วันอังคารที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2562

"ดร.ทักษิณ" สวัสดีปีใหม่ 2563 ขอให้ประชาชนฝ่าฟันอุปสรรค

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้


สวัสดีปีใหม่ 2563 แด่พี่น้องคนไทยที่เคารพรัก

ผมขอส่งความปรารถนาดีมายังพี่น้องคนไทยทุกคนให้มีภูมิต้านทานต่อภาวะเศรษฐกิจที่ไม่น่าจะดีนักของปี 2563 ซึ่งจะเป็นปีที่ท้าทายของพี่น้องคนไทย ซึ่งจะต้องเตรียมตัวเตรียมใจกันพร้อมต่อความผันผวน การทำมาค้าขายและทำธุรกิจต้องระวังกันให้มากขึ้น ขอให้ผู้ที่ตกงานมีโอกาสกลับมายืนด้วยลำแข้งของตนเอง ขอให้ผู้มีหนี้สินฝ่าฟันอุปสรรคไปด้วยความมุ่งมั่น SME กลับมาทำมาค้าขึ้น เกษตรกรรอดพ้นจากปัญหาภัยแล้งและราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ขอให้คนไทยกลับมามีโอกาสทำมาหากินที่ดีอีกครั้ง

อย่าลืมว่าลูกบอลที่พุ่งเข้าหาเรา (Set Back) จะถูกสวนกลับ (Bounce Back) ได้แรงกว่า หากตั้งสติและมียุทธศาสตร์ในการโต้กลับ แบบอย่างดีๆ ที่เกิดขึ้นกับหลายท่านช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง (2540-2544) ย่อมเป็นเรื่องที่นำมาเรียนรู้ได้ ขอให้ตัวแทนประชาชนที่แท้จริงได้ทำหน้าที่ตามสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน

สุดท้ายนี้ ผมขออวยพรให้ปี 2563 เป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นเพื่อพี่น้องคนไทยทุกคน

ด้วยรักและห่วงใย
ดร.ทักษิณ ชินวัตร
31 ธ.ค. 62

วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2562

"ชัชชาติ" ดูงานไทเป แนะชาวกรุงฯแยกขยะก่อนทิ้ง

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้


ขอเล่าต่อถึงการมาดูงานเรื่องการจัดการเมืองที่นครไทเป เกาะไต้หวัน ที่ผมได้รับเชิญจากสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทยนะครับ

วันที่สองของการดูงาน เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากและพวกเราหลายๆคนได้แนะนำมา คือการจัดการขยะและสิ่งแวดล้อมของนครไทเป

โดยเริ่มจากการแวะไปที่ Energy Hill ซึ่งแต่เดิมเป็นหลุมฝังกลบขยะขนาดใหญ่ของนครไทเป แต่ปัจจุบันเลิกใช้แล้วเนื่องจากนโยบาย Zero Waste ที่ทำการคัดแยกขยะ แทบจะไม่เหลือการฝังกลบขยะและมีการใช้พื้นที่ประมาณ 18 ไร่ของบ่อขยะเดิมเพื่อทำเป็น Solar Farm ขนาด 2 MW ที่เริ่มการผลิตไฟฟ้าแล้ว เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจของการเปลี่ยนจากพื้นที่ที่ทำลายสิ่งแวดล้อม(ด้วยการฝังกลบขยะ) มีเป็นพื้นที่ที่ช่วยสิ่งแวดล้อมด้วยการผลิตกำลังไฟฟ้าด้วยแสงอาทิตย์

จากนั้น ไปดูงานที่สำนักรักษาสิ่งแวดล้อม (Department of Environmental Protection) ของนครไทเป โดยมีสองเรื่องคือเรื่องการจัดการขยะ และ การจัดการฝุ่น PM 2.5

ในการจัดการขยะนั้น นครไทเป ใช้นโยบายหลักๆสองเรื่องคือ

- การแยกขยะครัวเรือน (Separate Household Waste)
- การไม่ให้ขยะแตะพื้น (Keep Trash Off the Ground)

โดยการแยกขยะ นครไทเปจะแยกขยะเป็นสามประเภท คือ ขยะทั่วไป (เอาไปเผา) ขยะ Recycle (เอาไปใช้ใหม่) ขยะเปียกจากครัว (Kitchen Waste: เอาไปทำปุ๋ยหมัก หรือ อาหารสัตว์)
โดยขยะทั่วไป ต้องซื้อถุงขยะโดยเฉพาะของนครไทเปในการใส่ขยะ (หาซื่อได้ตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป) โดยคิดราคาตามขนาดของถุง มี 6 ขนาด ส่วนขยะ Recycle กับ Kitchen Waste ไม่เสียเงินในการทิ้ง

การไม่ให้ขยะแตะพื้นนั้น ทำโดยรถขยะจะมาตามเส้นทางและเวลาที่กำหนด โดยมีเส้นทาง 188 เส้นทาง และ จุดเก็บมากกว่า 4,000 จุด ไม่มีการเอาขยะไปกองไว้ก่อนเวลาเหมือนที่บ้านเรา รถขยะจะมาพร้อมกันสองคัน พร้อมกับเสียงเพลงเพื่อเป็นสัญญานให้คนนำขยะมาทิ้ง รถคันแรกจะเป็นขยะทั่วไปที่ต้องใช้ถุงที่ซื้อมาของนครไทเปในการทิ้ง รถอีกคันจะใส่ขยะ Recycle กับขยะเปียกจากครัว (Kitchen Waste) ขยะสองประเภทหลังนี้ ไม่ต้องเสียเงินในการทิ้ง ขยะเปียกต้องใส่ถังถือมาเทเอง

การคัดแยกขยะนั้น นครไทเปมีคู่มือละเอียดในการแนะนำวิธีการคัดแยกขยะ โดยมีการออกคู่มือที่อธิบายการแยกขยะแบบละเอียด อ่านเข้าใจง่าย โดยแยกขยะเป็นแบบที่ Recycle ได้ กับ Recycle ไม่ได้ไว้อย่างชัดเจน

ดร. Albert Tsao-Chou Chen ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักรักษาสิ่งแวดล้อม ได้พาเดินชมการคัดแยกขยะ Recycle ที่ขนมาที่ศูนย์คัดแยก โดยจะเห็นได้ว่าที่ศูนย์คัดแยกนี้ใช้คนในการคัดแยก แต่ไม่มีกลิ่นเหม็นเหมือนศูนย์คัดแยกที่ผมไปดูที่สมุทรสาคร เพราะที่นครไทเป ได้มีการคัดแยกขยะเปียกจากครัวออกไปแล้ว ทำให้ขยะที่เหลือไม่มีการเน่าเหม็น การคัดแยกทำได้ง่ายขึ้นมาก ดร. Albert ให้ข้อมูลว่าตั้งแต่เริ่มโครงการแยกขยะและขายถุงขยะในปี คศ.2000 นั้น ปริมาณขยะลดลงมาก และ ขยะ Recycle เพิ่มสูงขึ้น สำหรับค่าใช้จ่ายต่อครัวเรือนนั้น อยู่ที่ประมาณ 40 NT$ ต่อเดือนต่อครัวเรือน ซึ่งใกล้เคียงกับบ้านเรา (1 NT$ ประมาณเท่ากับ 1 บาท)

นอกเหนือจากการคัดแยกขยะแล้ว ศูนย์นี้ยังทำหน้าที่ Reuse หรือ นำกลับมาใช้ใหม่ โดยการนำเฟอร์นิเจอร์ จักรยาน และ เครื่องใช้ต่างๆที่ชำรุดเสียหาย คนทิ้ง เอามาซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพดีและขายในราคาไม่แพง เป็นการช่วยยืดอายุการใช้งานและลดขยะด้วย

เรื่องสำคัญอีกเรื่องของนครไทเปคือเรื่องคุณภาพอากาศ โดยเขาใช้มาตรฐาน PM 2.5 ว่าค่าเฉลี่ยรายปีต้องไม่เกิน 15 ไมโครกรัมต่อ ลบ.เมตร โดยกำหนดเป้าหมายของค่าเฉลี่ยรายปีดังนี้

ปี 2020 ไม่เกิน 15 ไมโครกรัมต่อ ลบ.เมตร
ปี 2025 ไม่เกิน 12 ไมโครกรัมต่อ ลบ.เมตร
ปี 2030 ไม่เกิน 10 ไมโครกรัมต่อ ลบ.เมตร (ตามมาตรฐาน WHO)

(ของบ้านเราปัจจุบันกำหนดค่าเฉลี่ยรายปีไม่เกิน 25 ไมโครกรัมต่อ ลบ.เมตร)

จากข้อมูลการสำรวจพบว่า 41% ของฝุ่น PM 2.5 ในนครไทเป มาจากรถยนต์ ทั้งเครื่องเบนซิน ดีเซล และ จักรยานยนต์ โดยมีนโยบายในการแก้ปัญหาดังนี้

- Low Emission Vehicle ลดการปล่อยฝุ่น PM 2.5 จากยานพาหนะ
กำหนดเขตอากาศสะอาด Low Emission Zone โดยใช้ระบบการตรวจจับทะเบียนรถเพื่อหารถที่ก่อมลภาวะบนถนน และ กำหนด พื้นที่ที่ต้องรักษาปรับปรุงคุณภาพอากาศโดยจะห้ามรถที่ก่อมลภาวะเข้ามาในพื้นที่นั้น

- Replacement of Old Diesel Truck การเปลี่ยนรถบรรทุกดีเซลเก่า
ภายในปี 2020 เปลี่ยนรถขนขยะจำนวน 291 คันให้เป็นรถปลอดมลพิษ และติดตั้งเครื่องกรองฝุ่นสำหรับรถดีเซลเก่าจำนวน 390 เครื่องใช้ยานพาหานะที่ลดการปล่อย PM 2.5 เช่น ตรวจจับรถที่ปล่อย PM 2.5

- Replacement of 2 Stroke Scooter การเปลี่ยนรถมอเตอร์ไซค์สองจังหวะ
ชดเชยเงิน 22,000 NT$ สำหรับการเปลี่ยนจากมอเตอร์ไซค์สองจังหวะ เป็นมอเตอร์ไซต์ไฟฟ้า และ เพิ่มอีก 10,000 NT$ สำหรับผู้มีรายได้น้อย กำจัดรถมอเตอร์ไซค์สองจังหวะที่มีอยู่ 47,000 คัน จนปัจจับันมีเหลือประมาณ 35,000 คัน

- Electric Bus Fleet การจัดหารถเมล์ไฟฟ้า
ในเดือน ตุลาคม 2018 มีรถเมล์ไฟฟ้า 22 คัน และ จะจัดหาเพิ่มเป็น 400 คันในปี 2019-2022 โดยจะได้รับเงินอุดหนุนสำหรับรถเมล์ไฟฟ้า 5NT$ ต่อ กิโลเมตร

- Electric Mobility Infrastructure การเตรียมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับยานพาหนะไฟฟ้า
มีการเตรียมที่ชาร์จไฟฟ้าใกล้ๆ MRT และ ที่จอดรถสาธารณะ ให้ที่จอดรถฟรีสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า มีโครงการ 4U ที่ใช้ยานพาหนะร่วมกันสำหรับ WeMo E-Scooter You-Bike U-Park Sharing

- Green Transportation มีการส่งเสริมการเดินทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
ออกตั๋วเดือนสำหรับใช้รถเมล์ และ รถไฟฟ้า MRT ในนครไทเปและปริมณฑล แบบไม่อั้น ราคา 1,280 NT$ (ถูกมากๆ) และ จะเริ่มเก็บค่าจอดรถสำหรับมอเตอร์ไซค์ที่จอดริมถนนในย่านการค้า และ พื้นที่ใกล้ MRT

- Clean Fuel for Power Plant & Boiler มีการให้ใช้เชื้อเพลิงสะอาดสำหรับโรงไฟฟ้าและหม้อน้ำในโรงแรม โรงพยาบาล

- Upgrade AQ Monitoring พัฒนาระบบแจ้งคุณภาพอากาศ
สร้างเครื่องข่ายของการตรวจคุณภาพอากาศ AirBox ที่มีเครื่องตรวจคุณภาพอากาศราคาไม่แพง ให้ประชาชนติดตั้ง และ สร้างเครือข่ายเพื่อตรวจสอบคุณภาพอากาศทั้งประเทศ

ปัญหาทั้งเรื่องขยะ และ เรื่องคุณภาพอากาศ เป็นเรื่องที่ทั้งนครไทเป และ กรุงเทพฯ เจอเหมือนกัน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความเข้าใจและเอาจริงในการแก้ปัญหาของผู้บริหาร ร่วมกับความร่วมมือของภาคประชาชนครับ

"สุดารัตน์" รำลึก 15 ปีสึนามิ

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้


รำลึก 15 ปีสึนามิ ในความทรงจำที่ไม่เคยลืมเลือน

ผ่านมา 15 ปีแล้วค่ะ สำหรับเหตุการณ์แผ่นดินไหว และคลื่นยักษ์สึนามิ ถล่ม 6 จังหวัดภาคใต้ของไทยในวันที่ 26 ธันวาคม 2547 ยังจำได้เสมอไม่เคยลืมเลือน เช้าวันนั้นหน่อยได้รับมอบหมายจากนายกทักษิณ ชินวัตรให้เดินทางด่วนไปยัง จังหวัดภูเก็ต มีรายงานว่ามีคลื่นยักษ์มหึมาซัดถล่ม หาดป่าตอง และมีผู้เสียชีวิตจำนวนหลายสิบชีวิต

