วันพุธที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

ใครจะแก้? "เหวง" ถามกลับประยุทธ์ รัฐประหารวนเวียนซ้ำซาก

นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ นปช. กล่าวว่า ในขณะนี้คำถามสี่ข้อของนายกรัฐมนตรีเป็นที่กล่าวถึงกันทั่วไป ผมสงสัยในเจตนารมณ์เบื้องลึกของคำถามทั้งสี่ข้อของนายกรัฐมนตรี เพราะขณะนี้อยู่ในวาระที่ประชาชนทั้งประเทศเฝ้ารอการเลือกตั้งอย่างใจจดใจจ่อ การตั้งคำถามดังกล่าวจึง “น่าสงสัยว่า”

1. ต้องการคำตอบทาง “ลบ” เพื่อจะได้เป็นเหตุผลที่ “ไม่ต้องเลือกตั้ง” และรัฐบาล คสช. ก็ยืดอายุยาวออกไปได้ “อีกไม่รู้นานเท่าไร” จนกว่าจะแน่ใจว่า จะได้รัฐบาลภายใต้การกำกับของ คสช. จึงปล่อยให้มีการเลือกตั้งใช่หรือไม่?

2. เหตุผลที่ทำให้ผม “สงสัย” เช่นนี้อีกประการหนึ่ง เพราะให้ส่งคำตอบไปที่ “ศูนย์ดำรงธรรม” และให้กระทรวงมหาดไทยรวบรวมประมวลส่ง ซึ่งทั้งสององค์กรเป็นหน่วยงานภายใต้การกำกับอย่างใกล้ชิดของ คสช. เป็นกลไกทางการเมืองสำคัญของ คสช. ซึ่งทำให้สามารถได้คำตอบชนิดที่ “เนรมิตให้เป็นอย่างใดก็ได้ตามที่ คสช. ต้องการ” หรือใครจะกล้าปฏิเสธ?

จึงยิ่งตอกย้ำความ “น่าสงสัย” ของการตั้งคำถามและต้องการได้รับคำตอบจากประชาชนทั่วประเทศมากยิ่งขึ้น ในทางกลับกัน ผมขอตั้งคำถามกลับไปยัง คสช. สี่ข้อดังต่อไปนี้ด้วยเช่นกัน คือ

1. มีการรัฐประหารครั้งใดบ้าง ในประเทศไทยที่ได้รัฐบาลคณะรัฐประหารที่มีธรรมาภิบาล

2. เมื่อไม่เป็นรัฐบาลธรรมาภิบาล แล้วจะแก้ไขได้อย่างไร?

3. รัฐบาลและรัฐสภาคณะรัฐประหารชุดใดบ้าง ที่เคยมีวิสัยทัศน์ยาวไกล สร้างยุทธศาสตร์และปฏิรูปจนนำความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ประเทศ และประชาชนอยู่ดีกินดีขึ้นอย่างน่าพอใจ เมื่อเป็นเช่นนี้ การรัฐประหาร เป็นการแก้ปัญหาที่ถูกต้องหรือไม่ถูกต้องอย่างไร?

4.ประเทศไทยเกิดรัฐประหารวนเวียนซ้ำซากจนถอยหลังกว่าเพื่อนบ้านทั้งหมด ใครจะเข้ามาแก้ไขปัญหาไม่ให้เกิดรัฐประหาร และจะทำอย่างไร?

ผมขอให้ คสช. ช่วยกรุณาตอบให้ประชาชนทั้งประเทศได้เข้าใจบ้างครับ


"ยิ่งลักษณ์" เยือนอุบลฯ ประชาชนต้อนรับคึกคัก


นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นำ อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย เยี่ยมชมมหาวิทยาลัยผู้สูงวัย เทศบาลตำบลตระการพืชผล อำเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี พร้อมร่วมกิจกรรมรำสาวเข็นฝ้าย ซึ่งเป็นการรำต้อนรับของผู้สูงอายุ นอกจากนี้ผู้สูงอายุยังได้จัดพิธีบายศรีสู่ขวัญให้กับนางสาวยิ่งลักษณ์ เพื่อความเป็นศิริมงคล และอวยพรให้หมดทุกข์หมดโศก ประสบแต่ความเจริญรุ่งเรืองแคล้วคลาดปลอดภัยจากศัตรูหมู่มารทั้งปวง

มหาวิทยาลัยผู้สูงวัย เทศบาลตำบลตระการพืชผล มีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้นกว่า 1,300 คน เทศบาลตำบลตระการพืชผล ซึ่งเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีหน้าที่ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุให้มีประสิทธิภาพ จึงร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่คิดรูปแบบวิธีการในการพัฒนาระบบการดูแลผู้สูงอายุ และได้ให้มีการจัดตั้งโรงเรียนผู้สูงอายุขึ้น โดยใช้ชื่อว่ามหาวิทยาลัยผู้สูงวัย โดยได้เปิดดำเนินการเมื่อเดือนตุลาคม 2558 เป็นต้นมา เปิดเรียน ทุกวันศุกร์ สัปดาห์ละ 1 ครั้ง

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการรวมกลุ่มผู้สูงอายุให้เข้าร่วมกิจกรรม พบปะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อพัฒนาทักษะความรู้ด้านต่างๆให้ผู้สูงอายุสามารถดูแลสุขภาพตัวเองได้ สามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพได้อย่างเหมาะสม พัฒนาทักษะชีวิตแก่ผู้สูงอายุให้อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข ได้รับการส่งเสริมอาชีพ ตามความเหมาะสม เพื่อสร้างเวทีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ภูมิปัญญาท้องถิ่นให้สืบทอดต่อไป และยังเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้กับผู้สูงอายุให้มีทัศนคติที่ดีในการอยู่ร่วมกับสังคม หลักสูตรการเรียนรู้จะประกอบไปด้วย ภาษาอาเซียน การดูแลสุขภาพ การเข้าสังคม ศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่น การงานอาชีพ จิตอาสา และนันทนาการ นอกจากนี้นางสาวยิ่งลักษณ์ยังได้มอบอุปกรณ์เครื่องเขียน พร้อมขนมให้กับตัวแทนผู้สูงอายุอีกด้วย

ทั้งนี้ เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาก่อนเดินทางมายังมหาวิทยาลัยผู้สูงวัย นางสาวยิ่งลักษณ์และคณะยังได้แวะซื้อของพร้อมให้กำลังใจกับพ่อค้าแม่ค้าและประชาชนที่มาจับจ่ายใช้สอยที่ตลาดสดเทศบาล 3 โดยประชาชนต่างตื่นเต้นเข้ามาสวมกอดและขอถ่ายรูปกันเป็นจำนวนมากเนื่องจากไม่เคยเจอตัวจริงมาก่อน พร้อมสอบถามเมื่อไหร่ประเทศถึงจะมีการเลือกตั้ง โดยนางสาวยิ่งลักษณ์ได้แต่เพียงยิ้มเท่านั้น


"จิรายุ" เผยชาวบ้านรำคาญ "ประชาธิปัตย์-กปปส." ทิศทางไม่ชัด-ลิเกหลงโรง


นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีปัญหาของพรรคประชาธิปัตย์กับกลุ่มนกหวีดว่า "ช่วงนี้อากาศคงเปลี่ยนแปลง เมื่อวานพลพรรคประชาธิปัตย์ไล่ส่งกลุ่ม กปปส. อย่างกับหมูอย่างกับแมว วันนี้จูบปากโชว์ และจะขอกลับเข้าพรรค ตนอยากให้สังคมต้องไม่ลืมว่าคนเหล่านี้ไม่ใช่หรือ? ที่กวักมือเรียก คสช. ทุกวัน ช่วงนี้ดูโชว์อะไรที่เกิดขึ้นมา ต้องไปดูที่มา ขอให้ย้อนกลับไปดู เมื่อปี 2556-2557 ก็จะเห็นว่าใครทำอะไรกันไว้บ้าง หัวหน้าพรรค นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ใช่หรือที่เป่านกหวีด ปี๊ดๆ บนเวที กปปส. พูดอะไรกันไปบ้าง ถ่มน้ำลายรดฟ้าอะไรกันไว้บ้าง พูดปดมดเท็จอะไรเอาไว้บ้าง พูดเอาดีใส่ตัวเอาชั่วให้คนอื่นอะไรเอาไว้บ้าง สนับสนุนเผด็จการเอาไว้อย่างไร ประชนเขาไม่ลืม"

นายจิรายุ กล่าวอีกว่า "วันนี้ขอพูดคำสั้นๆว่า พี่ๆพลพรรคประชาธิปัตย์ครับเอาที่พี่สบายใจ อะไรดีต่อใจแบบไม่สนใจใครพี่ก็ทำ เพราะวันนี้ก็เห็นได้อย่างชัดเจนแล้วว่านั่งร้าน คสช. จากพรรคประชาธิปัตย์ ที่หัวหน้าพรรคไปช่วยเป่านกหวีดไล่รัฐบาลที่มาตามระบอบประชาธิปไตย 3 ปีเป็นอย่างไร ทำไมเพิ่งคิดได้ว่าจะมาต่อต้านระบอบเผด็จการลองถามพรรคพวกในพรรคดูครับ ว่า ทิศทางของพรรคนี้ตกลงจะเอายังไงกันแน่ จะอิงแอบแนบชิดประชาธิปไตยตามเจตนารมณ์พรรค หรือจะฝักฝ่ายเผด็จการ เอาให้ชัดชาวบ้านเขาเริ่มรำคาญ ลิเกหลงโรงกันแล้ว"

"หมวดเจี๊ยบ" สอนประยุทธ์หัดโทษตนเอง เปิดประเด็นเลื่อนเลือกตั้งสะท้อนวุฒิภาวะ


ร.ท.หญิง สุณิสา เลิศภควัต อดีตรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กำลังทำตัวเหมือนเด็กอมมือและไร้วุฒิภาวะ จึงทำเป็นประชดสื่อมวลชน โดยไม่แถลงข่าววาระการประชุมคณะรัฐมนตรี โดยการอ้างว่าคงไม่มีวาระที่น่าสนใจสำหรับสื่อมวลชน ทั้งๆที่การประชุมคณะรัฐมนตรีในแต่ละนัดนั้นมีความสำคัญอย่างมากต่อการกำหนดทิศทางของประเทศชาติ เพราะเป็นการอนุมัตินโยบายสำคัญของฝ่ายบริหาร ซึ่งหลายเรื่องจะกลายเป็นกฎหมายที่คนไทยทั้งประเทศต้องปฏิบัติตาม ดังนั้น การแถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรีจึงถือเป็นหน้าที่ของรัฐบาล ไม่ใช่ว่าขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของรัฐบาลว่ามีอารมณ์จะแถลงผลการประชุมในวันนั้นๆหรือไม่ จะอารมณ์ดีหรืออารมณ์เสีย หรือจะโมโหสื่อมวลชนคนไหนแค่ไหนก็ตาม รัฐบาลก็มีหน้าที่ต้องแถลงข่าวเพื่อเผยแพร่ข้อมูลสำคัญให้ประชาชนที่ตั้งตารอฟังอยู่ทั่วประเทศได้รับทราบ เนื่องจากทุกๆการตัดสินใจของคณะรัฐมนตรี มีผลผูกพันต่อประเทศชาติ และโครงการส่วนใหญ่ที่ขออนุมัติงบประมาณจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรีนั้น ส่วนมากจะมีคำของบประมาณเป็นหลักพันล้าน หรือหมื่นล้านบาทแทบทั้งนั้น ที่สำคัญ มติคณะรัฐมนตรีส่วนใหญ่จะกลายเป็นกฎหมายที่คนไทยทุกคนต้องปฎิบัติตาม จึงเป็นเรื่องที่ประชาชนมีหน้าที่ต้องรับรู้ ว่ามีประเด็นสำคัญอะไรบ้างที่ผ่านการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในการประชุมแต่ละครั้ง แม้ว่าสื่อมวลชนจะไม่ได้นำเสนอมติคณะรัฐมนตรีทั้งหมด แต่อย่างน้อย ก็ช่วยสรุปประเด็นที่สำคัญเพื่อให้ประชาชนได้ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมตามความสนใจของเขา นอกจากนี้ การเปิดเวทีแถลงมติคณะรัฐมนตรียังเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่สังคมจะตรวจสอบการใช้อำนาจของผู้มีอำนาจได้ เพื่อให้คณะรัฐมนตรีมีความยับยั้งชั่งใจ จะได้ไม่กล้า หรือมีความละอายที่จะสอดไส้อนุมัติโครงการหรืองบประมาณที่ประชาชนคัดค้านหรือป้องปรามการล้างผลาญงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งขนาดสื่อมวลชนจับตาการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างใกล้ชิด ที่ผ่านมาก็ยังมีการงุบงิบอนุมัติโครงการซื้อเรือดำน้ำมูลค่าราว 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งประชาชนยี้กันทั้งประเทศ ดังนั้น การไม่แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรีจึงอาจทำให้รัฐบาลถูกมองว่า ถือโอกาสอนุมัติงบลับหรือลักลอบอนุมัติโครงการหลายหมื่นล้านบาทเพื่อเอื้อประโยชน์นายทุนรายใดหรือไม่? หรือแอบเห็นชอบอนุมัติกฎหมายเพื่อช่วยเหลือพรรคพวกคนใดหรือเพื่อเล่นงานฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองบ้างหรือไม่?
   
