วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

“จาตุรนต์” ยืนยัน ยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ทำได้ไม่ผิดกฎหมาย


นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และแกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

การยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับเดิมแล้วยกร่างใหม่ทั้งฉบับที่ทำโดยกระบวนการทางรัฐสภา ไม่ผิดกฎหมาย เคยทำมาแล้ว และหากจะทำอีกก็ย่อมทำได้ หากจะเรียกว่า นี่เป็นการฉีกรัฐธรรมนูญก็เป็นการเล่นคำที่ไม่ผิดกฎหมายอะไร

ในระบบกฎหมายของไทยหลายสิบปีที่ผ่านมาถึงปัจจุบัน การฉีกรัฐธรรมนูญโดยการใช้กำลังอาวุธหรือกองทัพเข้ายึดอำนาจทำรัฐประหาร หากทำไม่สำเร็จจะผิดกฎหมายฐานเป็นกบฏ แต่ถ้าทำสำเร็จ แม้เป็นเรื่องเลวร้ายก็ไม่ผิดกฎหมาย เพราะระบบยุติธรรมของประเทศไทยรับรองว่าพวกนี้เป็นรัฏฐาธิปัตย์

การฉีกรัฐธรรมนูญไม่ว่าในความหมายไหนก็ไม่ผิดกฎหมาย ที่กล่าวมานี้แนะนำให้ฉีกรัฐธรรมนูญด้วยกระบวนการทางรัฐสภา ไม่เห็นด้วยกับการฉีกด้วยการทำรัฐประหาร เพราะเห็นว่า มีแต่จะทำให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติ

ส่วนพวกที่ทำเป็นฮึดฮัดจะเอาเรื่องกับคนที่ประกาศจะฉีกรัฐธรรมนูญ ทำเป็นเคารพกติกาขึ้นมาอย่างฉับพลันนั้น บ้างก็มีส่วนร่วมกับการทำรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญมาก่อน บ้างก็ได้ดิบได้ดีจากการเป็นสมุนบริวารของพวกที่รัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญมาจนทุกวันนี้โดยไม่ละอายเลยสักนิด


วันพุธที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

"วิญญัติ" ยื่น ป.ป.ช. สอบ กทม. ต่อสัญญา 13ปี โครงการระบบขนส่งมวลชน


วันนี้ (30 พฤษภาคม 2561) เวลา 10.00น. ที่สำนักงาน ป.ป.ช. นายวิญญัติ ชาติมนตรี เลขาธิการสมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิเสรีภาพ(สกสส.) พร้อมคณะทำงาน เข้ายื่นหนังสือขอทราบความคืบหน้าจากกรณีที่ ป.ป.ช. ได้รับสำนวนการสอบสวนคดีพิเศษ ที่ 166/2555 จากกรมสอบสวนคดีพิเศษมาตั้งแต่ ปี 2556 ในการตรวจสอบการต่อสัญญาโครงการระบบขนส่งมวลชน ขยายออกไป 13 ปี ของกรุงเทพมหานครว่าโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่? โดยขอให้คณะกรรมการป.ป.ช.รวมทั้งผู้เกี่ยวข้องเรื่องนี้แถลงให้ประชาชนทราบความคืบหน้าในเรื่องนี้ และขอให้เร่งไต่สวนข้อเท็จจริงเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและประเทศชาติต่อไป


วันอาทิตย์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

“เพื่อไทย” เร่งรัฐแก้ปัญหาขยะล้นเมือง ต้นเหตุโลกร้อน


...วัฒนรักษ์ สุรนาทยุทธ์ หัวหน้าคณะทำงานด้านสิ่งแวดล้อม พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ปัจจุบันปริมาณของขยะไทยได้เพิ่มขึ้นจากเดิม 14 ล้านตัน/ปี กลายเป็น 16 ล้านตัน/ปี  ภายในระยะเพียงแค่ 5 ปีเท่านั้น 20% ของปริมาณขยะทั้งหมดคือถุงพลาสติกซึ่งจัดว่าเป็นขยะที่มีวงจรการใช้สั้น แต่ใช้ระยะเวลาในการย่อยสลายนานกว่า 500 ปี  ซึ่งจากการสำรวจของกรมส่งเสริมคุณภาพและสิ่งแวดล้อม พบว่า ประชากรกว่า 69 ล้านคนของประเทศไทยใช้ถุงพลาสติกประมาณ 8 ใบต่อ 1 วัน ทำให้ในแต่ละวันปริมาณขยะพลาสติกมีจำนวนมากมายมหาศาล และร้อยละ 50 ถูกกำจัดอย่างไม่ถูกวิธี หากเรากำจัดขยะพลาสติกและโฟมโดยใช้วิธีฝังกลบจะใช้พื้นที่มากกว่าขยะปกติถึง 3 เท่า หากนำไปเผาทำลายจะก่อให้เกิดมลพิษต่อสภาวะแวดล้อมอย่างสูง ทำให้เกิดการปนเปื้อนของสารตกค้างจำนวนมากในดินและน้ำ ส่งผลให้เกิดภาวะโลกร้อนจากปรากฎการณ์ก๊าซเรือนกระจก เนื่องจากถุงพลาสติกทำจากเม็ดปิโตรเลียม หากมีหน่วยงานที่รณรงค์ให้คนไทยทุกคนช่วยกันลดการใช้ถุงพาสติกคนละ 1 ใบต่อวัน ภายใน 1 ปี จะสามารถลดปริมาณถุงพลาสติกได้ถึง 25,185 ล้านใบ และจะส่งผลให้ลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดก๊าซเรือนกระจก พร้อมทั้งช่วยให้สัตว์ต่างๆ รอดตายจากการกินถุงพลาสติกมากกว่า 100,000 ตัวต่อปี

...วัฒนรักษ์ ได้เสนอแนะเพิ่มเติมว่า ภาครัฐควรออกนโยบายการกำจัดขยะอย่างถูกต้องและถูกวิธีได้มาตรฐานสากล รณรงค์การคัดแยกขยะรีไซเคิลอย่างถูกวิธี และส่งเสริมการกำจัดขยะที่ทำให้เกิดก๊าซคาร์บอนด์ไดออกไซด์น้อยที่สุด โดยรัฐควรเร่งสนับสนุนการสร้างโรงเผาขยะที่มีประสิทธิภาพในแต่ละจังหวัดโดยจะต้องมีกระบวนการการควบคุมอุณภูมิ ควัน ไอเสีย ผง และขี้เถ้า ในภาคส่วนของประชาชนควรเริ่มต้นโดยการรณรงค์ให้ประชาชนใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติกจากห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อเพื่อที่จะนำมาซึ่งการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนอย่างยั่งยืนและถาวร  ภาวะโลกร้อนส่งผลให้เกิดปัญหาน้ำท่วม อากาศแปรปรวน ทรัพยากรธรรมชาติและสัตว์น้ำถูกทำลายจากขยะพลาสติกส่งผลกระทบโดยตรงต่อการท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นรายได้หลักของประเทศทางหนึ่ง หากรณรงค์เรื่องดังกล่าวอย่างจริงจังจะส่งผลให้คุณภาพชีวิตของทุกคนดีขึ้นจากการบริโภคน้ำ อาหาร และอากาศที่บริสุทธิ์ในอนาคต