เหตุการณ์ครั้งนั้นในเวลาต่อมา เรียกว่า “สึนามิ” ซึ่งผลของคลื่นยักษ์ที่เข้าถล่มไทย 6 จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดภูเก็ต จังหวัดพังงา จังหวัดระนอง จังหวัดกระบี่ จังหวัดตรัง และจังหวัดสตูล ทำให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 5,400 คน บาดเจ็บกว่า 8,000 คน และสูญหายอีกจำนวนมาก

ภาพที่หน่อยลงไปในพื้นที่พร้อมด้วยทีมงานเวลานั้นคือ ความโกหลาหลที่เห็นตรงหน้า เพราะ เราไม่เคยเผชิญกับภัยพิบัติที่สูญเสียครั้งใหญ่ขนาดนี้ โรงพยาบาลเต็มไปด้วยคนป่วย ทั้งบนเตียงและบนพื้น ที่รอคอยหมอมารักษาเยียวยาชีวิต

หน่อยต้องปักหลักทำงานในพื้นที่ประสบภัยพิบัติต่อเนื่องเป็นเวลากว่าหนึ่งเดือน สารภาพค่ะว่าเป็นคนกลัวกับบรรยากาศของความสูญเสีย เวลานั้นต้องทำงานเก็บกู้ร่างของผู้เสียชีวิตทั้งชาวไทยและต่างประเทศ เพื่อดำเนินการพิสูจน์บุคคล เพื่อส่งกลับสู่ครอบครัว บางส่วนส่งกลับมาตุภูมิแผ่นดินแม่ที่ครอบครัวต่างเฝ้ารอคอยฟังข่าวอยู่

เราทำงานแข่งกับเวลา หน่อยทำงานภายใต้สภาวะจิตใจที่เป็นปมความกลัวของตนเอง เพราะต้องอยู่กับร่างผู้เสียชีวิตจำนวนหลายพัน แต่ความรู้สึกเหล่านั้นเมื่อเทียบกับความรู้สึกเจ็บปวดในจิตใจของครอบครัวผู้สูญเสีย แทบจะเทียบกันไม่ได้เลยค่ะ ทีมงานทุกคนร่วมมือร่วมใจกันอย่างเต็มที่ สุดความสามารถของตนเอง

เหตุการณ์ในครั้งนั้นได้พิสูจน์ให้เห็นความร่วมมือร่วมใจของประชาชนชาวไทย ที่ได้มีส่วนช่วยเหลือทั้งกำลังกาย กำลังทรัพย์ และกำลังใจ ที่ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมในการช่วยเหลือในบทบาทที่ตนเองมีความพร้อม ทั้งที่พัก การอำนวยความสะดวกชาวต่างชาติ เป็นต้น

บทเรียนจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้นายกทักษิณ ชินวัตร ได้สั่งการให้เดินหน้าเพื่อสร้างระบบป้องกันและเตือนภัย สึนามิ ด้วยการพัฒนาระบบกู้ภัยและสาธารณะสุขเพื่อรองรับการกู้ภัย ทำให้เราสามารถที่จะดึงความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวกลับคืนสู่ประเทศไทยได้ในเวลาภายใน 1 ปี

แต่วันนี้ หน่อยอ่านข่าวที่สื่อรายงานว่า มีการทดสอบสัญญาณเตือนภัยสึนามิ ที่จังหวัดกระบี่ ซึ่งเป็น 1 ใน 6 จังหวัดที่ถูกคลื่นยักษ์ถล่มเมื่อ 15 ปีที่แล้ว มีหอเตือนภัยสึนมิ จำนวน 32 หอ กระจายอยู่ใน 5 อำเภอชายฝั่งทะเลอันดามัน และทุกวันพุธ จะมีการทดสอบสัญญาณเตือนภัยสึนามิ ซึ่งจากการตรวจสอบหอเตือนภัยที่รับญาณเตือนภัยสึนามิ พบว่าหลายแห่งสัญญาณไม่ดัง

หน่อยขอเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งเข้าไปแก้ไขโดยด่วน เพราะนี่คือความเชื่อมั่นของชาวบ้าน และความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สิน ที่เราเคยมีบทเรียนมาแล้วในอดีต โดยเฉพาะ ความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติ เป็นสิ่งที่ต้องรักษา อยากให้หน่วยงานและผู้มีอำนาจไม่ละเลยระบบเตือนภัย เร่งเข้าไปตรวจสอบทั้ง 6 จังหวัดเลยค่ะ

พี่น้องคะ เหตุการณ์สึนามิ ได้ผ่านไปแล้ว15ปี และไม่ควรเกิดขึ้นอีก แต่ธรรมชาตินั้นยากที่จะคาดเดา การบริหารจัดการภัยพิบัติด้วยการเตรียมป้องกัน รับมือ และในภาวะวิกฤตต้องสามารถตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือบทเรียนที่เราทุกคนต้องไม่ลืม

เช่นเดียวกับบาดแผล คราบน้ำตา ในวันนั้น จะยังอยู่ในความทรงจำที่เตือนใจพวกเราทุกคนที่ต้องสูญเสียเพื่อนมนุษย์ ครั้งยิ่งใหญ่เช่นกันค่ะ

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์
26 ธันวาคม 2562

วันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2562

“พิชัย” แนะเปลี่ยนรัฐบาล แก้ปัญหาเศรษฐกิจ

“พิชัย” ชี้ 8 เหตุผล เศรษฐกิจไทยย่ำแย่ เย้ย ทรุดขนาดนี้สมคิดยังบอกว่าไทยแข็งแรงยังขยายตัวดี แนะต้องเปลี่ยนรัฐบาล



นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน กล่าวในการแถลงข่าว “สรุปการตรวจสอบประจำปี และข้อเสนอแก้ขัดแย้งก่อนวิกฤติรอบใหม่” จัดโดยสภาที่ 3 และ คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 ที่สมาคมนักข่าวฯ ว่า เศรษฐกิจไทยที่ย่ำแย่อย่างหนักในปัจจุบัน สามารถสรุปสาเหตุได้ 8 ข้อดังนี้

1. รัฐบาลขาดความรู้ความสามารถ และความเข้าใจในภาวะเศรษฐกิจอย่างแท้จริง ซึ่งพิสูจน์แล้วจากการพูดจาที่สับสนกลับไปกลับมาของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ และแม้กระทั่งนายสมคิดเองที่เมื่อวานนี้ยังกล้าพูดว่า ส่วนตัวคิดว่าเศรษฐกิจไทยแข็งแรงพอสมควรแม้ชะลอตัวแต่ขยายตัวเป็นบวกได้

2. รัฐบาลติดนิสัยเผด็จการ พยายามกลบปัญหาไม่ยอมรับ ถึงขนาดกล้าโกหกว่าเศรษฐกิจยังดี ไม่ยอมรับความจริง พยายามโกหกประชาชนจนเป็นนิสัย ตั้งแต่เพลงเราจะทำตามสัญญาใช้เวลาไม่นาน แต่ปาเข้าไป 5 ปีกว่าจึงมีการเลือกตั้ง มาถึงสัญญาในนโยบายต่างๆ แล้วไม่ทำ นอกจากนี้ยังปิดกั้นการวิพากษ์วิจารณ์เศรษฐกิจเพราะคิดว่าถ้าไม่พูดถึงปัญหาแล้วปัญหาจะหายไปเอง

3. รัฐบาลทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งต่างประเทศและในประเทศ ตลอด 5 ปีกว่า พฤติกรรมของรัฐบาลได้ทำลายความมั่นใจของนักลงทุนโดยที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ แม้กระทั่งหลังเลือกตั้งแล้วก็ยังเป็นปัญหาจากสื่อหลักต่างประเทศแทบทุกสำนักที่ยังโจมตีประเทศไทยตั้งแต่ การจัดตั้งรัฐบาลสืบทอดอำนาจ จนมาถึง รมต. มีข่าวฉาวยาเสพติด จนมาถึง การยุบพรรคการเมือง

4. เศรษฐกิจที่ขยายตัวต่ำมากว่า 5 ปีทำปัญหาเศรษฐกิจหมักหมม เศรษฐกิจไทยโตเพียง 3 % ตลอด 5 ปี ที่ตำ่สุดในแทบทุกรัฐบาล ปีนี้ก็จะยิ่งทรุดหนัก เหลือเพียงประมาณ 2.5% เท่านั้น การขยายตัวที่ต่ำสร้างปัญหาทำให้เกิดการว่างงาน และ หนี้เสีย อีกทั้งทำให้รายได้ของประชาชนส่วนใหญ่ไม่เพิ่มจึงลำบากกัน

5. การลงทุนที่ลดลงมากมาตลอด ทำให้การส่งออกลดลง และ จีดีพีทรุดตาม ความไม่มั่นใจของนักลงทุนทำให้การลงทุนของไทยลดลงมาก ส่งผลให้การส่งออกไม่ขยายตัวแถมยังติดลบ การปรับเปลี่ยนโครงสร้างของไทยที่ต้องพัฒนาเป็นเทคโนโลยีระดับสูงขึ้นหยุดชะงัก ในขณะที่อุตสาหกรรมเดิมที่ล้าหลังแล้วต้องปิดตัว นักลงทุนไทยย้ายการลงทุนไปต่างประเทศมากกว่า นักลงทุนต่างประเทศลงทุนในไทย ซึ่งพลเอกประยุทธ์พูดวันก่อนยังไม่แสดงความเข้าใจเลย

6. การใช้จ่ายรัฐบาลไม่มีประสิทธิภาพ คิดแต่แจกเงิน โดยไม่พัฒนาความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ตนได้เคยเตือนว่าการแจกเงินแม้ทำได้และควรทำในบางโอกาส แต่ไม่ใช่จะใช้เป็นนโยบายหลักของรัฐบาล แต่ไม่ได้พัฒนาความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เพราะไม่มีประเทศไหนในโลกที่เจริญได้จากการแจกเงิน แต่รัฐบาลก็ยังออกมาเถียงและตำหนิตนหาว่าอิจฉารัฐบาล จนกระทั่งไอเอ็มเอฟ และ เวิร์ลแบงค์ได้ออกมาเตือนเหมือนที่ตนเตือน และเน้นเรื่องการพัฒนาความสามารถแข่งขัน รัฐบาลถึงได้เงียบไปแต่ก็ยังคิดแจกเงินอยู่ เหมือนต้องการซื่อเสียงเพื่อประคองความนิยมของรัฐบาล

7. รัฐบาลคำนึงความมั่นคงของรัฐบาล มากกว่า อนาคตของประเทศ รัฐบาลได้ออกกฏหมาย และ กฏระเบียบจำนวนมากเพื่อควบคุมประชาชน เพราะห่วงความมั่นคงของรัฐบาลเอง แต่กลับทำลายความน่าเชื่อถือ และความมั่นใจของนักลงทุน ยกตัวอย่าง เช่น พรบ. คอมพิวเตอร์ พรบ. ไซเบอร์ ซึ่งทำลายความคิดสร้างสรรค์และไม่ส่งเสริมธุรกิจเทคโนโลยีสมัยใหม่ ทำให้บริษัทเทคโนโลยีระดับยูนิคอร์นไม่เกิดในไทย นอกจากนี้รัฐบาลยังสับสนระหว่างความมั่นคงของประเทศและความมั่นคงของรัฐบาล และล่าสุดยังมีการเก็บภาษีที่ดินและทรัพย์สินสร้างความปั่นป่วนอย่างมากในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้

8. รัฐบาลเอื้อประโยชน์นายทุนเจ้าสัวมากกว่า ประชาชนส่วนใหญ่ นอกจากเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำแล้ว การขยายตัวส่วนใหญ่ยังไปตกอยู่กับนายทุนเจ้าสัวที่สนับสนุนรัฐบาลทำให้นายทุนเจ้าสัวรวยขึ้นอย่างมาก ในขณะที่ประชาชนกลับจนลง หลายนโยบายของรัฐบาลตั้งใจเอื้อประโยชน์ให้กับนายทุนเจ้าสัวอย่างเต็มที่ การกระจายรายได้ย่ำแย่ และ ความเหลื่อมล้ำของไทยขึ่นอันดับ 1 ของโลก และ ทุกวันนี้รัฐบาลก็ยังเอื้อประโยชน์นายทุนเจ้าสัวอยู่

ทั้งนี้ ปัญหาเศรษฐกิจจะเป็นข้อขัดแย้งนำไปสู่วิกฤตรอบใหม่ได้ เพราะประชาชนเดือดร้อนกันมาก และ จาก 8 ข้อนี้ แสดงว่ารัฐบาลไม่สามารถจะเห็นภาพเศรษฐกิจโดยรวมที่แท้จริงได้ และ รัฐบาลจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ ซึ่งตามหลักการแล้ว รัฐบาลจะไม่สามารถทำให้เศรษฐกิจดีได้ โดยรัฐบาลต้องสร้างความมั่นใจให้เอกชนกล้าลงทุน กล้าใช้จ่าย แต่รัฐบาลสามารถทำให้เศรษฐกิจทรุดได้ และรัฐบาลนี้ได้ทำให้เศรษฐกิจทรุดอย่างหนักแล้ว และรัฐบาลไม่สามารถฟื้นความมั่นใจให้กับประเทศได้อีกต่อไปแล้ว รัฐบาลหมดเครดิตแล้ว ทางแก้ไขเศรษฐกิจและป้องกันวิกฤตที่จะเกิด คือต้องเปลี่ยนรัฐบาลเพียงอย่างเดียว เศรษฐกิจถึงจะฟื้นได้ ทั้งนี้ตนได้เสนอ 7 ข้อเร่งด่วนให้รัฐบาลเร่งแก้ไข ซึ่งมี การยอมรับเศรษฐกิจที่ย่ำแย่เพื่อแก้ปัญหา การเจรจาการค้า การแก้ไขค่าบาทแข็ง การช่วยลดค่าใช้จ่ายของประชาชน การลงทุนมากๆเพื่อพัฒนาความสามารถแข่งขัน การสร้างเศรษฐกิจสมัยใหม่ และ การสร้างความมั่นใจด้วย Rule of Law ซึ่งรัฐบาลควรเร่งดำเนินการ

"ทวี" แนะรัฐใช้พหุวัฒนธรรม แก้ปัญหาชายแดนใต้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ ได้โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้


การแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ของ พล.อ.ประยุทธ์ฯ ที่มองไม่เห็นอนาคตของสันติภาพและสันติสุข!!!

