วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2559

"ชัยเกษม" วิเคราะห์ คนนอก นั่งนายกฯ 10 ปี


นายชัยเกษม นิติสิริ อดีตอัยการสูงสุด และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้ความเห็นต่อกรณี ที่ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยประเด็นคำถามพ่วงที่ กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ หรือ กรธ.ได้ปรับแก้สอดคล้องกับ รัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งกล่าวโดยสรุปว่า ผู้ที่มีสิทธิเสนอชื่อ นายกรัฐมนตรี ยังต้องเป็นอำนาจของ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ ส.ส.เช่นเดิม แต่ที่น่ากังวลคือ กรณีที่สภาผู้แทนราฎร ไม่สามารถหาบุคคลที่รัฐสภา ให้ความเห็นชอบได้ แล้วต้องมาใช้กลไกของมาตรา 272 ซึ่งเปิดช่องให้รัฐสภาของดเว้นบุคคลตามบัญชีที่พรรคการเมืองเสนอได้ ซึ่งจากเดิม รัฐสภากำหนดไว้ที่ 2ใน 3 แต่ศาลรัฐธรรมนูญมาวินิจฉัยเปลี่ยนแปลงเหลือเพียงกึ่งหนึ่งของรัฐสภาเท่านั้น ประเด็นดังกล่าวจึงปฏิเสธไม่ได้ว่า โอกาสที่จะได้นายกรัฐมนตรี นอกบัญชี ซึ่งพรรคการเมือง ไม่ได้นำเสนอต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.เพื่อนำเสนอต่อประชาชนในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง มีโอกาสเกิดขึ้นได้สูง และเห็นว่าการที่ศาลรัฐธรรมนูญ วินิฉัยเปลี่ยนแปลงสัดส่วนของจำนวนสมาชิกรัฐสภาเพื่อของดเว้นการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีจากบัญชีรายชื่อ โดยอ้างเจตนารมณ์ของประชาชน ในการลงมติคำถามพ่วงที่ผ่านมา เป็นการวินิจฉัยแทนประชาชนหรือไม่ เพราะประชาชนอาจไม่ได้คิดเหมือนศาลรัฐธรรมนูญ ก็เป็นได้ โดยเฉพาะในตัวคำถามพ่วงซึ่งไม่ได้ระบุว่าให้อำนาจ สว.สามารถของดเว้นนายกรัฐมนตรีนอกบัญชีที่พรรคการเมืองเสนอได้
     
อีกประเด็นที่มีความชัดเจนคือ สว.จะอยู่ในอำนาจต่อเนื่อง5ปี แม้รัฐบาลจะเปลี่ยนแปลงหรือต้องยุบสภาก็ตาม คำวินิจฉัยนี้จึงเปิดช่องให้นายกรัฐมนตรีคนนอก มีโอกาสอยู่ได้ยาวถึงสองสมัยของสภาผู้แทนราษฎรหรือ 8ปี ซึ่งหากนับรวมระยะเวลาช่วงเตรียมการเลือกตั้งเข้าไปด้วย ประชาชนจึงมีสิทธิได้นายกฯคนนอก ยาวถึง 10ปี
   
นายชัยเกษม ให้น้ำหนักรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน จะเป็นนายกรัฐมนตรีนอกบัญชีที่พรรคการเมืองเสนอ หรือเป็นกลไก ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 272 มากกว่า นายกรัฐมนตรีจากพรรคการเมืองเสนอตามบัญชีรายชื่อ เพราะรัฐธรรมนูญถูกออกแบบให้ ไม่มีพรรคใดพรรคหนึ่งได้เสียงในสภาแบบเด็ดขาด และเชื่อว่า พรรคขนาดใหญ่สองพรรคในปัจจุบันจะไม่สามารถ จับมือตั้งรัฐบาลได้ เมื่อไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้ การนำมาตรา 272 มาบังคับใช้จึงเป็นไปได้สูง หรือหากมองอีกมุมนึง ก็เป็นไปได้เช่นกันว่า พรรคการเมืองที่มีสายสัมพันธ์กับทหาร พรรคขนาดกลางขนาดเล็กจะจับมือกันตั้งรัฐบาล แล้วใช้เสียง สว.ร่วมให้ความเห็นชอบอีกชั้นหนึ่งก็มีโอกาสเป็นไปได้เช่นกัน
     
อย่างไรก็ตามนายชัยเกษมเห็นว่า หากเดินหน้าตามกลไกของมาตรา 272 และรัฐธรรมนูญในลักษณะเช่นนี้ การทำงานของรัฐบาลอาจไม่ราบรื่นมากนัก เพราะเมื่อเข้าไปบริหารราชการแผ่นดิน โดยเฉพาะการออกกฏหมาย การอภิปรายไม่ไว้วางใจ ใช้เสียงเฉพาะ สส.เท่านั้นไม่มีเสียง ของสว.ที่ คสช.เลือกเข้ามาคอยขับเคลื่อนงานให้เหมือนเช่นปัจจุบัน

ส่วนอายุของรัฐบาลจะอยู่ได้ยาวนานแค่ไหนภายใต้กติกาที่เป็นประชาธิปไตยแบบไทยๆขึ้นอยู่กับการใช้อำนาจโดยเฉพาะในทางกฏหมายอย่างเป็นธรรมหรือไม่?

“ยุทธพงศ์” สอน “วิษณุ” แนะรัฐเร่งคดีทุจริตคลองด่าน


นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวกับผู้สื่อข่าว ขอให้ฯรองนายกฯ วิษณุ นำเรื่องฯ หาผู้กระทำความผิด กลั่นกรองฯ เพิ่มเงินก่อสร้างฯ คลองด่าน 10,000.-ลบ. เข้า ศอตช. โดยด่วน!เพื่อมาดำเนินคดี เพราะคดีฯกำลังจะหมดอายุความในปี 2560
วันที่ 28 กันยายน 2559, นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอตช.) จะไปตรวจสอบเจ้าหน้าที่รัฐที่ต้องรับผิดชอบชดใช้ในส่วนที่เหลือ 80% ของความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว ในส่วนเจ้าหน้าที่ระดับนโยบายที่นอกเหนือจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ต้องชดใช้ 20% หรือ 35,700.-ลบ.
“ส่วนฝ่ายนโยบายวันนี้ได้ตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาแล้ว 1.-คน อาจมีคนอื่นเพิ่มเข้ามา มีการเพ่งเล็งกันอยู่ แต่ยังไม่ได้ดำเนินการ”

ดังนั้นผมจึงขอให้ ท่านรองนายกฯ วิษณุ เครืองาม นำเรื่องฯ หาตัวผู้กระทำความผิด กลั่นกรองฯเพิ่มวงเงินก่อสร้างฯ คลองด่าน จำนวน 10,089.-ลบ. เข้า ศอตช. โดยเร่งด่วนฯ เพื่อมาดำเนินคดีฯ เพราะคดีฯ กำลังจะหมดอายุความฯ ภายในเดือน มีนาคม 2560

คือ เมื่อปี 2538 กรมควบคุมมลพิษ ได้นำโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน เสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และผ่านความเห็นชอบ ในวงเงินงบประมาณ = 13,612.-ลบ. และคณะรัฐมนตรีในขณะนั้นเห็นชอบไปแล้ว ต่อมา เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2540 ครม.ได้มีมติเห็นชอบให้เพิ่มวงเงินค่าก่อสร้าง จำนวน = 10,089.-ลบ. จากเดิม = 13,612.-ลบ. เพิ่มไปเป็น 23,701.-ลบ. ทั้งที่ๆคลองด่าน ไม่ได้เป็นพื้นที่ทางเลือกมาแต่ต้น และชาวบ้านที่คลองด่านไม่ได้รับรู้ข้อมูล จึงส่งผลให้มีการร้องเรียนจากชาวบ้านฯ เมื่อมีการ ดำเนินการก่อสร้างฯในปี 2542 และท้ายที่สุดได้ชุมชนฯ ได้ฟ้องร้องต่อศาลปกครอง , เป็นการทุจริตโด่งดังเป็นตำนานของประเทศไทย

จนถึงขณะนี้ “ยังไม่ได้ตัวผู้กระทำผิดฯที่เป็นคนกลั่นกรองฯ เรื่อง เพิ่มวงเงินก่อสร้างฯ คลองด่านฯอีก ประมาณ 10,000.-ลบ. เข้า ครม.เมื่อวันที่ 25 มี.ค. 2540 มาดำเนินคดีฯ” ผมจึงขอให้ท่านรองนายกฯ วิษณุ ว่า ให้รีบนำเรื่องฯ ดังกล่าว เข้าสู่การพิจารณาฯ ของ ศอตช. อย่างด่วนที่สุด เพราะคดีฯ ดังกล่าว กำลังจะหมดอายุความฯ ภายในเดือนมีนาคม ปี 2560 (ครบ 20.-ปี)

“พรรคเพื่อไทย” แพร่แถลงการณ์ แนะหัวหน้าคสช.เลิกชี้นำกระบวนการยุติธรรม


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พรรคเพื่อไทย ได้เผยแพร่เนื้อหาคำแถลงพรรคเพื่อไทย เรื่องขอให้หัวหน้า คสช. เลิกชี้นำกระบวนการยุติธรรม โดยมีเนื้อหาดังนี้

ตามที่ได้ปรากฏจากคำให้สัมภาษณ์ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. และนายกรัฐมนตรีหลายครั้ง เกี่ยวกับการดำเนินคดี และการเรียกให้รับผิดทางแพ่งกับผู้ต้องรับผิดในโครงการรับจำนำข้าว อันมีลักษณะของการชี้นำการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องและชี้นำการพิจารณาคดีของศาล และยังได้อาศัยรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว มาตรา 44 พิพากษาคดี ออกคำสั่งหัวหน้า คสช.เพื่อเปลี่ยนแปลงขั้นตอนทางกฎหมายปกติ และคุ้มครองความรับผิดของเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง ล่าสุดท้ายได้สัมภาษณ์ต่อสาธารณชนโดยเปิดเผยจากกรณีที่นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ ได้ระบุว่าจะฟ้องตนเองว่า “ก็รอจากตอนที่ตัวเองออกจากคุกมาก่อนแล้วกัน ไปเอาคดีตัวเองให้จบก่อนมาฟ้องผม” นั้น