“เพื่อไทย” ไม่หวั่นสุเทพตั้งพรรค เตือนอย่าก่อจลาจลชัตดาวน์ประเทศอีก


นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี นายทวีศักดิ์ ตะกั่วทุ่ง ทนายความ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย ยื่นจดแจ้งชื่อพรรครวมพลังประชาชาติไทย(รปช.) ต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่า ความจริงนายสุเทพ ประกาศมาตลอดว่าจะไม่เล่นการเมือง ไม่รับตำแหน่งใดๆทางการเมือง แต่การมอบหมายให้ทนายความของตัวเองไปจดทะเบียนก่อตั้งพรรค ประชาชนก็มีสิทธิ์ตั้งคำถามได้ว่าแบบนี้ถือเป็นเล่นการเมืองหรือไม่ ถือเป็นการพูดอย่างทำอย่างมาตลอดหรือไม่ การที่นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ ประธานคณะกรรมการเตรียมการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง ในรัฐบาลพล..ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกมาบอกปัดว่าไม่ใช่พรรคกปปส. แต่การกระทำดังกล่าวมันชัดเจนว่าใครพูดอย่างทำอย่าง ใครพูดความจริง ใครปกปิดอำพรางเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของตัวเองหรือไม่ การตั้งพรรคลงสู้ในสนามการเลือกตั้งตามกติกาถือเป็นการต่อสู้ตามระบอบประชาธิปไตย ประชาชนจะได้มีทางเลือกมากขึ้น แต่การทำงานการเมืองในยุคนี้ควรจะต้องเปิดเผยโปร่งใสตรงไปตรงมา ตรวจสอบได้ ตั้งพรรคก็ยอมรับไปเลยว่าตั้ง เป็นพรรคกปปส.ก็ยอมรับไปเลย ไม่เห็นจะต้องวิตกกังวลหรือรังเกียจมวลชนหรือแนวทางของตัวเอง การตั้งพรรคของนายสุเทพ จะไม่กระทบกับพรรคเพื่อไทยอย่างแน่นอน แต่อาจจะกระทบกับพรรคประชาธิปัตย์มากกว่าเพราะฐานคะแนนของกปปส.กับพรรคประชาธิปัตย์น่าจะเป็นฐานเดียวกัน ขอเพียงว่าให้ตกลงกันให้ชัดและประกาศให้ประชาชนมั่นใจว่าการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในครั้งหน้าจะให้ใครรับบทบอยคอตการเลือกตั้ง แล้วจะมีการชัตดาวน์ประเทศก่อจลาจลล้มและขัดขวางการเลือกตั้งอีกหรือไม่? ซึ่งถ้าประชาชนขอได้ก็ขออย่าชัตดาวน์ประเทศอีกเลย เพราะประเทศเสียหายและบอบช้ำมามากแล้ว

วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

“จาตุรนต์” ได้หนังสือเดินทางคืน หลังชนะคดีกระทรวงการต่างประเทศ


นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และแกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

วันนี้ไปรับหนังสือเดินทางจากอธิบดีกรมการกงสุลมาครับ ได้รับแจ้งว่ากระทรวงการต่างประเทศได้แจ้งให้สถานทูตและสถานกงสุลไทยทั่วโลกทราบคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ให้เพิกถอนคำสั่งยกเลิกหนังสือเดินทางของผมแล้ว เมื่อได้เล่มใหม่แล้วก็สามารถเดินทางไปต่างประเทศได้หลังจากไปไม่ได้มาเกือบ 3 ปี เรื่องที่จะต้องทวงสิทธิ์คืนเรื่องต่อไปคือการทำธุรกรรมการเงินสารพัดอย่างที่ถูกระงับมา 4 ปีแล้วครับ

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ นายจาตุรนต์ ฉายแสง ชนะคดีจากกรณีที่ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่าคำสั่งยกเลิกหนังสือเดินทางของกระทรวงการต่างประเทศ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย 

“พิชัย” ห่วงประชาชนลำบาก เร่งรัฐแก้ปัญหาเศรษฐกิจ


นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า จากการจัดอันดับความสามารถแข่งขันของไทยโดยสถาบัน IMD ล่าสุด ประเทศไทยถูกจัดอันดับลดลง 3 อันดับ จาก อันดับที่ 27 ตกไปอยู่ที่ 30 หรือ เท่ากับ อันดับหลังการปฏิวัติ สาเหตุหลักคือ ความไม่มีประสิทธิภาพของรัฐบาล ซึ่งคงเห็นได้ชัดจากผลงานของรัฐบาลและแนวคิดของผู้นำ อีกทั้ง การขาดดุลงบประมาณ ที่อาจจะมีการใช้จ่ายเงินอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ทั้งในโครงการประชารัฐ และ ไทยนิยม ไม่ได้เกี่ยวกับการใช้จ่ายโครงสร้างพื้นฐานตามที่รัฐบาลแก้ตัว เพราะการเบิกเงินปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานยังไม่ได้ไปถึงไหน และ ปัญหาความล้าหลังของการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานยังเป็นปัญหาหลักที่ ไอเอ็มดีชี้ว่าเป็นสาเหตุทำให้ความสามารถแข่งขันของไทยลดลง และที่สำคัญ ไอเอ็มดี ได้แนะนำให้ไทยรับรู้การเปลี่ยนแปลงของโลก และ เร่งปรับตัว เพราะการรับรู้และปรับตัวของไทยต่ำมาก ซึ่งตนได้เตือนรัฐบาลมาตลอด และจะเป็นสาเหตุของวิกฤตกบต้มได้เพราะมีความรู้ไม่เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นอยากให้พลเอกประยุทธ์ได้ศึกษาการวิเคราะห์และคำแนะนำของไอเอ็มดีนี้อย่างละเอียด ซึ่งหากจำกันได้ พลเอกประยุทธ์ เคยขึ้นพูดในเวทีการประชุมนานาชาติในปี 2559  อ้างถึง ไอเอ็มดี จัดอันดับที่ดีขึ้นในขณะนั้น และยังถามในที่ประชุมนานาชาติว่าพิชัย จบอะไรมา? ถึงมาวิจารณ์เศรษฐกิจซึ่งตนเองจบเศรษฐศาสตร์ จุฬา และ ปริญญาโท เอ็นบีเอ ที่จุฬา ก็อยากขอให้พลเอกประยุทธ์ที่ไม่ได้มีพื้นฐานการศึกษาทางเศรษฐกิจได้ศึกษาหาความรู้ในเรื่องเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงของโลกมากๆ จะได้เข้าใจและพัฒนาประเทศในทางที่ถูกต้อง ประชาชนจะได้ไม่ลำบากเหมือนในปัจจุบัน