ทั้งนี้ ถ้าหาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รู้สึกหงุดหงิดที่โดนถล่มเละเทะ ที่ตั้งคำถาม 4 ข้อ ซึ่งส่อนัยยะถึงการเลื่อนเลือกตั้ง จนทำให้ประชาชนทุกภาคส่วนออกมาต่อต้าน พร้อมตั้งคำถามว่าพวกท่านต้องการสืบทอดอำนาจหรืออย่างไร? หากเรื่องนี้ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์อารมณ์เสีย ท่านก็ควรตบปากตัวเองที่พูดอะไรพล่อยๆ โดยไม่มีความยั้งคิด แล้วนำคำวิจารณ์ไปทบทวนเพื่อแก้ไขตัวเอง ไม่ใช่มาใส่อารมณ์ที่สื่อมวลชน และใช้เป็นข้ออ้างงดแถลงข่าว ผลการประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งทำให้ประชาชนเสียประโยชน์เช่นนี้

วันอังคารที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

"ยิ่งลักษณ์" นำเพื่อไทย สวดพระอภิธรรมมารดา "เกรียง กัลป์ตินันท์"


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงค่ำที่ผ่านมา นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นำอดีตรัฐมนตรีและอดีต ส.ส. พรรคเพื่อไทย ร่วมพิธีสวดพระอภิธรรม นางเสี่ยมหงษ์ แซ่อึ้ง มารดาของนายเกรียง กัลป์ตินันท์ อดีต ส.ส. จังหวัดอุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย ณ บ้านเลขที่ 337 ถนนบูรพาใน ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี


"ณัฐวุฒิ" ขอบคุณทุกฝ่ายร่วมมือ-เดินหน้าระดมทุนช่วยลูกชาวนา


นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. กล่าวว่า การจัดงานระดมทุน "โครงการด้วยรักและแบ่งปัน 1 ครั้งนี้พี่ขอ" ผ่านไปด้วยดี ถือว่าประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ของโครงการ และได้รับการตอบรับอย่างดียิ่งจากประชาชน ทั้งที่เห็นด้วยและเห็นต่างทางการเมืองกับตน ซึ่งเข้าร่วมงานจนล้นความจุของห้องประชุม ทีมงานต้องต่อสัญญาณวงจรปิดออกมาด้านนอกเพื่อให้ผู้ที่ไม่มีที่นั่งได้ติดตามการแสดงไปพร้อมกัน ทั้งนี้ ก่อนเริ่มงานมีเจ้าหน้าที่ทหารมาพบหลังเวทีเพื่อพูดคุยรูปแบบและเนื้อหาซึ่งตนยืนยันว่าไม่มีวาระเรื่องการเมือง และข้อเท็จจริงก็เป็นเช่นนั้น จบงานจึงไม่มีปฏิกริยาใดๆ จากฝ่ายความมั่นคง หลังจากนี้จะเดินหน้าต่อไปโดยการลงพื้นที่พบปะนักเรียนในโครงการ เพื่อพัฒนาทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพให้สามารถช่วยเหลือนักเรียนที่ขาดแคลนได้มากขึ้น พร้อมกับจะยกระดับเป็นมูลนิธิเพื่อให้มีสถานะที่ชัดเจน สะดวกในการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ และขยายเครือข่ายในการทำงานให้กว้างขวางยิ่งขึ้น

นายณัฐวุฒิ กล่าวด้วยว่า สำหรับรายได้จากการจัดงาน ทั้งการจำหน่ายบัตร ยอดเงินบริจาค และการขายเสื้อยืดที่ระลึก รวมทั้งสิ้น 3,661,315 บาท ตนจะนำเข้าบัญชีของโครงการที่ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาอิมพีเรียล ลาดพร้าว ในวันพรุ่งนี้ (31 พ.ค.) เวลา 13.00 น. ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ร่วมสนับสนุนโครงการเป็นอย่างดี ตลอดจนศิลปินทั้ง เสก โลโซ และ ฮาร์ท สุทธิพงษ์ ซึ่งร่วมแสดงดนตรีโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ส่วนเทปบันทึกการแสดงทั้งหมดนั้นจะออกอากาศทางพีซทีวี ในวันอาทิตย์ ที่ 4 มิถุนายน ตั้งแต่เวลา 14.30 น. ขอเชิญผู้สนใจติดตามทุกนาทีที่เกิดขึ้นบนเวทีในวันดังกล่าว

วันจันทร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

"ชวลิต" ชี้ทางออกประยุทธ์ ไม่มีเวลาพักผ่อนเหมือนแบกโลกคนเดียว


นายชวลิต วิชยสุทธิ์ อดีตรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า รู้สึกเห็นใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่เป็นห่วงว่าในการเลือกตั้งทั่วไป เกรงว่าประชาชนจะเลือกคนไม่ดีเข้าไปเป็นผู้แทนราษฎร และเกรงว่าจะได้รัฐบาลที่ไม่มีระบบธรรมาภิบาลไปบริหารประเทศ โดยส่วนตัวตนมีความเห็นว่า ท่านตั้งใจทำงานมาก เสมือนแทบจะไม่ได้มีเวลาพักผ่อน ความเห็นของท่านจึงเหมือนกับจะแบกโลกไว้คนเดียว

นายชวลิต มีความเห็นเพิ่มเติมว่า เมื่อกฎหมายรัฐธรรมนูญมีผลใช้บังคับ และขณะนี้ สนช. กำลังพิจารณา พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งทั่วไปตามโรดแมป จึงควรเดินไปตามนั้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศ กฎหมายรัฐธรรมนูญก็ดี กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญก็ดี จัดทำโดย กรธ. และแม่น้ำ 5 สาย ซึ่งล้วนเป็นบุคคลที่ คสช. ตั้งมากับมือทั้งสิ้น ได้วางระบบป้องกันการโกงและให้ได้คนดีเข้ามาเป็นผู้แทนราษฎร จนเรียกว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง

นายชวลิต กล่าวในที่สุดว่า "การไว้วางใจประชาชน เท่ากับไว้วางใจตนเอง" เป็นการสร้างความเชื่อมั่นขั้นสูงสุด เฉกเช่นประเทศอารยะทั้งหลาย ที่ไว้วางใจประชาชนผ่านการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อถึงวาระ แต่ถ้าผู้มีอำนาจบริหารประเทศไม่ไว้วางใจประชาชน เท่ากับประจานต่อชาวโลก ว่า ประชาชนคนไทยยังไม่มีวุฒิภาวะ และวิจารณญาณดีพอ ที่จะตัดสินอนาคตตนเอง ความเชื่อมั่นของประเทศจะเสียหาย มีค่าเท่ากับศูนย์ ซึ่งเมื่อชาวโลกขาดความเชื่อมั่น ใครจะมาลงทุน ประเทศเราก็จะโดดเดี่ยว ส่งผลให้เศรษฐกิจดิ่งเหว ยากที่จะเยียวยา จึงขอให้กำลังใจนายกรัฐมนตรี ขอให้ท่านเชื่อใจ ไว้วางใจประชาชน อย่าแบกโลกไว้คนเดียวเดินไปตามกฎหมายรัฐธรรมนูญที่บัญญัติไว้ แม้จะมีปัญหาอุปสรรค แต่ทางออกของประเทศมีอยู่เสมอตามระบบที่วางไว้

"พิชัย" ถามประยุทธ์4ข้อ-รัฐบาลไร้ผลงาน ประชาชนทำอย่างไร?


นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และคณะทำงานเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ถามคำถาม 4 ข้อ แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ไม่ได้มีความคิดเป็นประชาธิปไตย ไม่เคารพเสียงของประชาชน เห็นว่าประชาชนไม่ฉลาดถูกหลอกได้ง่าย แถมยังไม่ได้ดูตัวเองและผลงานตัวเอง ว่าปัจจุบันสภาวะที่เป็นอยู่เป็นอย่างไร ดีกว่าในอดีตหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ขอตอบคำถามของ พล.อ.ประยุทธ์ ดังต่อไปนี้

 1. เชื่อว่าประชาชนมีวิจารณญาณที่จะเลือกผู้นำประเทศ และหากรัฐบาลที่ประชาชนเลือกมาไม่มีธรรมาภิบาล ประชาชนก็สามารถที่จะถอดถอนได้ และไม่เลือกเข้ามาอีก ผิดกับรัฐบาลปัจจุบัน ที่ประชาชนเอือมระอาเพราะขาดธรรมาภิบาล จำกัดสิทธิประชาชน ตรงนี้ประชาชนจะทำอย่างไร? ในเมื่อเป็นรัฐบาลรัฐประหาร

2. ขอถามกลับไปว่า จะจัดการอย่างไรกับรัฐบาลปัจจุบัน? เพราะขาดผลงาน ขาดความรู้ความสามารถ และยังขาดวิสัยทัศน์และธรรมาภิบาล

3. การเลือกตั้งเป็นส่วนหนึ่งของประชาธิปไตย ต้องเคารพเสียงของประชาชน ทั้งนี้ พรรคการเมืองต้องเสนอแนวทางพัฒนาประเทศให้ประชาชนตัดสินใจ ไม่ใช่การยัดเหยียดยุทธศาสตร์ 20 ปี และปฏิรูปเฉพาะคนกลุ่มเดียวอย่างที่เป็นอยู่ ซึ่ง 3 ปียังไม่รู้ว่าจะปฏิรูปอะไร ไม่ได้แสดงว่าประเทศจะพัฒนาได้ ยิ่งเมื่อดูผลงานย้อนหลังจะพบว่าตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ประเทศได้เสื่อมถอยลงไปมากแล้ว ตรงนี้จะวางแผนและทำอนาคตประเทศให้ดีได้อย่างไร?

