วันพุธที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2566

"ประชาชาติ" ส่ง "อับดุลอายี สาแม็ง" ประชันวิสัยทัศน์ นโยบายพรรคการเมือง ส่งเสริมชุมชนเข้มแข็ง

ผู้สื่อข่าวรายงานจากห้องประชุม ดร.สมศักดิ์ และคุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล ชั้น 2 อาคารสยามบรมราชกุมารี สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) นายอับดุลอายี สาแม็ง ผู้สมัคร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดยะลา เขต 3 พรรคประชาชาติ หมายเลข 10 ร่วมประชันวิสัยทัศน์ “รวมพลังขบวนองค์กรชุมชนทั่วประเทศ : จับตา นโยบายพรรคการเมือง ส่งเสริมชุมชนเข้มแข็ง” จัดโดย เครือข่ายขบวนองค์กรชุมชน 5 ภาค ประกอบด้วย เครือข่ายสภาองค์กรชุมชน เครือข่ายแก้ไขปัญหาความไม่มั่นคงในที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัย เครือข่ายองค์กรชุมชนด้านสวัสดิการชุมชน กลุ่มองค์กรชุมชนด้านเศรษฐกิจฐานราก และเครือข่ายองค์กรชุมชนด้านการป้องกันและต่อต้านการทุจริต โดยมีนักศึกษา และประชาชนที่สนใจ เข้าร่วมรับฟังและแลกเปลี่ยนความเห็นเป็นจำนวนมาก

นายอับดุลอายี สาแม็ง ผู้สมัคร ส.ส.ยะลาเขต 3 พรรคประชาชาติ ในฐานะตัวแทนของพรรค กล่าวว่า การส่งเสริมชุมชนให้เข้มแข็ง เป็นเรื่องที่พูดกันมานานเป็นสิบๆ ปี แต่สำหรับภาคใต้โดยเฉพาะชายแดนใต้สุด 3 จังหวัด 4 อำเภอที่มีปัญหามาโดยตลอดนั้น เป็นเรื่องของส่วนเกิน 

“ผมดูวิธีการบริหารจัดการที่ผ่านมา ศูนย์กลางอยู่ที่กรุงเทพฯ แล้วก็กวาดรัศมีไปถึงเชียงใหม่ ก็ประมาณ 700-800 กิโลฯ เมื่อกวาดวงเวียนเสร็จเรียบร้อยแค่นครศรีธรรมราช หลุดจากนั้นไปเป็นเรื่องของส่วนที่มันเกินรัศมีจากวงเวียน เหตุที่ผมพูดแบบนี้ก็เนื่องจากว่า มันมีโครงสร้างที่มาจัดตั้งระบบของการปกครอง ก็คือ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือ ศอ.บต.เกิดขึ้นมาอีก 1 องค์กรใหญ่ที่มาดูแลประเทศ”

“ตรงนี้ถ้าเรามีโอกาส เราก็อยากจะเสนอนโยบายหลักอย่างแรกเลยก็คือว่าจะต้องมาปรับโครงสร้างตัวนี้ใหม่ อย่างเช่น ขณะนี้ ศอ.บต. ผมดูๆ แล้วก็มาเป็นประเทศเล็กๆ มาอยู่ในประเทศใหญ่ ประเทศใหญ่ก็คือประเทศไทยทั้งหมด แต่ว่าใน 4–5 จังหวัดภาคใต้ ก็มีประเทศเล็กๆ แต่ระบบการปกครองนี้ต่างกันอย่างสิ้นเชิง”

“นี่เราพยายามเข้าสู่ระบบประชาธิปไตย จะมีการเลือกตั้งใหม่อีกไม่กี่วันข้างหน้า แต่ในขณะเดียวกันประเทศเล็กที่ผมว่า มันเป็นลักษณะของการใช้อำนาจรัฐที่สมบูรณ์แบบอยู่ อย่างเช่น ใช้อำนาจของ กอ.รมน. ใช้อำนาจทหาร โดยเฉพาะในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็มีกฎหมายอีก 2 -3 ฉบับ กฎอัยการศึก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ และกฎหมายพิเศษอื่นอีก แล้วก็เพิ่มเป็นคำสั่งของ กอ.รมน. ที่อยู่ในเขตพื้นที่ 5 จังหวัดด้วยซ้ำไป”

“ถ้าจะมาส่งเสริมชุมชนให้เข้มแข็ง ผมว่าอันดับต้น พรรคประชาชาติจะต้องมาปรับโครงสร้างตัวนี้ใหม่ โดยจะต้องการลดทอนเรื่องของ พ.ร.บ.ที่มันเกี่ยวข้อง ความหมายของผมตรงนี้ก็คือว่า ต้องการให้มีความเสมอภาคทั้งประเทศเสียก่อน มิฉะนั้นชุมชนที่อยู่นอกเหนือจาก 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็อาจจะมีโอกาสมาก แต่ว่า 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีโอกาสน้อยลง เนื่องจากว่ายังมีกฎหมายลักษณะอย่างนี้เป็นตัวขวางอยู่ การเสนอเบื้องต้นคือว่าเราจะทำอย่างไรให้ พ.ร.ก. , พ.ร.บ.ที่มันใช้อยู่ในเขตสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ปลดออกไปก่อน แล้วก็ให้เสมอเหมือนทุกภูมิภาคของประเทศนี้  นี่คือสิ่งที่เกิดเป็นเบื้องต้น” 