วันอังคารที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

“วีระ” ยื่นดีเอสไอ เร่งคดีกรุงไทย ก่อนหมดอายุความ


นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน(คปต.) เดินทางมายื่นหนังสือต่ออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เพื่อให้มีการเร่งรัดให้มีการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดฐานฟอกเงินคดีกรุงไทย โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ เนื่องจาก คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ยืนยันว่าอำนาจในการดำเนินคดีอาญาในความผิดฐานฟอกเงินเป็นอำนาจหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ จึงขอให้ รีบเร่งดำเนินคดีกับผู้รับโอนเงิน ก่อนจะเริ่มหมดอายุความตั้งแต่เดือนกันยายน 2561 เป็นต้นไป


ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ (3 พฤษภาคม 2561) ที่ผ่านมา นายวีระ สมความคิด ได้ไปยื่นหนังสือต่อเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ผ่านนายวิทยา นีติธรรม เลขานุการกรม สำนักงาน ปปง. เพื่อให้ตรวจสอบธุรกรรมดำเนินการยึด อายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด กรณีทุจริตปล่อยสินเชื่อของผู้บริหารธนาคารกรุงไทยให้แก่บริษัทในเครือกฤษดามหานคร โดยระบุว่า บุคคลที่ได้รับโทษอยู่ในขณะนี้ มีเพียงเจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงไทย และเจ้าของกฤษดามหานคร เพียงไม่กี่รายที่ติดคุก แต่ยังมีบุคคลที่เกี่ยวข้องลอยนวลอีกกว่า 150 ราย

วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

“เพื่อไทย” ยืนยัน วิจารณ์ คสช. ได้-ไม่ผิดกฎหมาย


ผู้สื่อข่าวรายงานจากกองบังคับการปราบปราม ว่า 8 แกนนำพรรคเพื่อไทย ประกอบด้วย พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ , นายภูมิธรรม เวชยชัย , นายชูศักดิ์ ศิรินิล , นายชัยเกษม นิติศิริ , นายจาตุรนต์ ฉายแสง , นายนพดล ปัทมะ , นายวัฒนา เมืองสุข และ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง เดินทางมาเข้าพบพนักงานสอบสวน ในเวลา 10.30น. เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา หลังแสดงความเห็นวิจารณ์และประเมินผลงาน 4 ปี รัฐบาล คสช. โดยมีสมาชิกพรรคและประชาชนเดินทางมามอบดอกกุหลาบให้กำลังใจเป็นจำนวนมาก

นายชูศักดิ์ ศิรินิล กล่าวยืนยันว่า “การแถลงข่าวของพรรคเพื่อไทย ไม่ได้เป็นการชุมนุมทางการเมืองตามที่มีการแจ้งข้อกล่าวหา ซึ่งการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายและรัฐธรรมนูญ และการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนจะเป็นการปลุกปั่นได้อย่างไร? ข้อกล่าวหาที่บอกว่าทำผิดมาตรา 116 จะต้องเป็นการกระทำที่นอกเหนือจากรัฐธรรมนูญ ทำเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกฎหมายของบ้านเมือง โดยใช้กำลังของประชาชนลุกขึ้นมาต่อต้าน ซึ่งข้อกล่าวหาที่มีการแจ้งทั้ง 4 ข้อ ไม่มีการกระทำใดของแกนนำพรรคเข้าข่ายการกระทำความผิดเลยแม้แต่ข้อเดียว พร้อมฝากพนักงานสอบสวนให้พิจารณาด้วยความยุติธรรม ไม่ใช่มีใครมาแจ้งความแล้วจะจับดำเนินคดีเอาผิดทันที ขณะเดียวกันเห็นว่าการใช้คำสั่งมาตรา 116 มาเป็นเครื่องมือในการสกัดยับยั้งคนที่เห็นต่างออกมาแสดงความคิดเห็นถือเป็นเรื่องที่ไม่ชอบธรรม”

ขณะที่ นายภูมิธรรม เวชยชัย กล่าวว่า “ข้อกล่าวหาทั้ง 4 ข้อที่แจ้งเอาผิดสะท้อนให้เห็นว่า ฝ่ายความมั่นคงมีการใช้กฎหมายอย่างไม่ยุติธรรมและไม่เสมอภาค ขณะเดียวกันพรรคเพื่อไทยตั้งข้อสงสัยว่าสิ่งที่พรรคการเมืองได้ดำเนินการตามสิทธิพลเมือง ในฐานะที่เป็นผู้แทนของประชาชน วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลเป็นสิ่งที่ทำได้หรือไม่? และการแถลงข่าวมีสมาชิกเพียงแค่ 3 คน อีก 5 คนไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง และในวันแถลงก็ได้มีการสอบถามตำรวจแล้ว แต่ก็ไม่มีใครให้คำตอบ จึงไม่ได้มีการแถลงแต่อย่างใด ส่วนข้อกล่าวหาที่แจ้งจับจะโยงไปถึงการยุบพรรคหรือไม่นั้น การแถลงยังไม่มีข้อไหนเข้าข่ายความผิดจนนำไปสู่การยุบพรรค เพราะการสะท้อนการทำงานของรัฐบาลในรอบ 4 ปี ไม่ใช่เรื่องที่จะไปล้มล้างสร้างปัญหาให้ประเทศ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับประชาชนที่จะตัดสินและกำหนดทิศทาง”

ทางด้าน นายจาตุรนต์ ฉายแสง ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน หลังเดินทางมารับทราบข้อกล่าวหาจากการแสดงความเห็นวิจารณ์และประเมินผลงาน 4 ปี รัฐบาล คสช. ในช่วงบ่ายที่ผ่านมาว่า “วันนี้เรามารับทราบข้อกล่าวหาชุมนุมเกิน 5 คนขึ้นไป ความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ วันนี้ กระบวนการแจ้งข้อกล่าวหา ซึ่งทุกคนให้การปฏิเสธทุกข้อหา และจะทำคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรมาให้ในภายหลัง พร้อมกับได้ตั้งข้อสังเกตหลังจากได้ดูเอกสารการแจ้งข้อหา พบว่า ขั้นตอนทุกอย่างที่เกิดขึ้นมีความรวบรัด พนักงานสอบสวนรับแจ้งความ และไม่หาหลักฐานเพิ่มเติม แต่กลับตั้งข้อหาร้ายแรงเกินจริง มองว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่เป็นธรรมกับพวกตน มีการเลือกปฏิบัติ เพราะข้อความและเนื้อหา ที่มีการแถลงข่าว ไม่สามารถจัดว่าเป็นชุมนุมทางการเมืองหรือมั่วสุม และไม่เป็นการแถลงเพื่อยุยงประชาชนให้กระด้างกระเดื่องแต่อย่างใด ฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดไม่ควรตั้งข้อหาใดๆ ได้เลย สิ่งเหล่านี้พวกตนเองได้พูดต่อหน้า พล.ต.อ.ศรีวราห์ ว่า ประเทศที่เป็นประชาธิปไตยไม่ควรให้เกิดสิ่งเหล่านี้ โดยเฉพาะตำรวจเป็นต้นทางการสอบสวน ต้นทางกระบวนการยุติธรรม ไม่ควรตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด และหวังว่าการกระทำแบบนี้จะไม่เกิดกับประชาชนทั่วไป ส่วนจะมีการจะฟ้องกลับบุคคลใดหรือไม่ คงเป็นขั้นตอนต่อไป”