นโยบายและการปฏิบัติในการแก้ไขปัญหา จชต ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา 12 ปี นับแต่ดำรงตำแหน่งเป็นรอง ผบ.ทบ ที่รับผิดชอบแก้ปัญหา จชต เมื่อปี 2550 -2553 เป็น ผบ.ทบ.ในปี 2553-2557 เป็น หน.คสช และนายกรัฐมนตรี ปี 2557-2562 จนถึงปัจจุบัน ที่พล.อ.ประยุทธ์ รับผิดชอบโดยตรงอย่างมีเอกภาพทางกฎหมายและการปฏิบัติในฐานะ ก.อ.รมน.และนายกรัฐมนตรี ต่อเนื่องมาตลอด ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ฯได้ใช้นโยบาย “การทหารนำการเมือง” จากการนำกฎหมายพิเศษด้านความมั่นคงมาใช้พร่ำเพรื่อ ยาวนานเกินความจำเป็น ทำให้แม้ท่านจะพูดปฏิเสธเมื่อถูกถาม แต่ในทางปฏิบัติไม่สามารถปฏิเสธได้

สถานการณ์และปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ต้องยอมรับความจริงว่าเกิดจากผู้ก่อเหตุรุนแรงที่มีความเห็นต่างจากรัฐจำนวนหนึ่งที่มีน้อยมาก ๆ เมื่อเทียบสัดส่วนกับประชาชนคนส่วนใหญ่ในพื้นที่ และเกิดจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐบางส่วนด้วย ซึ่งสาเหตุที่แท้จริงเกิดจากความขัดแย้งที่มีรากเหง้าของปัญหามาจากพื้นฐานบนความสลับซับซ้อน พื้นฐานการแก้ปัญหาต้องเริ่มจากการบริหารและการปกครองที่ประชาชนทุกคนต้องได้รับความปลอดภัยและความเป็นธรรม บนหลักการประชาธิปไตย และสำหรับพื้นที่แห่งนี้ที่มีความแตกต่างหลากหลายทางด้านวัฒนธรรม ความเชื่อและอุดมการณ์ ต้องสามารถอยู่ร่วมกันในสังคม “พหุวัฒนธรรม” ได้อย่างปกติสุขทุกชาติพันธุ์ สามารถมีพื้นที่เข้าถึงอำนาจ ทางสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และความมั่นคง อย่างเสมอหน้ากัน โดยตระหนักถึงการที่จะต้อง “แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง”

ดังนั้น การนโยบายที่ใช้ “การทหารนำการเมือง” ที่รัฐใช้ต่อเนื่องอาจทำให้ประชาชนในพื้นที่โดยเฉพาะที่มีวัฒนธรรมแตกต่างจากผู้นำประเทศและผู้นำทหารมีโอกาสถูกเหมารวมเป็นภัยต่อความมั่นคงได้ ทั้งที่บุคคลทุกคนเป็นพลเมืองไทยที่ร่วมเป็นเจ้าของประเทศด้วยกัน นโยบายดังกล่าว จะมีสภาพเป็น “รัฐซ้อนรัฐ” โดยอ้างคำว่าบูรณาการ แต่ทหารและหน่วยความมั่นคงจะเป็นผู้นำ และมีกฎหมายพิเศษใช้บังคับอยู่เหนือกฎหมายอาญาและกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา รัฐใช้ทรัพยากรในการบริหารและงบประมาณแผ่นดินถูกทุ่มเทไปเพื่อแก้ปัญหาที่อ้างความมั่นคงของรัฐ (ทหาร) มากกว่ากระจายความสุข  อำนาจ สิทธิเสรีภาพ ทรัพยากรที่เป็นต้นทุนทางสังคม และประโยชน์ให้ราษฎรที่เป็นประชาชนพลเมืองของประเทศ ที่ประชาชนต้องมีสิทธิเสรีภาพที่อิสระใช้สติปัญญาความรู้รวมกันเป็นเอกภาพของปวงชนในการอยู่ร่วมกันที่ถือเป็น “ความมั่นคงของประชาชน” ที่มีความจำเป็นและสำคัญยิ่ง

ดังนั้น หากรัฐบาล ของ พล.อ.ประยุทธ์ ยังใช้นโยบาย การทหารนำการเมือง ไม่เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนและสถานการณ์ในพื้นที่ จชต. ก็คงจะมีสภาพไม่ต่างจากเมื่อ 12 ปีที่ผ่านมา จึงไม่มีความหวังที่จะเกิดสันติภาพและสันติสุขที่แท้จริงในพื้นที่ขึ้นได้

การสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินมีทั้งเกิดจาก ผู้ก่อเหตุรุนแรง และเกิดจากการกระทำของทหารและเจ้าหน้าที่รัฐอื่น เช่น เมื่อเร็ว ๆ นี้

- เมื่อวันที่ 5 พ.ย. ที่ผ่านมาคนร้ายได้บุกยิงจุดตรวจ ชุดรักษาความปลอดภัยประจำหมู่บ้าน ที่ตำบลลำพะยา จังหวัดยะลามีผู้เสียชีวิตจำนวน 15 ศพ เป็นประชาชน 14 ศพ และตำรวจ 1 ศพ  หรือ
- เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2562 ทหารใช้อาวุธปืนยิงประชาชน บนภูเขาอาปีเทือกเขาตะเว อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส มีผู้เสียชีวิต 3 ศพ

ทั้ง 2 เหตุการณ์เป็นเรื่องสะเทือนขวัญสร้างความเสียหายกับครอบครัวผู้เสียชีวิตและภาพพจน์ของประเทศ ที่สื่อมวลชนนำเสนอข่าวไปทั่วประเทศและทั่วโลก รวมถึงได้มีการนำเรื่องอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร อาทิล่าสุด  นายกูเฮง ยาวอฮาซัน ส.ส.พรรคประชาชาติ จังหวัดนราธิวาส ตั้งกระทู้สดถามรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม เหตุการณ์ครั้งหลังที่จังหวัดนราธิวาส

ตามคลิป เสนอข่าวรายการโอเวอร์วิว ของอาจารย์ ศิโรจน์ คร้ามไพบูลย์ พิธีกรและนักวิชาการ เผยแพร่ครับ

https://youtu.be/4-FAiZm0FIM

พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง
เลขาธิการพรรคประชาชาติ

วันอังคารที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2562

"เพื่อไทย" จัดโครงการอาสาสมัครร่วมสร้างสิ่งแวดล้อม


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พรรคเพื่อไทย จัดโครงการอาสาสมัครร่วมสร้างสิ่งแวดล้อม “Green Evolution รู้สิทธิ์ รู้ค่า รู้รักษา ให้ยั่งยืน” เพื่อสร้างจิตสำนึกอนุรักษ์ธรรมชาติให้กับเยาวชนและกลุ่มคนรุ่นใหม่


โดย นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในปีนี้รัฐบาลตั้งเป้ามีรายได้ 2.7 ล้านล้านบาท ขณะที่ตั้งเป้ารายจ่าย 3.2 ล้านล้านบาท ซึ่งขาดทุน 4-5 แสนล้านบาท อีกทั้งประเทศไทยไม่มีเงินออม ทั้งที่มีทรัพยากรที่สร้างมูลค่าเพิ่ม สร้างรายได้ได้อย่างมหาศาล เช่น ไม้มีค่า หากรัฐบาลเริ่มปลูกไม้มีค่าในปีนี้ ทั้งไม้สัก ไม้พยุง จำนวน 40 ล้านต้น ในอีก 40 ปีข้างหน้าสามารถตัดได้ มูลค่าจะอยู่ที่ต้นละ 30,000 บาท จะสร้างรายได้ให้กับรัฐบาลได้ประมาณ 1.2 ล้านล้านบาท


นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การอนุรักษ์ด้านสิ่งแวดล้อม ต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาเมืองที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการพัฒนาสังคมที่ยั่งยืน ไม่ทิ้งภาระไว้ให้คนรุ่นหลัง ซึ่งมีหลากหลายวิธี

“ประเทศไทยควรนำจุดเด่นของแต่ละพื้นที่สร้างเป็นคาแรคเตอร์ของแต่ละจังหวัด ต่อยอดเป็นโมเดลธุรกิจ เหมือนที่ญี่ปุ่น ประกาศให้ทุกจังหวัดสร้างคาแรคเตอร์ของตัวเองเพื่อนำไปสู่ท่องเที่ยว ซึ่งบ้านเรามีของดีมากมาย อย่างลิงลพบุรี หรือ พญานาคในบางจังหวัดของภาคอีสาน สามาถสร้างคุณค่า สร้างรายได้ทางเศรษฐกิจจากสิ่งที่เรามีอยู่ได้” นายรัฐภูมิ กล่าว


นางสาวสกุณา สาระนันท์ ส.ส.สกลนคร เขต 5 กล่าวว่า จังหวัดสกลนครติดอันดับยากจนที่สุดในประเทศไทย ทั้งที่มีความหลากหลายทางชีวภาพเป็นลำดับต้นๆของประเทศ เป็นต้นทุนทางเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น ต้นคราม ที่สามารถแปรรูปเป็นผ้าย้อมครามสร้างรายได้ ตนจึงอยากผลักดันให้ชาวสกลนครนำเทคโนโลยีสร้างมูลค่าของสินค้า และนำนวัตกรรมมายกระดับผ้าย้อมคราม สร้างรายได้เข้าจังหวัดและผลักดันให้สกลนครหลุดพ้นจากความยากจน


สำหรับโครงการอาสาสมัครร่วมสร้างสิ่งแวดล้อม “Green Evolution” รู้สิทธิ์ รู้ค่า รู้รักษา ให้ยั่งยืน เพื่อสร้างจิตสำนักในอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้กับเยาวชน โดยเยาวชนเสนอให้รัฐส่งเสริมการใช้รถไฟฟ้าและลดภาษีการนำเข้ารถไฟฟ้า , ส่งเสริมโครงการ OPOT (one person one tree) และบังคับใช้กฎหมายตัดไม้ทำลายป่าอย่างเคร่งครัด ซึ่งข้อคิดเห็นดังกล่าว พรรคเพื่อไทยจะนำไปวางนโยบายหรือนำเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรในอนาคต


กิจกรรมในครั้งนี้จัดขึ้นที่อุทยานแห่งชาติภูพาน และโรงแรม พีซี แกรนด์ พาเลซ จ.สกลนคร โดยมี ส.ส.พรรคเพื่อไทยและสมาชิกกลุ่มเพื่อไทยพลัสเข้าร่วมโครงการ อาทิ น.ส.สกุณา สาระนันท์ นายอภิชาต ตรีสวัสดิชัย นายพัฒนา สัพโส ส.ส.สกลนคร นายกฤษฎา ตันเทอดทิตย์ น.ส.ชนก จันทาทอง ส.ส.หนองคาย นายรัฐภูมิ โตคงทรัพย์ รองโฆษกพรรค น.ส.ประภาพร ทองปากน้ำ น.ส.ชญาภา สินธุไพร น.ส.อภิญญ์พงษ์ บุญศล น.ส.วงศ์อะเคื้อ บุญศล สมาชิกกลุ่มเพื่อไทยพลัส และ ผศ.ดร.อรุณี กาสยานนท์ วิทยากรโครงการ






วันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2562

"ชัชชาติ" เยือนนครไทเป ดูงานบริหารจัดการเมือง

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้


ผมได้รับเชิญจากสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย ให้มาดูงานวิชาการเกี่ยวกับการบริหารจัดการเมืองที่นครไทเป เกาะไต้หวัน

ผมมาไทเปครั้งล่าสุดเมื่อปีที่แล้ว มีความรู้สึกว่ามีอะไรหลายอย่างที่คล้ายเมืองไทย เช่น อาหารรถเข็น Street Food รถมอเตอร์ไซค์ที่เยอะมาก ลักษณะบ้านเมือง ห้องแถวและคิดว่าน่าจะมีอะไรที่นำมาปรับใช้กับบ้านเรา โดยเฉพาะกรุงเทพฯได้