“สิ่งที่มันเป็นเรื่องของความเหลื่อมล้ำ ชุมชนอาจจะมีปัญหามาโดยตลอด อย่างเช่น ที่พูดถึงกันอยู่เสมอว่าเราจะลดค่าไฟ เราจะลดค่าน้ำมัน เราจะลดค่าแก๊สหุงต้ม อะไรต่างๆ เหล่านี้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ถามว่ามีเองไหม เราก็มีในเขตพื้นที่ของภาคใต้ ถ้าเช่นนั้นวิธีการที่จะไปทำเรื่องของการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างสมดุล อย่างเป็นธรรม เป็นสิ่งที่จำเป็นตามมา”

“อย่างเช่นว่า เรามีแก๊สธรรมชาติอยู่ในทะเล ในกลุ่มของ JDA ที่อยู่ในเขตพื้นที่ภาคใต้ แล้วก็เชื่อมโยงไปกับประเทศมาเลเซีย เหล่านี้ถามว่าเราจะบริหารจัดการอย่างไร แล้วก็ถามว่าสิ่งที่เป็นผลประโยชน์ ณ ขณะนี้ ผลการผลิต ผลการขุดเจาะแก๊สธรรมชาติออกมาเพื่อใช้ประโยชน์ในเรื่องของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้เกิดประโยชน์ต่างๆ เหล่านี้ได้อย่างไร” 

“ผมก็มองว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดเราต้องการบริหารประเทศให้เกิดความมั่นคง ความเสมอภาคต้องอยู่บนพื้นฐานของการมีความรู้ แต่ 3 จังหวัด 4 อำเภอที่มันมีปัญหามาโดยตลอด ก็คือระดับการศึกษาก็แย่กว่าที่อื่นในประเทศไทย เรื่องเศรษฐกิจปากท้องเราก็แย่กว่าที่อื่นในประเทศไทย ถามว่าเราจะกำหนดนโยบายว่าอย่างไร”

“คนภาคใต้ทั้งหมด 14 จังหวัดก็มียางพารา เรากำหนดไว้แล้วรอบต่อไปเราจะกำหนดราคายางไปเลย 80 บาท อย่างน้อยเป็นเรื่องของการเสริมรายได้ให้กับชุมชนที่จะมีมากขึ้น แต่เราก็มีปัญหามาโดยตลอด 3-4 ปีที่ผ่านมา ก็มีโรคเชื้อราใบยางร่วงที่เกิดขึ้น เราเสียหายไป 3-4 แสนล้าน รัฐบาลที่ผ่านมาไม่เอาใจใส่ ไม่ดูแล ไม่ไปทำอะไรเลย ต่อไปพรรคประชาชาติก็จะไม่ทอดทิ้ง ก็จะไม่ละเลยสิ่งที่เป็นปัจจัยหลักในเรื่องการส่งเสริมความเข้มแข็งให้กับชุมชน เราจะต้องทำเร็วที่สุด อาจจะไม่ถึง 6 เดือนด้วยซ้ำไป”

นายอับดุลอายี ยังได้ตอบคำถามจากเครือข่ายองค์กรชุมชนว่า “จากคำถามความจริงผมอยู่ใต้จะตอบแทนคนอีสามก็ยากหน่อย แต่ว่าโดยหลักการแล้ว อย่างเช่นว่า กรณีความเหลื่อมล้ำในเรื่องของน้ำ ผมดูแล้วมันไม่ใช่ประเด็นหลักสำคัญ แต่วิธีคิดก็คือ ตั้งความหวังไปที่ระบบของชลประทาน ระบบชลประทานก็คือง่าย เพิ่มจำนวนฝายให้มาก เพิ่มการเก็บกักน้ำลำธารคูคลองต่างๆ ตรงนี้มันเป็นโดยธรรมชาติ เมื่อน้ำเก็บกักได้นาน ก็เกิดการซึมผ่านใต้ดิน แล้วก็จะไปเกิดอีกจุดหนึ่ง เพิ่มปริมาณน้ำที่อยู่ใต้ดินมากขึ้น”


“การที่จะทำแหล่งน้ำให้กับทุกคนทุกหมู่บ้านมันอาจจะเป็นไปไม่ได้ แต่ว่าโดยธรรมชาติแล้วเนื่องจากว่าปริมาณน้ำที่อยู่ตามลำธารคูคลองต่างๆ มันมากขึ้น และก็อยู่อย่างยั่งยืนแล้ว น้ำก็จะซึมผ่านไปยังอีกหลายๆ จุด จะเพิ่มปริมาณน้ำใต้ดินมากขึ้น จะเกิดเป็นเรื่องของการดำเนินการในการใช้น้ำต่อไป ในเรื่องนี้ผมเคยอยู่ท้องถิ่นมากก่อน ผมก็ทำเรื่องนี้แล้วก็เกิดเป็นประเด็นผลประโยชน์ในการใช้น้ำมากขึ้นจริงๆ”