"วัฒนา" โวยถูกยัดข้อหาวิจารณ์รัฐบาล เตือน คสช. เตรียมนับถอยหลัง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

นับถอยหลังได้เลย

ผมกำลังเตรียมตัวไปรับทราบข้อกล่าวหาจากพนักงานสอบสวนกองปราบ นับเป็นอีกหนึ่งคดีที่ผมถูกเผด็จการชุดนี้ยัดข้อหาให้ แต่คดีนี้มีความทุเรศเป็นพิเศษเพราะเป็นข้อหาที่ได้มาจากการแถลงข่าวซึ่งเป็นเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ที่สำคัญคือเป็นการทำหน้าที่ของนักการเมืองเพื่อสื่อสารให้ประชาชนทราบถึงผลงานของรัฐบาล อันถือเป็นการปิดปากนักการเมืองเพื่อปิดหูปิดตาประชาชน

นอกจากพวกผมจะถูกยัดข้อหาแล้ว ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทั้งหลายก็กำลังถูกไล่ล่าจากเหล่าเผด็จการเช่นกัน มีการออกคำสั่งให้ทั้งทหารและตำรวจไปคุกคามประชาชนที่จะมาร่วมกิจกรรมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในเย็นวันนี้ เอาตัวเจ้าของรถเครื่องเสียงที่ทำธุรกิจให้เช่าไปควบคุมตัวในค่ายทหาร บุกค้นบ้านและคุกคามแม่ครัวที่จะทำอาหารให้ผู้ชุมนุมซึ่งกำลังป่วย อ้างการข่าวใส่ร้ายผู้ชุมนุมว่ามีการสะสมอาวุธเสมือนจะมีการก่อความรุนแรง แต่กับเหตุการณ์ระเบิดที่ภาคใต้ที่เป็นหน้าที่ต้องป้องกันกลับปล่อยให้เกิดขึ้นและไม่เคยทราบล่วงหน้า ยิ่งไปกว่านั้นเผด็จการบางคนยังแสดงความหนากล้าพูดว่าพวกตัวมีผลงานไม่เช่นนั้นจะอยู่มาได้ถึง 4 ปีได้อย่างไร? พูดไปในขณะที่ใช้กำลังทั้งทหารและตำรวจพร้อมอาวุธกดหัวประชาชนไว้ จึงขอให้กำลังใจพี่น้องประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทุกท่าน ออกอาการแบบนี้คงอีกไม่นาน มาช่วยกันนับถอยหลังให้กับเผด็จการชุดนี้ด้วยกันครับ

วัฒนา เมืองสุข

21 พฤษภาคม 2561

วันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

"พานทองแท้" ติง คสช. ปิดปากเพื่อไทยวิจารณ์รัฐบาล


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

ผมได้ข่าวมาว่า....

วันพรุ่งนี้ สมาชิกพรรคเพื่อไทยทั้ง 8 คน ที่ถูกออกหมายเรียกและแจ้งข้อกล่าวหา กรณีแถลงผลงาน 4 ปีของรัฐบาล จะเดินทางไปมอบตัวที่กองปราบฯ เวลา 10โมงตรงครับ..!!

ความผิดทั้ง 4 ข้อหาที่คสช.แจ้งให้ดำเนินคดีต่อบุคคลทั้ง 8 ราย ได้แก่ การฝ่าฝืนคำสั่งคสช.ที่ห้ามทำกิจกรรมทางการเมือง ห้ามชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป กระทำการยุยงปลุกปั่น และมีการกระทำผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ

ส่วนเนื้อหาสาระ คือเรื่องความล้มเหลวของรัฐบาลทางด้านต่างๆทั้ง 7 ด้าน ที่ได้มีการถกแถลง และพี่น้องประชาชนรอฟังคำชี้แจงอยู่นั้น จนถึงบัดนี้ยังไม่ได้มีการปฏิเสธ หรือออกมาชี้แจงจากทาง คสช.เลย ว่าเรื่องดังกล่าวนั้นจริงหรือไม่จริงอย่างไร?

เหตุการณ์แบบนี้ เมื่อเกิดขึ้นบ่อยๆ จะยิ่งทำให้พี่น้องประชาชนเบื่อหน่ายระบอบเผด็จการฯ และคิดถึงการเมืองในระบอบประชาธิปไตย อยากให้มีการเลือกตั้งกันมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะระบอบประชาธิปไตย มีระบบการตรวจสอบถ่วงดุล และมีกฎหมายคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ที่ประชาชนผู้เสียภาษี มีสิทธิมีเสียงในการแสดงความคิดเห็น ต่อพฤติกรรมของนักการเมือง

กรณีแบบนี้ ในระบอบประชาธิปไตย นักการเมืองที่ถูกกล่าวหา คงจะต้องรีบออกมาชี้แจงต่อประชาชนว่า 4 ปีที่เขาได้เข้ามาบริหารบ้านเมืองนั้น เขาได้ทำอะไรที่ไม่ถูกต้องจริงอย่างที่มีคนแถลงหรือไม่..?

ส่วนการเมืองในรูปแบบเผด็จการฯ ถ้าไม่อยากชี้แจงหรือไม่สามารถชี้แจงสิ่งที่บุคคลอื่นแถลงถึงตนเองได้ ก็มักจะใช้คำสั่งพิเศษ หรือใช้กฎหมายที่ตั้งขึ้นมาเพื่อปิดหูปิดตาประชาชน กล่าวหากลับไปว่าการแถลงนั้นผิดกฎหมาย โดยที่ตนเองนั้นไม่ต้องตอบแต่ประการใด..!! (โดยอาจมีความฉุนเฉียว ตวาด ตะคอกกลับ แถมมาด้วยในบางครั้ง)

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ คล้ายกับเรื่องเล่าอุปมาอุปไมย ที่เคยได้ยินเปรียบเปรยกันว่า เด็กวัดเผอิญผ่านไปเห็นพระอยู่กับสีกาในกุฏิดึกๆดื่นๆ จึงเอาไปพูดให้ชาวบ้านฟัง ว่าพฤติกรรมแบบนี้เหมาะสมหรือไม่ ทำให้เกิดเรื่องซุบซิบครหา จนกระทั่งเกิดวิกฤติศรัทธากันไปทั้งตำบล

เมื่อเรื่องไปถึงหูเจ้าอาวาส แทนที่จะไต่สวนเรื่องราว แต่กลับเรียกเด็กวัดมาลงโทษ โดยอ้างว่าการเอาเรื่องบัดสีแบบนี้ไปพูดกับชาวบ้าน ผิดต่อระเบียบที่เจ้าอาวาสกำหนดไว้...

ถามว่าเมื่อมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น หากท่านต้องการเรียกความเชื่อมั่นของประชาชน ให้กลับมาศรัทธาต่อวัดและต่อตัวเจ้าอาวาสเองอีกครั้ง

ท่านเจ้าอาวาส ควรจะทำโทษคนที่ออกมาพูด หรือควรจะชี้แจงให้ชาวบ้านหมดสิ้นข้อสงสัยดีครับ..??