4. โดยปกติแล้วการเลือกตั้งทุกครั้งจะมีการเปลี่ยนแปลง 30 % ของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหมด ซึ่งเป็นการพัฒนาการของระบอบประชาธิปไตย และเป็นการคัดเลือกบุคคลากรให้มาพัฒนาประเทศ หากนักการเมืองคนใดมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ประชาชนก็จะไม่เลือกเข้ามาอีก โดยต้องให้เวลาในการพัฒนาเพื่อให้ระบอบทำงานได้  ซึ่งต่างกับปัจจุบันที่ผู้บริหารประเทศมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม แต่ประชาชนไม่สามารถที่จะปลดออกหรือไล่ออกได้

จึงอยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ศึกษาคำตอบ 4 ข้อนี้และช่วยอธิบายประชาชน ว่าในภาวะปัจจุบันที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่พอใจรัฐบาลที่ขาดความรู้ความสามารถ ไม่มีผลงาน สร้างความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจ จำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างมาก ประชาชนจะทำอย่างไรได้ อย่างไรก็ตาม อยากให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาหนี้เสียที่เพิ่มสูงขึ้น จำนวนคนว่างงานที่มีมากขึ้น ฯลฯ มากกว่าการออกมาชี้นำทางการเมืองแบบที่เป็นอยู่นี้

วันอาทิตย์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

"ยุทธพงศ์" ท้า "ไพบูลย์" พูดความจริง เปิดชื่อคนโกงสหกรณ์ฯคลองจั่น


​​​​​​นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ​​​​​​อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ขอท้าให้”นายไพบูลย์ นิติตะวัน” ออกมาเปิดเผยรายชื่อนักการเมืองใหญ่ระดับประเทศ และข้าราชการประจำที่เกี่ยวข้องฯการทุจริตของ สหกรณ์เครติดยูเนี่ยนคลองจั่น / ไม่ใช่การออกมาพูดจาฯให้คนอื่นเสียหาย โดยปราศจากข้อมูลฯ ​ ​

ตามที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน ประธานเครือข่ายประชาชนปฏิรูป และอดีต สว. และ สปท. ได้ออกมาพาดพิงเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำนวน 2,479.-ล้านบาท และซัดทอด “กรมส่งเสริมสหกรณ์” ว่า รู้แล้วแต่ไม่ทำอะไร? 

นายยุทธพงศ์ กล่าวว่า ​เนื่องตนเองเคยป็นอดีตรัฐมนตรีช่วยว่ากระทรวงเกษตรเกษตรและสหกรณ์ ช่วงปี พ.ศ.2555-2556 (ซึ่งเป็นช่วงเวลาฯ ที่สหกรณ์ฯ ดังกล่าว เกิด เรื่อง การทุจริตฯ ขึ้นพอดี) และตนเองยังเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่มีหน้าที่ในการกำกับดูแลฯ กรมส่งเสริมสหกรณ์ ในขณะเกิดเรื่องฯ ด้วย" ​

โดยตนเองขอชี้แจงว่า ในขณะเกิดเรื่องฯ การทุจริตในสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น เมื่อต้นปี 2556 ตนเองไม่เคยนิ่งนอนใจ หรือเพิกเฉยต่อการจัดการกับการทุจริตฯ และนอกจากนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้เคยเรียกตนเองไปพบที่ทำเนียบรัฐบาล และได้สั่งการให้ตนเองในฐานะรัฐมนตรีฯ ที่มีหน้าที่ในการกำกับดูแลฯ กรมส่งเสริมสหกรณ์ ให้จัดการแก้ปัญหาฯการทุจริตของสหกรณ์ฯ ดังกล่าว อย่างเฉียบขาด และให้ดำเนินคดีกับบุคคลที่เกี่ยวข้องฯ ทุกคน ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับใคร? ก็ไม่ให้ละเว้น เพราะจะมีความเสียหายกับประชาชนที่ฝากเงินกับสหกรณ์ฯ ดังกล่าว จำนวนนับหมื่นล้านบาท , ดังนั้นตนเองในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาการสหกรณ์แห่งชาติ (คพช.) ได้เรียกประชุมฯ เพื่อแก้ปัญหาฯการทุจริตของสหกรณ์ฯ ดังกล่าว ถึง 3 ครั้ง และตนเองได้มีหนังสือสั่งการเป็นลายลักษณ์อักษรและมีรายงานการประชุม คพช. ส่งไปยังกรมส่งเสริมสหกรณ์, ในฐานะที่อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์เป็นนายทะเบียนของสหกรณ์ฯ ให้ดำเนินการสอบสวนและดำเนินคดีฯ เอาผิดต่อผู้บริหารฯสหกรณ์ฯ ดังกล่าว ที่บังอาจมาโกงเงินฝากฯของประชาชน ​

และการที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน ประธานเครือข่ายประชาชนปฏิรูป ออกมาพูดเสมือนว่าตนเองเป็นมือปราบทุจริตและมากล่าวหา “กรมส่งเสริมสหกรณ์” ที่ตนเองกำกับดูแลฯ อยู่ ตนเองขอเรียกร้องว่า นายไพบูลย์ฯ ไม่ควรมาเล่นการเมือง ทั้งนี้ในข้อเท็จจริง นายไพบูลย์ฯ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไร? เลย ในขณะเกิดเรื่อง การโกงเงินสหกรณ์ฯ เมื่อต้นปี 2556 โดยขอท้านายไพบูลย์ ดังนี้

1. ถ้ามีนักการเมืองระดับชาติ คนไหน? ไปร่วมโกงฯ ให้นายไพบูลย์ฯ เปิดเผยชื่อฯ ออกมา และท้าให้ไปร้องเรียน ต่ออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ดำเนินคดีฯ เลย

2. ถ้ามีข้าราชการประจำ คนไหน? ชั่วร้าย สมคบหรือร่วมโกงฯ สหกรณ์ฯดังกล่าว ขอท้าให้นายไพบูลย์ฯ แฉชื่อออกมาเลย และให้นำชื่อฯ ไปส่งให้ท่านนายกรัฐมนตรี ​

ทั้งนี้ ตนเองจะให้เวลาฯ นายไพบูลย์ฯ จำนวน 3 วัน ในการออกมาเปิดเผยชื่อฯ ตนเองขอยืนยันว่าตลอดช่วงที่ตนเองเป็นรัฐมนตรีฯ อยู่นั้น ไม่เคยไปมอบรางวัลสหกรณ์ดีเด่น ให้กับสหกรณ์ดังกล่าวฯ ​และถ้าพ้นจาก 3.-วันไปแล้ว นายไพบูลย์ฯ ไม่ยอมออกมาเปิดเผยชื่อฯ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตฯ สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ตนเองจะเดินทางไปพบฯกับนายไพบูลย์ นิติตะวัน ถึงที่ทำงานฯ ของนายไพบูลย์ฯ คือ ที่เครือข่ายปฎิรูปประชาชน เลขที่ 888 อาคารเดอะโคทล์ ถ.สุขุมวิท บางนา กรุงเทพฯ เพื่อสอบถามฯ นายไพบูลย์ฯ ว่า ที่ออกมาพูดเพื่อจุดประสงค์อะไร? กันแน่

ด้วยรักและแบ่งปัน "ณัฐวุฒิ" ทอล์กโชว์ระดมทุนช่วยลูกชาวนา-นักเรียนขาดแคลน


นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. จัดทอล์กโชว์และคอนเสิร์ตระดมทุน "โครงการด้วยรักและแบ่งปัน 1 ครั้งนี้พี่ขอ" ณ อิมพีเรียลเวิลด์ สำโรง วันนี้ (28 พฤษภาคม 2560) เวลา 13.00 น. โดย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ กล่าวว่า "1ปี ที่ผ่านมาเรามอบทุนการศึกษาไปแล้วกว่า 670 ทุน ใช้เงินไปกว่า 3,350,000 บาท ซึ่งถือเป็นความสำเร็จที่เหนือความคาดหมาย หลายคนเป็นเด็กเรียนเก่ง นิสัยดี มีความสามารถที่จะเรียนจนถึงระดับสูง แต่ก็ไม่ได้เรียนต่อ เพราะขาดแคลนทุนทรัพย์ ผมเริ่มทำโครงการด้วยรักและแบ่งปัน เพราะต้องการสนับสนุนลูกหลานชาวไร่ชาวนาและนักเรียนนักศึกษาที่ขาดแคลน"

"ใครปล่อยให้ประเทศวุ่นวาย?" คำถามจากใจ "ภูมิธรรม" สะท้อนปัญหาสังคมไทย


นายภูมิธรรม เวชชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตนเองมีคำถามจากหัวใจถึงสังคมไทย ซึ่งสะท้อนถึงปัญหาของบ้านเรา ที่อยากจะให้สังคมช่วยกันคิดคือ

1. สภาพที่เป็นอยู่ปัจจุบันมีธรรมาภิบาลดีพอหรือไม่? หากยังไม่ดีพอ จะแก้ไขอย่างไรให้ดีขึ้น?

2. ที่ระบบธรรมาภิบาลประเทศไทยเรามีปัญหา เพราะระบบถ่วงดุลและตรวจสอบไม่เข้มแข็งใช่หรือไม่? และถ้ายังไม่ดีพอจะแก้ไขอย่างไร?

3. ถ้าไม่มีการเลือกตั้งประชาชนไม่ได้รับโอกาสในการตัดสินใจเลือกนโยบายดีๆมาแก้ไขปัญหาและดูแลชีวิตของพวกตน ระบบเช่นนี้จะเป็นระบบที่พึงประสงค์หรือไม่?

4. ใครสร้างเงื่อนไขให้ระบบประชาธิปไตยล้มเหลวและมีปัญหา ใครที่ปล่อยปละละเลยจนทำให้ประเทศวุ่นวาย บานปลาย กลุ่มบุคคลที่เป็นปรปักษ์ต่อประชาธิปไตย และไม่เชื่อมั่นในการตัดสินใจของประชาชน ควรได้รับโอกาสให้มาดูแลชีวิตของประชาชนหรือไม่?

"ขอให้สังคมช่วยกันคิด ตอบแล้วไม่ต้องส่งไปที่ไหนเก็บไว้ในใจเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจ อนาคตของตนเอง" นายภูมิธรรม กล่าว

วันเสาร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

"อนุสรณ์" สอนประยุทธ์ อย่ากลัวเสียงประชาชน


นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตั้งคำถาม 4 ข้อ เพื่อรับทราบความคิดเห็นของประชาชน ว่า พรรคเพื่อไทยมั่นใจว่าประชาชนก็อยากฟังคำตอบจาก พล.อ.ประยุทธ์ ในประเด็นการเลือกตั้งเช่นกัน จึงขอตั้งคำถามให้ตอบใน 4 คำถาม ดังนี้

1. การที่ท่านเป็นห่วงว่าประชาชนอาจจะเลือกคนผิด ถ้าท่านเคารพความคิดเห็น เชื่อมั่นในการตัดสินใจของประชาชน ว่าประชาชนมีความรู้ มีความเข้าใจ สามารถมีการตัดสินใจที่ดีได้ คนทั้งประเทศจะเลือกใคร พรรคใด แสดงว่าเขาได้มอบฉันทานุมัติให้ไปแล้ว เช่นเดียวกับการเลือกตั้งในฝรั่งเศส เกาหลีใต้ หรือแม้แต่อังกฤษในเร็วๆนี้ คำถามคือ ท่านคิดว่า ผู้นำที่เข้าสู่อำนาจโดยการรัฐประหารกับผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนทั้งประเทศ ใครสง่างามมากกว่ากัน?