พรรคเพื่อไทยเห็นว่า หัวหน้า คสช. เป็นผู้คุมอำนาจเบ็ดเสร็จในการปกครองประเทศ โดยมีอำนาจพิเศษตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวเหนือฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายตุลาการและเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นหัวหน้ารัฐบาล การกระทำใดๆย่อมมีผลต่อการทำหน้าที่ขององค์กรต่างๆ เหล่านั้น การพูดในลักษณะให้นายบุญทรงออกจากคุกมาก่อน ทั้งที่คดีนี้มีการฟ้องร้องนายบุญทรงยังอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีของศาลนั้น เป็นกรณีที่อาจทำให้เกิดความเข้าใจว่าเป็นการพูดชี้นำผลคดีไว้ล่วงหน้า นายบุญทรง จะต้องถูกศาลตัดสินให้จำคุกอันถือเป็นการก้าวล่วงอำนาจการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลซึ่งต้องเป็นไปโดยอิสระ ถูกต้อง และเที่ยงธรรม จึงเห็นได้ว่าการดำเนินการของหัวหน้า คสช. เกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าว มีลักษณะของการหวังผลไว้ล่วงหน้าว่าผู้ที่เกี่ยวข้องจะต้องถูกศาลพิพากษาให้จำคุก และจะต้องให้รับผิดชดใช้ค่าเสียหายทางแพ่งให้ได้ ทั้งที่ควรจะเปลี่ยนให้กระบวนการยุติธรรมได้ดำเนินการไปตามขั้นตอนตามกฎหมายปกติ และศาลได้มีความเป็นอิสระในการพิจารณาพิพากษาคดี ซึ่งความเป็นอิสระของฝ่ายตุลาการนั้น ถือเป็นหัวใจสำคัญในการอำนวยความยุติธรรมให้กับบุคคล เมื่อหัวหน้า คสช. อยู่ในฐานะที่จะใช้อำนาจให้มีผลทั้งในทางนิติบัญญัติและตุลาการจึงเป็นการไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะชี้นำกระบวนการยุติธรรมดังกล่าว

พรรคเพื่อไทย จึงขอเรียกร้องให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ยุติการกระทำใดๆ อันจะมีผลให้การบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่รัฐมิได้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมายปกติด้วยความสุจริต ถูกต้องและเที่ยงธรรม และยุติการก้าวก่าย แทรกแซง หรือชี้นำการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลด้วย

จึงแถลงมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน
พรรคเพื่อไทย
29 กันยายน 2559


“พิชัย” ห่วงเศรษฐกิจทรุด เร่งรัฐกระจายรายได้ประชาชน


นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า "ความสามารถแข่งขันของไทยลดลง 2 อันดับไปอยู่ที่ 34 จากการจัดอันดับของ World Economic Forum (WEF) ซึ่งเป็นการลดลงติดต่อกันเป็นปีที่สอง หลังจากปีที่แล้วถูกปรับลดลงแล้ว ซึ่งได้เคยเตือนไว้แล้ว โดยสาเหตุหลักอันดับต้นๆของความสามารถแข่งขันไทยถูกจัดอันดับลดลงมาจากความไม่มั่นคงของรัฐบาลและการมีรัฐประหาร จึงอยากให้ช่วยกันแก้ไขเรื่องนี้ เพื่อประเทศจะได้มีความสามารถแข่งขันเพิ่มขึ้น ทั้งนี้การสร้างนวัตกรรมใหม่ๆเป็นเรื่องที่จำเป็นในการพัฒนาและเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน ซึ่งประเทศต้องสร้างบรรยากาศเปิดกว้างทางความคิด เพื่อส่งเสริมให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ และต้องเร่งการลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสูงจากต่างประเทศเข้ามาลงทุนในไทย เพื่อไทยจะได้นำมาต่อยอดทำนวัตกรรมเสริมและพัฒนาคลัสเตอร์ต่อเนื่อง แม้ว่าการส่งออกในเดือนสิงหาคมจะเป็นบวกเป็นเดือนแรก ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีแต่ก็อยากให้รักษาให้การส่งออกในเดือนต่อๆไปยังคงเป็นบวกได้ โดยที่หลายฝ่ายรวมถึงแบงค์ชาติก็ยังมีความกังวล"

"ทั้งนี้เพราะการลงทุนภาคเอกชนยังต่ำมาก ถึงแม้จะมียอดการขอการส่งเสริมการลงทุนที่ดีขึ้น โดยคาดว่าปีนี้อาจจะยอดกว่า 5 แสนล้านบาท ซึ่งก็ไม่ถือว่าสูงนักเมื่อเทียบกับภาวะปกติ แต่การลงทุนแท้จริงยังมีปริมาณที่ต่ำมาก และอยากให้รัฐเร่งกระตุ้นให้มีการลงทุนจริง ไม่ใช่เป็นแค่ตัวเลขการขอเท่านั้น และในภาวะเศรษฐกิจที่ยังซบเซานี้"

"อยากแนะนำให้พลเอกประยุทธ จันทร์โอชาฟังคำแนะนำของนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว. คลังที่ออกมาเตือนว่าเศรษฐกิจเร่ิมแผ่วและรัฐควรออกมาตรการกระตุ้น ในขณะที่นายสมคิดกลับไม่เห็นด้วย แนวคิดนายสมคิดที่กลัวว่าการที่รัฐนำเงินมากระตุ้นเศรษฐกิจจะเป็นเรื่องเสียเปล่า น่าจะเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพราะในหลักคิดการใช้จ่ายภาครัฐควรดำเนินทั้งการลงทุนในระยะกลางและระยะยาวเพื่อให้ประเทศพัฒนา ในขณะเดียวกันก็ต้องมีเงินกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อให้เศรษฐกิจหมุนเวียนประชาชนมีเงินใช้จ่าย อีกทั้งได้รักษาระดับการเติบโตของจีดีพี ให้อยู่ที่ระดับที่เหมาะสม จึงอยากให้พลเอกประยุทธได้พิจารณาและน่าจะเชื่อนายอภิศักดิ์มากกว่า เพราะประชาชนยังลำบากมาก ซึ่งนายสมคิดก็ยังยอมรับเองว่าการกระจายของรายได้ไปให้ประชาชนส่วนใหญ่ยังต่ำมาก"

วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2559

"ทนายยิ่งลักษณ์" แนะรัฐ ทบทวนคำสั่งคดีจำนำข้าว


ที่ศูนย์บริการประชาชนสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นายนพดล หลาวทอง ทนายความผู้นับมอบอำนาจจาก นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางเข้ายื่นหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. และนายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เพื่อขอให้ทบทวนและวินิจฉัยสั่งการในคำสั่งทางปกครองเพื่อให้ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชดใช้ค่าเสียหาย จำนวน 3.57 หมื่นล้านบาท
นายนพดล กล่าวว่า ตั้งแต่ผลสอบสวนของคณะกรรมการความผิดทางละเมิด ที่มี นายจิรชัย มูลทองโร่ย รองปลัดสำนักนายกฯ เป็นประธาน ที่วินิจฉัยให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ต้องรับผิดเพียงผู้เดียว ซึ่งไม่สอดคล้องตามข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย นอกจากนั้นในรายงานสรุปความเสียหาย ยังไม่เปิดเผยสัดส่วนของผู้ที่ต้องร่วมรับผิดชอบความเสียหายที่เหลืออีก 80% ดังนั้นคำสั่งทางปกครองที่จะออกมาจึงไม่เป็นธรรมและแนวทางที่ถูกต้องควรจะดำเนินการตามกฏหมายละเมิดปกติที่ใช้กับบุคคลทั่วไปตามขั้นตอนกระบวนการยุติธรรม และเห็นว่าคดีนี้มีอายุความถึงเดือนก.พ. 2560 จึงไม่จำเป็นต้องเร่งรีบใช้วิธีการพิเศษมาดำเนินการเพื่อเอาผิด กับนางสาวยิ่งลักษณ์

“นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในปัจจุบันเป็นอดีตเจ้าหน้าที่รัฐ ดังนั้น ไม่อาจนำ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.2539 และระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 มาใช้บังคับแก่คดีนี้ได้ จะให้ นางสาวยิ่งลักษณ์ รับผิดชอบความเสียหาย โดยที่ยังไม่ตรวจสอบให้เกิดความชัดเจน ว่าส่วนแบ่งที่จะต้องร่วมรับผิดชอบ เป็นการแบ่งความรับผิดชอบจากใคร จึงถือว่าไม่ถูกต้องครบถ้วนตามระเบียบกฎหมาย และขอเรียกร้องให้ตรวจสอบเรื่องนี้ให้เรียบร้อยก่อน แล้วค่อยดำเนินการตามกระบวนการทางปกครองต่อไป เช่นเดียวกับกรณีของนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ กรณีระบายข้าวจีทูจี ที่รู้ว่าแต่ละคนจะต้องรับผิดชอบและร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายจำนวนเท่าไหร่ ดังนั้น คดีนางสาวยิ่งลักษณ์ ก็ไม่ควรยกเว้นหรือเลือกปฏิบัติให้ต่างจากคดีอื่นที่ผ่านมา” นายนพดล กล่าว