ผมมาถึงคืนเมื่อวาน วันนี้ได้ไปดูงานหลายที่ เลยขอเอามาเล่าให้พวกเราฟังกันนะครับ

1. ดูโครงการรถไฟฟ้า Danhai Light Rail Transit

ในนครไทเป มีรถไฟฟ้าหลักคือรถไฟ MRT หรือ Taipei Metro มีสายหลัก 5 สาย จำนวน 117 สถานี ระยะทางประมาณ 130 กม
รถไฟฟ้า MRT นี้ ทั้งระบบเป็นของนครไทเป ค่าตั๋วถ้าซื้อเป็นรายเที่ยวแล้ว ราคาอาจจะไม่ต่างจากรถไฟฟ้าใน กทม.มากนัก อยู่ระหว่าง 20-65 NT หรือประมาณ 23-75 บาทแต่ถ้าซื้อเป็นตัวเดือนแล้วจะราคาถูกมากคือ 1,280 NT หรือประมาณ 1,485 บาทต่อเดือน ขึ้นได้ไม่อั้นทั้งรถเมล์ รถไฟฟ้า MRT รถไฟฟ้า LRT

ปัญหาของ กทม.คือรถไฟฟ้ามีหลายเจ้าของ ทั้ง รฟม. กทม. การรถไฟ แอร์พอร์ตลิงค์ ค่าโดยสาร แต่ละระบบต่างคนต่างเก็บ ทำให้โดยรวมแล้วยังแพงมาก ไม่มีการเชื่อมโยงกับระบบอื่น เช่น รถเมล์

ที่ผมมาดูงานนี่ เป็นรถไฟฟ้าระบบ Light Rail ที่ต่อมาจากรถไฟฟ้า MRT ที่สถานี Hongshulin เป็นรถไฟฟ้าที่วิ่งแถบชานเมืองและเป็นของเมืองนิวไทเป ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ในเขตพื้นที่รอบๆเมืองไทไป วิ่งไปแถบชานเมืองจำนวน 11 สถานี ส่วนใหญ่วิ่งไปในย่านที่พักอาศัยและเขตเมืองใหม่

ที่รถไฟฟ้า Light Rail น่ารักตรงที่เขาเอาผลงานของศิลปินจิมมี่ เหลียว (Jimmy Liao) นักวาดภาพชาวไต้หวันและนักเขียนหนังสือภาพ มาเป็นธีมของการตกแต่งรถไฟและสถานี ทำให้เป็นจุดขายสำหรับนักท่องเที่ยวได้

ที่น่าสนใจอีกเรื่องคือสถานีรถไฟ จะมีผู้สูงอายุมาช่วยทำงานเป็นอาสาสมัครในการช่วยแนะนำผู้โดยสารในการใช้รถไฟฟ้า เป็นวิธีการที่น่าสนใจที่ผู้สูงอายุยังสามารถมีกิจกรรมที่ Active และเป็นประโยชน์ต่อสังคมได้


2. ดูสถานที่จอดรถอัจฉริยะ Smart Parking ของเมืองนิวไทเป

ที่จอดรถนี้สร้างอยู่ใต้สนามของโรงเรียน Sanshung Vocational High School มีเนื้อที่ประมาณ 5 ไร่ เป็นที่จอดรถใต้ดินสองชั้น จอดรถได้ 500 คัน มอเตอร์ไซค์ 50 คัน
โดยด้านบนยังคงเป็นสนามของโรงเรียนอยู่ การออกแบบใช้ระบบ Smart Parking คือไม่ต้องรับบัตร กล้องจะอ่านทะเบียนรถอัตโนมัติ และรู้เลยว่ารถเราไปจอดช่องไหน
จ่ายเงินที่ตู้อัตโนมัติ ถ้าจำที่จอดไม่ได้ สามารถกดเลขทะเบียนถามตำแหน่งช่องจอดจากเครื่องได้ แทบจะไม่ต้องใช้คนในการดูแลที่จอดรถเลย

การออกแบบมีการใช้ระบบแสงกับการระบายอากาศแบบธรรมชาติ ทำให้ประหยัดพลังงานในการจัดการไปได้มาก มีห้องน้ำสาธารณะที่สะอาดให้คนใช้ได้ มีห้องน้ำสำหรับเด็กแยกต่างหาก

ผมว่าแนวคิดนี้น่าสนใจในการใช้ที่ดินใต้ดินให้เป็นประโยชน์ได้ ไม่เสียพื้นที่สีเขียวหรือสวนสาธารณะด้านบนไป สามารถใช้พื้นที่ใต้ดินให้เป็นประโยชน์และออกแบบให้ประหยัดพลังงานได้ ในกรุงเทพฯที่เห็น เช่นที่จอดรถใต้สนามฟุตบอลของ มศว.ประสานมิตร


3. เข้าพบรัฐมนตรี Audrey Tang รมต.ดิจิตัล

ผมได้พบมาพบท่านที่ไต้หวันครั้งหนึ่งแล้วเมื่อปีที่แล้ว และได้พบท่านอีกสองครั้งตอนที่ท่านได้ไปบรรยายที่เมืองไทย ท่านเป็นคนเก่งมากๆ มาเจอกันครั้งนี้ ท่านได้พาชม Social Innovation Lab ซึ่งเป็นที่ที่ให้กลุ่ม Startup ที่มีโครงการต่างๆที่ช่วยแก้ปัญหาของสังคมมาทำงาน โดยมีที่ทำงาน มี Maker Space ที่รวมอุปกรณ์ต่างๆพวกเครื่องพิมพ์สามมิติ งานไม้ งานไฟฟ้า อุปกรณ์ในการสร้างของต่างๆ โดยท่าน รมต.เองจะมานั่งที่สำนักงานนี้ทุกวันพุธ และทุกๆคนสามารถนัดเจอเพื่อแลกเปลี่ยนความเห็นกันได้


ผมว่า Social Innovation Lab แบบนี้น่าสนใจ และควรจะมีในกทม.เพื่อให้เป็นการสร้างระบบนิเวศหรือ Ecosystem สำหรับการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ และให้ผู้บริหารได้มารับฟังความคิดเห็นต่างๆโดยตรง ท่าน รมต.Audrey แนะนำเคล็ดลับว่า หัวใจของความสำเร็จคือต้องมีครัวที่ดี ถ้ามีอาหารอร่อยๆ คนจะมีแรงคิดสิ่งใหม่ๆ ตอนที่แวะไป มีนักเรียนกลุ่มหนึ่งกำลังมาทัศนศึกษาและลองทำแกงกะหรี่หมูอยู่ในครัวกลาง ทำเสร็จแล้วเอามาให้พวกเราชิม อร่อยใช้ได้ทีเดียว

ส่วนตอนเย็นมีการทานข้าวหารือร่วมกันกับคณะใหญ่ที่ทำงานด้าน การจราจรขนส่ง การพัฒนาระบบน้ำ การป้องกันภัยพิบัติ สถาบันด้าน ICT ซึ่งหลายๆเรื่องน่าจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนา กทม.ในอนาคต

พรุ่งนี้มีดูงานอีกหลายที่ เดี๋ยวจะเอามาเล่าให้พวกเราฟังอีกนะครับ

"สุดารัตน์" ลงพื้นที่สำเพ็ง ห่วงทุนต่างชาติกระทบผู้ค้า


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ุ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยนายประเดิมชัย บุญช่วยเหลือ ส.ส.กทม. นายสุรชาติ เทียนทอง อดีตส.ส.กทม. นายตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส เลขาธิการกลุ่มเพื่อไทยพลัส และทีมงานพรรคเพื่อไทย ลงพื้นที่ย่านสำเพ็งเพื่อพบปะผู้ประกอบการค้า โดยได้หารือร่วมกับนายไชยยศ รุ่งเจริญชัย ในฐานะนายกสมาคมพ่อค้าผ้าไทย และตัวแทนผู้ประกอบการค้าย่านสำเพ็ง

.
คุณหญิงสุดารัตน์กล่าวว่า วันนี้รู้สึกยินดีที่ได้มีโอกาสมาเยี่ยมและพบปะผู้ค้า ซึ่งเป็นการมาพูดคุยเพื่อรับฟังปัญหาที่เกิดขึ้นจริง และถึงแม้พวกเราพรรคเพื่อไทยจะไม่ได้เป็นรัฐบาลแต่เราก็มีกลไกของสภาที่ทำงานนำปัญหาเหล่านี้เข้าไปแก้ปัญหาให้ประชาชนได้
.
ที่ผ่านมาตนเองได้ลงพื้นที่เดินตลาด ย่านการค้าในหลายจังหวัด เห็นสภาพเศรษฐกิจความเงียบเหงาที่เกิดขึ้น ในกรุงเทพมหานครก็ได้มีโอกาสไปพูดคุยกับผู้ค้าที่ประตูน้ำ และ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ต้องบอกว่าเวลานี้ “วิกฤตเศรษฐกิจ” ของจริงกำลังเกิด พรรคเพื่อไทยก็พยายามที่จะเสนอให้มีการออกกฎหมายเพื่ออำนวยความสะดวกในแง่แหล่งทุน สำหรับผู้ประกอบการรายย่อย


ขณะที่ตัวแทนจากสมาคมพ่อค้าผ้าไทย เปิดเผยถึงปัญหาในการค้าปัจจุบันว่า หากมีนโยบายจากภาครัฐในการสนับสนุนการค้า ดึงดูดให้คนบริโภคเสื้อผ้าของไทยเอง น่าจะช่วยให้เม็ดเงินจากอุตสาหกรรมเสื้อผ้า สิ่งทอได้รับอานิสงส์มากขึ้น โดยจัดเป็นอีเว้นต์ หรือมีมาตรการส่งเสริมที่ชัดเจน เพราะเรื่องคุณภาพการตัดเย็บ ต้องบอกว่าไทยก็มีคุณภาพไม่ต่างจากประเทศคู่แข่งอื่นๆ

.
ผู้ค้างบางรายยังสะท้อนปัญหา นโยบายค่าแรงขั้นต่ำว่าเหตุใดจึงต้องมีการกำหนดค่าแรงขั้นต่ำ ทำไมถึงไม่เปิดให้ค่าแรงเสรี ให้ตลาดต้นทุนของเราขยับไปตามกำลังซื้อและสะท้อนต้นทุนการผลิตที่แท้จริง อีกปัญหาคือมีต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจแข่งขันกับผู้ค้าของไทย เป็นเสมือนการแย่งอาชีพ แถมประกอบธุรกิจโดยที่ไม่ต้องจดทะเบียน ทำให้มีช่องว่างเรื่องของภาษีที่ได้เปรียบผู้ประกอบการค้าที่จดทะเบียน มีการออกบัตรประชาชนให้โดยง่าย และสินค้าที่นำเข้าก็ได้เปรียบเรื่องภาษีด้วย
.
“สำเพ็งกลางคืน มีการจัดการ โดยคนต่างชาติ ซึ่งส่งผลกระทบกับคนในพื้นที่ เพราะมีการขายของลดราคามาก แถมยังเข้ามาแบบผิดกฎหมาย มีคนมีสีช่วยเหลือ จึงอยากเสนอให้ต้องปราบคนจีนไม่ให้มาแย่งอาชีพคนไทย อย่าให้คนตึ่งซัวมาแย่งตึ่งนั้ง” ตัวแทนผู้ประกอบการกล่าว
.
อีกปัญหาใหญ่ที่ผู้ค้ามองว่า “เผาจริง” เศรษฐกิจของไทยคือ อีอีซี ที่เปิดให้เอกชนรายใหญ่ของจีน สามารถเข้ามาค้าขาย ได้อย่างเสรี ปลอดภาษีนำเข้า แต่ในขณะที่ผู้ค้ามีภาระเรื่องภาษี และยังมีเงื่อนไขต่างๆที่อำนวยความสะดวกต่างชาติ แต่คนไทยกลับมีภาระและเงื่อนไขในการประกอบกิจการเยอะมาก

.
คุณหญิงสุดารัตน์ เผยว่า พรรคเพื่อไทยกำลังทำการคัดค้านในประเด็นต่างๆที่เป็นผลกระทบจากอีอีซี เพื่อให้นำเข้าไปแก้ไขปัญหาผ่านกระบวนการของสภาผู้แทนฯ ซึ่งสภา เป็นพื้นที่ถกเถียงให้ฝ่ายต่างๆได้เห็นปัญหา เราจำเป็นต้องบอกกล่าวให้ทั้งภาครัฐและสาธารณะชนได้รับรู้ เราได้ขอให้แก้ไขปัญหาตรงนั้นเพราะไม่เช่นนั้นจะกระทบไปถึงเอสเอ็มอี เกษตรกรฐานราก กระทบไปหมดจากการเข้ามาของเอกชนรายใหญ่จีน ซึ่งก็คือ อาลีบาบา
.
“การเข้ามาของอาลีบาบาทำให้ธุรกิจขนาดเล็กและอื่นๆของไทยจะตาย เกษตรกรของไทยตายหมด การเอื้อประโยชน์ของรัฐบาลให้กลุ่มทุนเหล่านี้ ไม่ได้คำนึงถึงสิทธิประโยชน์ของประชาชน การเข้ามาจะทำใหการค้าออนไลน์ตายด้วย โรงงานเล็กๆตายเรียบ เรื่องเหล่านี้จะเข้าไปสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ซึ่งเขาไม่ยอมรับว่าเป็นปัญหา ผู้ค้ากลายเป็นเหมือนคนแขนกุดแขนด้วนเลยทันที”

.
สำหรับประเด็นการเข้ามาของต่างชาติและประกอบธุรกิจโดยอาศัยช่องว่างกฎหมาย คุณหญิงสุดารัตน์เสนอว่า เรื่องนี้ต้องให้สื่อมวลชนเข้ามาช่วยตรวจสอบ นำเสนอเป็นประเด็นให้รัฐได้รับทราบ เพื่อการแก้ไขปัญหาที่เป็นรูปธรรม เป็นการกดดันอีกทางหนึ่งให้รัฐต้องเข้ามาแก้ไขปัญหาโดยเร่งด่วน

.
ในตอนท้ายของการหารือ ผู้ค้าฝากให้คุณหญิงสุดารัตน์ เข้ามาช่วยแก้ปัญหาการเข้ามาค้าขายของต่างชาติที่ไม่จดทะเบียน อยากให้ทำอีเว้นต์เมดอินไทยแลนด์ ให้เห็นตั้งแต่อุตสาหกรรมสิ่งทอตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ จนปลายน้ำ โดยรัฐต้องระบุว่าจะทำในช่วงไหนเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจน ยูนิฟอร์ม โดยเฉพาะเส้นด้ายเอกชนสามารถที่จะทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ

.
“วันนี้ต่างชาติเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทย เพราะเขาได้ประโยชน์มหาศาลจากนโยบายของเรา ในขณะที่คนไทยไม่ได้เชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจตนเอง” ผู้ค้ารายหนึ่งกล่าว

"เพื่อไทย" โวย ศึกเลือกตั้งซ่อมขอนแก่น สุจริตหรือไม่?