2. การที่ท่านตั้งคำถามว่า การเลือกตั้งครั้งต่อไป จะได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาลหรือไม่นั้น ถ้าเปรียบเทียบกับปัจจุบันที่เครือข่ายแม่น้ำ 5 สาย ล้วนมีจุดกำเนิดมาจากที่เดียวกันคือมาจาก คสช. มาตรวจสอบกันเอง กับการเลือกตั้งครั้งหน้า ที่จะมี ส.ว. สรรหา ที่แม้ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่จะมี ส.ส. ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน มาทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล ที่การตรวจสอบจะเข้มข้นขึ้น ถามว่าระหว่างการมีธรรมาภิบาลแบบลูบหน้าปะจมูก องค์กรตรวจสอบเปลี่ยนเป็นองค์กรฟอกขาว กับการตรวจสอบที่เข้มข้น มีตัวแทนยึดโยงกับประชาชน แบบไหนดีกว่ากัน แบบไหนตรงใจ ถูกใจ พล.อ.ประยุทธ์ มากกว่ากัน?

3. พล.อ.ประยุทธ์ กังวลใจอะไร กับเสียงของประชาชน ที่จะกำหนดอนาคตประเทศ ด้วยมือของเขาเอง หลักการเลือกตั้งที่เป็นประชาธิปไตยสากลทั่วโลก จะทำหน้าที่ให้การตัดสินของประชาชนเสียงข้างมากของประเทศ เป็นเสียงชี้ขาดว่าใครจะได้เข้ามาบริหารประเทศ ไม่มีอะไรสลับซับซ้อน ลับลวงพราง พรรคที่ได้คะแนนอันดับ 1 ก็ควรจะได้เป็นแกนนำรัฐบาล เป็นนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าพรรคนั้นจะมีนโยบายอย่างไร หัวหน้าพรรคจะเป็นใคร แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ เดือดร้อนอะไร? หรือกลัวเสียงประชาชนทำไม?

4. ในระยะหลังๆ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ค่อยปฏิเสธอย่างแข็งขันเหมือนเมื่อก่อน ว่าจะไม่เข้าสู่การเมืองหลังการเลือกตั้ง ซึ่งถือเป็นเรื่องดีหากท่านประกาศตั้งพรรคการเมือง อาจจะมีนักการเมืองและประชาชนส่วนหนึ่งสนับสนุนเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับประชาชน พล.อ.ประยุทธ์ ก็สามารถนำผลงานการแก้ปัญหาเศรษฐกิจไปหาเสียงกับประชาชนได้ถ้าลงสมัครรับเลือกตั้ง จึงอยากถามว่า หากท่านจะเข้าสู่อำนาจหลังการเลือกตั้ง ท่านมีแนวทางตั้งพรรคลงแข่งขันเพื่อเป็นทางเลือกให้กับประชาชน หรือจะใช้วิธีพิเศษในการเข้าสู่อำนาจ?

วันศุกร์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

"เพื่อไทย" ห่วงประเทศบอบช้ำ แนะประชาธิปไตยไทยต้องมีเสถียรภาพ


นายชวลิต วิชยสุทธิ์ อดีตรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ขอให้กำลังใจ นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการบริหารการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ที่พยายามเชิญชวนนักลงทุนทั้งไทยและเทศ มาลงทุนในโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย แต่ขณะเดียวกัน ข้อมูลทางเศรษฐกิจที่ท่านนำมาเปิดเผย เป็นความจริงที่เป็นปัญหาพื้นฐานและยังไม่ได้รับการแก้ไข อันจะเป็นอุปสรรคต่อการลงทุน จึงรู้สึกเห็นใจคนทำงาน กับเห็นใจคนไทยทุกคนที่ประสบชะตากรรมทางเศรษฐกิจเช่นเดียวกับข้อมูลที่ท่านกล่าวส่วนหนึ่งในการสัมมนา "เปลี่ยน....ให้ทันโลก" ก็คือ

1. ประเทศไทยประสบปัญหาเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ รุมเร้ามานาน ตั้งแต่ปี 2549 - 2557 ส่งผลให้ตัวเลขการลงทุนไทยต่ำมาก GDP เฉลี่ยโตเพียง 3% การลงทุนขยายตัวรวมเพียง 2% การลงทุนเอกชน 2.9% ทั้งที่ความจริง GDP ไทย ควรขยายตัวได้ถึงปีละ 10%

2. หากในอนาคต GDP ยังขยายตัวเพียง 3% ในทุก ๆ ปี จะส่งผลให้เวียตนามและอินโดนีเซีย มีมูลค่าทางเศรษฐกิจแซงหน้าไทยไปได้อย่างแน่นอน

นายชวลิต ให้ความเห็นว่ารู้สึกเห็นใจผู้ทำงาน ที่ตั้งใจเชิญ ชวนนักลงทุนมาลงทุนในประเทศไทย แต่นักลงทุนจะลงทุนก็ต่อเมื่อมี "ความเชื่อมั่น" ว่าทุนที่ลงไปนั้นจะเจริญงอกงาม ไม่สูญหาย ตนเคยให้ความเห็นไว้หลายครั้งแล้วว่า ความเชื่อมั่นที่สำคัญที่สุดก็คือ "การเมือง การปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีเสถียรภาพและต่อเนื่อง" และสำหรับการปกครองของไทยก็คือ การปกครองระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ทำอย่างไรการปกครองดังกล่าวที่มีเสถียรภาพและต่อเนื่อง จึงจะเกิดขึ้นในประเทศของเราอย่างถาวรเสียที

นายชวลิต กล่าวในที่สุดว่าจากความบอบช้ำทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ในช่วง 10 ปีเศษที่ผ่านมาประชาชนได้เรียนรู้ ด้วยตนเองอย่างลึกซึ้งพอสมควร พอจะแยกแยะออกว่า การเมืองการปกครองในระบบนั้น ประชาชนตรวจสอบได้ เชื่อมโยงกับโลกได้ ส่วนการเมือง การปกครองนอกระบบนั้น ตรวจสอบไม่ได้ ที่สำคัญโลกไม่ยอมรับ ไม่คบค้าสมาคมด้วย อันเป็นสาเหตุสำคัญที่เราตกต่ำ ฝืดเคืองทางเศรษฐกิจอยู่ ทุกวันนี้ ตนมั่นใจว่าประชาชนส่วนใหญ่มีทางเลือกอยู่ในใจแล้ว เพียงแต่ผู้มีอำนาจในหน้าที่จะตามโลก ตามประชาชน แล้วบริหารจัดการให้เหมาะสมกับสถานการณ์อย่างไร หรือไม่?

วันพฤหัสบดีที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

"อนุสรณ์" ท้วงประยุทธ์โวผลงาน3ปีบ้านเมืองสงบ-มีระเบิดไม่สงบไม่เลือกตั้ง


นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี เหตุระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า ว่า วันนี้ประชาชนสับสน ไม่รู้ว่าสถานการณ์ของประเทศวันนี้ บ้านเมืองสงบ หรือไม่สงบ เพราะ คสช. เพิ่งออกมาบอกว่า ผลงานเด่นสุดของ คสช.ในรอบ 3 ปี คือ ทำให้บ้านเมืองสงบ แต่พอเกิดเหตุระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า หัวหน้า คสช. กลับออกมาบอกว่า ถ้าบ้านเมืองไม่สงบ จะไม่มีการเลือกตั้ง แล้วใช้อะไรเป็นปัจจัยชี้วัด หรือเกณฑ์การประเมินว่าแบบไหนถึงเรียกว่าสงบ หรือ ไม่สงบ แม้แต่ประเทศแม่แบบประชาธิปไตยอย่างประเทศอังกฤษ เกิดเหตุระเบิดฆ่าตัวตาย ก่อการร้าย เขายังเดินหน้าเลือกตั้งต่อ แต่ของเราพอมีระเบิด ท่านผู้นำบอกว่า ถ้าไม่สงบจะไม่เลือกตั้ง เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังเกิดเหตุการณ์สำคัญๆ เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงมักสื่อสารกับสังคมว่า กล้องวงจรปิดที่ติดตั้งไว้เสีย หรือ ไม่สามารถใช้งานได้ ในหลายเหตุการณ์ จึงขอตั้งคำถามว่า

1. กล้องวงจรปิดที่มีใช้งานกันอยู่ มีคุณภาพเพียงพอใช้งานได้หรือไม่ การจัดซื้อจัดจ้างถูกต้องเหมาะสม การบำรุงรักษาเป็นไปตามกรอบเวลาหรือไม่ มีกล้องดัมมี่ใช้งานอยู่ในสัดส่วนใด

2. ถ้ากล้องไม่เสีย มีเหตุผลใดหรือไม่ ถึงไม่นำภาพนั้นออกมาให้ประชาชนดู เพื่อจะได้ช่วยกันติดตามคนร้าย หรือ เป็นหูเป็นตาในการป้องกันเหตุร้าย

ดังนั้นก่อนปฏิรูปประเทศ ควรปฏิรูปกล้องวงจรปิดทั้งประเทศให้เหมาะสมกับสภาพการใช้งานและเป็นเครื่องมือสำคัญในการตามจับคนร้ายหรือคลี่คลายสถานการณ์ และคำถามสำคัญ ด้วยตรรกะ ถ้าบ้านเมืองไม่สงบ จะไม่มีการเลือกตั้งหรือไม่ จึงทำให้กล้องเสีย ซึ่งหากมีระเบิดหรือมีเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก การเลือกตั้งมิต้องเลื่อนออกไปเรื่อยๆหรือ วันนี้ประชาชนต้องเดินข้างหลังเจ้าหน้าที่ ให้ได้วิเคราะห์พยานหลักฐาน ดังที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงบางท่านออกมาระบุ ซึ่งต้องขอบคุณหลายท่านที่พูดอย่างสร้างสรรค์ ไม่ใช้ความรู้สึกของตัวเองเป็นตัวนำ ทำให้สังคมไขว้เขว เหมือนฝ่ายการเมืองบางคน ที่ใช้ความรู้สึกส่วนตัว พาดพิงพรรคการเมืองตรงกันข้าม ซึ่งไม่เป็นธรรม และไม่ได้มาตรฐานในการทำงาน

"พิชัย" ติง3ปีรัฐประหาร คนเชียร์เสียงอ่อน-เศรษฐกิจซบ-ประชาชนลำบาก


นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และคณะทำงานเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้ 

3 ปีผ่านไปแล้วที่ประเทศไทยมีการปฏิวัติ หลายคนคงไม่คิดว่าประเทศจะไม่กลับสู่ระบอบประชาธิปไตยได้นานขนาดนี้ หากย้อนกลับไปหลังการปฏิวัติแล้วบอกจะอยู่กันนานถึงขนาดนี้ ประชาชนส่วนใหญ่คงจะรับกันไม่ได้ หลายคนอาจจะบอกว่าต้องฉีกตำรารัฐศาสตร์ทิ้งกันเลย แต่ก็ต้องยอมรับถึงความสามารถ รวมถึงคำสัญญาที่บอกว่าขอเวลาอีกไม่นานที่ทำให้ลากกันมาได้ถึงตรงนี้ และยังไม่มีทีท่าว่าจะคืนอำนาจให้กับประชาชนในเวลาอันใกล้นี้เลย และดูเหมือนประชาชนจำนวนมากก็ไม่เดือดร้อน เหมือนกับสามารถอยู่กันไปได้เรื่อยๆ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าน่าประหลาดใจ แต่ที่แน่ๆ คือ ประชาชนส่วนใหญ่เริ่มรู้ซึ้งถึงความยากลำบากกันแล้ว เพราะผลกระทบจากการทวนกระแสโลก ย่อมส่งผลทางเศรษฐกิจตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลายคนที่เคยปากแข็งเชียร์อย่างสุดใจก็เริ่มจะเสียงอ่อนลงเพราะปัญหาเศรษฐกิจได้รุมเร้าเข้าสู่ตัวเองและครอบครัวอย่างยากที่จะปฏิเสธ