"มศว" หนุน OTOP ชวนคนรุ่นใหม่ต่อยอดยุคดิจิทัล


มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ร่วมกับ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม จัดงานแถลงข่าวโครงการเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการ OTOP สู่ยุคดิจิทัล โดยเล็งเห็นถึงความสำคัญในด้านการพัฒนาผู้ประกอบการ OTOP ทั้งทางด้านการผลิต การตลาด และการจัดการธุรกิจที่สำคัญยิ่ง คือการพัฒนาทักษะและความสามารถในการใช้อุปกรณ์สื่อสารในรูปแบบ mobile technology ที่จะทำให้ประชาชนในยุคปัจจุบันสามารถเข้าถึง digital technology ได้อย่างสะดวก จึงนับเป็นโอกาสดีที่ผู้ประกอบการ OTOP จะสามารถนำเทคโนโลยีดิจิทัลต่างๆเข้ามาเป็นเครื่องมือในการพัฒนาธุรกิจให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันและช่วยให้สามารถสื่อสารกับผู้บริโภคได้ง่าย และชัดเจนขึ้นซึ่งจะเพิ่มยอดขายและขยายตลาดได้กว้างขึ้นจนไปสู่ประชาคมอาเซียน


โดยภายในงานได้รับเกียรติจากผู้อำนวยการสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมชุมชน นายเพทาย ล่อใจ และรองอธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมนายพรเทพ การศัพท์ ร่วมพิธีเปิดโครงการดังกล่าวและนอกจากนั้นยังมีดารานักแสดงศิษย์เก่า อย่างน้ำฝน พัชรินทร์,โบว์ลิ่ง ปริศนา, เดียร์ ลิลลี่ และศิษย์ปัจจุบันคือ เก้า จิรายุ,เฟม ชวินโรจน์, เจเจ กฤษณภูมิ มาร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้สื่อดิจิทัลในชีวิตประจำวันและต่อยอดการทำธุรกิจภายในงาน และพร้อมทั้งเชิญชวนให้ผู้ประกอบการ OTOP เข้าร่วมโครงการในครั้งนี้ตัวแทนศิษย์เก่ารุ่นพี่อย่าง น้ำฝน พัชรินทร์ ที่ตอนนี้ก็เตรียมจะทำธุรกิจเกี่ยวกับความสวยความงามของตัวเองก็มองว่า การขายของในโลกดิจิทัลจะทำให้สินค้าเราเป็นที่รู้จักได้กว้างขึ้น สินค้า OTOP น่าจะขายดียิ่งขึ้นกลุ่มผู้บริโภคเองก็จะเข้าถึงได้ง่ายขึ้น










“พานทองแท้” ชี้ช่วยชาวนาถูกไล่บี้ แนะ ป.ป.ช.-กกต.ควรเป็นกลาง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย อดีตนายกรัฐมนตรี ดร.ทักษิณ ชินวัตร โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์โดยมีเนื้อหาดังนี้

"เผาบ้านทั้งหลัง เพื่อจับหนูตัวเดียว" เริ่มปรากฏภาพให้เห็นชัดเจนขึ้นทุกทีๆ แล้วครับ

คุณพ่อผมเคยกล่าวไว้ว่า หากต้องการกำจัดกันให้พ้นทาง ก็แค่เขียนกฎหมายว่า "ห้ามคนในตระกูลชินวัตร ลงเล่นการเมือง" เท่านี้ก็สิ้นเรื่อง ไม่ถึงขั้นต้องมาล้างกันเจ็ดชั่วโคตร ไม่จำเป็นต้องหาเหตุ 2 มาตรฐานต่างๆ นานา จนกระทั่งภาพลักษณ์ประเทศตกต่ำไปถึงเพียงนี้หรอก

องค์กรอิสระที่ต้องดำรงตนให้เป็นกลาง ควรที่จะเป็นหลักให้กับประเทศ กลับถูกใช้เป็นเครื่องมือทำลายล้างผู้อื่น เพื่อให้บรรลุสิ่งที่ตัวเองต้องการ อาจมีผลในการกำจัดคนที่ตนเองไม่ต้องการให้ออกไปพ้นทางได้ แต่มาตรฐานความเชื่อมั่นของประเทศต้องตกต่ำไปอีกหลายสิบปี กลายเป็นประเทศที่ตั้งศาลเตี้ยเอาเอง เอะอะอะไรก็ใช้อำนาจพิเศษ เอะอะอะไรก็ใช้องค์กรอิสระในการทำลายผู้อื่น แบบนี้สังคมโลกเขาไม่ยอมรับหรอกครับ

กกต.ของไทย โดนผู้บริหารระดับสูงของตนทำลายความเชื่อมั่นจากสังคมไปแล้วองค์กรหนึ่ง แทนที่จะเป็นกลางในการควบคุมการเลือกตั้ง เพื่อสรรหาคนมาบริหารประเทศตามระบอบประชาธิปไตย กลับประกาศตัวชัดเจนว่าตนไม่เป็นกลาง ขอเอียงข้างและมักจะออกไปร่วมงานคบหาสมาคมกับพรรคการเมืองขั้วหนึ่งอย่างชัดเจน

ล่าสุด ปปช. ที่มีหน้าที่ตรวจสอบการทุจริตและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย กลับโดนจัดอยู่ในอันดับที่ 12 รั้งท้ายขององค์กรหลักในการต่อต้านการคอร์รัปชันของประเทศในเอเชีย ถูกประเมิน (น่าจะเรียกว่า "ประณาม" มากกว่า) ให้อยู่ในกลุ่มที่ "โดนโห่ไล่" หรือกลุ่ม Boo.....

(ข้อมูล: เปิดรายงานPERC ฉบับเต็ม! ทำไมถึงให้คะแนนเสียง "Boo-โห่ไล่" ปปช.)
http://www.isranews.org/isranews-article/item/32625-pcc_32625.html

สาเหตุที่ ปปช. ของไทยมีภาพลักษณ์ที่ตกต่ำอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเช่นนี้ ถูกระบุว่าเกิดมาจาก

1. ปปช. เป็นองค์กรต้านคอร์รัปชัน ที่ถูกรัฐบาลทหารนำมาใช้ต่อสู้ทางการเมือง ไม่ได้ใช้เพื่อต่อสู้กับการคอร์รัปชันอย่างจริงจัง

2. ปปช. ไม่มีการต่อสู้กับการคอร์รัปชันอย่างเป็นระบบ ปัญหาคอร์รัปชันในไทยยังคงอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่เปลี่ยนมือผู้รับประโยชน์จากการคอร์รัปชันเท่านั้น

3. สุดท้ายรายงานดังกล่าวยังระบุอีกว่า หลายปีที่ผ่านมา ปปช. ละเลยคดีทุจริตคอร์รัปชันร้ายแรงของพรรคประชาธิปัตย์ ทำให้ความน่าเชื่อถือขององค์กรลดน้อยถอยลง...

หลังจากอ่านบทความของ PERC ฉบับนี้แล้ว จะเห็นภาพที่สอดคล้องกับหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาแล้วอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ว่าเหตุใดคดีบางคดีที่สร้างความเสียหายให้ประเทศชาติหลายแสนล้าน จึงอืดเป็นเรือเกลือ ลากกันไปจนหมดอายุความ แต่เหตุการณ์อย่างเช่นโครงการรับจำนำข้าว ทั้งๆ ที่เงินทั้งหมดตกไปอยู่ในมือชาวนา แต่ทำไมคนซึ่งกำกับนโยบาย จึงถูกไล่บี้เอาผิดอย่างเอาเป็นเอาตายให้ได้

หาก ปปช. ยังไม่สามารถกู้ภาพลักษณ์ขององค์กรอิสระของไทย และยังคงอยู่ในกลุ่ม "โดนโห่ไล่" จากนานาอารยประเทศแบบนี้ ความเชื่อมั่นทางด้านต่างๆ ของไทยบนเวทีโลก ทั้งด้านการค้าระหว่างประเทศและการลงทุน ย่อมถูกผลกระทบไปด้วย ซึ่งก็จะสะท้อนกลับมากระทบกระเทือนในทุกระดับ จนกระทั่งถึงปัญหาปากท้องของชาวบ้านในที่สุด

สุดท้ายขอตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่า หากการทุจริตคอร์รัปชันของไทยมิได้ลดลง เพียงแต่เปลี่ยนมือผู้รับผลประโยชน์จากกลุ่มหนึ่งเป็นอีกกลุ่มหนึ่ง เป็นความจริงตามที่รายงานดังกล่าวระบุไว้

"การเอาคนที่ ปปช. ไม่กล้าตรวจสอบมาอยู่ใกล้อำนาจ ใกล้ผลประโยชน์ เป็นอันตรายมากกว่าคนที่ ปปช. จ้องจะเอาผิดอยู่หลายเท่าตัวครับ"

วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2559

"กิตติรัตน์" เทียบภาพคู่ "ยิ่งลักษณ์-อภิสิทธิ์" ลงพื้นที่น้ำท่วม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่าน Facebook : Kittiratt Na-Ranong โดยมีเนื้อหาระบุว่า ขอส่งกำลังใจมายังทุกท่านที่ประสบปัญหาน้ำท่วมครับ พร้อมภาพถ่ายคู่ ระหว่าง นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนที่ประสบปัญหาน้ำท่วม เปรียบเทียบกับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

“สุรพงษ์” แนะ “ประยุทธ์” เร่ง “ป.ป.ช.” สอบทุจริต GT200


นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า วันนี้อยากขอให้ท่านนายกฯ ประยุทธ์ กำชับให้องค์กรอิสระอย่างเช่น ป.ป.ช. ดำเนินการเรื่องการตรวจสอบเรื่องการทุจริต คอร์รัปชั่น โกงบ้านกินเมือง ฉ้อราษฎรบังหลวง ด้วยกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา และอยากเห็น ป.ป.ช. ก็ต้องยึดมั่นในข้อกฎหมายของ ป.ป.ช. เองอย่างเคร่งครัด และพิจารณาทุกเรื่องด้วยความเป็นธรรม เท่าเทียมกัน ไม่เลือกปฎิบัติ ก็เท่านั้นเอง และก็อยากให้ท่านนายกฯประยุทธ์ กำชับให้ ป.ป.ช. เปิดเผยสารบบ คำร้องเรียน เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าไม่ได้มีการเลือกปฎิบัติ อย่างเช่นเรื่องที่ยังค้างคาอยู่ขึ้นมาพิจารณาด้วยเช่น พรรคประชาธิปัตย์ได้เคยถูกร้องเรียน เรื่อง การก่อสร้างสถานีตำรวจ เรื่องกรณีเรือเหาะของกองทัพบก เรื่องการจัดซื้อ GT200 เรื่องความเสียหายที่เกิดขึ้นในโครงการรับประกันราคาข้าวของนายอภิสิทธิ์ เรื่องความเสียหายที่เกิดจากการชุมนุมประท้วงปิดสถานที่ราชการของกลุ่มผู้ชุมนุม ฯลฯ