"อนุสรณ์" ถาม กกต. เลือกตั้งซ่อมขอนแก่น สุจริตและเที่ยงธรรม หรือไม่?


นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงผลการเลือกตั้งซ่อม เขต 7 จังหวัดขอนแก่น ว่า ประชาชนทั้งประเทศ ไม่สบายใจที่เห็นภาพการปักธงและหมายเลขของผู้สมัครพรรคพลังประชารัฐบนโต๊ะทำงานของกกต.ในขณะรับเรื่องร้องเรียนการทุจริตการเลือกตั้ง จนถูกตั้งคำถามถึงการวางตัวของเจ้าหน้าที่รัฐว่าเป็นกลางหรือไม่ คลิปภาพรถฮัมวี่และรถของหน่วยทหาร ออกมาวิ่งเพ่นพ่านกดดันบรรยากาศการเลือกตั้งเต็มเมือง รวมถึงการใช้รถเหล่านี้ในการติดตามการการหาเสียงของพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล ถ้าบริสุทธิ์ใจทำไมต้องปิดแผ่นป้ายทะเบียน กำนันผู้ใหญ่บ้านเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองที่แทรกแซงการเลือกตั้ง โดยเฉพาะการกาบัตรลงคะแนนแทนประชาชนที่ออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งของตัวเอง พฤติกรรมเหล่านี้ อยากถามกกต.ว่า ท่านจะรับรองให้การเลือกตั้งซ่อมขอนแก่นครั้งนี้ เป็นการเลือกตั้งที่สุจริตและเที่ยงธรรมหรือไม่

"พรรคเพื่อไทย ยอมรับการตัดสินใจของประชาชน แต่ขอตั้งคำถามว่า เราจะอยู่กันท่ามกลางกติกาการเลือกตั้งและการบังคับใช้กฎหมายที่บิดเบี้ยวแบบนี้ได้จริงหรือ เรารับได้กับการมีธงของกกต. รับได้กับการใช้ทรัพยากรของกองทัพมากดดันการเลือกตั้งได้จริงหรือ?" นายอนุสรณ์ กล่าว

"เพื่อไทย" ขอบคุณทุกคะแนนเสียงอันบริสุทธิ์

"เพื่อไทย" ขอบคุณทุกคะแนนเสียงอันบริสุทธิ์ ที่เลือกผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย 


นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงผลการเลือกตั้งซ่อม เขต 7 จังหวัดขอนแก่น ว่า
พรรคเพื่อไทย ขอขอบพระคุณทุกคะแนนเสียงอันบริสุทธิ์ที่ได้มอบให้กับผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย ในการเลือกตั้งซ่อมจังหวัดขอนแก่น ถือเป็นชัยชนะของประชาชนที่ได้ทำให้คนไทยทั้งประเทศรู้ว่า มีประชาชนเห็นต่างและยืนตรงข้ามรัฐบาลจำนวนมาก ประชาชนเลือกผู้สมัครของพรรคฝ่ายค้าน ให้ไปทวงสัญญานโยบายที่รัฐบาลหาเสียงและแถลงนโยบายไว้ แต่ไม่สามารถทำได้ ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำทุกรายการ ตอนหาเสียงเลือกตั้งใหญ่ ประกาศข้าวตันละ 18,000 บาท อ้อย ตันละ 1,000 บาท ราคาจริงตกต่ำและทำไม่ได้ ค่าแรงขั้นต่ำ 425 บาท ปรับจริงแค่ 5-6 บาท ลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 10% กลายเป็นแค่การยกตัวอย่างช่วงหาเสียง มารดาประชารัฐที่จะให้เงิน ตั้งแต่รู้ว่าตั้งครรภ์ ยังไม่สามารถแจกใครได้ เบี้ยผู้สูงอายุ 1,000 บาท สารภาพว่าให้ไม่ได้ เพราะรัฐบาลไม่มีเงิน การเลือกตั้งเป็นช่องทางหนึ่งที่ได้ให้ประชาชนแสดงความรู้สึกและประเมินผลงานรัฐบาล ผลคะแนนที่เบียดกันมาก อย่าฉวยโอกาสทึกทักว่า ประชาชนพึงพอใจผลงานรัฐบาล เลยไม่คิดจะปรับปรุงการทำงานให้ดีขึ้น คนที่ติดตามการเมืองทราบดี รัฐบาลบอบช้ำแค่ไหน กว่าจะผ่านประชาชนฝ่ายประชาธิปไตยในสนามเลือกตั้งซ่อมนี้มาได้ ถ้าโมเดล ไม่ต้องหาเสียง ไม่ต้องปราศรัยย่อย ไม่ต้องนำเสนอนโยบาย ไม่ต้องขายพรรค กลัวคนจะรู้ว่าเป็นผู้สมัครจากพรรคอะไร ถึงวันเลือกตั้งค่อยใช้วิธีบริหารจัดการแบบพิเศษ แล้วสามารถมีผลคะแนนที่ดีได้ อาจจะเป็นโมเดลการเลือกตั้งของพรรครัฐบาลต่อไป ในสนามนี้ผู้สมัครของพรรคเพื่อไทยขอสงวนสิทธิ์ ในการที่จะร้องให้มีการตรวจสอบการเลือกตั้งที่อาจไม่สุจริตและเที่ยงธรรมต่อไป

"พรรคเพื่อไทย หัวใจคือประชาชน เชื่อมั่นว่าการเดินเข้าหาและฟังเสียงประชาชน ทำให้ได้ผลคะแนนที่ใสสะอาด ทุกคะแนนคือความภาคภูมิใจที่ได้ยืนหยัดเคียงข้างประชาชน ส่วนพรรคที่ได้คะแนนมากกว่า ประชาชนถามว่า มีความสุขจริงหรือกับที่มาของคะแนนที่เต็มไปด้วยข้อกังขา ทั้งการใช้อำนาจรัฐ การวางตัวของเจ้าหน้าที่ไม่เป็นกลาง ได้เปรียบขนาดนี้ยังลุ้นเหนื่อยกว่าจะผ่านฝ่ายประชาธิปไตย "นายอนุสรณ์ กล่าว

"สุดารัตน์" เผย ร้องไห้ทุกครั้ง หลังกลับจากหาเสียง

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้


#ขอกราบคารวะหัวใจพี่น้องเพื่อไทยเขต7

หน่อยขอเป็นตัวแทน #ทีมเพื่อไทย ทุกคน ขอกราบขอบพระคุณพ่อแม่พี่น้องชาวหนองเรือ และมัญจาคีรี ทุกท่านที่ได้มอบคะแนนให้ เบอร์ 1 “ธนิก มาสีพิทักษ์” เพื่อไทย ในการเลือกตั้งซ่อม เขต7 ขอนแก่นในครั้งนี้อย่างสูงค่ะ

แม้ว่าหนนี้จะไม่ใช่ชัยชนะของทีมเพื่อไทย แต่เรา #ทีมเพื่อไทย. จะยังคงทำงานอย่างหนัก เพื่อพี่น้องต่อไปอย่างซื่อสัตย์

หน่อยขอสัญญาว่า เราจะไม่ทอดทิ้งพี่น้องให้ต่อสู้กับความยากจน ความยากลำบากอย่างโดดเดี่ยว เราจะจับมือร่วมสู้ไปด้วยกัน

ตลอดระยะเวลา 20 กว่าวันที่หน่อยได้ลงพื้นที่ในเขตหนองเรือและมัญจาคีรี

หน่อยได้มองเห็นความทุกข์ของพี่น้องผ่านสายตา ผ่านใบหน้าที่อาบไปด้วยน้ำตาของพี่น้อง

หน่อยสารภาพเลยค่ะ ว่า ไม่มีวันไหนเลยที่กลับจากการหาเสียง แล้วหน่อยจะไม่ร้องไห้ เพราะตลอดทั้งวันที่ออกไปพบพี่น้อง หน่อยได้ซึมซับและรับเอาความทุกข์ของพี่น้อง มาไว้เต็มหัวใจของหน่อยทุกวัน

หน่อยพยายามที่จะเข้าไปกอดพี่น้องทุกคน ที่หน่อยได้พบให้มากที่สุดเพราะหน่อยอยากจะปลอบใจ และให้กำลังใจพี่น้องของหน่อยทุกคน ให้อดทนต่อสู้กับชีวิตที่ยากลำบากนี้ หน่อยยืนยันว่าจะไม่มีวันทอดทิ้งพี่น้องอย่างเด็ดขาด

เราจะสู้ไปด้วยกัน ขอพี่น้องอดทน
และ #สู้ไปด้วยกันเด้อ

หน่อย “ขอให้เราเหนียวแน่นคือปั้นข้าวเหนียว” ที่เป็นคำกล่าวของผู้เฒ่าผู้แก่คนอีสาน แบบนี้ตลอดไปนะคะ

จะขอกลับไปกินส้มตำแซบๆกับพี่น้องอีกหลายๆมื้อเด้อค่ะ...

#เพื่อไทยหัวใจคือประชาชน
#สู้ไปด้วยกันเด้อ

วันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2562

"ทวี" แนะ "ประยุทธ์" หยุดสืบทอดอำนาจ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ ได้โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้


พล.อ.ประยุทธ์ฯ นายกรัฐมนตรี กำลังเห็นดีเห็นงามกับเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนว่าเป็นเรื่องถูกต้อง!!!

พล.อ.ประยุทธ์จะพร่ำพูดอยู่เสมอว่าทุกคนต้องปฏิบัติตามกฎหมาย คำพิพากษา หรือคำสั่ง ของศาลโดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญ และองค์กรอิสระ แต่ไม่ได้พูดถึงว่า องค์กรอิสระต่างๆ และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ล้วนถูกแต่งตั้งมาจาก พล.อ.ประยุทธ์ ที่ถือเป็นผู้มีบุญคุณต่อกันอย่างมาก และคำว่ากฎหมายในความหมายของพล.อ.ประยุทธ์นั้นหมายถึงคำสั่งและประกาศของตนเอง ที่ส่วนใหญ่ไม่ผ่านกระบวนการนิติบัญญัติที่ถูกต้องชอบธรรมและขัดต่อหลักการพื้นฐานที่สำคัญของ หลักนิติธรรม

การที่ พล.อ.ประยุทธ์ เรียกร้องให้ประชาชนโดยเฉพาะผู้ที่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับตนในทางการเมืองต้องเคารพกฎหมายและยอมรับการชี้ขาดตัดสินของศาลและองค์กรอิสระทั้งหลายที่อยู่ในความครอบงำของอำนาจที่มาอย่างไม่เป็นธรรม จึงเท่ากับเป็นการบังคับให้เคารพสิ่งที่ขัดกับหลักนิติธรรมโดยสิ้นเชิงนั่นเอง

เรื่อง “ความยุติธรรม” มีความสำคัญที่สุดในการอยู่ร่วมกันในสังคม ดังนั้น กฎหมาย กระบวนการยุติธรรม และผู้บังคับใช้กฎหมายต้องเกิดขึ้นเพื่อรักษาผลประโยชน์สูงสุดของปวงชนมากที่สุด ไม่ใช่รักษาผลประโยชน์ของผู้มีอำนาจหรือการสืบทอดอำนาจ มิเช่นนั้น จะกลายเป็นการสร้างความไม่เป็นธรรม ดังคำกล่าวที่ว่า

“อาชญากร ไม่ได้ก่อให้เกิดเฉพาะอาชญากรรม แต่รวมไปถึงกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรมทั้งหมดอีกด้วย”

หลักการที่ว่า ‘กฎหมายที่ยุติธรรมต้องได้รับการบังคับใช้โดยผู้ที่ซื่อสัตย์และยุติธรรม’ เพื่อให้บุคคลทุกคนต้องได้รับความเป็นธรรมทางกฎหมายและความเสมอภาคภายใต้กฏหมาย ดังนั้น ผู้ที่ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระต่างๆ และตุลาการ จะต้องไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนที่เรียกกันว่า ‘หลักการขัดกันแห่งผลประโยชน์’นั้นเอง