หลายคนเฝ้าคอยว่า คสช.จะแถลงผลงานว่ามีอะไรบ้าง เพื่อจะได้นำมาแก้ต่างให้ เพราะยังนึกไม่ออกว่าจะมีผลงานอะไร แต่ก็ต้องผิดหวัง เพราะ คสช.ได้เลื่อนการแถลงออกไป ทั้งนี้ สาเหตุหลักที่จับความได้คือ เพราะมีหลายคนจากทุกภาคส่วนออกมาชี้ให้เห็นว่า 3 ปีที่ผ่านมามีแต่ความล้มเหลวในทุกด้าน ซึ่งหาก คสช.มีความมั่นใจในผลงานของตัวเองอย่างแท้จริง ก็ไม่เห็นน่าจะต้องกังวลที่จะแถลงผลงาน นอกเสียจากว่าจะเห็นว่าเหตุผลของคนวิพากษ์วิจารณ์มีน้ำหนักมากกว่า เพราะแม้กระทั่งผลงานที่ คสช.ภาคภูมิใจที่สุด ที่บอกว่าทำให้เกิดความสงบ คนส่วนใหญ่ก็พอทราบกันแล้วว่าความไม่สงบก่อนการปฏิวัตินั้นเป็นฝีมือของใคร และใครมีส่วนอยู่เบื้องหลัง และหากปฏิบัติการเข้มงวดเหมือนตอนหลังปฏิวัติ ความสงบก็คงเกิดขึ้นเช่นกัน ไม่มีความจำเป็นต้องปฏิวัติแต่อย่างไร ผลงานความสงบนี้จึงไม่อาจจะขายได้แล้วเมื่อเวลาผ่านมา แม้กระทั่งความไม่สงบในพื้นที่ภาคใต้ที่เป็นความรับผิดชอบโดยตรงยังทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น ไม่ได้ลดลงแต่อย่างไร

เหตุผลของการปฏิวัติที่อ้างว่าเข้ามาเพื่อปราบทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นเรื่องหลัก แต่พอเวลาผ่านไป ประชาชนจำนวนมากสงสัยว่าปัจจุบันการทุจริตคอร์รัปชั่นกลับมีมากกว่าเดิมมาก แถมยังตรวจสอบไม่ได้ อีกทั้งใครคิดตรวจสอบก็จะโดนปิดปาก ทั้งนี้ ความสงสัยของประชาชนเริ่มมาตั้งแต่การซื้อไมโครโฟนราคาแพง อุทยานราชภักดิ์ ปัญหาเครือญาติของผู้นำ ทั้งการขายที่ดินที่ต้องโอนผ่านบริษัทในต่างประเทศ การนำเงินหลวงเข้าบัญชีส่วนตัว การสร้างฝาย และการประมูลงานในกองทัพของหลานชาย ปัญหาการขุดลอกคลองของ อผศ. ปัญหาการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ฯลฯ ซึ่งไม่ได้มีการชี้แจงอย่างโปร่งใส และไม่มีฝ่ายค้านในสภาคอยตรวจสอบ เวลาสื่อมวลชนถามก็ถูกตวาดใส่

อีกทั้งยังจะมีการออกกฎหมายใหม่มาควบคุมสื่อมวลชนเพิ่มขึ้นอีก ยิ่งทำให้ประชาชนเห็นชัดว่าคอร์รัปชั่นไม่ได้หมดไป แต่กลับมีมากขึ้น ประกอบกับองค์การโปร่งใสสากลได้ลดอันดับความโปร่งใสของไทยลงมาอยู่อันดับที่ 101 จากอันดับเดิมที่ 76 และยังบอกว่าไทยมีการจ่ายใต้โต๊ะมากกว่ากัมพูชาและเมียนมาเสียอีก ยิ่งตอกย้ำการทุจริตคอร์รัปชั่นให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

ข้ออ้างที่บอกว่าต้องการให้ประเทศสงบ แต่ต้องแลกมาด้วยการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนทั้งประเทศ โดยใครเห็นต่างและมีแนวคิดไม่เหมือน จะถูกกดดันและถูกจับเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะนักศึกษาที่มีความคิดก้าวหน้าจะถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษ ถึงขนาดตำหนิการคัดเลือกประธานสภานักศึกษาของมหาวิทยาลัยที่มีความคิดก้าวหน้า แต่ที่หนักที่สุดคือความพยายามที่จะควบคุมสื่อมวลชน ที่เปรียบเสมือนเป็นกระบอกเสียงให้กับประชาชนในภาวะที่บ้านเมืองไม่ปกติ ซึ่งตอกย้ำการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนและสื่อมวลชนมากยิ่งขึ้น โดยหลักคิดสากลยังบอกว่า สิทธิของประชาชนสำคัญกว่าความสงบมาก ซึ่งรัฐบาลจะอ้างความสงบเพื่อจะมาละเมิดสิทธิของประชาชนไม่ได้

3 ปีที่ผ่านมานี้ ความล้มเหลวที่สุดที่ปฏิเสธไม่ได้เลยคือความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ประชาชนส่วนใหญ่เดือดร้อนกับปัญหาเศรษฐกิจกันอย่างแสนสาหัส ผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนกี่ครั้ง รัฐบาลก็สอบตกเรื่องเศรษฐกิจทุกครั้ง ประชาชนส่วนใหญ่มีรายได้ลดลงมาก โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย เช่น เกษตรกร ผู้ใช้แรงงาน และคนหาเช้ากินค่ำ แม้แต่พ่อค้า-แม่ค้าในตลาดก็ขายของได้ลดลงต่ำกว่าครึ่ง ในขณะที่ค่าใช้จ่ายเพิ่มสูงขึ้นมาก แถมรัฐบาลยังพยายามที่จะเก็บภาษีเพิ่มขึ้นอีกหลายทาง เช่น ภาษีที่ดินและทรัพย์สิน ภาษีมรดก เพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่ม ฯลฯ

ซึ่งเมื่อมองในภาพรวม การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยขยายตัวต่ำที่สุดในอาเซียนมาตลอด 3 ปีที่มีการปฏิวัติ และยังมีแนวโน้มที่จะโตต่ำสุดต่อไปเรื่อยๆ หากไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทั้งธนาคารโลก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (ADB) ต่างก็ออกมาเตือนถึงปัญหานี้ โดยเฉพาะธนาคารโลกที่ระบุว่าหากไทยโตได้แค่ปีละ 3% กว่า ไทยต้องใช้เวลา 20 ปี กว่าจะเป็นประเทศรายได้สูง และจะทำให้ประชาชนรายได้น้อยลำบากกันอย่างมาก แต่รัฐบาลก็ยังแสดงความดีใจเมื่อเศรษฐกิจโตได้ 3.2% เมื่อปีที่แล้ว และ 3.3% ในไตรมาสแรกของปีนี้ ที่ถือว่าต่ำมาก ต่ำกว่าศักยภาพของประเทศไทยมาก และยังต่ำกว่าที่รัฐบาลได้พยายามขายฝันว่าปีนี้จะโตได้ถึง 4-5% ซึ่งคงจะเป็นไปไม่ได้แล้ว

นอกจากนี้ นักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศขาดความเชื่อมั่น การลงทุนภาคเอกชนได้หดหายไปเรื่อยๆ โดยการลงทุนตลอด 3 ปีที่มีการปฏิวัติ ยังน้อยกว่าการลงทุนใน 1 ปีในภาวะปกติ โดยเรื่องปัญหาการลงทุนภาคเอกชนหดหายนี้ ผู้เขียนได้พยายามเตือนรัฐบาลหลายหน แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ออกมาปฏิเสธตลอด แถมยังหาว่าผู้เขียนใส่ร้ายรัฐบาล จนกระทั่งคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้เปิดเผยตัวเลขการลงทุนทั้ง 3 ปีออกมาเอง อีกทั้งปัญหาการลงทุนดังกล่าวยังถูกตอกย้ำโดยนายบรรยง พงษ์พานิช อดีตซุปเปอร์บอร์ดที่ได้ลาออกไปก่อนหน้านี้ ที่ได้ออกมาระบุว่าเป็นการลงทุนที่หดตัว ไม่ใช่ขยายตัว และต่อมา ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตเลขาฯอังค์ถัด ได้แสดงความเป็นห่วงและออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลเปิดเผยตัวเลขการลงทุนที่แท้จริง และยังห่วงปัญหาเศรษฐกิจโดยรวม ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าไม่กี่เดือน ดร.ศุภชัยเพิ่งออกมาเชียร์รัฐบาลอยู่เลย

ปัญหาการลงทุนภาคเอกชนที่หดหายนี้ อยากให้รัฐบาลได้ศึกษาปัญหาให้ดี เพราะจากข้อมูลที่ได้รับ นักลงทุนญี่ปุ่นที่เป็นนักลงทุนต่างประเทศรายใหญ่ที่สุดของไทยที่มีสัดส่วนกว่าครึ่งหนึ่งของการลงทุนต่างประเทศทั้งหมด มีความไม่พอใจรัฐบาลในหลายประการ ประกอบกับความไม่แน่นอนเรื่องการเจรจาการค้ากับหลายประเทศจากภาวะการเมืองปัจจุบัน จึงทำให้นักลงทุนญี่ปุ่นหันไปลงทุนในประเทศอื่นแทนที่จะลงทุนในประเทศไทย ส่งผลให้การลงทุนในไตรมาสแรกเหลือเพียง 80,000 ล้านบาท ซึ่งต่ำมาก และการที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจจะเดินทางไปเยือนประเทศญี่ปุ่นในเร็วๆ นี้ ก็อยากจะให้ทำการบ้านให้ดี ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นการไปที่เสียเที่ยว เหมือนครั้งที่แล้วที่ไปเยือนประเทศญี่ปุ่นแต่ไม่เกิดประโยชน์อะไร การลงทุนกลับลดลง ไม่ได้เพิ่มขึ้น

หากการลงทุนภาคเอกชนยังซบเซา จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อการพัฒนาของประเทศในอนาคต รวมถึงการจ้างงานและการส่งออกในอนาคตที่จะลดลงไปด้วย และเป็นเวลา 3 ปีแล้วที่การลงทุนภาคเอกชนได้หดหายไป ยิ่ง คสช.ลากการเลือกตั้งไปอีก การลงทุนภาคเอกชนก็จะยิ่งซบเซาลงอีกอย่างแน่นอน

ดังนั้น จะเห็นได้ว่า 3 ปีหลังการปฏิวัติ แม้ คสช.จะพยายามใช้คำพูดหรูๆ ว่าประสบความสำเร็จ แต่ความเป็นจริงได้พิสูจน์แล้วว่าผลงานล้มเหลวทุกด้าน ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุหลักให้ต้องเลื่อนการแถลงผลงานออกไป
ก็อยากให้ คสช.ได้วิเคราะห์สาเหตุของความล้มเหลวนี้ว่าเกิดมาจากการเข้าบริหารในงานที่เกินกว่าความรู้ความสามารถที่มี หรือภาวะการเมืองที่ไม่เป็นที่ยอมรับของประชาคมโลก หรือทั้งสองอย่าง เพื่อเป็นบทเรียนให้กับประเทศที่จะไม่ต้องกลับมาสู่วัฏจักรเดิมๆ กันอีกและรีบหาทางแก้ไข เพื่อให้ประเทศไทยได้กลับมามีศักดิ์ศรีเหมือนเดิมในเวทีโลก