"ลุงยิ้ม" พิธีกร TV24 เสียชีวิตแล้วด้วยโรคมะเร็งปอด

นายพฤกษ์ พฤกษ์สุนันท์ หรือที่รู้จักกันในนาม "ลุงยิ้ม ตาสว่าง" นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย และ อดีตผู้ดำเนินรายการคนเล่าข่าว สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม TV24 เสียชีวิตแล้วอย่างสงบ เมื่อเวลา 03.54น. ณ โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ หลังเข้ารับการรักษามะเร็งที่บริเวณปอด ตั้งแต่เดือนกันยายน 2558 โดยจะมีพิธีรดน้ำศพ ที่ วัดหลักสี่ (ศาลาจงอยู่อ่อน) ในเวลา 17.00น.

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ นายพฤกษ์ พฤกษ์สุนันท์ ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า "คนที่อยู่คนละสีเสื้อเคยคิดต่างจนปัจจุบันเราก็คิดต่างกัน มาขออโหสิกรรมต่อกัน ตนเองรู้สึกดี และคิดว่าถ้าชีวิตทำให้คนกลับมารักกันได้เป็นคนไทยเหมือนกันได้จะยิ่งดี ทั้ง 2 ฝ่ายท่านไม่ต้องเปลี่ยนอะไร แค่พวกท่านยึดผลประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง ท่านอาจไม่ต้องทะเลาะกันนาน ตนป็นคนที่โชคดีไม่มีหนี้สิน แต่ไม่ได้มีเงินมากมายไม่ได้ร่ำรวย เหลือจัดการเรื่องไม่กี่เรื่อง ที่เป็นเรื่องของลูกของครอบครัว และไม่ได้มีห่วงอะไรอีก จะให้ดีตนอยากเห็นคนไทยรักกัน ตนวางแผนชีวิตไว้แล้วไม่ต้องห่วง ขอขอบคุณทุกท่านทุกสีเสื้อจากใจ"








วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2559

"ทนายยิ่งลักษณ์" ยื่นค้าน ม.44 ยึดทรัพย์ "ยิ่งลักษณ์" ไม่เป็นธรรม


ผู้สื่อข่าวรายงานจาก ศูนย์บริการประชาชน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ว่า นายนพดล หลาวทอง ทนายความนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ยื่นหนังสื่อถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อคัดค้านการใช้อำนาจตามมาตรา 44 ให้อำนาจกรมบังคดีดำเนินการยึดทรัพย์ว่า การใช้อำนาจดังกล่าวก่อนที่คดีความจะสิ้นสุด เป็นการชี้นำคณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางแพ่งและคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงโครงการรับจำนำข้าว ให้นางสาวยิ่งลักษณ์ต้องรับผิด เพราะคำสั่งต่าง ๆ ได้ให้การคุ้มครองคณะกรรมการไม่ต้องรับผิดทางแพ่งและอาญาและใช้คุ้มครองเฉพาะกรณีนางสาวยิ่งลักษณ์เท่านั้น อีกทั้งการให้อำนาจกรมบังคับคดีเข้ามามีอำนาจยึดทรัพย์ถือเป็นการก้าวล่วงอำนาจศาล เพราะการแต่งตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นอำนาจของศาล และผู้เสียหายสามารถโต้แย้งได้ แต่การออกคำสั่งเช่นนี้ผู้เสียหายไม่มีอำนาจในการโต้แย้ง
       
“การให้สัมภาษณ์ของรัฐบาลมักพูดถึงการออกคำสั่งทางปกครอง แทนการฟ้องคดีต่อศาลแพ่ง ที่เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม จึงเป็นการเลือกปฏิบัติในทางที่เป็นผลร้ายและไม่เป็นธรรมต่อนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และถือเป็นการละเมิดต่อกฎบัตรระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ที่กำหนดให้ทุกคนมีความเท่าเทียมทางกฎหมายไม่เลือกปฏิบัติ ทั้งที่การดำเนินโครงการรับจำนำข้าวของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นไปตามนโยบายที่ได้แถลงต่อรัฐสภาและ ช่วยเหลือเกษตรกร จึงไม่ใช่เรื่องที่จะมาหากำไรหรือขาดทุน แต่กลุ่มเครือข่ายที่มีอำนาจมุ่งร้ายทำลายระบบประชาธิปไตย และต้องการกำจัดนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พร้อมสมาชิกพรรคร่วมรัฐบาลในขณะนั้น ใช้เครื่องยัดเยียดข้อกล่าวหาดำเนินคดีล้วนแต่เป็นความอยุติธรรมกับนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่างยิ่ง” นายนพดลกล่าว

19 นปช.รายงานตัว คดีเปิดศูนย์ปราบโกงฯ


นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) พร้อมแกนนำรวม 19 คน ได้เดินทางเข้ารายงานตัวต่อพนักงานสอบสวนกองปราบปรามตามนัด หลังตกเป็นผู้ต้องหาในคดีฝ่าฝืนคำสั่งคสช. จากกรณีเปิดศูนย์ปราบโกงประชามติ ทั้งนี้ นายจตุพรเปิดเผยว่า 19 แกนนำได้มอบหมายให้ทีมทนายความยื่นเรื่องให้พนักงานสอบสวน สอบพยานเพิ่ม 8 ปาก ซึ่งถ้าพนักงานสอบสวนไม่อนุญาตก็จะส่งตัวไปยังอัยการศาลทหาร โดยทางนปช.ได้มอบหมายให้ทนายความยื่นขอสอบพยานเพิ่มในชั้นอัยการเช่นกัน แต่ถ้าไม่ได้รับอนุญาตก็จะเป็นขั้นตอนของการฟ้องร้อง

วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2559

"ยิ่งลักษณ์" ขอความเป็นธรรม แนะ "ประยุทธ์" อย่าเลือกปฏิบัติ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

ทุกอย่างที่นายกฯยืนยันออกมาจากปากท่านว่าการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับคดีดิฉันเป็นไปตามกฏหมายไม่ได้กลั่นแกล้ง ก็อยากให้นายกฯใช้หลักคิดและให้ความเป็นธรรมกับดิฉันเหมือนที่ท่านให้ความเป็นธรรมและปกป้องน้องชายท่านรวมทั้งคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพวกเดียวกับท่านเพราะกฏหมายมีไว้บังคับใช้กับทุกคนไม่ใช่เลือกปฏิบัติกับฝั่งดิฉันเพียงฝ่ายเดียว

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความของ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ Facebook Norrawit Larlaeng ว่า

วันนี้ (25 กันยายน 2559) ได้อ่านข่าว ที่ พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด ได้พูดถึง ในกรณีที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ออกมาเรียกร้องความเป็นธรรม ในเรื่องที่ถูกกล่าวหาเป็นคดีความทั้งหลาย และได้ฝากถึงทีมทนายความด้วยนั้น

น่าเห็นใจท่านอดีตนายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นอย่างยิ่ง ในยามที่ท่านไม่มีตำแหน่งใดๆ เป็นปุถุชนคนธรรมดาแล้ว ซึ่งนอกจากจะถูกดำเนินคดี จากการที่รัฐบาลดำเนินโครงการรับจำนำข้าวที่เป็นโครงการสาธารณะมุ่งช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรชาวนา ซึ่งคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้ว ยังถูกคำสั่งให้ดำเนินคดีทางปกครอง เพื่อให้ชดใช้ค่าเสียหายอีก นอกจากนี้ยังมีคดีที่อยู่ระหว่างการไต่สวนของคณะกรรรมการ ป.ป.ช. อีกถึง 15 คดี

และที่สำคัญและน่าเห็นใจเป็นอย่างยิ่ง ในวันนี้อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้ที่เคยเป็นอดีตผู้บังคับบัญชาถูกดูหมิ่นดูแคลนอีก ทั้งที่ นางสาวยิ่งลักษณ์ ใช้สิทธิในกระบวนการยุติธรรม ในการโต้แย้งคัดค้าน ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ถูกกล่าวหาตามรัฐธรรมนูญที่กระทำได้ และคดีความทั้งหลายยังไม่ถึงที่สุด ทีมทนายมีข้อสังเกตอีกว่า

1. พล.ต.สรรเสริญ เข้ามาทำงานในตำแหน่งโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในการบริหารประเทศ ในลักษณะ "พิเศษ" คงไม่เข้าใจใน "สิทธิในกระบวนการยุติธรรม" ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามที่รัฐธรรมนูญรับรองและคุ้มครองไว้ ซึ่งเป็นหลักสากล ทั่วโลกเขายอมรับกัน

2. การใช้ มาตรา 44 นอกจากจะเป็นการนอกกรอบที่รัฐธรรมนูญให้อำนาจไว้แล้ว ยังเป็นการใช้อย่างฟุ่มเฟื่อยไป หรือไม่ เริ่มตั้งแต่ในชั้นการสอบข้อเท็จจริงความรับทางละเมิด เกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าว ก็ใช้ มาตรา 44 และพอจะบังคับคดี ยึดทรัพย์ ก็ใช้ มาตรา 44 ให้อำนาจกรมบังคับคดียึดทรัพย์อีก ทั้งที่ กรมบังคับคดีไม่มีอำนาจ และมีกฎหมายปกติบังคับใช้อยู่แล้ว ไม่จำต้องมาใช้ มาตรา 44

3. เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้ลงนามแต่งตั้งคณะกรรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับทางละเมิด ซึ่งตามกฎหมาย และระเบียบ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะผู้แต่งตั้งต้องเป็นลงนามเอง แต่แปลกใจว่า กลับออกคำสั่งให้ผู้อื่นลงนามแทน ในเรื่องนี้ น่าจะมีกุนซือกฎหมายใหญ่ของรัฐบาลแนะนำ เพื่อไม่ให้ พล.อ.ประยุทธ์ ถูกฟ้องร้องดำเนินคดี

4. การใช้ มาตรา 44 นอกจากจะเป็นการเอาเปรียบทางกฎหมายแล้ว ยังกลับไม่กล้าลงนามเองอีก อย่างนี้เรียกว่า เป็นการเอาเปรียบทางกฎหมาย 2 ชั้น แต่อย่างไรก็ตามทีมทนายจะได้ดำเนินการโต้แย้งคัดค้าน และต่อสู้คดีให้ถึงที่สุด ต่อไป

5. สุดท้ายอยากฝากถึง พล.ต.สรรเสริญ คงจำได้ปีที่แล้ว ผมเคยแนะนำให้ ท่านไปทำบุญ นั่งสมาธิ จิตใจ จะได้สงบ ช่วงนี้เป็นช่วงเข้าพรรษา ผมก็ขอแนะนำให้ท่านไป ทำบุญ นั่งสมาธิ บ้าง จิตใจ จะได้สงบ และต้องทำอย่างต่อเนื่อง ทุกๆปี จิตใจ จะได้สงบ

พรรคเพื่อไทยออกแถลงการณ์ แนะรัฐยกเลิก ม.44 มุ่งเอาผิด “ยิ่งลักษณ์” เลือกปฏิบัติ-ลุแก่อำนาจ-ไม่เป็นธรรม


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พรรคเพื่อไทยได้ออกแถลงการณ์พรรคเพื่อไทย ให้ทบทวนและยกเลิกการใช้มาตรา 44 ในคดีที่เกี่ยวข้องกับโครงการรับจำนำข้าว โดยไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ

ตามที่หัวหน้า คสช. ได้ดำเนินการเพื่อเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง กับอดีตนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และผู้เกี่ยวข้องในโครงการรับจำนำข้าว และได้ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ออกคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 56/2559 ลงวันที่ 13 กันยายน 2559 ให้อำนาจกรมบังคับคดี ในการใช้มาตรการบังคับทางปกครองด้วยการยึด อายัด และขายทอดตลาดทรัพย์สินของผู้ต้องรับผิดในโครงการรับจำนำข้าว ขณะเดียวกันกลับคุ้มครองการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการดังกล่าว ให้ไม่ต้องรับผิด จากที่เคยออกคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 39/2558 คุ้มครองการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ดังกล่าวมาครั้งหนึ่งแล้ว นั้น

พรรคเพื่อไทยเห็นว่า ได้มีความพยายามอย่างต่อเนื่องของรัฐบาลและหัวหน้า คสช. ที่จะมุ่งเอาผิดกับอดีตนายกรัฐมนตรีและผู้ที่เกี่ยวข้องให้ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายกรณีโครงการรับจำนำข้าวให้ได้ โดยไม่สนใจกระบวนการและขั้นตอนของกฎหมาย โดยเห็นได้ชัดเจนจากคำให้สัมภาษณ์ของนายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. และรองนายกรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ที่พยายามชี้นำสังคมและชี้นำการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ให้เห็นว่าบุคคลเหล่านั้นได้กระทำความผิดและต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายโดยเร็ว จนถึงขนาดใช้อำนาจพิเศษตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์ของกฎหมายปกติที่ใช้บังคับทั่วไป เพื่อนำมาใช้กับกรณีนี้เป็นการเฉพาะ ซึ่งพรรคเพื่อไทยได้พิจารณาแล้วเห็นว่า การดำเนินการดังกล่าวเป็นการลุแก่อำนาจสร้างความไม่ชอบธรรมแก่ผู้ที่ถูกกล่าวหา และเป็นการเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม ด้วยเหตุผลดังนี้

1. โครงการรับจำนำข้าว ได้มีการฟ้องคดีอาญาต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล ซึ่งศาลจะเป็นผู้ตัดสินว่าผู้ที่เกี่ยวข้องมีความผิดหรือไม่ หากตัดสินว่ามีความผิดจึงควรจะมาพิจารณาถึงความรับผิดทางแพ่งต่อไป ไม่ควรที่ผู้นำจะออกมาชี้นำสังคมและชี้นำการพิจารณาคดีของศาลรายวันก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษา

2. โครงการรับจำนำข้าวเป็นนโยบายของรัฐบาลเพื่อให้การอุดหนุนด้านการเกษตร (Agricultural Subsidies) แก่เกษตรซึ่งเป็นภาคที่อ่อนแอ และเป็นชนกลุ่มใหญ่ของประเทศอันถือเป็นการทำเพื่อประโยชน์ของชาวนาส่วนรวม ซึ่งการดำเนินการเรียกค่าเสียหายจากการดำเนินนโยบายของรัฐบาล       ถือเป็นครั้งแรกของประเทศที่นำเรื่องกำไรขาดทุนมาพิจารณาและเรียกค่าเสียหายจากผู้นำรัฐบาลก่อน ทั้งที่ทุกรัฐบาลก็มีการดำเนินการในทำนองเดียวกันมากมายหลายโครงการ และเป็นแนวปฏิบัติที่นานาชาติได้ใช้กันโดยทั่วไป

3. การเรียกค่าเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าว เป็นเรื่องของนโยบายรัฐบาลไม่ใช่การทำละเมิดทั่วไป เช่น การทำให้ทรัพย์สินของราชการเสียหาย หรือการยักยอกเงินของทางราชการที่จะสามารถกำหนดค่าเสียหายและความรับผิดได้ชัดเจน ดังนั้นการดำเนินนโยบายรับจำนำข้าวจะถือเป็นการละเมิดหรือไม่ก็ยังไม่มีความชัดเจน นอกจากนั้นการยึด อายัด และขายทอดตลาดทรัพย์สินของบุคคล ถือเป็นการกระทำที่กระทบต่อสิทธิในทรัพย์สินของบุคคล จึงไม่ควรที่จะต้องเร่งรีบ รวบรัดในการกำหนดค่าเสียหาย และเรียกให้บุคคลเหล่านั้นต้องรับผิดจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาในคดีอาญาเสียก่อน อันจะทำให้มีความชัดเจนว่าบุคคลใดมีความผิด และต้องรับผิดหรือไม่

4. การอ้างว่า หากไม่เร่งดำเนินการ คดีอาจขาดอายุความนั้นก็ไม่เป็นความจริง เพราะเมื่อเรื่องดังกล่าวยังไม่ชัดเจนว่าผู้ถูกกล่าวหาได้กระทำความผิดหรือไม่ จึงเท่ากับยังไม่รู้ตัวผู้ต้องรับผิด อายุความจึงยังไม่เริ่มต้น แต่การยกข้ออ้างดังกล่าวก็เพื่อเร่งรัดให้มีการเรียกค่าเสียหายให้จบทันอายุของรัฐบาลนี้ อันเป็นเจตนาทางการเมือง และเป็นการชี้นำกระบวนการยุติธรรมจากอคติของผู้นำที่มาจากการยึดอำนาจ

5. การออกคำสั่งหัวหน้า คสช. ไม่ว่าฉบับที่ 39/2558 หรือฉบับที่ 56/2559 โดยให้ความคุ้มครองเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในการเรียกค่าเสียหายทางแพ่งให้ไม่ต้องรับผิด และให้อำนาจกรมบังคับคดี          ใช้มาตรการบังคับทางปกครอง แทนที่จะเป็นปลัดกระทรวงการคลังตามที่กฎหมายกำหนดไว้นั้น จะส่งผลให้การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ไม่ได้คำนึงถึงความถูกต้องเป็นธรรมเพราะถือว่ามีกฎหมายคุ้มครอง แต่กระทำเพื่อให้บรรลุเจตนาของผู้นำเท่านั้น จึงเท่ากับเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม ขัดต่อหลักความเสมอภาค อันถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองซึ่งประเทศไทยมีพันธกรณีตามกฎหมายที่ต้องปฏิบัติตาม

6. มาตรา 44 เป็นสิ่งที่มีมาโดยมิชอบด้วยหลักการประชาธิปไตยและหลักนิติธรรม แต่เป็นสิ่งที่หัวหน้า คสช. เขียนให้อำนาจตนเองไว้ อันเป็นอำนาจซึ่งไม่ได้มาจากความยินยอมของประชาชน การใช้อำนาจดังกล่าวจึงควรเป็นไปอย่างจำกัดเฉพาะตามองค์ประกอบและเงื่อนไขที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้เท่านั้น กรณีการออกคำสั่งข้างต้นไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะใช้อำนาจตามมาตรา 44 ได้ เพราะการออกคำสั่งคุ้มครองการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ และการให้อำนาจกรมบังคับคดียึดอายัดทรัพย์บุคคลเป็นการเฉพาะนั้น ไม่ได้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ และข้ออ้างในคำสั่งนั้นแต่อย่างใดเลย นอกจากนี้ผู้ออกคำสั่งจะต้องคำนึงถึงความชอบธรรมเป็นด้านหลักด้วย

