เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจในภาพรวม
           
ผมเห็นว่า ช่วงนี้ กมธ.วิ.งบประมาณ กำลังพิจารณางบประมาณพอดี จึงขอฝากข้อสังเกตไปยัง
อนุกรรมาธิการจังหวัดและท้องถิ่น

ที่กำลังจะตั้งขึ้น ควรเชิญผู้ว่าราชการจังหวัดกลุ่มจังหวัดภาคกลางและเกษตรจังหวัด มาแสดงวิสัยทัศน์ในการผลิตผักปลอดภัยป้อนตลาดสี่มุมเมืองเพื่อขอรับงบประมาณจังหวัดและกลุ่มจังหวัด สนับสนุนเกษตรกรต่อไป
         
ผู้ว่าราชการจังหวัดควรได้มีโอกาสแสดงวิสัยทัศน์วางแผนหารายได้เข้าจังหวัดของตนเองผ่านการพิจารณาของ กมธ.วิ.งบประมาณ ซึ่งผมมั่นใจว่าผู้ว่าราชการจังหวัดสามารถทำได้
         
แม้ว่าในชั้นนี้ อาจจะปรับงบประมาณไม่ทันในปีนี้ แต่ปีหน้าน่าจะวางแผนได้ทัน ซึ่งก็เหลือเวลาอีกไม่กี่เดือนก็จะพิจารณางบประมาณ ปี 2564 แล้ว
           
ผมเสียดายเงินปีละกว่า 3,000 ล้านบาท ที่จะออกไปยังต่างประเทศ ทั้ง ๆ ที่เราเป็นประเทศเกษตรกรรมแท้ ๆ น่าจะวางแผนผลิตผักปลอดภัยป้อนผู้บริโภคภายในประเทศเองได้ และถ้าสามารถควบคุมการผลิตให้ถึงขั้นตรวจสอบย้อนกลับไปยังแปลงผักได้ ก็จะยิ่งเพิ่มความมั่นใจแก่ผู้บริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่ใคร ๆ ก็ต้องการบริโภคผักปลอดภัย
           
ส่วนคำถามที่ว่า เมื่อคณะกรรมการวัตถุอันตรายแบนสารพิษอันตราย 3 ตัวไปแล้ว ควรจะมีทางเลือกอะไรทดแทนหรือเยียวยาเกษตรกรอย่างไร นั้น
           
กมธ.ติดตามความเห็นของรัฐบาลอยู่ ขณะเดียวกัน กมธ.ก็ทำงานคู่ขนาน ทั้งไปศึกษา ดูงานยังพื้นที่ที่ทำโครงการเกษตรอินทรีย์แปลงใหญ่ประสบความสำเร็จ ทั้งเชิญอาจารย์ นักวิชาการหลายมหาวิทยาลัยที่มีองค์ความรู้เกษตรอินทรีย์ เครื่องจักรกลการเกษตร มาให้ความรู้แก่ กมธ.ที่สภา ฯ
           
นอกจากนี้ กมธ.ยินดีรับข้อมูลจากทุกภาคส่วนที่มีความเห็นร่วมกันในการพัฒนาด้านการเกษตร
ให้ปลอดภัยทั้งเกษตรกรและผู้บริโภค
         
ทั้งหมดทั้งมวลนั้น กมธ. กำลังรวบรวมจัดทำเป็นรายงานของ กมธ.เพื่อรายงานต่อสภา ฯ เป็นข้อเสนอแนะ ข้อสังเกตของสภา ฯ แจ้งไปยังรัฐบาลต่อไป
           
ทั้งนี้  กมธ.มีเวลาทำงานถึงวันที่ 12 พ.ย.62 นี้ ครบเวลา 60 วัน ตามที่สภา ฯ มอบหมาย ซึ่งคาดว่างานจะสำเร็จตามภารกิจที่ได้รับมาอย่างทันการณ์

เครือข่ายการเมือง ตั้ง "ภาคีเพื่อรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย"

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้


“รัฐธรรมนูญประชาธิปไตยคือเป้าหมาย ต้องมาจากการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกภาคส่วน”

วันนี้หน่อยมาร่วมประชุมการจัดตั้ง #ภาคีเพื่อรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย โดยมีรองศาตราจารย์โคทม อารียา ผู้ช่วยศาตราจารย์อนุสรณ์ ธรรมใจ และอาจารย์ ดร.เอกพันธ์ ปิณฑวณิช เป็นแกนกลาง และองค์กรประชาธิปไตยอีกหลายองค์กร ได้แก่

-มูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย (พีเน็ต)
-คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย (ครป.)
-สภาองค์กรชุมชนตำบลระดับชาติ,คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชน (กป.อพช.)
-คณะกรรมการรณรงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ภาคประชาชน
-มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (มสพ.), สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.)
-มูลนิธิและสถาบันปรีดี พนมยงค์
-มูลนิธิเพื่อความยั่งยืน
-ตัวแทน 7 พรรคร่วมฝ่ายค้าน โดย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง
-พรรคอนาคตใหม่ โดย พล.ท.พงศกร รอดชมภู
-จาตุรนต์ ฉายแสง นักการเมือง
-นิกร จำนง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
-สมชัย ศรีสุทธิยากร ศูนย์วิจัยการเมืองและการพัฒนา มหาวิทยาลัยรังสิต