วันพุธที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

"เพื่อไทย" ห่วงไทยเลื่อนเลือกตั้ง กระทบความเชื่อมั่น


นายชวลิต วิชยสุทธิ์ อดีตรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ตอบคำถามผู้สื่อข่าวต่อความเห็นกรณีที่นายกรัฐมนตรี กล่าวว่าถ้าบ้านเมืองยังไม่สงบ ก็ยังไม่ต้องมีเลือกตั้ง โดยนายชวลิต กล่าวว่า "ตนมีความเป็นห่วงเรื่องความเชื่อมั่นที่สุด เพราะเป็นหัวใจของการแก้ไขปัญหาประเทศในทุกด้าน ท่านคงมีวิจารณญาณแล้ว ที่มีความเห็นดังกล่าว แต่จะสอดคล้องกับภาคส่วนต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศหรือไม่ สังคมคงต้องติดตาม"

นายชวลิต กล่าวว่า "ตนเชื่อมั่นในเหตุและ ปัจจัย ขณะนี้คนไทยทุกคนกำลังเรียนรู้การเมือง การปกครองของไทย ด้วยตนเอง ผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านความเจ็บปวด จนเป็นประสบการณ์ว่า การเมือง การปกครองที่ถูกต้อง อยู่ในระบบ เป็นหลักประกันพื้นฐานว่าประชาชนมีสิทธิ์ มีส่วน เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ต่อไปประชาชนจะรักษาสิทธิ และใช้สิทธิของตนเองอย่างสมบูรณ์ เพื่อให้ได้การเมือง การปกครองที่เอื้อต่อการดำรงชีวิตและประกอบสัมมาชีพของตนเอง ครอบครัว และสังคม เหมือนกับบ้านอื่น เมืองอื่น ที่เคยต่อสู้มาจนตกผลึกทางความคิดร่วมกัน สร้างสรรค์บ้านเมืองจนเป็นอารยะ"

"ยิ่งลักษณ์" เยือนงาน OTOP Midyear 2017 ภูมิใจ ภูมิปัญญาไทย ระดับโลก


นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินเยี่ยมชมงาน OTOP Midyear 2017 จัดขึ้นที่ชาเลนเจอร์ 1-3 อิมแพค เมืองทองธานี ซึ่งเป็นการจัดแสดงและจำหน่ายสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์จากทั่วประเทศ มีทั้งอาหาร เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มท้องถิ่น หัตถกรรม ประติมากรรม งานแกะสลัก งานศิลป์ต่างๆ ยาสมุนไพรพื้นบ้าน เครื่องประดับจิวเวลรี่ เเละอื่นๆ อีกมากมาย 

ในวันนี้ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เดินซื้อของเกือบทุกภาคที่นำมาจัดจำหน่าย อาทิ ผ้าจกไทยวน ผ้าไหม เครื่องประดับ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ผลิตภัณฑ์ในกล่องสำหรับขึ้นเครื่อง ชุดเครื่องเงิน ผลิตภัณฑ์จากไม้ไผ่ ข้าวแต๋น ขนมไทย อาหารเพื่อสุขภาพ ผลไม้ประจำฤดูกาล อาหารเด่นของแต่ละภาค เช่น ปลากุเลาเค็มภาคใต้ ชมวิธีการชงชาและชิมชา ฯลฯ โดยมีประชาชน พ่อค้าแม่ค้าต่างเข้ามาขอถ่ายรูปพร้อมสวมกอดและบ่นคิดถึงให้กำลังใจกันเป็นจำนวนมาก บางคนถึงกับน้ำตาคลอ ในขณะที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ก็ให้กำลังใจกลุ่มผู้ค้าจังหวัดต่างๆกลับไปเช่นเดียวกันว่า "ขอให้ขายดี" ทั้งนี้นางสาวยิ่งลักษณ์ ยังได้เชิญชวนประชาชนมาร่วมกันสนับสนุนซื้อสินค้าโอทอปฝีมือคนไทยซึ่งจะจัดจำหน่ายวันพรุ่งนี้เป็นวันสุดท้าย




















"ยิ่งลักษณ์" รุดเยี่ยมผู้บาดเจ็บ เหตุระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 11.00 น. ที่ผ่านมา นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายพลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ อดีต ส.ส. กทม. พรรคเพื่อไทย ได้เดินทางมายังหมู่บ้านสามัคคี 53 เขตบึงกุ่ม เพื่อเข้าเยี่ยมและให้กำลังใจ นาวาโท(หญิง)นงเยาว์ ก้อนเพชร ผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ระเบิดที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ทั้งนี้นางสาวยิ่งลักษณ์ ได้มอบดอกไม้ พร้อมสอบถามถึงความคืบหน้าในการรักษาอาการบาดเจ็บ และ พูดคุยเกี่ยวกับรายละเอียดของเหตุการณ์ในวันดังกล่าว สร้างความปลาบปลื้มให้กับผู้บาดเจ็บและครอบครัวเป็นอย่างยิ่ง ที่อดีตนายกฯสละเวลามาเยี่ยมเยียนถึงบ้าน โดยมีประชาชนที่ทราบข่าว มารอต้อนรับเป็นจำนวนมาก




"วัฒนา" จับสังเกตบางพรรคขยับสาดโคลน-ระเบิดโซนพิเศษ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

"แผ่นดินจะดีในไม่ช้า"

ก่อนเกิดระเบิดที่ รพ. พระมงกุฎ โฆษก คสช. ได้ออกมาตอบโต้นายกยิ่งลักษณ์ว่า 3 ปีของการยึดอำนาจ คสช. ได้ทำให้บ้านเมืองสงบ แต่ระเบิดที่เกิดขึ้นก็ได้ประจานคำตอบดังกล่าว หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า เป็นการวางระเบิดที่มีลายเซ็นเพราะเกิดขึ้นในโรงพยาบาลของทหารกลางกรุงเทพมหานคร ห้องวงษ์สุวรรณที่ถูกระเบิดอยู่ในโซนวีไอพีที่มดยังเดินผ่านยาก ยิ่งไปกว่านั้นรอง นรม. ฝ่ายความมั่นคง ซึ่งนามสกุลตรงกับชื่อห้องที่ต้องเข้าผ่าตัดกลับเลือกใช้โรงพยาบาลเอกชนแทน

ประชาชนส่วนหนึ่งจึงเห็นว่าเป็นการทำกันเองเพื่อผลทางการเมือง เพราะห้องวีไอพีอื่นที่อยู่ใกล้กัน เช่น ห้องติณสูลานนท์ หรือห้องยงใจยุทธ ล้วนปลอดภัย แถมกล้องวงจรปิดที่ติดตั้งในบริเวณนั้นทั้ง 13 ตัวก็พร้อมใจกันขัดข้อง ส่วนโฆษกรัฐบาลที่เคยปากเปราะทุกครั้ง เช่น เกิดระเบิดที่ศาลพระพรหมหรือภาคใต้ที่ควันยังไม่ทันจางก็โทษนายกทักษิณแต่ครั้งนี้กลับสงบปากสงบคำ ที่แปลกคือคนของพรรคการเมืองหนึ่งกลับออกมาทำหน้าที่แทนด้วยการโทษกลุ่มการเมืองเก่าที่เสียประโยชน์เป็นคนทำเพื่อดิสเครดิต คสช. โดยก่อนหน้านี้อดีตเลขาธิการของพรรคนี้ได้ออกมาสนับสนุนให้หัวหน้า คสช. เป็นนายกต่อไปอีกสมัย จนทำให้ประชาชนคิดว่าพรรคนี้เป็นสาขาของ คสช. จึงถือโอกาสนี้สร้างผลงานเผื่อ คสช. จะโยนเศษเนื้อเน่าๆ มาให้

เหตุระเบิดที่เกิดขึ้นยังแสดงถึงวิสัยทัศน์และประสิทธิภาพของรัฐบาล ในการรับมือกับการก่อการร้ายที่เน้นการก่อวินาศกรรมมากกว่าการทำสงครามในรูปแบบ ดังที่เกิดใน รพ. พระมงกุฎ ชายแดนภาคใต้ หรือที่เมืองแมนเชสเตอร์ ดังนั้น เรือดำน้ำหรือรถถังที่ดิ้นรนซื้อมาด้วยเงินภาษีของประชาชนจึงมีประโยชน์น้อยกว่ากล้องวงจรปิดเพราะป้องกันการก่อการร้ายไม่ได้ นอกจากนี้กำลังเจ้าหน้าที่ควรนำมาใช้ป้องกันเหตุร้ายมากกว่าใช้ไปคุกคามประชาชนที่เห็นต่าง แต่ที่แย่ไปกว่านั้นคือท่าทีของ นรม. ที่ไม่เคยแสดงความรับผิดชอบแต่กลับฉวยโอกาสจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยให้สัมภาษณ์ทำนองว่า "การเลือกตั้งอาจต้องเลื่อนหากบ้านเมืองไม่สงบ" ทั้งที่เป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลที่มีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน เมื่อทำหน้าที่ไม่ได้ก็ควรออกไปแต่กลับโยนบาปให้กับประชาชน นิสัยถาวรแบบนี้ใครสั่งใครสอน ไปเรียนจากไหนมา

วันอังคารที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

"เพื่อไทย" แสดงความเสียใจ-ประณามผู้ก่อเหตุระเบิดห้องตรวจโรคนายพล

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พรรคเพื่อไทย ได้เผยแพร่ แถลงการณ์พรรคเพื่อไทย เรื่องขอแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ระเบิดที่โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้า โดยมีเนื้อหาดังนี้

ตามที่ได้เกิดเหตุระเบิดขึ้นที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า อาคารเฉลิมพระเกียรติ80ปีบริเวณห้องรับรองข้าราชการบำนาญ ห้องตรวจโรคนายทหารชั้นยศนายพล และที่ห้องจ่ายยาช่องการเงินผู้ป่วย เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 22 พ.ค. 2560 เป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวน25คนโดยผู้เกี่ยวข้องยืนยันว่าเป็นการวางระเบิดนั้น

พรรคเพื่อไทย ขอแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ และขอแสดงความเสียใจต่อผู้ได้รับบาดเจ็บ ขอให้กำลังใจแก่ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ ให้ได้รับการเยียวยา ดูแลรักษาพยาบาลให้หายกลับสู่ปกติโดยเร็ว ขอให้กำลังใจ แพทย์ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลทุกฝ่ายในการแก้ไขสถานการณ์ และดูแลรักษาผู้บาดเจ็บ

พรรคเพื่อไทย ขอประณามการกระทำดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระทำต่อสถานพยาบาล อันเป็นพื้นที่สันติภาพ สงวนไว้ใช้รักษาผู้เจ็บป่วย ถือว่าเป็นการกระทำที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม ละเมิดต่อพันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ขอสนับสนุนให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการหาผู้กระทำผิดมาลงโทษตามกฎหมายโดยเร็ว