“สุดารัตน์” ป้อง 8 แกนนำพรรคเพื่อไทย วิจารณ์ คสช. ได้-ไม่ผิด


ผู้สื่อข่าวรายงานจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ว่า คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ฟ้องร้องดำเนินคดีกับแกนนำพรรคเพื่อไทยที่แถลงข่าวเรื่อง 4 ปี คสช. ว่า รัฐบาลทำงาน ประชาชนรับผล แม้พรรคการเมืองยังทำอะไรไม่ได้ แต่ความที่เคยเป็นตัวแทนประชาชน ก็ต้องย่อมออกมาแสดงความคิดเห็นเพื่อส่วนรวมได้ การคุยด้วยเหตุผลหรือแสดงความคิดเห็นเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญ จึงไม่ควรมีความผิด ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองหรือประชาชน ส่วนการใช้ .116 แจ้งความนั้น คุณหญิงสุดารัตน์ ระบุว่าอยากให้ใช้ตามเจตนารมย์ของกฎหมาย ที่มีไว้เพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ เช่น การล้มล้างระบอบประชาธิปไตย แต่ต้องไม่ใช่เพื่อความมั่นคงของรัฐบาลหรือผู้มีอำนาจเพื่อคุ้มครองตนเอง ซึ่งอาจก่อให้เกิดความไม่สามัคคีตามมา เมื่อถามว่า มีการแสข่าวว่าอาจนำไปสู่การยุบพรรค คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่าดิฉันเป็นคนสมัยไทยรักไทย เคยโดยยุบมาแล้วหลายรอบ การยุบพรรคเป็นเครื่องมือที่มีพลังสำหรับผู้มีอำนาจ แต่ถามว่า ยุบแล้ว จะเลิกศรัทธาของประชาชนที่มีกับพรรคการเมืองได้หรือไม่?

สมาชิกเพื่อไทย เตรียมเดินทางไปกองปราบฯ ให้กำลังใจ 8 แกนนำพรรค


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดร.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร เขต 20 พรรคเพื่อไทย ได้โพสต์ข้อความในเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

เป็นอีกครั้งที่ฝ่ายการเมือง ถูกกระทำจากอำนาจนอกระบบทุกท่านทราบข่าวแล้วว่า ตัวแทนสมาชิกพรรคเพื่อไทยถูกตั้งข้อกล่าวหาจากคณะ คสช. ในฐานความผิดร่วมกันมั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมืองและความผิด .อาญา มาตรา 116 (ยุยงปลุกปั่น) บางท่านกล่าวว่าข้อหารุนแรงเกิน บางท่านกล่าวว่า คสช. หลงกับดักเพื่อไทย บางท่านกล่าวว่า คสช. ควรเอาเวลาไปทำประโยชน์เพื่อประเทศชาติมากกว่าประโยชน์ส่วนตน จะเห็นเช่นใดก็ตามแต่ ตัวแทนสมาชิกฯ ไม่ควรถูกตั้งข้อหาใดๆ ทั้งสิ้น

ตามที่มีการตั้งโต๊ะแถลงผลงานรัฐบาล 4 ปี ในสถานการณ์ที่ประเทศไทยบอบช้ำ เศรษฐกิจซบเซา รายจ่ายมากแต่รายได้ลดลง ความคิดความอ่านที่ถูกปิดกั้น ประชาชนขาดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ในฐานะประชาชนคนไทยคนหนึ่งและในฐานะนักการเมือง เรา ถือเป็นตัวแทนของประชาชนที่ต้องเป็นปากเป็นเสียงหาวิธีแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างเร่งด่วนก่อนที่สถานการณ์จะเลวร้ายไปกว่านี้ เพราะเวลาที่ผ่านไป หมายถึง ต้นทุนที่ถูกใช้ ทั้งด้านเวลาที่สูญเสีย ด้านภาษีของประชาชน ด้านหลักนิติธรรมที่ถูกทำลาย โดยอำนาจของเผด็จการ ยังมีแต่สร้างความถดถอยในการพัฒนาประเทศ นอกจากนี้การกระทำของตัวแทนสมาชิกฯ ถือเป็นการกระทำภายใต้รัฐธรรมนูญ เรื่องสิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย ที่สมควรกระทำได้ทั้งสิ้น หาก คสช. ต้องการหาผู้กระทำผิดกฎหมายแนะนำให้อ่าน มาตรา 5 และพิจารณาดูว่าตอนนี้ผู้ใดใช้กฎหมายอื่นใดที่ขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญหรือไม่?

ยึดอำนาจจากประชาชนเป็นเวลา 4 ปีแล้ว ยังไม่เห็นมีสิ่งที่ดีเกิดขึ้นกับประชาชน ได้ยินแต่ข่าวไล่ล่าผู้เห็นต่าง ไล่ล่าฝ่ายต่อต้านเผด็จการ ออกกฎหมายปรนเปรอชนชั้นนำและนายทุน จนชาวบ้านตกระกำลำบาก อยู่แบบพยุงชีวิตไปวันหนึ่งๆ แค่แม้จะร้องขอให้มีการเลือกตั้งยังทำไม่ได้ ชาวบ้านต้องตกอยู่ในสภาพนี้อีกนานแค่ไหน?

วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม เวลา 10.00 . อิ่มจะเดินทางไปให้กำลังใจตัวแทนสมาชิกพรรคเพื่อไทยที่ถูกตั้งข้อหา ที่กองบังคับการกองปราบ ลาดพร้าว ข้างแดนเนรมิตเดิม หากมีโอกาสพบได้ทักทายกันค่ะ

วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

“เพื่อไทย” ขอบคุณทุกกำลังใจ ยืนยันยืนหยัดเพื่อประชาชน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดร.สุรสาล ผาสุข อดีต ..สิงห์บุรี พรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความแสดงความเห็นผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

"ยืนหยัดเพื่อประชาชน"
      
เผด็จการปล้นอำนาจกำลังเข้าตาจนดิ้นรนอยู่ในลมหายใจเฮือกสุดท้าย ทำเป็นปากกล้าออกมาท้าทายว่าใน 4 ปีที่ผ่านมามีอะไรบ้างที่ไม่ดีแต่พอพรรคเพื่อไทยออกมาแถลงเพื่อทำให้เผด็จการหายโง่และตอกย้ำให้ประชาชนได้เห็นถึงความล้มเหลวของคสช.และรัฐบาลคสช.ก็ขาสั่นพั่บๆให้ลิ่วล้อออกมาขัดขวางด้วยกฎหมายเผด็จการที่มีไว้เพียงเพื่อกดหัวคนที่ไม่ยอมก้มหัวให้

ในฐานะของประชาชนไทยคนหนึ่งและในท่ามกลางการพยายามสร้างภาพของเผด็จการเพื่อหวังการสืบทอดอำนาจ การออกมาแถลงของสมาชิกพรรคเพื่อไทยถึงความล้มเหลวที่เกิดขึ้นจากการเข้ามาเถลิงอำนาจของเผด็จการรวมไปถึงการประกาศเจตนารมณ์ที่จะไม่ยอมก้มหัวและร่วมสังฆกรรมใดๆกับเผด็จการจึงควรได้รับการยกย่องและให้กำลังใจจากประชาชนผู้ยืนหยัดอยู่กับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย

เดินหน้าต่อไปครับอย่าไปหวังอะไรกับคำพูดที่ไม่มีความน่าเชื่อถือของเผด็จการ พรรคเพื่อไทยมีกองหนุนที่ดีที่สุดคือประชาชนยืนอยู่เคียงข้างแล้วและเป็นกองหนุนที่เข้มแข็งที่เผด็จการหวาดกลัวและยากที่จะทำลายได้


ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า วานนี้ (17 พฤษภาคม 2561) คสช. ได้แจ้งความเพื่อเตรียมดำเนินคดีกับพรรคเพื่อไทยหลังจากเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เดินทางไปที่สำนักงานพรรคเพื่อไทย เพื่อสั่งให้ยุติการแถลงประเมินผลงาน 4 ปี รัฐบาล คสช. โดยพรรคเพื่อไทยปรับท่าทีการแถลงข่าว เหลือแกนนำพรรคเพียง 3 คน ประกอบด้วย นายจาตุรนต์ ฉายแสง, นายวัฒนา เมืองสุข และ นายชูศักดิ์ ศิรินิล แสดงความเห็นในนามสมาชิกพรรค ซึ่งเป็นความเห็นของแต่ละบุคคลเท่านั้น โดยแกนนำพรรคเพื่อไทยชี้ถึงความล้มเหลวของการบริหารราชการแผ่นดิน 7 เรื่องด้วยกัน ประกอบด้วยล้มเหลวในเหตุผลการยึดอำนาจ, ล้มเหลวในการสร้างความปรองดอง, ล้มเหลวในการปราบปรามคอรัปชัน, ล้มเหลวในการทำให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย ล้มเหลวในการปกป้องสิทธิมนุษยชน, ล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และล้มเหลวในภาวะการเป็นผู้นำของ พล..ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ท่ามกลางความสนใจของสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศที่เฝ้าสังเกตการณ์เป็นจำนวนมาก

วันพุธที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

“จาตุรนต์” ชี้ ประยุทธ์ ต้นเหตุปฏิรูปไม่เกิด


นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และแกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

ต้นเหตุที่ปฏิรูปไม่เกิด คือ พลเอกประยุทธ์

ตามที่พลเอกประยุทธ์ออกมาโต้นายบวรศักดิ์เรื่องการปฏิรูปไม่คืบหน้านั้นยิ่งทำให้เห็นชัดเจนว่า พลเอกประยุทธ์ไม่สามารถแสดงให้เห็นได้เลยว่าได้เกิดการปฏิรูปในเรื่องใดบ้าง ที่ยกตัวอย่างมาอวดอ้างว่า เป็นการปฏิรูป  ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการทำงานโน่นนิดนี่หน่อย ไม่ได้เป็นความสำเร็จมากมายอะไร เช่น รถไฟทางคู่ 4ปียังทำได้ไม่ถึงสามกิโลเมตร การทำประปาเข้าหมู่บ้าน การทำถนนในท้องถิ่นเป็นเรื่องดี แต่ก็ยังทำได้ไม่มากเพราะว่าเอางบประมาณไปใช้ด้านอื่นเสียมากกว่า 

ที่ยกตัวอย่างเรื่องการออกกฏหมายเพียงบางฉบับ ก็ยิ่งทำให้เห็นว่า ที่นายบวรศักดิ์พูดว่าการปฏิรูปกฎหมายไม่คืบหน้าเป็นเรื่องจริง 

นอกจากนั้น ที่ยกตัวอย่างเรื่องการปฏิรูปการบุกรุกป่า การจัดการปัญหาที่ดิน บริหารจัดการน้ำ ล้วนเป็นเรื่องที่ ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงอะไรที่เป็นเรื่องเป็นราว

ที่น่าตกใจ คือ พลเอกประยุทธ์ยกความสำเร็จในเรื่องการทำประโยชน์ให้แก่เกษตรกรและคนยากจน รวมทั้งยกตัวอย่างโครงการไทยนิยม สวนทางกับผลโพลล์ที่เพิ่งจะออกมาระบุว่า คนส่วนใหญ่ไม่รู้จักโครงการไทยนิยม ส่วนเกษตรกรและคนยากจนได้รับความเดือดร้อนแสนสาหัสกันทั่วหน้า ใครใครก็รู้กันอยู่

พลเอกประยุทธ์ยังตั้งคำถามให้คนช่วยกันตอบว่า อะไรทำอะไรไม่ทำ ตนทำมาตลอด แต่กลับไม่สามารถยกตัวอย่างผลงานที่เป็นชิ้นเป็นอัน

จากการพูดแบบหัวฟัดหัวเหวี่ยงในครั้งนี้ ทำให้เห็นว่าต้นเหตุที่ทำให้การปฏิรูปไม่เกิดขึ้นแท้จริงแล้ว ก็คือ พลเอกประยุทธ์นี่เอง 

ที่พูดออกมาแสดงให้เห็นว่า พลเอกประยุทธ์ไม่เข้าใจแม้แต่ความหมายของคำว่าปฏิรูป ซึ่งหมายถึงต้องมีการเปลี่ยนแปลง ปรับปรุงเรื่องต่างๆอย่างมีนัยยะสำคัญ ในทางการบริหารหรือแก้ปัญหาบ้านเมืองก็ต้องหมายถึงการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงในทางระบบหรือโครงสร้าง รวมทั้งความคิด ความเชื่อ และวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่ทำโน่นนิดนี่หน่อยให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้แบบสะเปะสะปะ ไม่มีทิศไม่มีทางอย่างที่พลเอกประยุทธ์ทำอยู่ 

การปฏิรูปเปรียบเหมือนการยกเครื่องหรือการผ่าตัด แต่ที่พลเอกประยุทธ์ทำอยู่ คือ การปะผุ หรือยิ่งซ่อมยิ่งพัง

ผมได้แสดงความเห็นไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า สาเหตุที่ไม่เกิดการปฏิรูป จะโทษแต่ข้าราชการไม่ได้ แต่ควรจะโทษคสช.และแม่น้ำทั้ง 5 สายที่ไม่ได้มีความคิดความตั้งใจที่จะปฏิรูปมาแต่ต้น การปฏิรูปเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อเข้าสู่อำนาจของคสช. และเป็นข้ออ้างเพื่ออยู่ในอำนาจตลอดมา และกำลังเป็นข้ออ้างที่จะสืบทอดอำนาจต่อไป 

ที่พลเอกประยุทธ์ออกมาพูดในครั้งนี้ ยิ่งทำให้เห็นว่า ผู้ที่เป็นสาเหตุสำคัญที่สุดที่ทำให้ไม่เกิดการปฏิรูปใดๆ คือ พลเอกประยุทธ์ ผู้ไม่รู้แม้แต่ความหมายของการปฏิรูปนี่เอง


......