“เรื่องที่ 2 ที่ว่าอยู่ตามชายแดนคนงานจะทะลัก ผมอยู่ทางใต้ก็มีปัญหาเดียวกัน อย่างเช่นที่ อ.เบตง จ.ยะลา แต่เนื่องจากว่าความสมดุลเรื่องการใช้แรงงานระหว่างประเทศของมาเลเซียกับไทยก็ยังมีความสมดุลกันได้อยู่ คือคนมาเลเซียจะไม่ค่อยได้เข้ามาในประเทศไทยสักเท่าไหร่ แต่จะมีคนจากพม่า เขมร  ที่ผ่านมาเลเซียแล้วเข้ามาประเทศไทย ก็ใช้มาตรการร่วมระหว่าง 2 ประเทศ เพื่อเข้ามากำกับดูแลปริมาณแรงงานต่างชาติที่เข้าทะลักมาประเทศไทย ซึ่งเราก็ทำได้ผลอยู่ในระดับหนึ่ง”

“ในเรื่องการสนับสนุนให้ตั้งองค์กรสภาชุมชนเข้มแข็งอย่างไรนั้น ผมเห็นว่าที่ผ่านมาเราก็พยายามส่งเสริมให้มีวิสาหกิจชุมชนขึ้นมา เราก็ต้องมีการสนับสนุนวิสาหกิจชุมชนให้มากขึ้น ให้เกิดสภาพคล่องให้มีทุนหมุนเวียน อย่างที่หลายๆ พรรคก็มีการสนับสนุนนโยบายตรงนี้ พรรคประชาชาติก็เหมือนกัน ถึงจะเป็นพรรคเล็กๆ แต่เราจะมองอีกด้านหนึ่ง แหล่งลงทุนจะไม่ได้คาดหวังที่งบประมาณโดยลำพัง เราอาจจะต้องมีการจัดสรรที่ว่า ตอนต้นมีทรัพยากรธรรมชาติที่สามารถทำเป็นเงิน ทำเป็นประโยชน์มาได้ เอาทรัพยากรธรรมชาติตั้งเป็นกองทุน 2 ระบบ เป็นกองทุนวิสาหกิจชุมชน และกองทุนของระบบการศึกษา เพื่อที่จะได้มาดำเนินการให้เกิดการขับเคลื่อนของวิสาหกิจเพื่อให้โตขึ้นในภาคเศรษฐกิจฐานรากของประเทศของเราต่อไป” 

“ส่วนเรื่องของความเหลื่อมล้ำในเรื่องของการใช้ที่ดิน เป็นเรื่องที่เกิดการทับซ้อนจากประกาศพื้นที่ป่า เช่น เขตป่าไม้ เขตอุทยาน ไปทับซ้อนในที่ดินทำกินของพี่น้องประชาชนอยู่เดิม เหล่านี้ต้องไปสำรวจแล้วก็ไปดำเนินการใหม่ แล้วอาจจะมีการจัดสรรที่ดินให้เป็นของตนเอง นโยบายของเราคือต้องการให้ทุกคนมีที่ทำกินเป็นของตนเอง ไม่น้อยกว่า 20 ไร่”







"เศรษฐา ทวีสิน" นำ "เพื่อไทย" ลุยปราศรัยใหญ่ที่ เพชรบูรณ์ อ้อนกา 2 ใบเลือกทั้งคนทั้งพรรค

พรรคเพื่อไทย นำโดย นายเศรษฐา ทวีสิน ​แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี, นายณัฐวุฒิ ใสเกื้อ ผอ.ครอบครัวเพื่อไทย, นายจาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำพรรค พท. นายสุทิน คลังแสง แกนนำพรรคเพื่อไทย เปิดปราศรัยใหญ่ที่อาคารเอนกประสงค์ โรงเรียนวิทยานุกูลนารี อ.เมืองเพชรบูรณ์ พร้อมช่วยหาเสียงให้ผู้สมัคร ส.ส.เพชรบูรณ์ พรรค พท. ทั้ง 6 เขต โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีชาวเพชรบูรณ์พร้อมเหล่าแฟนคลับจำนวนราว 5,000 คน เข้ารับฟังการปราศัยใหญ่ พร้อมเชียร์ให้กำลังใจนายเศรษฐา และยังร่วมเซลฟี่ถ่ายรูปเซลฟีแคนดเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยกันอย่างคึกคัก