วันนี้พวกเราได้ประชุมร่วมกันนัดแรก มีเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนแนวทางการ #แก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยที่ประชุมมีมติเลือกคุณ #โคทมอารียา เป็นประธานคณะกรรมการอำนวยการ และมีมติที่จะเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อยุติความขัดแย้ง และเกิดกระบวนการที่ทำให้ประชาธิปไตยเข้มแข็งค่ะ

สาระสำคัญที่ภาคีเพื่อรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย ได้เสนอเป็นประเด็นหลักนอกเหนือจากการเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญ คือการจัดตั้ง #สภาถกแถลงแห่งชาติ เพื่อผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยยึดหลักการว่า #รัฐธรรมนูญต้องเกิดจากการมีส่วนร่วมของประชาชน และเปิดกว้าง เพื่อทำให้เนื้อหาเป็นประชาธิปไตยที่เคารพในสิทธิเสรีภาพ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

โดยสภาฯ ดังกล่าวจะมีที่มาจากตัวแทนประชาชนผ่านการสรรหากันเองและให้สภาผู้แทนราษฏรคัดเลือก จังหวัดละ 1 คน และให้มีสัดส่วนผู้ทรงคุณวุฒิและตัวแทนองค์กรประชาธิปไตย รวมถึงตัวแทนจาก ส.ส. และ ส.ว. โดยข้อเสนอดังกล่าวจะนำเสนอต่อสภาเพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนในอนาคตต่อไปค่ะ
ขณะที่ #ภาคีเพื่อรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย จะเป็นองค์กรที่ทำงานประสานกับองค์กรประชาธิปไตยจากภาคส่วนต่างๆ

สำหรับ #เหตุผลในการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น เราเห็นพ้องต้องกันว่า #รัฐธรรมนูญฉบับปี2560 ไม่เอื้อต่อการมีส่วนร่วมของประชาชนตั้งแต่ต้น และยึดรัฐราชการเป็นศูนย์กลางนั้น ทำให้เกิดการผูกขาดอำนาจทางการเมืองนำไปสู่การรวมศูนย์อำนาจทางเศรษฐกิจ จนเกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำอย่างกว้างขวาง จึงจำเป็นต้องผลักดันให้เกิด #รัฐธรรมนูญที่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง

ซึ่งในการแก้ปัญหาต้องอาศัย #กระบวนการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแบบมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างกว้างขวางที่สุด มาเป็นเครื่องมือ #สร้างการเรียนรู้สำนึกความเป็นพลเมือง ที่คนไทยทุกหมู่เหล่าจะมีส่วนร่วมคิด ร่วมทำ และร่วมแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ของประเทศชาติ ด้วยพลัง “ความรู้-ความรัก-ความสามัคคี”

โดยมีแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญของภาคีฯ ที่ยึดหลักการ 4 ข้อ ดังนี้ค่ะ

#หลักการที่หนึ่ง การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะต้องเกิดจากการมีส่วนร่วมของประชาชนจากทุกภาคส่วน และเปิดกว้างให้มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เสรีภาพทางวิชาการ และเสรีภาพในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารอย่างเต็มที่

#หลักการที่สอง ต้องทำให้เนื้อหาในรัฐธรรมนูญเป็นไปตามหลักการที่อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนโดยสิทธิ เสรีภาพ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ต้องได้รับการคุ้มครอง และยุติการสืบทอดอำนาจที่ไม่ได้มาจากประชาชน

#หลักการที่สาม ต้องทำให้เกิดฉันทามติร่วมกันในสังคมเพื่อยุติความขัดแย้งและสร้างความปรองดองสมานฉันท์

#หลักการที่สี่ ต้องทำให้เกิดกระบวนการที่ทำให้ประชาธิปไตยเข้มแข็งมั่นคงขึ้นพร้อมขับเคลื่อน การปฏิรูปประเทศทางด้านต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม เปิดพื้นที่ให้ทุกฝ่ายได้ ถกแถลงและปรึกษาหารือกันเพื่อทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนและประเทศดีขึ้น

สัปดาห์หน้าภาคีเพื่อรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย จะเริ่มต้นเดินหน้าภารกิจค่ะ โดยจะเดินทางไปพบกับท่านชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา เพื่อเสนอโครงสร้างในการเปิดพื้นที่สร้างการรับรู้สู่ประชาชน โดยใช้ชื่อว่า #เวทีถกแถลงแห่งชาติเพื่อรัฐธรรมนูญของทุกคน และจะเริ่มต้นแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 เพื่อเปิดช่องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับได้ และจากนั้นจะเดินสายไปพบพูดคุยกับพรรคการเมืองต่างๆ ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน มุ่งหมายที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย และทำให้ปัญหาปากท้องของประขาชนให้ดีขึ้นได้

ภารกิจของภาคีที่หน่อยมาร่วมในวันนี้ เป็นเพียงก้าวแรกค่ะ และยังจะมีก้าวที่สำคัญต่อๆไป ระหว่างทางอาจมีอุปสรรคและปัญหาให้เราต้องฝ่าฟัน แต่เพื่อเป้าหมายและอนาคตที่ยั่งยืน

หน่อยขอชวนพี่น้องประชาชนทุกท่านมาร่วมกันเป็นภาคีที่จะก้าวย่างไปพร้อมกัน สามารถแสดงความคิดเห็นผ่านคอมเม้นท์ด้านล่างได้ค่ะ เพื่อที่จะประมวลเป็นความเห็นเบื้องต้นในการกำหนดทิศทางเพื่อให้เกิดรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยที่เป็นเป้าหมายร่วมกันนะคะ