“เพื่อไทย” แนะรัฐลาออก รับผิดชอบปฏิรูปเหลว


นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานคณะกรรมการปฏิรูปด้านกฎหมาย ท้วงติงกระบวนการปฏิรูป ห่วงจะไม่สำเร็จเพราะให้ข้าราชการเป็นฝ่ายปฏิบัติ จนทำให้พล..ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้า คสช.ออกมาระบุ ถ้าไม่รู้เรื่องจะถือว่าพูดกันคนละภาษาแล้วไม่เข้าใจกัน ว่า 

ถ้าเอาปัจจัย เวลา งบประมาณ ความคุ้มค่า มาจับ การตั้งมา 2-3 คณะใหญ่ บวกอนุกรรมการชุดต่างๆ ผ่านไป 4 ปี แล้วทำงานไม่ได้ จะถือว่าขาดทุน เสียเวลาเปล่าหรือไม่ถือเป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ เขาอยากอยู่ยาว ตามที่นายบวรศักดิ์ เคยออกมาแฉหรือไม่ ขนาดคนในด้วยกันอย่างนายบวรศักดิ์ ตั้งข้อสังเกตยังไม่ฟัง นับประสาอะไรจะไปรับฟังความเห็นจากภาคส่วนอื่นๆและภาคประชาชน ก็เสี่ยงต่อการทำให้การปฏิรูปล้มเหลวอย่างไม่ต้องสงสัยหรือไม่ ส่วนที่บอกว่า 8 เดือนก่อนเลือกตั้ง รัฐบาลคสช.จะเร่งปฏิรูปเรื่องใหญ่ๆให้สำเร็จ 5 เรื่องนั้น ในเรื่องที่ 5 บอกว่าจะปฏิรูปการมีส่วนร่วมของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยให้ยอมรับกฎกติกา และแก้ปัญหาขัดแย้งโดยสันติวิธี การออกมาตำหนินายบวรศักดิ์ ถือเป็นการกระทำที่ย้อนแย้งต่อการประกาศท่าทีปฏิรูปหรือไม่ การบอกว่ารัฐบาลพร้อมรับผิดชอบอยู่แล้วหากการปฏิรูปล้มเหลว อยากถามว่ารัฐบาลคสช.จะรับผิดชอบอย่างไร? ลาออก หรือ จัดให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว เพื่อเปิดทางให้รัฐบาลหลังเลือกตั้งมาขับเคลื่อนการปฏิรูปต่อ หรือรับผิดชอบโดยการตำหนิคนเห็นต่าง แล้วก็ทำเหมือนเดิมโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่?”

วันอังคารที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

“วิญญัติ” เร่งดำเนินคดี แกนนำ กปปส.


นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความด้านสิทธิมนุษยชน และเลขาธิการสมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิเสรีภาพ (สกสส.) พร้อมคณะทำงาน ได้เข้ายื่นหนังสือต่ออธิบดีอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ นายวงศ์สกุล กิตติพรหม ให้เร่งนำตัวผู้ต้องหากลุ่ม กปปส. ที่เหลืออีกอย่างน้อย 18 คน ฟ้องศาลอาญาในคดีร่วมกันเป็นกบฏ

นายวิญญัติ กล่าวว่า จนกระทั่งบัดนี้ยังไม่มีการนำตัวมาฟ้อง ทั้งๆที่ผู้ต้องหากลุ่มนี้เป็นชุดเดียวกับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ซึ่งมีคำสั่งฟ้องจากอธิบดีอัยการไปแล้วเมื่อปี 2558 ต่อมาคณะทำงานคดีก็ยืนยันมติเดิมจนนำมาสู้การฟ้องแกนนำหลักๆไปแล้วนั้น เรื่องนี้สำนักงานอัยการสูงสุดต้องทำหน้าที่ของตนอย่างมีเกียรติให้เป็นที่ประจักษ์ว่าไม่ได้รับคำสั่งใคร

ส่วนผู้ต้องหาคดีกบฏที่ยังมิได้นำตัวมาฟ้องต่อศาลอาญาอีกหลายคน ได้แก่ นายนิติธร ล้ำเหลือ ผู้ต้องหาที่ 11 นายอุทัย ยอดมณี ผู้ต้องหาที่ 12 นายสุภวัฒน์ สุปิยะพาณิชย์ ผู้ต้องหาที่ 17 นางสาวจิตรภัสร์ กฤดากร ผู้ต้องหาที่ 19 นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ผู้ต้องหาที่ 25  นายกิตติศักดิ์ ปรกติ ผู้ต้องหาที่ 27 พลเอกปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ ผู้ต้องหาที่ 31 นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ต้องหาที่ 32 นายพิภพ ธงไชย ผู้ต้องหาที่ 33 นายอมร อมรรัตนานนท์ (รัชต์ชยุตม์ ศิรโยธินภักดี) ผู้ต้องหาที่ 37 นายกิตติชัย ใสสะอาด ผู้ต้องหาที่ 43 นายคมสัน ทองศิริ ผู้ต้องหาที่ 44 นายพิเชษฐ พัฒนโชติ ผู้ต้องหาที่ 46  นายประกอบกิจ อินทร์ทอง ผู้ต้องหาที่ 48 นายนัสเซอร์ ยีหมะ ผู้ต้องหาที่ 49 นายพานสุวรรณ แก้ว ผู้ต้องหาที่ 50 นายสุริยันต์ ทองหนูเอียด ผู้ต้องหาที่ 51 และ นางทยา ทีปสุวรรณ ผู้ต้องหาที่ 55

ดังนั้น ในการมายื่นหนังสือครั้งนี้ มีเจตนาชัดแจ้งว่า เพื่อประโยชน์แก่สาธารณะและทางราชการ  จึงต้องมาบอกกล่าวความเสียหายว่า หากไม่จัดให้มีการนำตัวผู้ต้องหาที่เหลือมาฟ้องต่อศาลโดยเร็ว ภายใน 30 วันนี้ ตนมีความจำเป็นที่จะต้องกล่าวโทษและใช้สิทธิตามกฎหมายดำเนินคดีต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบต่อไป


ผมเข้าใจต่อความอึดอัดใจของคนในตำแหน่ง แต่เมื่อท่านเป็นข้าราชการมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ท่านย่อมต้องมีความกล้าหาญที่จะยึดหลักนิติธรรมและจริยธรรมของท่าน อย่าให้เสียนายวิญญัติ ชาติมนตรี กล่าว

วันจันทร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

“ยุทธพงศ์” เตรียมยื่นสอบทุจริตระบายข้าวรัฐ


นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร อดีตรมช.เกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยนายสุรสาล ผาสุก อดีตส.ส.สิงห์บุรี พรรคเพื่อไทย แถลงข่าวข้อพิรุธการระบายข้าวของรัฐบาลใน จ.ราชบุรี ซึ่งมีการประมูลข้าวของอุตสาหกรรมที่ไม่ใช่คนบริโภค โดยนายสุรสาล กล่าวว่า ขอตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะมีการเวียนเทียนขายข้าวในบริษัทแห่งหนึ่งที่อ.ปากท่อ จ.ราชบุรีหรือไม่ โดยบริษัทแห่งนี้ได้ซื้อข้าวจากคลังของ อคส. จำนวน 35 โกดังในปริมาณ 515,841.81 ตัน และรับซื้อจากคลังของอ.ต.ก.จำนวน 16 โกดังในปริมาณ 241,451.79 ตัน รวมทั้งสิ้น 757,293.61 ตัน ซึ่งเป็นบริษัทเดียวที่รัฐขายข้าวสารให้มากที่สุดเกือบ 1 ล้านตัน ตนมีข้อสงสัยว่าโรงงานดังกล่าวมีกำลังการผลิตวันละ 350 ตันต่อวัน ซึ่งต้องใช้เวลา 25 ปี ในการแปรรูปข้าวจำนวน 757,293.79 ตันให้เป็นอาหารสัตว์ ซึ่งคงเป็นไปไม่ได้เพราะข้าวจะเน่าเสียและขึ้นรา