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายทวีสิน ทวีสิน กล่าวปราศรัยตอนหนึ่งว่า ตามโซเชียลมีเดียวันที่ผ่านมามีการพูดถึงกันมาก จากเรื่องค่าไฟที่แพง ค้าะลังงานที่ราตาไม่เหมาะสม ทำให้รายจ่ายของพี่น้องประขาขนสูงขึ้นอย่างน่ากลัว พรรคเพื่อไทยยอมรับไม่ได้ ถ้าเราได้เป็นรัฐบาล วันนี้อดีตรมว.พลังงานคุณพิชัย นริพทะพันธุ์ ก็มาอยู่กับเราที่นี่มารับฟังและสัมผสปัญหา ดูรากเหง้าจริงๆว่าพี่น้องประสบปัญหาอะไร เราได้คุยกันก่อนที่จะมาว่าปัญหาราคาเชื้อเพลิง ปัญหาพลังงงาน ปัญหาค่าน้ำมัน ปัญหาทั่วไปที่เป็นเรื้องใหญ่ที่ส่งผลต่อค่าครองชีพของพี่น้องมาก

“ถ้าพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาล เราจะมีการบริหารจัดการ ค่าน้ำ ค่าน้ำมัน อย่างเช่นน้ำมันดีเซลต้องต่ำกว่า 30 บาทต่อลิตร” นายเศรษฐากล่าว

นายเศรษฐากล่าวอีกว่า พรรคร่วมรัฐบาลปัจจุบันมีการหาเสียงกันมากมายว่า จะทำอย่างนั้นอย่างนี้ เพื่อให้ราคาพลังงานตก ราคาไฟตก ราคาน้ำมันตก ผมมีข้อคิดเขาเป็นรัฐบาลอยู่ ทำไมเขาต้องบอกว่า ถ้าเขาได้เป็นรัฐบาลอีกเขาจะทำให้ค่าไฟลด ถ้าเขาทำเป็นทำไมเขาไม่ทำเลย

“แล้วมาบอกว่าถ้าเลือกเข้ามา ค่าไฟจะถูก ค่าน้ำมันจะถูก ก็บริการจัดการมา 8 ปีแล้ว วันนี้ถึงเวลาเปลี่ยนแปลงแล้ว แสดงว่าช่วง 8 ปีที่ผ่านมา เขาทำไม่ได้ ไม่มีความสามารถในการบริหารจัดการ เพราะฉะนั้นถึงเวลาที่พรรคเพื่อไทย ต้องเข้ามาจัดการปัญหานี้” นายเศรษฐากล่าว

จากนั้นนายเศรษฐายังปราศรัยถึงปัญหาราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำ ราคาปุ๋ยแพง รัฐบาลพยายามบอกตลอดเวลาเป็นปัญหาสงครามสู้รบกันระหว่างยูเครนกับรัสเซีย แต่ไม่ใช่ปัญหานี้ปัญหาเดียว ยังมีปัญหาอื่นอีก มีการผูกขาดของรายใหญ่ ซึ่งปัจจุบันมีการแพร่กระจายไปทั่วระหองระแหง ไม่ว่าจะเป็นค่ามือถือ หรือว่าจะเป็นค่าไฟ ไม่ว่าจะเป็นค่าปุ๋ย พรรคเพื่อไทยไม่ยอมรับการค้าขายแบบผูกขาด ทำให้ประชาชนลำบาก เราต้องการให้มีการแข่งขันสมบูรณ์ เพื่อราคาที่พี่น้องจะเข้าถึงได้

“ค่าใช้จ่ายเป็นอีกเรื่องหนึ่ง รายได้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ราคาพืชผลเกษตรที่พี่น้องบอกว่าตกต่ำ ซึ่งในสมัยคุณยิ่งลักษณ์เป็นรัฐบาล ราคายางกิโลกรัมละ 80-100 บาท ปัจจุบันนี้ไม่แน่ใจว่าราคายาง 4 ก.ก.ได้ถึง 80 บาทหรือเปล่า จึงอยากย้ำกับพี่น้องว่าถึงเวลาแล้วที่เราต้องเปลี่ยนแปลงรัฐบาลเปลี่ยนแปลงประเทศ เพื่อ ให้พี่น้องอยู่ดีกินดี” นายเศรษฐากล่าว

แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทยกล่าวว่า พรรคเพื่อไทยมีความเชื่อเรื่องการตลาดนำ และนวัตกรรมเสริม นายกรัฐมนตรีไม่ว่าจะเป็นกับผมเอง หรือคุณอุ้งอิ้งหรือคุณชัยเกษม เราจะเดินทางออกไปทั่วโลก เพื่อเอาสินค้าดีๆของทุกคนออกไปขายขยายตลาด ทำให้ราคาดีขึ้น นวัตกรรมที่จะมาช่วยเสริมเช่น ปุ๋ยเคมีก็จะถูกทดแทนด้วยปุ๋ยอินทรีย์ ทำให้รายจ่ายต่ำลง ทำให้รายได้สุทธิของพี่น้องสูงขึ้น เรามั่นใจภายใน 4 ปี รายได้ของพี่น้องจะเพิ่มขึ้น 3 เท่าตัว

“ไม่ใช่แค่นั้นอย่างเดียวค่าแรงขั้นต่ำจะเป็น 600 บาท ปริญญาตรีต้อง 25,000 บาท พรรคเพื่อไทยคิดใหญทำเป็นเราทำได้ รอกเหนือไปกว่านั้นฟากครอบครัวไหนรายได้ไม่ถึง 20,000 บาท เราจะเติมให้เต็มจำนวน 20,000 บาท” นายเศรษฐากล่าว

แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทยกล่าวว่า นโยบายอีกอันซึ่งเป็นที่น่าสนใจทั่วประเทศ รวมถึงพรรคคู่แข่งด้วยซึ่งปัจจุบัน ก็มีการพูดถึง มีการกล่าวขานถึงมีการกระแนะกระแหน ว่าเป็นนโยบายที่อาจจะทำไม่ได้ พี่น้องตั้งแต่พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทย เรานำนโยบายดีๆมาเสนอพี่น้อง ไม่ว่าจะเป็น 30 บาทรักษาทุกโรค OTOP เพราะฉะนั้นนโยบาย 10,000 บาทเงินดิจิตอล ถึงมือพ่อแม่พี่น้องแน่นอน

“เอาไปใช้ได้เลยได้รัศมี 4 ตารางกิโลเมตร ให้ใช้ให้หมดภายใน 6 เดือน เร่งใช้รีบใช้กันเลย กระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนให้เกิดขึ้นโดยเร็ว ครอบครัวไหนมีคนอายุเกิน 16 ปี มี 5 คนรับไปเลย 50,000 บาท เพียงพอสำหรับการไปประกอบอาชีพใหม่ๆ เพียงพอสำหรับการไปซื้อสินค้ามาทำมาค้าขาย ชุบชีวิตใหม่ ไม่ใช่ เหมือนรัฐบาลปัจจุบัน ซึ่งยอดน้ำข้าวต้มทีละ 500 บาทหรือ 1,000 บาทไม่เพียงพอ”นายเศรษฐากล่าว

นายเศรษฐายังกล่าวถึงปัญหายาเสพติดอีกว่า เป็นปัญหาใหญ่ที่พี่น้องเดือดร้อนมาก ยาบ้าราคาถูกเม็ดนึงไม่ถึง 20 บาทง่ายกว่าซื้อขนมอีก เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่ผู้นำระดับประเทศ ต้องให้ความสำคัญ ผู้เสพต้องถูกเปลี่ยนให้เป็นผู้ป่วย เมื่อรักษาหายแล้วต้องหาอาชีพเสริมให้ สอนให้มีวิธีการนำมาหากิน จะได้ไม่หวนกลับไปเสพยาอีก ผู้เสพไม่ใช่ผู้ผลิต แต่คือผู้ป่วย ผู้ผลิตคือผู้ค้ายา

“รัฐบาลต้องจัดการขั้นเด็ดขาด เขาไม่กลัว ติดคุกเท่าไหร่ แต่กลัวที่สุดคือการยึดทรัพย์ กฎหมายปัจจุบันไม่เอื้อให้มีการยึดทรัพย์โดยเร็ว เมื่อยึดทรัพย์ไม่ได้เร็วๆเขาก็ยังผลิตต่อได้ เขาก็ยังเอายาบ้ามาสูบตลาดทำร้ายลูกหลาน ของพี่น้องประชาชน พรรคเพื่อไทยจะเร่งรัดนโยบายการยึดทรัพย์ให้ได้โดยเร็ว”นายเศรษฐากล่าว

แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทยกล่าวว่า ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาที่แก้ยาก เพราะมีหน่วยงานรัฐหลายๆหน่วยงาน มาเกี่ยวข้อง ถ้านายกรัฐมนตรีไม่ลงมาดูแลเอง ไม่เป็นเจ้าภาพเอง แก้ไขไม่ได้ พี่น้องมั่นใจได้ว่าถ้านายกรัฐมนตรีมาจากพรรคเพื่อไทย จะเป็นเจ้าภาพบริหารจัดการครบเครื่องของยาเสพติดใฟ้หมดสิ้นไปจากพี่น้องประชาชน

นายเศรษฐากล่าวต่ออีกว่า นอกจากนี้ปัญหาอีกข้อ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเกษตร เป็นต้นเรื่องของเรื่องที่ดินทำกิน ซึ่งสิทธิการทำกิน ของเรายังไม่เพียงพอ บางคนคอยเป็น 10 ปีก็ยังไม่ได้ ไม่มีการแปรสภาพจากสปก.มาเป็นที่ดิน พรรคเพื่อไทยมีนโยบายที่จะนำที่ดิน 50 ล้านไร่ มาให้พี่น้องประชาชน จะได้เอาไปปิดสินทรัพย์ในการทำมาหากิน ได้อย่างภาคภูมิใจ ส่งต่อให้ลูกหลานได้เพื่ออนาคตที่ดีกว่า