พรรคเพื่อไทย
23 พ.ค.2560



วันจันทร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

"ยิ่งลักษณ์" ติงรัฐประหาร 3 ปี สูญเปล่า ไม่ปฏิรูป-เศรษฐกิจเสียหาย


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

อย่าให้ 3 ปี ของการยึดอำนาจต้องสูญเปล่า

วันนี้เป็นวันที่ ครบรอบ 3 ปี ของ คสช.ที่เข้ามายึดอำนาจจาก รัฐบาลดิฉัน คงจะจำกันได้ว่า เหตุผลที่เข้ามายึดอำนาจนั้นเพราะมี ปัญหาจากความแตกแยกทางการเมือง ต้องแก้ไข ให้กลับเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว ให้ประชาชนในชาติเกิดความรัก ความสามัคคี เช่นเดียวกับห้วงที่ผ่านมา และต้องการที่จะมาปฏิรูปโครงสร้างทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมให้ดีขึ้น เกิดความเป็นธรรมกับทุกพวกทุกฝ่าย จะได้เกิดความสงบ และมีความปรองดองเกิดขึ้นในชาติ 

และวันนี้ก็ครบ 3 ปี แล้วนะคะ เป็น 3 ปี ของประเทศไทย ที่รอวันนั้นด้วยความหวัง หวังจะให้บ้านเมือง เกิดความสงบ ปรองดองและเกิดหลักนิติธรรมขึ้นในบ้านเมือง เราจะได้เลิกทะเลาะกันสักที และร่วมกันปฏิรูปประเทศเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ จะได้ร่วมกันทำให้บ้านเมืองของเราดีขึ้น ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และ อยู่ในเวทีโลกด้วยความภาคภูมิใจ ตามที่สัญญาว่าจะคืนความสุขให้กับพี่น้องประชาชนและประเทศ

แต่วันนี้พวกเรายังไม่เห็นการปฏิรูปอย่างเป็นรูปธรรม ถ้าไม่มีการปฏิรูปก็สูญเปล่าเพราะความเสียหายทางเศรษฐกิจมีมากจากการล้มล้างระบอบประชาธิปไตย ดังนั้น "อย่าให้ เป็น 3 ปี ที่ต้องสูญเปล่าเลยค่ะ"


ดิฉันขอทวงสัญญา

"วัฒนา" ติง 3 ปี รัฐประหาร ประชาชนรายได้ลด-ถูกกำจัดสิทธิ์


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

"ทางออกจากหายนะ"

นับจากกลุ่มการเมืองข้างถนนออกมาชัตดาวน์กรุงเทพฯ เพื่อปูทางให้ทหารออกมายึดอำนาจเศรษฐกิจของไทยตกต่ำมาตั้งแต่นั้น ตัวเลขทางเศรษฐกิจทุกตัวส่งสัญญาณให้เห็นว่าอภิมหาหายนะกำลังมาเยือนประเทศไทย สาเหตุสำคัญคือประชาชนขาดกำลังซื้อ สถิติผู้มีรายได้น้อยที่มาขึ้นทะเบียนกว่า 12 ล้านคนคือหลักฐาน ทั้งนี้เพราะรัฐบาลให้ความสำคัญกับการสร้างความมั่นคงให้ตัวเองมากกว่าประชาชน เห็นได้จากงบประมาณของกระทรวงกลาโหมที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นการใช้เงินที่ไม่ก่อให้เกิดผลผลิต ทั้งไม่ทำให้ประชาชนมีความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยและสวนทางกับรายได้ของรัฐบาลที่ลดลง

ถึงแม้การส่งออกที่เป็นปัจจัยสำคัญทางเศรษฐกิจจะดีขึ้น แต่ภาคการส่งออกเกี่ยวข้องกับผู้คนจำนวนจำกัดจึงไม่เพียงพอที่จะพยุงเศรษฐกิจทั้งประเทศ รัฐบาลจึงต้องให้ความสำคัญกับการบริโภคภายในด้วยการติดอาวุธให้กับประชาชนเพื่อสร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่มีจำนวนมากรอบที่สุด ซึ่งจะส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมการผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคที่เกี่ยวข้องกับคนทั้งประเทศมากกว่าการติดอาวุธให้กับกองทัพที่ไม่ทำให้เกิดกำลังซื้อ นอกจากนี้รัฐบาลควรใช้ประชาธิปไตยและหลักนิติธรรมซึ่งเป็นเครื่องมือทางเศรษฐกิจที่มีราคาถูกที่สุด สร้างความมั่นใจให้นักลงทุนเชื่อว่าประเทศไทยกลับคืนสู่ความน่าเชื่อถือดังเดิมแล้ว แต่การกระทำของรัฐบาล เช่น ทูตไทยประจำเกาหลีบิดเบือนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดีของไผ่ ดาวดิน นักศึกษาที่ได้รับรางวัลกวางจู หรือการที่ทหารและตำรวจนำกำลังออกมาขัดขวางและจับกุมประชาชนที่แสดงออกซึ่งเสรีภาพพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นการจุดเทียนรำลึกถึง 3 ปีของการยึดอำนาจ หรือ 7 ปีของการสังหารประชาชน คือการทำลายตัวเองและความน่าเชื่อถือของประเทศ ยิ่งรัฐบาลใช้นโยบายการแจกเงินผู้มีรายได้น้อยอันเป็นนโยบายสิ้นคิดในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะเกิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพียงครั้งเดียวยิ่งน่ากังวล มากไปกว่านั้นปัญหาที่เกิดจากตัวผู้นำที่หมกมุ่นอยู่กับการหาข้อแก้ตัวและโทษคนอื่นมากกว่าการแก้ไขปัญหาของประเทศ ยิ่งทำให้คนไทยสิ้นหวังมากขึ้น

วันอาทิตย์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

"อนุสรณ์" เร่งคืนประชาธิปไตย เผย 3 ปีรัฐประหาร ลงทะเบียนคนจนพุ่ง-เศรษฐกิจแย่


นายอนุสรณ์  เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวกรณี ครบ 3 ปีของการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 ว่า ถึงวันนี้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) คงจะตระหนักเป็นอย่างดีว่า การวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลเลือกตั้งนั้นง่ายกว่าการเข้ามาบริหารประเทศด้วยตัวเอง ทั้งที่ คสช. มีเครือข่ายองคาพยพ ระบบราชการรองรับ มีกฎหมายพิเศษเป็นเครื่องมือในการบริหารประเทศมากมาย กองเชียร์ คสช. อย่าวนเวียนแต่การตั้งคำถามว่ารัฐประหารครั้งนี้ “เสียของ” หรือไม่ เพราะวันนี้กลับกลายเป็น 3 ปี ที่มี ”ของหาย” จากการรัฐประหาร 3 ด้านหลักๆ คือ

1.สิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน สื่อมวลชน ถูกลิดรอนและจำกัด สะท้อนผ่านการพยายามออกประกาศ ระเบียบ กฎหมาย เพื่อจำกัดสิทธิของประชาชนในด้านต่างๆ

2.กระบวนการตรวจสอบทุจริตคอร์รัปชั่นหายไป กลายเป็นกระบวนการฟอกขาวเข้ามาแทน

3.โอกาสในการมีคุณภาพชีวิตที่ดี ระบบเศรษฐกิจที่สร้างโอกาสหายไป ความเหลื่อมล้ำเพิ่มสูงขึ้น รวยกระจุก จนกระจาย ขาดการมีส่วนร่วมจากภาคส่วนต่างๆ ไม่มีเครื่องมือที่จะนำพาประเทศไปสู่ความปรองดองสมานฉันท์

นายอนุสรณ์ กล่าวว่า "3 ปีที่ผ่านไปของ คสช. นอกจากปัญหาเก่าจะยังไม่สามารถแก้ไขได้ แต่ปัญหาใหม่และใหญ่เกิดขึ้นมามากมาย ที่แม้แต่คนในรัฐบาล ยังยอมรับสารภาพว่า เศรษฐกิจแย่ลงทุกระดับ และยังไม่มีทางแก้ ตัวเลขเศรษฐกิจของประเทศที่ออกมา ติดลบทุกด้าน ที่พุ่งขึ้นมีอย่าง เดียวคือ ตัวเลขคนจนที่เพิ่มขึ้นภายในปีเดียว 7 ล้านคน จากการลงทะเบียนคนจน ที่พุ่งทะลุ 15 ล้านคน บริหารประเทศมา 3 ปี มีจำนวนคนจนเพิ่มเป็น 1 ใน 5 ของประชากรทั้งประเทศ แล้วถ้าอยู่ต่อ ปีที่ 4 ปีที่ 5 หวังว่าคงไม่ยึดหลักสถิติมีไว้เพื่อทำลาย หรือยิ่งอยู่นานคนจนยิ่งเพิ่มขึ้น ครบรอบ 3 ปี คสช. ต้องตั้งสติ สร้างแนวคิดเพื่อเชื่อมโยงระหว่างปัญหา วัตถุประสงค์และสมมติฐานใหม่ เพราะลำพังวิธีจัดอีเว้นท์ เดินสายโร้ดโชว์ ปฏิบัติการด้านข่าวสาร ไอโอ มันไม่ช่วยอะไร ช่วงเวลาที่เหลืออยู่อาจจะต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นที่จะนำประเทศกลับสู่การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย อาจจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นขึ้นมาได้บ้าง"

วันเสาร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

"อนุสรณ์" ติงรัฐเพิ่มภาษี ซ้ำเติมวิกฤติเศรษฐกิจ


นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึง กรณีสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาปรับเพิ่มภาษีมูลค่าเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 1 ว่า ถือเป็นความพยายามที่อยากจะสร้างผลงานให้เข้าตาท่านผู้นำ เลยไปปัดฝุ่นงานเก่ามาสานต่อเป้าประสงค์หลักของหัวหน้า คสช. และนายกรัฐมนตรี ที่อยากจะขึ้นภาษีทุกลมหายใจเข้าออก แต่การเสนอขึ้นภาษีในยามที่เศรษฐกิจวิกฤติ ข้าวยากหมากแพง แม้อาจจะเป็นผลงานชิ้นโบว์แดงในสายตาท่านผู้นำ แต่เป็นผลงานชิ้นโบว์ดำในสายตาประชาชนแน่นอน เอ็นพีแอลธนาคารพาณิชย์ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ไตรมาสแรกปีนี้ทะลุ 4 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 5% จากช่วงสิ้นปี ประชาชนชักหน้าไม่ถึงหลัง เป็นข้อเสนอที่เป็นการซ้ำเติมประชาชนในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจอย่างใจดำที่สุด

นายอนุสรณ์ กล่าวว่า การอ้างว่าเป็นแค่ผลศึกษาของ กมธ. รัฐบาลจะทำหรือไม่ก็ได้ ฟังไม่ได้และไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เพราะมันกระทบต่อความเชื่อมั่นทุกภาคส่วนไปแล้ว ภาคประชาชนตั้งคำถามว่า ถ้าเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้เพิ่มอีก 7 หมื่นล้าน จะเอามาออกมาตรการอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือไม่? หรือจะเอาไปผ่อนเรือดำน้ำ ซื้อรถถัง อาวุธยุทโธปกรณ์อื่นๆ หรือขึ้นค่าตอบแทน เพิ่ม 2 ขั้น ให้พวกพ้อง แล้วปล่อยให้ประชาชนได้แต่มองตาปริบๆหรือไม่? ส่วนภาคธุรกิจ ด้วยท่าทีชักเข้าชักออกแบบนี้ตลอดเวลาของรัฐบาล ย่อมส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นด้านการลงทุน การขยันสร้างความสับสนแบบนี้บ่อยๆ รัฐบาลไม่ต้องโอดครวญว่าส่งเสริมอย่างหนักแต่ทำไมเอกชนไม่ลงทุน ก็เพราะเขาไม่เชื่อมั่นรัฐบาล และไม่วางใจในนโยบายที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ซึ่งไม่มีใครทำ แต่รัฐบาลและเครือข่ายน้ำ 5 สาย เป็นคนทำตัวเองทั้งนั้น

วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

"รีพับลีกันสากล" พบ "พิชัย" ขอแนวทางกำหนดการเลือกตั้ง-ส่งเสริมประชาธิปไตยไทย

นายแมททิว เจ. เฮย์ ผู้อำนวยการ อินเตอร์เนชั่นแนล รีพับลิกัน อินสติติวท์ (สถาบันพรรครีพับลีกันสากลสหรัฐอเมริกา) ได้เข้าพบนายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เพื่อขอแนวทางกำหนดการเลือกตั้งของไทย และความร่วมมือกับสถาบันในการส่งเสริมประชาธิปไตยในประเทศไทย อีกทั้งแลกเปลี่ยนความรู้ทางด้านเทคโนโลยีการหาเสียงสำหรับการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้น โดยมี นายพชร นริพทะพันธุ์ ร่วมด้วย ที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล

โดยนายพิชัย กล่าวว่า นายแมททิว เจ. เฮย์ หวังว่าการเลือกตั้งจะมีขึ้นจริงในปีหน้า และหวังว่าสถาบันพรรครีพับลิกันสากลนี้จะช่วยส่งเสริมให้ประชาธิปไตยของไทยกลับมาโดยเร็ว และความร่วมมือในการพัฒนาพรรคการเมืองของไทยร่วมกันในอนาคต โดยจะจัดสัมมนาเพื่อพัฒนาบุคคลากรทางการเมืองของไทย โดยได้แสดงความเป็นห่วงการพัฒนานักการเมืองไทยรุ่นใหม่ในระบอบประชาธิปไตย หลังจากที่นักการเมืองไทยถูกใส่ร้ายสร้างภาพให้ดูแย่ จะเป็นอุปสรรคในการพัฒนาการปกครองในระบอบประชาธิปไตยของไทยในอนาคต โดยนายพิชัย เชื่อว่าทั้งเศรษฐกิจและการเมืองจะดีขึ้นหลังการเลือกตั้ง


"วัฒนา" แถลงผลงาน3ปีคสช. เงินคงคลังลด-เพิ่มงบกลาโหม


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

"รัฐบาลไม่แถลง ผมแถลงแทน"

นรม. อ้างเหตุรัฐบาลถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่มีผลงาน จึงเลื่อนการแถลงโดยจะไปชี้แจงในเดือนกันยายน ทั้งที่รัฐบาลบริหารประเทศด้วยเงินภาษีของประชาชนแต่กลับไม่ยอมถูกวิพากษ์วิจารณ์ เรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นหลายครั้งจนเป็นพฤติกรรมสะสม เช่น การเลื่อนโรดแมป เป็นต้น

นรม. กล่าวว่าทุกวันนี้ทำงาน 200% สะท้อนความจริงว่าความขยันต้องมาพร้อมกับสติปัญญา หาไม่แล้วจะทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลง สถิติที่โพสต์มาคือหลักฐานซึ่งตรงกับคำกล่าวที่ว่า "ตารางอันดับฟุตบอลและตัวเลขทางเศรษฐกิจไม่เคยโกหก" สถิติตั้งแต่ปี 2557 เป็นต้นมาแสดงให้เห็นว่า (1) จำนวนการจัดเก็บภาษีลดลง (2) อัตราการเติบโตของการจัดเก็บภาษีลดลง (3) อัตราการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่แสดงกำลังซื้อของประชาชนลดลง (4) อัตราการขยายตัวมูลค่าการส่งออกหยุดชะงัก (5) มูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนที่แสดงถึงการลงทุนใหม่ตกต่ำอย่างน่าใจหาย แปลว่านักลงทุนไม่มั่นใจจึงไม่มีการลงทุน ส่งผลให้ (6) การจัดเก็บภาษีได้ต่ำกว่าประมาณการ และ (7) เงินคงคลังลดลงซึ่งคงไม่ต้องอธิบาย

ส่วนสถิติด้านบวกของรัฐบาล ประกอบด้วย (1) งบประมาณและการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณสูงขึ้น (2) งบประมาณของกระทรวงกลาโหมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องสวนทางกับเศรษฐกิจที่ตกต่ำ ทั้งหมดคือผลงานสามปีเริ่มต้นจากประชาชนกลุ่มหนึ่งออกมาเป่านกหวีดเรียกร้องให้ทหารออกมายึดอำนาจ จากนั้นเศรษฐกิจก็ตกต่ำแย่ลงทุกด้าน งบประมาณที่ควรถูกนำมาใช้เพื่อสร้างความเข้มแข็งเพิ่มขีดความสามารถในการเสียภาษีให้กับประชาชน กลับถูกทุ่มเทให้กับทหารที่ยึดอำนาจจนทำให้บ้านเมืองเสียหายอย่างยับเยิน แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับพรรคพวกตัวเองมากกว่าประชาชน ความทุกข์ยากจึงเกิดขึ้นกับคนทุกกลุ่มรวมถึงบรรดาดารานักแสดงที่เชียร์เผด็จการก็ได้รับผลกรรมด้วยเช่นกัน ปรากฏตามผลประกอบการของทีวีช่องหนึ่งที่รายได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง จากนี้ไปรัฐบาลมีเวลาอีก 4 เดือนหาข้อแก้ตัวหรือโทษรัฐบาลก่อนตามถนัด คนช่วยคิดคงมีเยอะเพราะฝนฟ้าเริ่มมาแล้ว

"อนุสรณ์" เผย "เพื่อไทย" เข้าใจปัญหาพยาบาลวิชาชีพ-แนะรัฐเร่งบรรจุ


นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีการแก้ไขปัญหาข้อเรียกร้องของพยาบาลวิชาชีพลูกจ้างชั่วคราวให้บรรจุเป็นข้าราชการจำนวน 11,000 อัตรา ว่า ขอให้รัฐบาลเร่งบรรจุพยาบาลวิชาชีพลูกจ้างชั่วคราวเป็นข้าราชการให้ได้ทั้งหมดภายในปีนี้ พรรคเพื่อไทยเข้าใจความรู้สึกและตระหนักในคุณค่า ความสำคัญ การเสียสละ ของพยาบาลวิชาชีพและบุคลากรทางการแพทย์เหล่านี้ ที่ได้เสียสละเพื่อสร้างความมั่นคงและหลักประกันสุขภาพให้กับประชาชนทั่วทั้งประเทศ แม้ในชนบทหรือถิ่นทุรกันดาร จึงอยากให้รัฐบาลได้ดูแลเรื่องความมั่นคงทางอาชีพให้กับพยาบาลวิชาชีพเหล่านี้ และขอยกย่องที่พยาบาลวิชาชีพ ได้เสียสละในการสนับสนุนโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า 30 บาทรักษาทุกโรค จนองค์การอนามัยโลกยกย่องและใช้เป็นแบบอย่างในหลายประเทศ ดังนั้นเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ รัฐบาลควรจะเร่งบรรจุพยาบาลวิชาชีพเหล่านี้ให้ได้เป็นข้าราชการครบทุกคนในปีนี้ เพื่อเป็นหลักประกันที่มั่นคงในการทำงานต่อไปในอนาคต และขอให้พยาบาลวิชาชีพ เชื่อมั่นว่า ในรัฐบาลเลือกตั้งครั้งหน้า ไม่ว่าพรรคใดจะได้เป็นรัฐบาล หรือใครจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีก็ตาม จะต้องมาดูแล สร้างหลักประกันที่มั่นคงทางอาชีพให้กับพยาบาลวิชาชีพ รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์อย่างเหมาะสมและครอบคลุม

"ชวลิต" ติง3ปีรัฐบาล โพลสะท้อนประชาชนลำบาก-เศรษฐกิจถดถอย


นายชวลิต วิชยสุทธิ์ อดีตรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ให้ความเห็นว่า ในวาระครบรอบ 3 ปีรัฐบาล มีตัวเลขข้อมูลทางเศรษฐกิจที่แสดงว่า ขณะนี้ประเทศไทยกำลังประสบภาวะวิกฤติทางเศรษฐกิจ คือ
     
1. ตัวเลขคนจนที่มาลงทะเบียนพุ่งทะยานถึง 15 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้นมากอย่างน่าตกใจ โดยมีจำนวนถึง 1/5 ของประชากรทั้งประเทศแล้ว อันแสดงว่า รัฐบาลในระบอบนี้ ยิ่งอยู่นาน ชาวบ้านยิ่งจนลง
     
2. ธปท. เผยแพร่ตัวเลขหนี้เสีย หรือ NPL ไตรมาสแรกของปี 2560 จำนวน 405,328 ล้านบาท ทะลุ 4 แสนล้านบาทไปแล้ว โดยหนี้เสียสินเชื่อบุคคลเพิ่มขึ้นถึง 37%
     
3. การลงทุนจากภาคเอกชนหดหาย เพราะขาดความเชื่อมั่น มีแต่การลงทุนภาครัฐขาเดียว ประเทศจึงเปรียบเสมือนคนพิการ เพราะมีแต่การลงทุนภาครัฐเป็นหลัก
     
4. GDP หรืออัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ที่ประเทศไทยเติบโตต่ำสุดในกลุ่มประเทศอาเซียน 10 ประเทศ เป็นเวลา 2 ปีติดต่อกันแล้ว นับแต่ คสช. เข้ามายึดอำนาจบริหารประเทศ
     
5. โพลทุกสำนักสำรวจกี่ครั้งๆก็พบว่า ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องประชาชนเป็นปัญหาหนักสุดที่รัฐบาลยังแก้ไม่ตก
     
นายชวลิต กล่าวว่า ตนมีความเห็นว่า รัฐบาลไม่อาจตอบได้เลยว่า ที่มีปัญหาเศรษฐกิจดังกล่าว เพราะเศรษฐกิจโลกถดถอย ทั้งนี้เนื่องจากทุกประเทศได้รับผลกระทบเหมือนกันหมด เพียงแต่ที่ประเทศไทยได้รับผลกระทบมากกว่าประเทศอื่น เพราะการเมืองการปกครองของเราไม่ปกตินานเกินเหตุ จึงไม่เอื้อต่อการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศ
       
แม้รัฐบาลจะยืนยันว่าได้ทุ่มเท ตั้งใจทำงาน 200%  แต่จะมีประโยชน์อะไรที่ในความขยันทุ่มเทนั้น ผลลัพธ์กลับได้ตรงข้ามกับสิ่งที่ทุ่มเทลงไป มีแต่ความถดถอยทางด้านเศรษฐกิจตกต่ำในทุกด้านที่รัฐบาลไม่อาจปฏิเสธได้ดังกล่าวข้างต้น
     
ดังนั้น รัฐบาลควรประเมินสถานการณ์อย่างถี่ถ้วนตามหลักวิชา รีบหาทางออกให้กับบ้านเมือง ก่อนที่ภาวะเศรษฐกิจจะจมลึกไปมากกว่านี้ จนยากที่จะเยียวยาแก้ไข
       
นายชวลิต กล่าวในที่สุดว่า ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจของประเทศดังกล่าวข้างต้น ตนเชื่อว่ามาจากการเมืองการปกครองของเราไม่ปกติ จึงควรทำให้เป็นปกติโดยเร็ว รีบส่งสัญญาณบวกให้ประชาชนและนักลงทุนเกิดความเชื่อมั่น สัญญาณดีทางเศรษฐกิจจะเกิดตามมา ตนยังเชื่อว่า บ้านเมืองมีทางออก ถ้าอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนอย่างแท้จริง ต่อเนื่อง และมีเสถียรภาพ