นายสุรสาล กล่าวอีกว่า อีกทั้งเมื่อวันที่ 9 พ.ค.61 พล.ต.อ.เดชณรงค์ สุทธิชาญบัญชา รอง ผบ.ตร. ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบการปฏิบัติตามสัญญาซื้อข้าวในสต็อกของรัฐบาล ลงพื้นที่ จ.ราชบุรีและตรวจสอบพบบริษัทดังกล่าวประมูลข้าวได้ 757,000 ตัน รับมอบ 324,000 ตัน จ่ายออกปรับปรุงเพื่อขาย 99,800 ตัน ผลิตอาหารสัตว์ 195,000 ตัน คงเหลือข้าว 29,000 ตัน ซึ่งขอตั้งข้อสังเกตว่าในส่วนของข้าวจำนวน 99,800 ตัน ที่นำไปจำหน่ายไม่ได้นำไปทำเป็นอาหารสัตว์ และไม่ทราบว่านำไปขายเพื่อให้คนบริโภคหรือไม่ หรือไปขายต่อให้กับโรงงานอื่นหรือไม่ ซึ่งผิดสัญญาเงื่อนไขชัดเจนที่นำข้าวที่เป็นอาหารสัตว์ไปขายในรูปแบบอื่น และขายให้กับบริษัทที่ไม่ใช่คู่สัญญากับรัฐบาล จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลทำเรื่องนี้ให้โปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้


ขณะที่นายยุทธพงศ์ กล่าวว่า ขณะที่ ผวจ.ราชบุรีตรวจพบมีการนำข้าว 1 แสนตันไปเวียนเทียนขายต่อ ซึ่งตนเชื่อว่านำไปขายให้คนกินแน่นอน ยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่ใช่การเมืองเพราะผวจ.ออกมาเปิดเผยข้อมูลด้วยตนเอง จึงขอถามพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ว่า 1.ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว(นบข.) จะจัดการเรื่องการทุจริตเวียนเทียนข้าวอย่างไร 2.รัฐบาลทำผิดเงื่อนไขไม่ติดกล้องซีซีทีวีหรือไม่ เพราะไม่สามารถตรวจจับการทุจริตได้ 3.ทุกรัฐบาลที่ผ่านมาไม่เคยมีรัฐบาลใดแยกประเภทการระบายข้าวนอกจากรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ซึ่งสามารถนำไปสู่การทุจริตได้โดยประมูลซื้อข้าวจากรัฐบาลมาในราคาถูก แล้วนำมาเวียนเทียนขายเป็นอาหารคนในราคาสูง 4.ตั้งแต่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์เข้ามา ราคาข้าวไม่ดี เกษตรกรเดือดร้อน มีหนี้สิ้นท่วมหัวจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร ทั้งนี้ในวันที่ 16 พ.ค. ตนจะนำเรื่องดังกล่าวไปยื่นต่ออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)ให้ตรวจสอบเรื่องดังกล่าวเพราะมูลค่าความเสียหายมีจำนวนมาก นอกจากนี้จะไปตามเรื่องกับ สตง. ที่เคยได้ยื่นคำร้องเรียนไปแล้ว

วันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

“จาตุรนต์” อัดคสช. จากรัฐจำนำข้าว เป็นประชาชนจำนำเครื่องมือเกษตร


นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และแกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

จำนำเครื่องมือการเกษตร

เห็นข่าวเล็กๆที่ดูจะไม่ใช่เรื่องเล็กเสียแล้ว คือ ข่าวเกษตรกรนครสรรค์เอาเครื่องมือการเกษตรไปจำนำกันมากอย่างน่าตกใจ

ปรากฏว่า เกษตรกรอำเภอชุมแสง .นครสวรรค์ ได้นำเอาเครื่องมือการเกษตร เช่น รถไถนาคูโบต้า เครื่องสูบน้ำ หัวรถไถนา มาจำนำที่สถานธนานุบาลเทศบาลเมืองชุมแสง กว่า 120 เครื่อง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนจากสภาพเศรษฐกิจที่ตกต่ำเวลานี้ โดยขณะนี้ทางเทศบาลเมืองชุมแสงได้ใช้เงินรับจำนำไปแล้ว 60 ล้านบาท และได้สำรองเงินสดไว้อีก 80 ล้านบาท รวมเงินสำรองไว้ 165 ล้านบาท

นอกจากนี้ เทศบาลเมืองชุมแสง ยังเตรียมที่จะขยายสถานที่เก็บของรับจำนำเพื่อให้เพียงพอต่อนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และแกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

ความต้องการของประชาชนที่นำเครื่องมือการเกษตรมาจำนำ เพราะว่าขณะนี้ยังมีเกษตรกรจำนวนมากประสงค์จะเอาเครื่องมือการเกษตรมาจำนำ

จากจำนำข้าว" "จำนำพืชผล" มาสู่ "จำนำเครื่องมือการเกษตรเป็นการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมที่มีนัยสำคัญมาก "จำนำยุ้งฉางของรัฐบาลคสช.ดูจะหายเข้ากลีบเมฆไปแล้ว ไม่มีใครทราบว่า มีการจำนำกันไปมากน้อยแค่ไหน จนบัดนี้ไม่ปรากฏว่ารัฐบาลปัจจุบันมีมาตรการอะไรสำหรับเกษตรกรไทยที่กำลังเดือดร้อนสาหัสสากรรจ์อยู่  รัฐบาลมักโอ้อวดถึงตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นอยู่ตลอดเวลา แต่สภาพที่เรียกกันติดปากว่ารวยกระจุก จนกระจายอย่างเช่นกรณีของเกษตรกรนี้ดูจะมีตัวอย่างให้เห็นมากขึ้นทุกที

เรื่องเหล่านี้ เป็นเรื่องที่หลายฝ่าย รวมทั้งพรรคการเมืองทั้งหลายต้องช่วยกันคิด จะหวังให้รัฐบาลคสช.แก้ปัญหาเหล่านี้คงไม่ได้ ปลดล็อคเมื่อไหร่ สิ่งที่ควรทำเป็นเรื่องด่วนเรื่องหนึ่ง คือ การรับฟังปัญหาความเดือดร้อนของเกษตรกรและประชาชนสาขาอาชีพต่างๆเพื่อร่วมกันหาทางแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนให้ดีขึ้นโดยเร็วครับ

........
#จำนำเครื่องมือการเกษตร