นายเศรษฐากล่าวย้ำว่า เรื่องทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าตัวแทนพรรคเพื่อไทย จ.เพชรบูรณ์ ทั้ง 6 ท่านไม่ได้ถูกเลือกเข้ามาเป็น ส.ส. พี่น้อง 8 ปีเพียงพอแล้วสำหรับคนที่ได้รับมอบหมายให้มาบริหารประเทศ วันนี้ผมรวมทั้งผู้บริหารพรรคเรามาพร้อมกัน เพื่อวิงวอนขอใจชาวเพชรบูรณ์ให้เรามีโอกาสเข้าไปจัดการ ปัญหาที่คาราคาซังมานานเกินควร ให้เรามีโอกาสให้เราเข้าไปทำสิ่งดีๆ เพื่อนำมาซึ่งชีวิตที่ดีกว่ามีเกียรติมีศักดิ์ศรี ของพี่น้องประชาชน

“เรามาร้องขอทุกคะแนนเสียง ในวันที่ 14 พฤษภาคมที่จะถึงนี้ ให้เลือกส.ส.จากพรรคเพื่อไทยทั้ง 6 คนเข้าสู่สภา และขอฝากพรรคเพื่อไทยเบอร์ 29 ไว้ด้วย และขออย่าให้ใครมาบอกว่า เป็นพรรคพี่พรรคน้อง กาทั้ง 2 ใบพรรคเพื่อไทยแลนด์สไลด์ทั้งแผ่นดิน”นายเศรษฐากล่าว

วันอังคารที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2566

"พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง" แสดงวิสัยทัศน์ สร้างรัฐสวัสดิการ-ดับไฟใต้ยั่งยืน

“พ.ต.อ.ทวี” ขึ้นเวทีดีเบตของช่อง 7 HD ชูนโยบายดับไฟใต้ยั่งยืน ประกาศแก้จน นำพาประเทศสู่ “รัฐสวัสดิการ” ขอโอกาสเลือกพรรคประชาชาติเป็นรัฐบาลเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศ ด้านกองเชียร์ต่างพรรคแห่ชื่นชม เหตุแสดงวิสัยทัศน์ไม่โจมตีพาดพิงพรรคอื่น 


เมื่อช่วงค่ำของวันจันทร์ที่ 24 เม.ย.66 พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ นำคณะพรรคประชาชาติและสมาชิกพรรคร่วมเวทีดีเบตภาคใต้ ซึ่งจัดโดยสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 HD ที่สวนสาธารณะเมืองสงขลา 

เวทีเริ่มต้นด้วยการประชันวิสัยทัศน์ผู้สมัคร ส.ส.ในพื้นที่ โดยพรรคประชาชาติได้ส่ง นายอับดุลเราะมัน บอลอ ผู้สมัคร ส.ส.เขต 7 สงขลา ขึ้นแสดงวิสัยทัศน์ จากนั้น พ.ต.อ.ทวี ซึ่งร่วมเวทีด้วย ได้ขึ้นกล่าวในหัวข้อ “เปิดหน้าชน ขุนพลภาคใต้” นอกจากนั้นยังได้ ร่วมตอบคำถามจากพิธีกรบนเวที อาทิ หลายปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจภาคใต้และรายได้ของประชาชนถดถอย จะเพิ่มศักยภาพ เติมโอกาสให้ประชาชนอย่างไร เพื่อให้คุณภาพชีวิตคนใต้ดีขึ้น

และประเด็นคำถาม ในแต่ละปีรัฐบาลทุ่มงบประมาณจำนวนมากในการพัฒนาเศรษฐกิจ และแก้ปัญหาความมั่นคงในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีนโยบายอย่างไรที่จะยุติความขัดแย้งและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ให้หลุดพ้นจากความยากจน รวมถึงคำถามที่ผ่านมาคนภาคใต้ มีส่วนร่วมและมีความตื่นตัวทางการเมืองสูง คิดว่าเรื่องขั้วการเมือง ยังเป็นปัจจัยชี้ขาดในการเลือกตั้งครั้งนี้ด้วยหรือไม่ 

พ.ต.อ.ทวี ตอบคำถามบนเวทีตอนหนึ่งว่า ในการเลือกตั้งปี 62 พรรคประชาชาติเป็นพรรคการเมืองที่ได้ ส.ส.ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ 7 คน แบบแบ่งเขต 6 คนและแบบบัญชีรายชื่อ 1 คน สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าประชาชนไม่ได้อยู่เพื่อรับใช้พรรคการเมือง และประชาชนไม่ได้อยู่เพื่อรับใช้รัฐบาล แต่รัฐบาลและพรรคการเมืองต่างหากที่จะต้องรับใช้ประชาชน 

.

ฉะนั้นพรรคประชาชาติก็จะเป็นจุดเปลี่ยนของประเทศที่จะแก้ปัญหา โดยปัญหาหนึ่งก็คือ ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เราจะแก้อย่างยั่งยืน นอกจากนั้นเราจะเปลี่ยน จะทำให้ประชาชนทั้งประเทศพ้นจากความยากจน เราหนีไม่พ้นการแก้ปัญหาความยากจนด้วยการนำประเทศไปสู่รัฐสวัสดิการ พรรคประชาชาติจะทำให้คนมีสิทธิเสมอกัน และจะทำให้เกษตรกรมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินทำกิน อย่างน้อยครัวเรือนละ 20 ไร่ มีนโยบายเรียนฟรีมีคุณภาพถึงปริญญาตรี นี่คือสิ่งที่พรรคประชาชาติจะทำให้พี่น้องประชาชน  