จึงเป็นที่ประจักษ์ชัดว่า คสช.และรัฐบาลปัจจุบัน ล้วนเป็นผู้ไม่เห็นด้วยกับนโยบายจำนำข้าว ดังนั้นจึงถือเป็น "ผู้มีส่วนได้เสีย" “เป็นคู่ขัดแย้ง” และมิใช่ "ผู้เป็นกลาง" การที่พยายามจะดำเนินคดีเรียกร้องค่าเสียหายกับอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์และผู้เกี่ยวข้องในคดีจำนำข้าว ด้วยวิธีการใช้ "คำสั่งทางปกครอง" โดยไม่เลือกใช้กระบวนการฟ้องร้องเป็นคดีแพ่ง จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบและขัดหลักนิติธรรม อีกทั้งอาจทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นความพยายาม และ/หรือมีความจงใจที่จะใช้กระบวนการต่างๆ เพื่อมุ่งทำลายพรรคการเมืองและผู้นำทางการเมืองที่มีความคิดเห็นต่าง ซึ่งเท่ากับจงใจทำลายระบอบประชาธิปไตยในสังคมไทยนั่นเอง

พรรคเพื่อไทยจึงขอเรียกร้องให้หัวหน้า คสช. และรัฐบาลได้ดำเนินการทุกอย่างให้เป็นไปตามขั้นตอนตามกฎหมายปกติ ไม่ควรใช้อำนาจพิเศษตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 44 มุ่งใช้บังคับเพื่อเร่งเอาผิดกับบุคคลเป็นการเฉพาะ และการดำเนินการของเจ้าหน้าที่รัฐต้องเป็นไปตามหลักความเป็นธรรม        และความรับผิดชอบตามกฎหมาย ไม่ควรยกเว้นหรือคุ้มครองความรับผิด จึงขอให้มีการทบทวนกระบวนการเรียกค่าเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว และยกเลิกการใช้มาตรา 44 โดยไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ

จึงแถลงมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน
พรรคเพื่อไทย
25 กันยายน 2559

วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2559

“พิชัย” ห่วงเศรษฐกิจทรุด แนะรัฐบาลแก้ปัญหาส่งออก


นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ตามที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ดูแลเศรษฐกิจออกมาบอกว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2โตได้ 3.5% จากฐานปีก่อนๆที่ต่ำ เป็นประเทศเดียวในโลกที่ทำได้ ก็อยากให้นายสมคิดได้ไปดูเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนบ้านในไตรมาส 2 ที่โตสูงกว่าไทยมากเช่น ลาวโต 7% เขมรโต 6.9% พม่าโต 8 %  เวียดนามโต 5.6% อินโดนิเซียโต 5.18% ฟิลิปปินส์โต 7% มาเลเซียโต 4% เป็นต้น ซึ่งประเทศเพื่อนบ้านเหล่านี้ปีก่อนๆก็โตกว่าไทยมาก นายสมคิดน่าจะทราบดีว่าการเติบโตของเศรษฐกิจไทยมาจากฐานที่ต่ำมากในปีก่อนๆไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ควรภูมิใจ เพราะการจะทำให้เศรษฐกิจมีการขยายตัวสูงอย่างต่อเนื่องทุกปีแบบประเทศเพื่อนบ้านทำได้ยากกว่ามาก โดยไอเอ็มเอฟบอกเลยว่าไทยยังโตตำ่กว่าศักยภาพมาก อีกทั้งล่าสุดไอเอ็มเอฟยังห่วงอีกว่าการลงทุนในภาคเอกชนทั้งในประเทศและจากต่างประเทศของไทยหดหายไปมาก และจะเป็นปัญหาในอนาคต ซึ่งตรงกับที่ตนเคยเตือนมาโดยตลอด และเห็นด้วยว่าการช่วยเหลือเศรษฐกิจฐานรากเป็นเรื่องจำเป็นเพื่อช่วยเหลือประชาชนส่วนใหญ่และอยากให้มีแผนงานทั้งในระยะสั้นและระยะยาวเพื่อเพิ่มรายได้อย่างต่อเนื่อง โดยทั้งนี้เศรษฐกิจจะไม่สามารถขยายตัวตามศักยภาพและต่อเนื่องได้เลย ถ้ากลจักรทางเศรษฐกิจยังไม่สามารถขับเคลื่ยนได้ครบโดยเฉพาะการลงทุนและการส่งออกที่มีสัดส่วนของจีดีพีสูงและยังไม่มีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวแต่อย่างใด โดยกระทรวงการคลังเริ่มกังวลว่าเศรษฐกิจเริ่มแผ่วแล้ว และธนาคารแห่งประเทศก็ห่วงว่าเศรษฐกิจอาจจะโตไม่ได้ตามที่คาดหวังไว้ ดังนั้นจึงอยากให้ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาให้ตรงจุดโดยด่วน อย่าหลงคิดว่าเศรษฐกิจฟื้นแล้ว และใครก็ตามที่บอกว่าเศรษฐกิจดีแล้วก็อยากให้ไปสอบถามประชาชนส่วนใหญ่เพราะหากดูจากทุกผลการสำรวจจะพบว่าประชาชนส่วนใหญ่อยากให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจเป็นอันดับแรก

"นปช." แนะหยุดรังแก "ยิ่งลักษณ์" สอนโฆษกรัฐทบทวนบทบาทตนเอง


นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำนปช. กล่าวว่า หลังรัฐประหารทุกคนรู้ว่าชะตากรรมของ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ คงหนักหนาสาหัส แต่ถึงขั้นจะเอาผิดเรื่องน้ำท่วมนั้นถือว่ารังแกกันเกินไปหรือไม่ มองอย่างเป็นธรรมทุกคนรู้ดีว่าสถานการณ์นั้นคือวิกฤติน้ำครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายสิบปี รัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์เพิ่งเข้าทำหน้าที่ก็พยายามแก้ไขเต็มที่ ถ้าจะดำเนินคดีเรื่องนี้ ต่อไปน้ำท่วมที่ไหนก็โดนทุกรัฐบาล จะสร้างบรรทัดฐานแบบนี้ขึ้นได้อย่างไร

นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่โฆษกรัฐบาลแสดงความเห็นเรื่องนี้นั้น ควรจะทบทวนบทบาทให้ดีว่ารัฐบาลนี้เป็นคู่กรณีของ นางสาวยิ่งลักษณ์ การออกหน้าวิพากษ์วิจารณ์จะเกิดคำถามว่า รัฐบาลกับป.ป.ช.รับส่งสัญญาณกันหรือไม่ รัฐบาลควรใช้เวลาไปแก้ปัญหาน้ำท่วมในหลายจังหวัดภาคเหนือตอนล่างให้เรียบร้อยโดยเร็วจะดีกว่าการใช้น้ำลายตีกินคนที่เสียเปรียบทุกประตูอยู่แล้ว เพราะไม่น่าจะเกิดประโยชน์อะไรกับประชาชน

“ผมเชื่อว่า นางสาวยิ่งลักษณ์พร้อมต่อสู้ทุกข้อกล่าวหา แต่น่าเห็นใจที่อยู่ในสภาพซ้ายก็โดน ขวาก็โดน ทำอะไรไว้ก็ผิดเสียทุกอย่าง คนอื่นทำแบบเดียวกันบ้างก็ถูกไปเสียทุกเรื่อง ถ้าคนเป็นถึงอดีตนายกฯ ยังต้องดิ้นรนหาความเป็นธรรม แล้วประชาชนทั่วไปจะเกิดความมั่นใจได้อย่างไร” นายณัฐวุฒิกล่าว

นายณัฐวุฒิ กล่าวด้วยว่า สำหรับกรณีที่ฝ่ายผู้มีอำนาจพยายามอธิบายว่าทุกเรื่องเป็นไปตามหลักนิติธรรมนั้น ต้องเข้าใจว่า ตราบใดที่ยังมีการใช้มาตรา 44 มาเกี่ยวข้องก็อ้างหลักนิติธรรมไม่ได้ การดำเนินการกับ นางสาวยิ่งลักษณ์ มีมาตรา 44 เป็นองค์ประกอบในหลายขั้นตอน การที่เจ้าตัวจะแสดงความรู้สึกให้สังคมรับรู้บ้างจึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้

วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2559

“ขัตติยา” สอน “อภิสิทธิ์” อย่าตัดสินใจแทนประชาชน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า "เดียร์-ขัตติยา สวัสดิผล" อดีต ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ได้ โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

เห็นข่าวของอดีตนายกฯ อภิสิทธิ์ที่ออกมาแสดงความเห็น หลังท่านนายกปูโพสต์รำลึก 10 ปี 19 กันยายน แล้วเพลียค่ะ มาบอกให้หัดเรียนรู้รัฐประหาร จะได้ไม่เดินซ้ำในวงจรเดิม

แอบงงๆ เพราะหาจุดยืนของท่านอภิสิทธิ์ไม่ค่อยจะเจอ เห็นบางอารมณ์ก็ออกมาสนับสนุนประชาธิปไตย แต่พอเริ่มท่าไม่ดีหน่อยก็ออกมาสนับสนุนเผด็จการ ไม่ทราบเป็นเพราะเกรงจะตกขบวนอำนาจหรือว่าอะไร

ประเทศไทยเราเกิดการรัฐประหารมาตั้ง 13 ครั้งแล้ว ทำไมจะไม่หัดเรียนรู้คะ เพราะตั้งแต่เดียร์เกิดจนถึงตอนนี้ ยังเจอการรัฐประหารไปแล้วตั้ง 3 ครั้ง แต่สิ่งที่น่าเรียนรู้และควรจะทำมากกว่าคือการหัดยอมรับและเคารพหลักการตามระบอบประชาธิปไตย

การเลือกตั้งน่าจะเป็นตัวสะท้อนที่ดีที่สุดในระบอบประชาธิปไตยว่าประชาชนอยากได้อะไร และไม่ต้องการอะไร ซึ่งหากประชาชนพอใจกับนโยบายที่พรรคการเมืองหนึ่งใช้หาเสียง มั่นใจว่าผู้สมัครในเขตของตัวเองจะสามารถดูแลและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้เขาได้ รวมถึงพอใจกับคนที่พรรคการเมืองนั้นชูไว้ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรี แน่นอนว่าพวกเขาก็จะเลือกพรรคการเมืองนั้น แต่หากพรรคการเมืองไหนทำนโยบายไม่ถูกใจ ประชาชนไม่คิดว่าจะนำไปปฏิบัติจริงได้ แถมคนที่ชูให้เป็นนายกฯ ก็ดูไม่น่าจะบริหารงานเป็น หาเสียงไปให้ตายยังไงคนเขาก็ไม่เลือกหรอกค่ะ จะมาอ้างเรื่องการซื้อเสียงในสมัยนี้มันก็คงไม่ดี เพราะจะเป็นการดูถูกประชาชน และแน่นอนว่ารัฐประหาร 13 ครั้งที่ผ่านมา มันก็ทำให้ประชาชนได้หัดเรียนรู้เหมือนกันค่ะ....รู้ว่าอะไรควรเลือก อะไรไม่ควรเลือก

นายกอภิสิทธิ์ฯ มาบอกให้ท่านนายกปูหัดเรียนรู้รัฐประหาร เดียร์จึงอยากจะย้อนถามท่านกลับไปว่า แล้วที่ผ่านมาในสนามการเมืองของท่าน ท่านอภิสิทธิ์ได้เรียนรู้หลักการประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์แล้วหรือยัง?