จึงถึงเวลาแล้วที่ต้องปฏิรูปองค์กรอิสระต่างๆ และตุลาการรัฐธรรมนูญ รวมถึงผู้บังคับใช้กฎหมายให้โดยปราศจากการขัดกัน แห่งผลประโยชน์ ให้มีกระบวนการสรรหาเพื่อให้ได้ผู้มีความซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์ มีความรู้ ความสามารถ มีความปราชญ์เปรื่อง และที่สำคัญมีที่มาที่เชื่อโยงกับประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยด้วย

https://www.ryt9.com/s/iq02/3078183

พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง
เลขาธิการพรรคประชาชาติ

วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2562

"อนุสรณ์" อัดรัฐบาลไม่อยากแก้รัฐธรรมนูญ


นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาหลักเกณฑ์และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยปี 2560 จำนวน 49 คน ว่า รัฐบาลจริงใจแค่ไหนในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ สังเกตได้จากรายชื่อกรรมาธิการในสัดส่วนของรัฐบาลและพรรคพลังประชารัฐ เต็มไปด้วยคนไม่อยากแก้รัฐธรรมนูญมากกว่าคนที่อยากแก้ ตั้งใจส่งคนมาป่วน มากกว่าส่งคนมาทำงานที่จะนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ประชาชนอยากเห็นการตั้งใจศึกษาหาวิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มากกว่าการซื้อเวลาไปเรื่อยๆโดยยังคงดำรงเป้าหมายเดิมของรัฐบาลคือจะอย่างไรก็ตาม ต้องไม่ให้มีการแก้รัฐธรรมนูญเกิดขึ้น บุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งประธานกรรมาธิการศึกษาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ ควรเป็นบุคคลที่มองเห็นปัญหาจากการใช้รัฐธรรมนูญ มีความเป็นกลางทางการเมือง มีชุดความคิดที่มีมาตรฐาน มีวุฒิภาวะ เคารพและฟังเสียงประชาชน

"รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ เผชิญวิกฤติศรัทธารอบด้าน แต่ที่ยังอยู่ได้เพราะรัฐธรรมนูญช่วยไว้ รัฐบาลจึงพิทักษ์รักษาหวงแหนรัฐธรรมนูญฉบับนี้เต็มที่ เพราะตัวเองได้ประโยชน์ ทำอะไรอย่าคิดว่าคนรู้ไม่ทัน" นายอนุสรณ์ กล่าว

"เพื่อไทย" เตือน "อภิรัชต์" หยุดจุดไฟความขัดแย้ง


นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ระบุ วิ่งไล่ลุง มีผู้อยู่เบื้องหลัง สร้าง Proxy crisis ทำสงครามต่อสู้รัฐ ว่า ถือเป็นแอ๊คชั่นมันส์ๆเรียกเรตติ้งปรกติของผบ.ทบ. จนคนสงสัยว่า ระหว่างภารกิจสนับสนุนรัฐบาลสืบทอดอำนาจ กับงานในหน้าที่ผบ.ทบ.พัฒนากองทัพ ท่านแบ่งสัดส่วนการทำงานอย่างไร พล.อ.อภิรัชต์ อย่าพูดในลักษณะตีหัวเข้าบ้าน ตีกินทางการเมือง ถ้ามีข้อมูลอยู่จริง บอกชื่อมาเลยว่า ใครอยู่เบื้องหลังสร้างสงครามต่อสู้รัฐ อย่ากล่าวหาคนอื่น โดยไม่รับผิดชอบ ทหารมืออาชีพต้องกลับเข้ากรมกอง อย่านำองค์กรทหารมาเป็นคู่ขัดแย้งทางการเมือง จุดไฟความขัดแย้งขึ้นเสียเอง

"พล.อ.อภิรัชต์ มาแล้วก็ไป องค์กรทหารต้องเป็นทหารมืออาชีพ รักชอบรัฐบาลไหน ก็ต้องระมัดระวัง ประเทศบอบช้ำ เพราะคนไม่รู้จักบทบาทหน้าที่ของตัวเองมามากแล้ว" นายอนุสรณ์ กล่าว

“หมอชลน่าน” สับ ส.ว.หวงอำนาจ-ไม่ร่วมมือแก้รธน.

“หมอชลน่าน” สับ ส.ว.หวงอำนาจไม่ร่วมมือแก้รธน. รับได้หาก“พีระพันธ์”นั่งประธานหวังกมธฯ ตอบรับความหวังประชาชน


นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่ประชุมสภาเห็นชอบในการตั้งคณะกรรมาธิการศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ถือว่าเป็นเรื่องดีที่ทุกพรรคการเมืองเห็นพ้องต้องกันว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้มีปัญหาในทางปฏิบัติต้องแก้ไข  ส่วนใครจะมานั่งเป็นประธานคณะกรรมาธิการฯซึ่งจากรายชื่อของคณะกรรมาธิการพบว่าเป็นหลายคนเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ เป็นไปตามที่ประชาชนคาดหวัง

ส่วนกระแสข่าวที่ว่ารัฐมนตรีจะเสนอรายชื่อนายพีระพันธุ์   สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี  และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (ยธ.) เข้ามาทำหน้าที่ประธานคณะกรรมาธิการนั้นก็ไม่มีปัญหา  เพราะเป็นคนที่มีประสบการณ์ ทั้งทางการเมืองและการบังคับใช้กฎหมาย   รวมทั้งมีความเป็นกลางทางการเมือง ที่ทุกพรรครับได้  ที่สำคัญไม่ว่าใครที่จะเข้ามานั่งในเป็นประธานคณะกรรมาธิการชุดนี้ต้องมีความเป็นกลาง  สามารถนำความเห็นทุกฝ่ายเข้ามาร่วมกันทำงานได้  โดยสรุปหากไม่มีตัวเลือกที่ดีกว่านี้ เชื่อว่าทางพรรคเพื่อไทยรับได้หากนายพีระพันธุ์เป็นประธานคณะกรรมาธิการ
 
นายแพทย์ชลน่าน กล่าวด้วยว่า การแก้ไขนั้นทางพรรคฝ่ายค้านเห็นควรให้มีการเปิดทางในการแก้ไขมาตรา 256 ไว้ เพื่อจะได้มีการตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ หมายถึงการเปิดทางให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ แต่กังวลว่าฝ่ายวุฒิสภาจะไม่เห็นด้วย ดังนั้นการแก้ไม่ง่ายเพราะวุฒิสภาคงไม่ยอมวางอำนาจง่ายๆ เพราะไปกระทบกับสิทธิประโยชน์และอำนาจของวุฒิสภา ดังนั้นเขาย่อมหวงแหนอำนาจเป็นธรรมดา จึงต้องดูท่าทีของวุฒิสมาชิกว่าจะมีท่าทีอย่างไรกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

วันพฤหัสบดีที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2562

เพื่อไทย กทม. เชิญร่วมงานเสวนา “กรุงเทพไม่ปลอดภัยใครช่วยได้”


นายวิชาญ มีนชัยนันท์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และประธานภาค กทม. กล่าวว่า เนื่องด้วยกรุงเทพมหานครเป็นเมืองหลวงขนาดใหญ่ มีประชากรและประชากรแฝงอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้มีปัญหามากมาย ปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้น คือ ปัญหายาเสพติดและอาชญากรรม  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคนี้ยาเสพติดหาได้ง่ายทำให้แพร่ระบาดในชุมชน ไปสู่กลุ่มเยาวชน เกิดปัญหาสังคมตามมา ทำให้ชาติต้องสูญเสียทรัพยากรบุคคลไปเป็นจำนวนมาก ส่วนปัญหาอาชญากรรมก็มีอัตราการเกิดเหตุมากเช่นกัน การลัก วิ่ง ชิง ปล้น เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ ทำให้ผู้เสียหายต้องสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก

จากปัญหาสำคัญดังกล่าวพรรคเพื่อไทย จึงได้กำหนดการจัดเสวนา “กรุงเทพไม่ปลอดภัยใครช่วยได้” ในวันเสาร์ที่ 21 ธันวาคม 2562 ณ ห้องประชุม ชั้น 2 ที่ทำการพรรคเพื่อไทย ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กทม. เวลา 09.30 – 12.00 น.

ในงานเสวนาครั้งนี้ได้รับความร่วมมือจากสำนักงาน ปปส. กทม. สถานีตำรวจนครบาลบางซื่อ มูลนิธิกู้ภัยร่มไทร และนักสังคมสงเคราะห์ชำนาญการ เข้าร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและมุมมองในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน

สำหรับสมาชิกพรรคและผู้สนใจสามารถสำรองที่นั่งได้ที่ หมายเลขโทรศัพท์ 0-2653-4000-1

"นรวิชญ์" ค้านใช้ ม.44 ยึดทรัพย์ "ยิ่งลักษณ์"

นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความส่วนตัวของอดีตนายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้


จากการที่ท่านอดีตนายกยิ่งลักษณ์ ได้เปิดความในใจต่อสาธารณะ ในกรณีถูกกรมบังคับคดี ยึด และนำทรัพย์สิน ออกขายทอดตลาด และจากถ้อยแถลงของกรมบังคับคดี ฉบับที่ 33/2562 แล้ว

ผมในฐานะทนายความที่มีส่วนรับผิดชอบในคดีนี้ ขอให้ข้อมูล เกี่ยวกับการเรียกให้อดีตนายกยิ่งลักษณ์ ชดใช้ค่าเสียหาย จำนวน 35,717,237,028.23 บาท และกรมบังคับ ยึด และขายทรัพย์สินของอดีตนายกยิ่งลักษณ์ ดังนี้

1.ตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดีจำนำข้าว ไม่มีคำพิพากษาตอนใดระบุว่า อดีตนายกยิ่งลักษณ์ ทุจริตหรือให้ชดใช้ค่าเสียหาย

2. แต่การเรียกให้ชดใช้ค่าเสียหาย จำนวน 35,717,237,028.23 บาท เป็นผลมาจาก พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ยึดอำนาจจากอดีตนายกยิ่งลักษณ์มีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการความรับผิดทางละเมิดมาคิดค่าเสียหาย โดยคณะกรรมการล้วนแต่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของพลเอกประยุทธ์ และถูกคุ้มครองโดย มาตรา 44 ปัจจุบันคณะกรรมการหลายคนก็ได้ตำแหน่ง สว.

3. และการที่กรมบังคับคดี ดำเนินการยึดและขายทรัพย์สิน ของอดีตนายกยิ่งลักษณ์ ก็เป็นผลมาจาก พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ยึดอำนาจจากอดีตนายกยิ่งลักษณ์ ใช้มาตรา 44 ให้กรมบังคับคดี ทำการยึด อายัด ทรัพย์สิน ซึ่งตามถ้อยแถลงของกรมบังคับคดีฉบับที่ 33/2562 ได้ยอมรับแล้วว่า กรมบังคับคดียึดและขายทรัพย์สินเป็นไปตามคำสั่งมาตรา 44 ซึ่งโดยปกติแล้ว กรมบังคับคดี จะยึด และขายทรัพย์สิน ได้ต่อเมื่อมีคำพิพากษาของศาลแล้วเท่านั้น

4.ปัจจุบันคดีในเรื่องการให้ชดใช้ค่าเสียหาย จำนวน 35,717,237,028.23 บาท นั้น อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล

การใช้อำนาจตาม มาตรา 44 จึงไม่ควรเกิดขึ้นกับใคร ที่ต้องมาถูกยึดและขายทรัพย์สิน ทั้งๆที่ ยังไม่มีคำพิพากษาของศาล ก็ขอให้สังคมช่วยตรองกันครับว่า ตกลงแล้วเราจะยอมให้ผลของ มาตรา . 44 ที่เกิดจากคำสั่งของคนๆเดียว ทำอะไรก็ได้ โดยไม่ผ่านกระบวนการของศาล มีผลบังคับอยู่ อย่างนั้นหรือครับ

"ครอบครัวชินวัตร" บริจาคเครื่องวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ มูลนิธิโรงพยาบาลเด็ก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพานทองแท้ ชินวัตร โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้


วันนี้โอ๊ค เอม อิ๊งค์และครอบครัวได้นำเงินที่ได้จากการชวนเพื่อนๆ มาร่วมทำบุญช้อปปิ้งการกุศลเมื่อหลายเดือนก่อน นำมาซื้อเครื่องวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจเด็กและมอบให้แก่มูลนิธิรพ.เด็ก ตอนนี้ที่รพ.เด็กยังขาดเตียงและครุภัณฑ์ทางการแพทย์ที่สำคัญอีกมากมาย จึงอยากชวนเพื่อนๆ ไปร่วมบริจาคกันได้ที่บัญชี มูลนิธิโรงพยาบาลเด็ก อาคารเฉลิมพระเกียรติฯ ธนาคารทหารไทย บัญชีกระแสรายวันเลขที่ 038-1-07690-0 ทุกความช่วยเหลือของคุณสามารถสร้างโอกาสให้กับเด็กๆ ได้อีกมากมายนะครับ

ขณะที่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร โพสต์ข้อความ ระบุว่า "วันนี้พี่โอ๊ค เอม อิ๊งค์และครอบครัวได้นำเงินที่ได้จากการชวนเพื่อนๆมาร่วมทำบุญช้อปปิ้งเสื้อผ้ามือสองของเราทั้งสองคน(โดยไม่หักค่าใช้จ่าย) นำมาซื้อเครื่องวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจเด็กและมอบให้แก่มูลนิธิรพ.เด็ก รู้สึกดีใจมากๆ ที่ได้จัดงานshoppingให้ทุกคนได้สนุกสนานพร้อมทั้งยังสามารถสร้างคุณค่าให้กับอีกหลายๆ คนได้ (สุขใจทั้งคนขายคนshop😊)ตอนนี้ที่รพ.เด็กยังขาดเตียงและครุภัณฑ์ทางการแพทย์ที่สำคัญอีกมากมาย จึงอยากชวนเพื่อนๆไปร่วมบริจาคกันได้ที่บัญชี มูลนิธิโรงพยาบาลเด็ก อาคารเฉลิมพระเกียรติฯ ธนาคารทหารไทย บัญชีกระแสรายวันเลขที่ 038-1-07690-0 ทุกความช่วยเหลือของคุณสามารถสร้างโอกาสให้กับเด็กๆได้อีกมากมายนะคะ 😃 @ โรงพยาบาลเด็ก อนุสาวรีย์"