ต่อจากนั้น พ.ต.อ.ทวี ยังได้นำคณะลงพื้นที่ไปที่ ร้านบังไลท์ ณ เขต 8 เทศบาลนครหาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งเป็นศูนย์รวมของนักเรียน นักศึกษา เยาวชน คนทำงานที่มาจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ 

โอกาสนี้ พ.ต.อ.ทวี ได้พบปะและพูดคุยขอคะแนนให้กับผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 ปัตตานี เขต 1 ยะลา และเขต 5 นราธิวาส พร้อมทั้งได้ชิมโรตีกับกาแฟโบราณ ซึ่งเป็นเมนูขึ้นชื่อของทางร้าน ปรากฏว่าได้รับความสนใจจากเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่มาจากจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นอย่างมาก โดยได้ร่วมพูดคุยนโยบายของพรรคประชาชาติ ซึ่งเยาวชนคนรุ่นใหม่สนใจนโยบายไม่เอากัญชาเสรี และล้างหนี้ กยศ. รวมถึงเรียนฟรีมีคุณภาพจนจบปริญญาตรี นอกจากนั้นยังให้ความสนใจนโยบายสร้างสันติภาพชายแดนใต้ และสร้างรัฐสวัสดิการของพรรคประชาชาติอีกด้วย

วันศุกร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2566

"มนตรี บุญจรัส" สักการะศาลหลักเมืองอ่างทอง ยืนยันพรรคประชาชาติ เดินหน้าสู้ศึกเลือกตั้งเต็มที่


ผู้สื่อข่าวรายงานจากศาลหลักเมือง จังหวัดอ่างทอง ว่า เมื่อเวลา 13.13น. ที่ผ่านมา นายมนตรี บุญจรัส กรรมการบริหารพรรคประชาชาติ และรองโฆษกพรรคประชาชาติ ในฐานะ ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชาติ หมายเลข 11 พร้อมทีมงานและผู้สนับสนุน เข้าไหว้สักการะศาลหลักเมืองของจังหวัดอ่างทอง บริเวณตรงข้ามศาลากลางจังหวัดอ่างทอง ก่อนจะพาคณะลงพื้นที่ติดป้ายหาเสียงทั่วจังหวัดอ่างทอง ทำความเข้าใจกับประชาชนในเขตพื้นที่จังหวัดอ่างทอง เพื่อทำประชาสัมพันธ์นโยบายพรรค และแนะนำตัวผู้สมัคร ให้เข้าถึงประชาชนได้มากที่สุด เพราะเหลืออีกเพียงไม่ถึงเดือนก็จะถึงวันเลือกตั้ง

.

นายมนตรี บุญจรัส ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ระบุว่า พรรคประชาชาติรับฟังเสียงพี่น้องเกษตรกร ที่มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนภาคการเกษตรของประเทศ ภาคเกษตรถือเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ เนื่องจากเป็นต้นทางของปัจจัยในการดำรงชีวิต ทั้งอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค รวมทั้งยังเป็นแหล่งรองรับแรงงานจากภาคการผลิตอื่น ๆ 

.

“พรรคประชาชาติ มีนโยบายขับเคลื่อนภาคเกษตรในมิติต่าง ๆ ทั้งการสนับสนุนปัจจัยพื้นฐานของการทำเกษตร การบริหารจัดการน้ำและการพัฒนาระบบขนส่ง การส่งเสริมให้เกษตรกรรวมกลุ่มเกษตรกรเพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรอง การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม การพัฒนาช่องทางการตลาดที่หลากหลาย ตลอดจนการแก้ไขปัญหาหนี้สินและพัฒนาทักษะที่จำเป็นต่ออาชีพเกษตรกร ครับ” นายมนตรี บุญจรัส กล่าว

.

นายมนตรี บุญจรัส กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการรับฟังเสียงประชาชน พบว่า ประชาชนรวมทั้งพี่น้องเกษตรกร ในพื้นที่จังหวัดอ่างทองพร้อมให้กำลังใจพรรคประชาชาติ และพรรคประชาชาติเองก็มีความพร้อมเต็มที่ในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง ซึ่งผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคทุกคน ยังคงลงพื้นที่พบปะพี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่อง

.

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ศาลหลักเมือง ของจังหวัดอ่างทองอยู่ตรงข้ามกับศาลากลางจังหวัด เป็นอาคารจตุรมุข ตัวศาลสูงจากพื้นประมาณ 1.5 เมตร ศาลหลักเมืองจังหวัดอ่างทองเป็นศาลหลักเมืองแห่งที่ 2 ต่อจากศาลหลักเมือง กรุงเทพฯ ที่มีการเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังทั้ง 4 ด้าน ภายในศาลมีภาพจิตรกรรมฝาผนัง ลายพุ่มข้าวบิณฑ์ก้านแย่งงดงามมาก เสาหลักเมืองประดิษฐานอยู่ในศาลหลักเมืองบนแท่นแปดเหลี่ยม พื้นปูด้วยหินอ่อน ทำจากไม้ชัยพฤกษ์ คัดจาก 1 ใน 5 ต้น ที่นิคมสร้างตนเองพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี มีลักษณะที่เรียกว่าไม้ขานาง คือ ลำต้นตรงขึ้นไปแล้วแยกเป็น 2 กิ่งแบบง่ามหนังสติ๊กโบราณ ถือเป็นไม้มงคล

.