ก่อนจะมาสอนคนอื่น ท่านอภิสิทธิ์ฯ ลองพิสูจน์ให้เห็นก่อนดีไหมคะ ว่าท่านสามารถสร้างนโยบายของพรรคท่านให้เป็นที่ยอมรับและต้องการของประชาชนได้ ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่เลือกผู้สมัครของพรรคท่านให้เข้าไปนั่งในสภาและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน และที่สำคัญ “ท่านควรพิสูจน์ให้เห็นว่า...ประชาชนอยากได้ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนจริงๆ” ไม่ต้องพึ่งพาหรือสร้างสภาวะแวดล้อม แล้วเรียกหาตัวช่วยแบบข้ามหัวประชาชน เพื่อให้คนอื่นเลือก...คนอื่นตั้ง

หากรัฐบาลหรือพรรคการเมืองที่ประชาชนเลือกไปทำงานไม่ดี ไม่ยอมทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ เศรษฐกิจแย่ มีปัญหาเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่น “ก็ให้ประชาชนเขาเป็นคนตัดสินใจเองผ่านการเลือกตั้ง...แต่อย่ามาตัดสินใจแทนประชาชนด้วยการรัฐประหาร”

ลองทำให้ได้แบบนายกปูดูก่อนนะคะ...แล้วค่อยมาสอน!

แต่ถ้ายังเร็วไปที่ท่านจะลองทำดู ก็ลองนึกย้อนถึงผลลัพธ์จากการรัฐประหารเมื่อปี 2549 ที่ส่งผลมาจนถึงทุกวันนี้ไปพลางๆ ก่อนก็ได้ค่ะ ว่ามันแก้ปัญหาได้จริงๆ หรือทำให้วิกฤติความขัดแย้งมันรุนแรงขึ้นกว่าเดิม...

“อนุสรณ์” สอน “อภิสิทธิ์” ชัตดาวน์ประเทศ-ต้นเหตุรัฐประหาร


นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ สื่อสารถึง นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ระบุ อย่าโทษ คสช. นักการเมือง ต้องหัดเรียนรู้ป้องกันการเกิดเงื่อนไขรัฐประหาร ว่า ความจริงนายอภิสิทธิ์ อยู่เฉยๆก็ดีอยู่แล้ว เพราะนางสาวยิ่งลักษณ์ ไม่ได้พาดพิงอะไรถึงนายอภิสิทธิ์ แต่ไหนๆจะตั้งข้อสังเกตแล้ว ต้องไม่ลืมข้อเท็จจริงสำคัญ มองที่มาของปัญหาให้ครบถ้วนรอบด้าน การรัฐประหารครั้งที่ผ่านมามิใช่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่เกิดขึ้นจากความจงใจของกลุ่มบุคคลที่ไม่หวังดีต่อระบอบประชาธิปไตย และต้องการได้มาซึ่งอำนาจในการบริหารประเทศด้วยวิธีการนอกระบบ มีการวางแผนทำกันเป็นกระบวนการ ตามทฤษฎีสมคบคิด ก่อนวิกฤต 22 พฤษภาคม 2557 ถ้าทุกฝ่ายทำหน้าที่ของตนเองอย่างตรงไปตรงมา พรรคการเมือง หัวหน้าพรรคการเมืองไม่นำสมาชิกพรรคบอยคอตการเลือกตั้ง หรือสร้างเงื่อนไขกดดันการยึดอำนาจ ปัญหาคงไม่เกิดมาถึงวันนี้ ถ้าเชื่อมั่นระบบรัฐสภาจริง ยุบสภาก็ไปเลือกตั้ง เดินหน้าแก้ไขปัญหาประเทศตามกระบวนการประชาธิปไตย นายอภิสิทธิ์ ทราบหรือไม่ว่า สมาชิกพรรคการเมืองไหน ออกไปเป็นแกนนำ กปปส. พาชาวบ้านไปเป่านกหวีด ชัตดาวน์ประเทศ ก่อจลาจลขัดขวางการเลือกตั้ง จนเป็นปัจจัยกดดันให้เกิดการรัฐประหาร ถ้านายอภิสิทธิ์มองปัญหาอย่างจริงใจ ต้องไม่ก้าวข้ามข้อเท็จจริงสำคัญในส่วนนี้ไป

“ชูศักดิ์” เผยยึดทรัพย์ “ยิ่งลักษณ์” เป็นคดีการเมือง


นายชูศักดิ์ ศิรินิล หัวหน้าคณะทำงานฝ่ายกฏหมายพรรคเพื่อไทย กล่าวกับผู้สื่อข่าว ยืนยันว่าการเรียกค่าเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าว จะสร้างปมปัญหาทางกฎหมายในการบริหารราชการแผ่นดินในอนาคต เนื่องจากที่ผ่านมา ไม่เคยมีผู้นำรัฐบาลถูกฟ้องร้องจากการดำเนินนโยบายสาธารณะที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา ไม่เคยมีผู้นำรัฐบาลคนใด ถูกฟ้องหรือใช้คำสั่งทางปกครองเรียกค่าเสียหายในทางละเมิดจากการดำเนินนโยบายตามที่ได้ประกาศไว้ และไม่มีนายกรัฐมนตรีคนใด ถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายในนโยบายสาธารณะโดยอ้างเรื่องกำไรขาดทุน กรณีจึงมีประเด็นสำคัญทางกฏหมายว่าการกระทำเช่นนี้จะถือเป็นละเมิดต่อรัฐอย่างนั้นหรือ? ที่แปลกประหลาดคือรัฐบาลและหน่วยงานรัฐในอดีตร่วมกันจัดทำนโยบาย ต่อมาพอเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหน่วยงานรัฐกลับบอกว่าที่ทำไปเป็นละเมิดต่อหน่วยงานของตน ทั้งๆที่ตนเองเป็นผู้กระทำ จึงเป็นเรื่องที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีต้องใช้ความพยายามทุกวิถีทางในการแสวงหาความเป็นธรรม และไม่ต้องสงสัยว่าเรื่องดังกล่าวจะทำให้มีผู้มองว่ากระบวนการดังกล่าวเป็นเรื่องทางการเมืองหรือไม่? โดยเฉพาะเป็นกระบวนการภายหลังการรัฐประหารดังเช่นที่เคยมีมาเมื่อปี 2549

นายชูศักดิ์ ยืนยันว่าแม้ที่ผ่านมาจะมีการเรียกค่าเสียหายในทางละเมิดตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดจำนวนมาก อาทิ เรื่องรถดับเพลิง เรือดับเพลิง ตามที่นายวิษณุ เครืองามรองนายกรัฐมนตรีกล่าวอ้าง แต่หากเทียบเคียงกันจะพบว่า ทั้งสองเรื่องมีความแตกต่างกัน อย่างกรณีรถ ดับเพลิง ไม่ใช่การดำเนินนโยบายที่แถลงต่อสภา หน่วยงานรัฐไปทำนิติกรรมกับเอกชน แล้วมีการกล่าวอ้างว่าทำให้เกิดความเสียหายต่อรัฐในทางกฏหมายก็เปิดช่องไว้ให้ดำเนินการเรียกค่าเสียหายจากการละเมิดในทางแพ่งได้ แต่สำหรับโครงการรับจำนำข้าว หน่วยงานรัฐเอางบประมาณมาทำนโยบายสาธารณะ ทั้งยังดำเนินนโยบายตามหลักการที่ประกาศไว้ต่อสภา และบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่ต้องช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกรผลประโยชน์ตกเกษตรกร แต่กลับมาบอกภายหลังว่าขาดทุนมีความเสียหาย ทำละเมิด ที่น่าห่วงคือกรณีอาจกลายเป็นปัญหาในท้ายที่สุดโดยเฉพาะเมื่อคำวินิจฉัยในทางแพ่ง และในทางอาญาออกมาแตกต่างกัน การรอคำวินิจฉัยทางอาญาให้ยุติสิ้นสุดเสียก่อน จึงน่าจะเป็นวิธีการที่เหมาะสมมากกว่า

นายชูศักดิ์ ยังตั้งคำถาม ด้วยว่า หากจะถือว่าโครงการรับจำนำข้าวทำให้เกิดความเสียหาย แล้วเหตุใด โครงการสาธารณะที่ผ่านมาที่ใช้เงินไปมหาศาลและก็ต้องบอกว่าขาดทุนเหมือนกันถ้าจะคิดกำไรขาดทุน และมีความเสียหายทำนองเดียวกัน เหตุใดรัฐจึงไม่ดำเนินการให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน หรือหากมองอีกมุมหนึ่ง หากรัฐบาลหน้าจะเอาโครงการประชารัฐที่ทำแล้วขาดทุน ไม่มีกำไร ไปฟ้องเรียกค่าเสียหายในทางละเมิด จะสามารถดำเนินการได้หรือไม่ และจะกลายเป็นปัญหาหรือไม่?