วันอังคารที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2562

ของจริงมาแล้ว! ตั้ง "เฉลิม" นำทัพเพื่อไทย


ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง แถลงข่าว หลังเป็นประธานคณะกรรมการกิจการพิเศษพรรคเพื่อไทย โดยมีภารกิจหลัก คือการติดตาม ควบคุมและตรวจสอบการบริหารงานของรัฐบาล ภารกิจแรก คือ การดูแลข้อมูลและเตรียมความพร้อมยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง แกนนำพรรคเพื่อไทย แถลงว่า กรรมการบริหารพรรคเพื่อไทยได้แต่งตั้งคณะกรรมการกิจการพิเศษพรรคเพื่อไทยจำนวน 10 คน นำโดยร.ต.อ.เฉลิม ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการประเมินวิเคราะห์สถานการณ์การเมืองเพื่อเสนอต่อหัวหน้าพรรค พร้อมทั้งติดตามควบคุมการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล โดยมีภารกิจแรกในการจัดทีมอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ซึ่งพรรคจะยื่นระหว่างวันที่ 6-10 มกราคม 2563

โดยมีรัฐมนตรีเป้าหมายที่จะอภิปราย 6 คน เบื้องต้นเปิดเผยรายชื่อ 4 คน คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรีนายวิษณุ เครืองาม และนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รวมถึงนายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ส่วนอีก 2 คนจะเปิดเผยรายชื่อภายหลัง แต่ยังไม่มีรายชื่อของพลพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัญมนตรี เนื่องจากเห็นว่าผ่านการตรวจสอบของ ป.ป.ช.ไปแล้ว

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง กล่าวว่า “มีประเด็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจ 5 ประเด็น มีเรื่องการทุจริตของรัฐบาล กรณีที่รัฐบาลดำเนินการกับผู้เห็นต่างทางการเมือง การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจล้มเหลว การแก้ไขปัญหายาเสพติดล้มเหลว และการเอื้อกลุ่มนายทุน โดยยอมรับว่าแม้การอภิปราครั้งนี้จะล้มรัฐบาลยาก แต่มั่นใจว่ารัฐบาลจะอยู่ไม่ได้”

พร้อมกันนี้ยังเปิดเผยถึงคำถามการปอภิปรายพรรคเพื่อไทย ถามพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จำนวน 6 ข้อ ที่เกี่ยวกับการถามเรื่องการทำงานของรัฐบาลที่เอื้อต่อกลุ่มทุนหรือไม่อย่างไร เช่น การยกที่ดินโรงงานยาสูบให้นายทุน,การต่อสัญญาเช่าศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ,การประมูลขายที่ดินที่มีความเคลือบแคลงสงสัย ซึ่งมีข้อสังเกตุว่ากลุ่มทุนที่มีความใกล้ชิดรัฐบาลของ คสช. ค่อนข้างมาก

"ภูมิธรรม" เตือน หยุดรังแก "ยิ่งลักษณ์"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้


หยุดรังแกนายกฯหญิง
“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”
นายกรัฐมนตรี ในดวงใจของคนจน

ผมรับทราบข่าว…ท่านอดีตนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร (อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงที่มาจากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย) ต้องทยอยสูญเสียบ้านและทรัพย์สินที่มีมาตั้งแต่ก่อนเข้ามาทำงานการเมือง และเป็นทรัพย์สินที่เกิดขึ้นจากน้ำพัก น้ำแรงของตนตั้งแต่เริ่มต้นชีวิตการทำงานและบางส่วนคือสินทรัพย์ที่รับตกทอดมาจากบุพการีด้วยความสะเทือนใจอย่างยิ่ง

กรณีนี้เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างสำคัญ ซึ่งสะท้อนให้เห็นการใช้กระบวนการยุติธรรมมาเป็นเครื่องมือในการทำร้ายผู้ที่มีความเห็นต่างและศัตรูทางการเมืองอย่างมีอคติชัดเจน เป็นการใช้อำนาจมาตรา 44 ที่เลือกปฏิบัติ

และเร่งรีบปฏิบัติ ผิดจากการกระทำกับบุคคลพรรคพวกเดียวกัน ที่กระทำผิดกฎหมายแต่ปล่อยไปจนไม่แม้แต่จะดำเนินคดีตามกฎหมาย ความต่างในการเลือกปฏิบัติโดยรัฐเป็นภาพสะท้อนที่ส่งผลให้กระบวนการยุติธรรมมีความบิดเบี้ยว ไร้มาตรฐาน ใช้การข่มขู่คุกคามคนฝ่ายตรงข้ามด้วยการใช้กฎหมายและอำนาจพิเศษอย่างอัปยศ

อยากถาม พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา และนายวิษณุ เครืองาม ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องที่ทำให้เกิดสภาพดังกล่าวว่า

สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้ เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นภายใต้หลักนิติรัฐ นิติธรรม ตามปกติหรือไม่ และถือเป็นสิ่งที่ สมควร ถูกต้องและยุติธรรม เพียงพอ ตามหลักสากล เป็นที่ยอมรับของโลกเพียงใด

อยากถามว่า...การที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี และพยายามอย่างยิ่งที่จะรักษาคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้แก่ประชาชนในช่วงรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง พยายามทำโครงการตามนโยบายที่แถลงต่อสภาและรับปากกับประชาชนไว้ให้เป็น

ผลสำเร็จเพื่อมุ่งหวังให้เกษตรกรและชาวนาไทยมีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างถ้วนหน้า การเป็นผู้นำรัฐบาลที่ทำงานเพื่อทำให้ประชาชนมีโอกาสฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ มีเงื่อนไขที่จะมีคุณภาพชีวิตที่มีโอกาสทางความสุขเพิ่มขึ้น เป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของผู้นำมากกว่าการบริหารด้วยปากเพียงอย่างเดียว

“กรณีนายกยิ่งลักษณ์” ถือเป็นคดีที่ต้องถูกบันทึกและจดจำในประวัติศาสตร์ไทย ไปอีกนาน เพราะไม่เคยมีนายกฯท่านใดที่ถูกกระทำและถูกดำเนินคดี โดยมิได้ผ่านกระบวนการยุติธรรมปกติเช่นท่านมาก่อน การที่รัฐบาลใช้มาตรา 44 ด้วยดุลยพินิจและอำนาจพิเศษที่ไม่ปกติ ที่ได้มาด้วยการปฎิวัติ รัฐประหาร ยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนประชาธิปไตยมาใช้ในการตัดสิน โดยไม่ได้ผ่านกลไกของกระบวนการยุติธรรมตามปกติ เป็นการใช้อำนาจรีบเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จ เป็นการฝ่าฝืนหลักนิติธรรม ที่ถือหลัก… "ผู้ถูกกล่าวหาคือผู้บริสุทธิ์"

ตามหลักการสากล ทั่วไป “ผู้ที่ถูกกล่าวหา ต้องถือเป็นผู้บริสุทธิ์”…จนกว่าจะมีการพิสูจน์ทราบอย่างแจ้งชัดว่ามีความผิด กฎหมายจึงจะดำเนินการลงโทษ

•หยุดทำร้าย ผู้บริสุทธิ์
•หยุดทำลาย คนเห็นต่าง
•หยุดใช้อำนาจกฎหมายอย่างไม่เป็นธรรม
•คืนความยุติธรรมและความถูกต้องตามหลักกฎหมายที่ไร้อคติให้นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร

ภูมิธรรม เวชยชัย,
ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร
17 ธันวาคม 2562

"ชัชชาติ" แนะชาวกรุงฯ แยกขยะก่อนทิ้ง

นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้


โพสต์ก่อนหน้านี้เรื่องขยะ ได้รับความเห็นดีๆจากพวกเราจำนวนมาก ขอบพระคุณทุกๆท่านนะครับ ผมและทีมงานได้รวบรวมความเห็นเหล่านี้เพื่อนำไปสรุปเป็นแนวทางปฏิบัติต่อไป

มีเรื่องขยะมาเล่าต่ออีกครับ เมื่อสักสามเดือนก่อน ผมไปส่งลูกชายที่เมือง Seattle สหรัฐอเมริกา มีเวลาว่างเลยลองหาข้อมูลการจัดการขยะของเมืองที่นี่มาเล่าให้พวกเราฟังครับ

การทิ้งขยะที่นี่เขาให้แยกเป็นสามประเภท

1. Garbage หรือ ขยะที่ Recycle ไม่ได้ ย่อยสลายยาก เช่นโฟม, ขยะที่ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

2. Food&Compost ขยะเปียก เช่น เศษอาหาร, ขยะอินทรีย์, ของที่ย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ

3. Recycle ของที่นำกลับไปใช้ใหม่ได้ เช่น กระดาษ, ขวดแก้ว, ขวดพลาสติก

โดยแยกถังขยะเป็นสามถัง คิดราคาตามขนาดถัง

ขยะประเภท 1 Garbage อัตราแพงที่สุด
ขยะประเภทที่ 2 Food&Compost อัตราถูกลงเหลือแค่ประมาณ 1/4
ขยะประเภทที่ 3 Recycles ไม่คิดค่าเก็บ

ขยะประเภท 1 และ 2 เก็บอาทิตย์ละครั้ง ขยะ Recycle เก็บทุกสองอาทิตย์ โดยแยกเป็นรถเก็บแต่ละประเภท ใช้คนขับคนเก็บคนเดียวกัน มีอุปกรณ์ยกถังเทอัตโนมัติ

แต่ละบ้านต้องทำการคัดแยกขยะโดยทางเมือง Seattle มีคู่มือคำอธิบายในการคัดแยกให้อย่างละเอียดและต้องเลือกขนาดถังให้เหมาะสมกับปริมาณขยะของแต่ละบ้าน ขยะเยอะก็ต้องจ่ายค่าเก็บขยะแพง โดยเฉพาะถ้ามีขยะประเภท 1 ที่ย่อยสลายยาก Recycle ไม่ได้เป็นจำนวนเยอะ ก็ต้องจ่ายค่าเก็บขยะแพงขึ้น แต่ถ้ามีขยะ Recycle เยอะ ก็ไม่เสียค่าใช้จ่าย เพราะเก็บให้ฟรี

การจัดการขยะแบบนี้ มีแนวคิดที่สำคัญสองอันคือ

1. ทุกคนมีส่วนร่วมกันในการคัดแยกขยะตั้งแต่ต้นทาง ตระหนักว่าขยะทุกชิ้นที่เราสร้างขึ้นต้องมีที่ไป

2. ใช้ค่าเก็บขยะเป็นตัวช่วยทำให้พฤติกรรมการสร้างขยะของเราเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ลดปริมาณขยะที่ไม่จำเป็น

ขยะเป็นเรื่องใหญ่มากๆของเมืองในอนาคต มีตัวอย่างดีๆทั่วโลกที่เราสามารถเลือกแนวทางบางอย่างมาปรับใช้กับบ้านเรา การแก้ปัญหาขยะไม่ใช่คิดแต่จะปรับขึ้นค่าเก็บขยะโดยไม่ปรับปรุงแนวคิดและวิธีการให้ดีขึ้นครับ

วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2562

"วัฒนรักษ์" เตือนรัฐเร่งแก้ปัญหาฝุ่นพิษหน้าหนาว

“วัฒนรักษ์ ” เตือน “ประยุทธ์” ส.ส. ไม่เหมือน สนช. ระวังสภาล่ม หากไม่เร่งแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ 


 ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และอดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ปัญหาฝุ่นพิษ PM 2.5  จริงๆ แล้ว ไม่เคยหายไปไหน เพียงแต่เป็นปัญหาที่กลับมาเล่นงานสุขภาพคนกรุงเทพอย่างหนัก ในทุกช่วงหน้าหนาว  ยิ่งในช่วงเช้าลมสงบ ความชื้นสูง เกิดการผกผันกลับของอุณภูมิ ทำให้ปริมาณของฝุ่นพิษมีมากขึ้น เกินมาตรฐาน เกือบครึ่งจังหวัด ซึ่งในหลายเขตมีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน โดยปัญหานี้ไม่ใช่ปัญหาใหม่ แต่เป็นปัญหาเดิมๆ ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพคนเมืองมาอย่างชัดเจนเกินกว่า 3 ปี ซึ่งรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในทุกสมัย ก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ จากการที่คน กทม. ต้องสูดดมฝุ่นพิษในอากาศที่จะมีมากในช่วงทุกหน้าหนาว เป็นคำถามที่คน กทม. ต้องการถาม และรอคำตอบมานานมากว่า ประชาชนต้องรอให้หมดหน้าหนาวก่อน และรอให้ฝุ่นหายไปเอง อย่างนั้นหรือ? แล้วการที่ พล.อ.ประยุทธ์ ออกมาพูดว่า รัฐบาลไม่สามารถแก้ไขได้ทุกปัญหา ประชาชนจะต้องเป็นผู้แก้ไขปัญหาฝุ่นพิษเองนั้น ตนถือว่าเป็นการปัดความรับผิดชอบ และหากรัฐบาลไม่สามารถทำได้ก็ควรให้คนที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำหน้าที่แทน

ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ กล่าวอีกว่า ทำไมปริมาณฝุ่นพิษถึงเพิ่มขึ้นทุกปี จนมีประชาชนจำนวนมากบ่นลงในโซเชียลมีเดีย ว่าอากาศในกทม.ตอนนี้ไม่ไหวแล้วจริงๆ ในความเป็นจริงแล้ววิธีการแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ มีมากมาย แต่เหตุใดรัฐบาลจึง ยังไม่มีนโยบายอะไรที่ชัดเจนที่จะนำมาใช้ในการแก้ปัญหา ซึ่งถ้าหากรัฐบาลได้พยายามแก้ไขจริงตามที่พูด ประชาชนคงไม่ต้องสูดดมฝุ่นพิษมายาวนานถึง 3  ปี และการที่กทม.นานๆ ออกมาล้างถนนสักครั้งนั้นถือเป็นการแก้ไขปัญหาที่ผิดจุด ซึ่งหากพรรคเพื่อไทยได้เป็นผู้ว่ากทม. เรามีนโยบายมากมายที่สามารถแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษได้และสามารถทำได้ทันที ยุคนี้ไม่ใช่ยุคของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่จะได้มีสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) คอยทำตามนโยบาย ซึ่งจากการที่รัฐบาลได้แพ้โหวตในรัฐสภามาแล้วถึง 4 ครั้ง หากยังไม่รีบแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษ รัฐบาลอาจต้องแพ้โหวตอีกครั้งในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เพราะ ปัญหาเรื่องสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญ และเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ตราบใดที่เรายังต้องหายใจทุกวินาที สูดอากาศที่เป็นพิษเข้าไปตลอดเวลา ซึ่ง ส.ส.ทุกคนควรจะร่วมมือช่วยกันแก้ไขปัญหาสุขภาพให้กับประชาชนชาวไทยทุกคน

"วัฒนา" ยืนยัน ประชาชนชุมนุมสกายวอร์คไม่ผิดกฎหมาย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้


ผมอ่านคำให้สัมภาษณ์ของคนมีอำนาจในบ้านเมืองโดยเฉพาะ ผบช. น. ที่จะดำเนินคดีกับผู้จัดกิจกรรมนัดพบประชาชนที่สกายวอร์คในข้อหาชุมนุมในที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตแล้วรู้สึกขัดหูขัดตา เพราะผู้คนเหล่านี้ไม่เคยรับรู้ถึงสิทธิและเสรีภาพของประชาชน

ตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญ การชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธเป็นเสรีภาพของประชาชน การจำกัดเสรีภาพจะกระทำมิได้เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจของกฎหมายที่ตราขึ้นเพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ ความปลอดภัยสาธารณะ ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น

ดังนั้น การชุมนุมหรือการจัดให้มีการชุมนุมจึงไม่ต้องขออนุญาตเพียงแต่ พรบ. การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. 2558 กำหนดให้ผู้ประสงค์จะจัดให้มีการชุมนุมต้องแจ้งการชุมนุมต่อผู้รับแจ้งก่อนการชุมนุมไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง ทั้งนี้เพื่อให้เจ้าหน้าที่มาอำนวยความสะดวกและรักษาความปลอดภัยให้กับประชาชนและผู้ชุมนุมในบริเวณดังกล่าว ส่วนข้อจำกัดของการชุมนุมมีเพียงห้ามจัดชุมนุมภายในรัศมี 150 เมตรจากพระบรมมหาราชวัง ฯลฯ หรือภายในรัฐสภา ทำเนียบรัฐบาล และศาลเท่านั้น

โทษตามกฎหมายสำหรับผู้จัดการจัดชุมนุมสาธารณะโดยไม่แจ้งต่อผู้รับแจ้งมีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท ส่วนประชาชนผู้เข้าร่วมชุมนุมไม่มีความผิด ถ้าอยากดำเนินคดีเอาใจเผด็จการก็แจ้งข้อหามา วันนี้ไม่มีใครกลัวคดีการชุมนุม ประชาชนกลัวอดตายภายใต้การบริหารของพลเอกประยุทธ์มากกว่า

วัฒนา เมืองสุข
16 ธันวาคม 2562

“เพื่อไทย” หวังคนรุ่นใหม่เปลี่ยนแปลงประเทศ

“เพื่อไทย” ปลุกเยาวชนปรับตัวสู้เวทีโลก หวังคนรุ่นใหม่เปลี่ยนแปลงประเทศ ผ่าน Smart Democracy 


เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2562 พรรคเพื่อไทย จัดโครงการ “เพื่อไทยพลัส : เพื่อไทยยุคใหม่ แข็งแกร่งกว่าเดิม” โดยมี น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย นายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน นายเอกธนัช อินทร์รอด นางสาวชนก จันทาทอง นายกฤษฎา ตันเทอดทิตย์ ส.ส.หนองคาย นายสยาม หัตถสงเคราะห์ นายณัฐวุฒิ กองจันทร์ดี ส.ส.หนองบัวลำภู นายศราวุธ เพชรพนมพร ส.ส.อุดรธานี นายศรัณย์ ทิมสุวรรณ ส.ส.เลย นางสาวขัตติยา สวัสดิผล รองเลขาธิการพรรค นายตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส เลขาธิการกลุ่มเพื่อไทยพลัส นางสาวอรุณี กาสยานนท์ นางสาวประภาพร ทองปากน้ำ นางสาวนิศามาศ เลาหรัตนาหิรัญ นายษรกฤต ผลลูกอินทร์ และนายวัชระพล ขาวขำ สมาชิกกลุ่มเพื่อไทยพลัส เข้าร่วมกิจกรรมกับเยาวชนกว่า 150 คน ที่ห้องประชุมวรนุช โรงเรียนปทุมเทพวิทยาคาร อำเภอเมือง จังหวัดหนองคาย

โดย น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “เยาวชนกับการมีส่วนร่วมทางการเมือง” ว่า เยาวชนมีบทบาทในการกำหนดอนาคตของชาติ และคนกลุ่มนี้เป็นที่คาดหวังของสังคม เนื่องจากเป็นวัยหนุ่มสาวที่มีความสุจริตใจ ไม่มีผลประโยชน์ใดๆที่ผูกพันกับพรรคการเมือง แม้ที่ผ่านมาเยาวชนมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยการแสดงความคิดเห็นผ่านโซเชียลมีเดีย แต่ไม่ได้ทำให้ประเทศไทยเป็น Smart Democracy ได้จริง

“Smart Democracy คือรูปแบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่ชาญฉลาด เป็นการมีส่วนร่วมทางการเมืองที่คำนึงถึงทุกฝ่าย และรับฟังความคิดเห็นของคนทุกรุ่น ดังนั้นคนรุ่นใหม่คือความหวังของประเทศ เพราะต้องอยู่กับการเมืองไทยไปอีกอย่างน้อย 20 ปี” น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าว

ด้าน นายสุทิน กล่าวว่า คุณภาพการศึกษาของเด็กไทยที่ต่ำลงไปทุกวัน แล้วเราจะอยู่จะสู้กันไปอย่างไร ในวันที่เราต้องต่อสู้และเผชิญอะไรอีกมากมาย ไม่ว่าจะต้องต่อสู้กับหุ่นยนต์ AI ทั้งยังต้องสู้กับภัยเศรษฐกิจ เยาวชนกำลังอยู่ในยุคที่จะต้องรับมรดกประเทศที่มีหนี้สูงสุดตั้งแต่ตั้งประเทศไทยมา นั่นคือ 6.6 ล้านล้านบาท และเป็นหนี้ครัวเรือนถึง 12 ล้านล้านบาท ปีหน้าจะมีคนตกงานมากที่สุดคือวุฒิปริญญาตรี ซึ่งสะสมมากถึง 3.5-4 แสนคน และโรงงานจำนวน 1,400 โรงที่ปิดตัวลง ในขณะที่บริษัทยักษ์ใหญ่ใช้หุ่นยนต์ทำงานแทนแรงงานคน และรัฐบาลกำลังจะลดอัตราข้าราชการลงอีกเช่นกัน

“เราต้องปรับตัวเพื่อสู้ในเวทีโลก เราต้องมีผู้นำประเทศที่เก่ง มีกติกาที่ดี และคนที่จะช่วยเสริมสร้างศักยภาพให้กับเยาวชน สร้างบริบทสร้างกลไกในการพัฒนาประเทศ คือ เราต้องมีนายกฯที่รู้ทันโลก รู้เรื่อง Digital Economy และมี รมว.ศึกษาฯ ที่รู้จัก EQ IQ MQ และการเรียนรู้รูปแบบใหม่ การศึกษานอกห้องเรียน ซึ่งเราต้องทุ่มงบฯ เพื่อช่วยพัฒนาเยาวชนให้มีคุณภาพไปแข่งขันในเวทีโลกได้ในอนาคต” นายสุทิน กล่าว

"ลดาวัลลิ์" แนะรัฐแก้ปัญหาหนี้สินชาวสวนมะพร้าว

“ลดาวัลลิ์” ลุยรับฟังปัญหาชาวสวนมะพร้าวประจวบฯ เสนอรัฐบาลเร่งแก้ไข 6 ข้อ ถ้าทำทันทีทุกปัญหาจบ


นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ ประธานคณะทำงานรับเรื่องราวร้องทุกข์ของพรรคเพื่อไทย นำทีมงานพร้อมด้วยนายพรเทพ สุทธิวัฒนศักดิ์ ส.ส.เขต2 จังหวัดประจาบฯ และนายสมนึก รุ่งกำจัด อดีตผู้สมัคร ส.ส.เขต3 ลงพื้นที่รับฟังปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรชาวสวนมะพร้าวอำเภอทับสะแกและอำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นำโดยนายพงษ์ศักดิ์ บุตรรักษ์ แกนนำเครือข่ายชาวสวนมะพร้าวจังหวัดประจวบฯ ณ ศูนย์พัฒนาเกษตรอินทรีย์ บ้านกรูด ตำบลธงชัย อำเภอบางสะพาน ที่ประสบปัญหาราคามะพร้าวตกต่ำมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่การทำรัฐประหาร 22 พ.ค.2557 ช่วงเวลาที่ราคาสูงขึ้นจะเป็นช่วงที่ไม่มีผลผลิตแล้ว และเจอทั้งมะพร้าวเถื่อน มะพร้าวนำเข้าจากต่างประเทศมากดราคาอีกด้วย

นางลดาวัลลิ์  กล่าวว่าปัญหาที่ชาวสวนมะพร้าวร้องขอให้พรรคเพื่อไทยช่วยประสานแก้ไขปัญหาให้สรุปได้ 6 ข้อดังนี้ 1.รัฐบาล รัฐมนตรี และข้าราชการทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ควรรับฟังข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วนจากชาวสวนมะพร้าวก่อนการพิจารณาให้มีการนำเข้ามะพร้าวจากต่างประเทศทั้งจำนวนผลผลิต และความต้องการใช้ที่แท้จริง  2.ควรกำหนดกฎระเบียบการนำเข้ามะพร้าว เช่นการตรวจ ดีเอ็นเอ และการออกใบกำกับการเคลื่อนย้าย เพื่อให้รู้ต้นทางและปลายทางอย่างชัดเจน จะป้องกันการลักลอบนำเข้ามะพร้าวได้อย่างเบ็ดเสร็จ และควรให้ชาวสวนมะพร้าวมีส่วนร่วมในการกำหนดกฎระเบียบต่างๆด้วย 3.ควรกำหนดกรอบเวลาการนำเข้าอย่างเหมาะสม เพื่อไม่ให้นำเข้ามาช่วงที่มะพร้าวไทยกำลังมีผลผลิตมากจะเป็นการป้องกันการถูกกดราคา รวมทั้งควรปรับปรุงมาตรการการนำเข้าด้วย 4.ควรมีมาตรการควบคุมผลิตภัณท์แปรรูปกะทิที่นำเข้าให้ชัดเจน เพื่อให้สอดคล้องกับการคำนวณปริมาณผลผลิตและความต้องการใช้ที่แท้จริง 5.ควรกำหนดราคาขายให้ได้อย่างน้อย ผลละ 15 บาท โดยคำนึงถึงต้นทุนบวกค่าครองชีพ 6.ควรยกระดับให้มะพร้าวเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญเช่นเดียวกับ ข้าว อ้อย มันสำปะหลัง ฯลฯ เพื่อจะได้รับการดูแลเอาใจใส่และช่วยเหลือไม่ให้มีปัญหาเดือดร้อนเหมือนเช่นที่ผ่านมา

นางลดาวัลลิ์ กล่าวในตอนท้ายว่า จากข้อมูลที่รับฟังจากชาวสวนมะพร้าวจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ในครั้งนี้ ทำให้มีข้อสงสัยว่า ทำไมมาตรการการนำเข้ามะพร้าวที่สามารถควบคุมและป้องกันการลักลอบนำเข้าจึงไม่นำมาประกาศใช้ ติดขัดตรงไหนหรือไม่ ตนไม่อยากเห็นรัฐบาลเอื้อประโยชน์ลดต้นทุนให้แต่โรงงาน และผู้นำเข้า แต่ไม่คำนึงถึงการช่วยเหลือให้ขาวสวนมะพร้าวสามารถขายมะพร้าวได้ในราคาที่คุ้มทุน ปล่อยปละละเลยให้ชาวสวนขายมะพร้าวขาดทุนมายาวนานกว่า5ปี บางรายถึงกับขายสวนใช้หนี้สิน