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ในช่วงบ่าย นายมนตรี บุญจรัส ได้เดินทางพร้อมคณะเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยของจุดติดตั้งป้ายหาเสียงของพรรคประชาชาติทั่วทั้งจังหวัดอ่างทอง พร้อมแวะรับประทานอาหารที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเป็ดริมคลอง ซึ่งเป็นร้านก๋วยเตี๋ยวเป็ดเจ้าแรกในอ่างทอง ที่เปิดมานานกว่า 20 ปี โดยมีคุณตุ๋ม-บังอร และคุณพร เจ้าของร้านชูนิ้วมือ แสดงสัญลักษณ์ หมายเลข 11 พร้อมกล่าวอวยพรเพื่อเป็นกำลังใจให้ด้วย

วันจันทร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2566

"วุฒิพงศ์ ฉายแสง" ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ เพลิงไหม้ฉะเชิงเทรา ห่วงประชาชนได้รับผลกระทบ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 19.00 น.วันที่ 15 เมษายน 2566 ร้อยตำรวจโท ธนัง วรรณศิริ รองสารวัตรสอบสวน สภ.แปลงยาว รับแจ้งว่ามีเหตุเพลิงไหม้ยางรถยนต์เก่า ภายในบ.จี ที เอนเมอยี่ จำกัด 707 ม.9 ถ.ทางหลวงชนบท ฉช 6015 ต.หัวสำโรง อ.แปลงยาว จ.ฉะเชิงเทรา จึงรายงานให้นายวีกิจ มานะโรจน์กิจ นายอำเภอแปลงยาวทราบ พร้อมรุดตรวจสอบที่เกิดเหตุ และประสานรถดับเพลิงเทศบาลหัวสำโรง เทศบาลแปลงยาว อบต.แปลงยาวและรถดับเพลิงในจังหวัดฉะเชิงเทรากว่า 25 คันเข้าควบคุมเพลิง จากการตรวจที่เกิดเหตุพบเป็นบริษัทรีไซเคิ้ลยางรถยนต์เก่า จุดเกิดเหตุเป็นกองยางภายในบริเวณบริษัทพื้นที่ประมาณ 30 ไร่ไฟได้โหมไหม้เต็มบริเวณพื้นที่กลุ่มคสันไฟพวยพุ่งขึ้นเป็นลูกสีดำส่งกลิ่นเหม็นกินพื้นที่เป็นวงกว้างหลายกิโลเมตร เจ้าหน้าดับเพลิงใช้รถน้ำระดมฉีดดับเพลิงเพื่อควบคุมไม่ให้ลุกลามให้อยู่ในบริเวณจำกัด พร้อมทั้งจะต้องใช้รถแบล็คโฮคอยเกี่ยกองยางเพื่อให้ใช้น้ำฉีดอัดดับไฟให้ได้ ส่วนบริเวณโดยรอบรถดับเพลิงไม่สามารถเข้าได้เนื่องจากมีอุปสรรคติดสวนยูคาลิปตัล

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า นายวุฒิพงศ์ ฉายแสง หรือ คุณโก้ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในฐานะ ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดฉะเชิงเทรา เขต 4 พรรคเพื่อไทย หมายเลข 5 ระบุว่า เมื่อคืนผมได้รับแจ้งว่าเกิดเหตุเพลิงไหม้โรงงานแปรรูปยางรถยนต์ในพื้นที่ตำบลหัวสำโรง อำเภอแปลงยาว ในเบื้องต้นได้ให้ทีมงานไปติดตามสถานการณ์และเตรียมความพร้อม แต่ในเบื้องต้น ทางเจ้าหน้าที่สามารถจัดการสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี และช่วงเที่ยงวันนี้ผมลงพื้นที่เพื่อติดตามสถานการณ์ด้วยตัวเอง ทั้งนี้ทางนายอำเภอแปลงยาวแจ้งว่า ผลกระทบที่จะได้รับในช่วงนี้คงหนีไม่พ้นเรื่องฝุ่นมลพิษ PM2.5 แต่ได้มีการให้สำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษตรวจวัดคุณภาพอากาศ เพื่อเตรียมปรับมาตราการหากมีค่าเกินมาตราฐาน และมีการเฝ้าระวังในรัศมี 5 กิโลเมตร

"ผมขอให้พี่น้องประชาชน ปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ และหากได้รับผลกระทบด้านสุขภาพ หรือหายใจไม่สะดวก ให้รีบไปพบแพทย์ทันทีครับ ผมขอเป็นกำลังใจให้ประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียง และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกท่านด้วยครับ" นายวุฒิพงศ์ กล่าว