“บุญทรง” ไม่หวั่น ม.44 ยืนยันไม่เป็นธรรม-เตรียมฟ้องกลับ


นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ อดีต รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

"มาตรา 44 ไม่ใช่สิ่งสุดวิเศษที่จะชี้นกเป็นไม้ได้ อย่างที่พวกท่านหลายคนพยายามจะปลอบใจกัน"
มีสื่อบางฉบับเอาเรื่องที่ผมให้สัมภาษณ์กรณีเตรียมฟ้องผู้เกี่ยวข้องในการออกคำสั่งทางปกครองเพื่อดำเนินการต่อผม ต่อมาก็มีคำสัมภาษณ์ตอบกลับจากบุคคลบางคนในทำนองว่าบุคคลเหล่านั้นไม่กลัวหรือแม้กระทั่งพาดหัวว่าจะฟ้องก็เชิญ อะไรแบบนั้น

ผมขอเรียนอธิบายว่า การที่ผมให้สัมภาษณ์เรื่องเตรียมการฟ้องทุกคนที่เกี่ยวข้องนั้น ผมพูดและหมายความเช่นนั้นจริงๆ พวกท่านทั้งหลายจะวิตกจริต จะกลัวหรือไม่ ไม่อยู่ในสมองของผม เพราะผมดำเนินการตามสิทธิที่กฏหมายพึงจะให้ไว้ต่อคนๆหนึ่งที่เห็นว่าถูกกระทำโดยไม่ได้รับความเป็นธรรม พวกท่านอาจจะอธิบายว่าพวกท่านทำได้ พวกท่านทำโดยสุจริต อย่างไรก็แล้วแต่ ก็ขอให้พวกท่านไปอธิบายเองที่ศาลก็แล้วกัน ซึ่งศาลท่านจะเป็นผู้วินิจฉัยและให้ความเป็นธรรมกับทุกคน

อย่าลืมนะครับว่า มาตรา 44 ที่พวกท่านใช้อย่างพร่ำเพรื่อนั้น ไม่คุ้มครองการกระทำที่ไม่สุจริตและไม่มีกฏหมายรองรับ มาตรา 44 ไม่ใช่สิ่งสุดวิเศษที่จะชี้นกเป็นไม้ได้ อย่างที่พวกท่านหลายคนพยายามจะปลอบใจกัน

วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2559

“ยิ่งลักษณ์” มอบทนายค้านตั้ง “สุภา” ท้วงนั่งอนุฯ ป.ป.ช. เป็นคู่ขัดแย้งชัดเจน


วันนี้ ( 22 กันยายน 2559 ) นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความ ผู้รับมอบอำนาจจากนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้มอบอำนาจให้ตนเดินทางมายื่นหนังสือถึงประธานกรรมการ ป.ป.ช. เป็นครั้งที่ 8 เพื่อยืนยันคัดค้านการแต่งตั้งนางสาวสุภา ปิยะจิตติ เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงในคดีที่กล่าวหานางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถึง 6 คดี ที่อยู่ในชั้นการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. และทั้ง 6 คดี มีนางสาวสุภา ปิยะจิตติ เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน และมี 1 คดี ที่มีนายวิชา มหาคุณ ที่พ้นตำแหน่ง กรรมการ ป.ป.ช. ไปแล้ว แต่กลับมาเป็นอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงด้วย

นายนรวิชญ์ กล่าวว่า ในสมัยที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น นางสาวสุภา ปิยะจิตติ เคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา และในฐานะประธานอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว ก็มีเหตุให้ข้อมูลการปิดบัญชี หลุดออกไปถึงมือนักการเมืองฝ่ายค้านในขณะนั้น นอกจากนี้ นางสาวสุภา ปิยะจิตติ และนายวิชา มหาคุณ ยังเคยไปเป็นพยานเบิกความในฐานะพยานฝ่ายโจทก์ต่อศาลฎีกาฯ ในคดีโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งถือเป็นคู่ขัดแย้งอย่างชัดเจน นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จึงเห็นว่าจากข้อเท็จจริงดังกล่าว หากปล่อยให้นางสาวสุภา ปิยะจิตติ เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง และ นายวิชา มหาคุณ ที่พ้นตำแหน่ง กรรมการ ป.ป.ช. ไปแล้ว กลับมาเป็นอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงอีก จะไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการไต่สวนข้อเท็จจริง ทั้งๆที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีทั้งหมดถึง 9 ท่าน

ทนายความนางสาวยิ่งลักษณ์ ยังกล่าวอีกด้วยว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เคยยื่นร้องคัดค้านมาแล้วถึง 7 ครั้ง แต่ก็ไม่เป็นผล ดังนั้น เพื่อรักษาสิทธิตามกระบวนการยุติธรรมที่นางสาวยิ่งลักษณ์ผู้ถูกกล่าวหาตามคำสั่งของคณะกรรมการ ป.ป.ช. และเพื่อให้คดีของอดีตนายกรัฐมนตรี ได้รับการพิจารณาอย่างถูกต้องและเป็นธรรม จึงขอคัดค้านความเห็นของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตามหนังสือสำนักงาน ป.ป.ช. ที่ ปช 0012/1216 ลงวันที่ 29 สิงหาคม 2559 และเพื่อยืนยันหลักฐานทางเอกสาร และพฤติกรรมแห่งการปฏิบัติตนของนางสุภา ปิยะจิตติ และนายวิชา มหาคุณ ในฐานะเป็นประธานอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง และอนุกรรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง ว่าไม่เหมาะสมเช่นไรแนบท้ายเอกสารประกอบในการยื่นถึงประธานกรรมการ ป.ป.ช.ด้วย










วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2559

"บุญทรง" ยืนยันจำนำข้าวไม่เสียหาย แจงไม่ได้รับความเป็นธรรม-เตรียมฟ้องกลับ


นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าวภายหลังจาก รมว.พาณิชย์และปลัดก.พาณิชย์ลงนามในหนังสือบังคับทางปกครองเรียกร้องค่าเสียหายจากการขายข้าวแบบจีทูจีเมื่อวานนี้ว่ากำลังรอเอกสารจากกระทรวงพาณิชย์แจ้งมาอย่างเป็นทางการก่อน จากนั้นจะยื่นขอทุเลาคำสั่งและไต่สวนฉุกเฉิน เชื่อว่าศาลจะรับคำร้องเพราะถือเป็นสิทธิ์ในการพิสูจน์ว่าคำสั่งออกมาโดยชอบและมีกระบวนการครบถ้วนตามกฏหมายหรือไม่

นายบุญทรงยืนยันว่าจะฟ้องกลับทั้งทางอาญาและทางแพ่งกับผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด ตามสิทธิ์ที่จะทำได้เพราะการนำมาตรา 44 มาใช้ทั้งๆที่มีกฏหมายที่จะดำเนินการได้ตามขั้นตอนอยู่แล้ว ถือเป็นการลัดขั้นตอน เร่งรัดให้ผู้เกี่ยวข้องดำเนินการตามที่รัฐบาลตั้งธงไว้ รวมทั้งการที่นายกรัฐมนตรีมอบหมายให้รัฐมนตรีลงนามแทนทั้งที่ตามพรบ.เรียกให้ชดใช้ความผิดทางละเมิดในระดับรัฐมนตรีกำหนดให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามเท่านั้น ก็เป็นเรื่องที่นายกฯต้องชี้แจงในชั้นศาลด้วย

พร้อมกับบอกว่าคดีนี้เป็นคนล่ะส่วนกับคดีของอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ซึ่งถูกฟ้องความผิดตามม.157 ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องทุจริต จึงไม่ควรนำมาเชื่อมโยงกัน เพราะจะไม่เป็นธรรมกับอดีตนายกฯ

นายบุญทรงบอกว่าที่ผ่านมาไม่เคยได้รับความเป็นธรรมจากฝ่ายปกครอง โดยไม่มีการฟังคำชี้แจงใดๆและการใช้สำนวนของปปช.มาเป็นหลักในการฟ้องเรียกค่าเสียหายก็เป็นการใช้สำนวนเดียวกับคดีอาญาที่ยังอยู่ในกระบวนการไต่สวนของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอยู่ในขณะนี้ ก็เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง จึงหวังว่าจะได้รับความเป็นธรรมจากศาล โดยยืนยันว่าการดำเนินการที่ผ่านมาไม่มีความเสียหายใดๆเกิดขึ้นในการระบายข้าว ซึ่งกรมการค้าต่างประเทศได้ทำสัญญา มีการระบุตัวเลข และได้รับการชำระเงินครบถ้วนสมบูรณ์ จึงมั่นใจว่าสิ่งที่ทำไปบริสุทธิ์และโปร่งใส

"นายกฯคงไม่แคร์ในเรื่องนี้ เพราะไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง และไม่ต้องกลับไปลงเลือกตั้ง รัฐธรรมนูญใหม่ก็ให้โอกาสกลับมาเป็นรัฐบาลได้อีก จึงไม่มีประโยขน์ที่เราจะไปโต้แย้ง คงต้องไปพูดกันที่ศาล"

แถลงจัด “40ปี6ตุลาคม” เทศกาล-นิทรรศการ-การแสดง


ผู้สื่อข่าวรายงานจาก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ว่า เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา คณะกรรมการจัดงาน 40 ปี 6 ตุลาฯ นำโดย นายกฤษฎางค์ นุตจรัส อดีตแกนนำนักศึกษา จัดงานแถลงข่าว กิจกรรม "40 ปี 6 ตุลาคม" โดยระบุว่า คณะกรรมการจัดงานฯ จะจัดงานดังกล่าวขึ้นในวันที่  6-8 ตุลาคม พ.ศ. 2559 นี้ ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ มีวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องความทรงจำที่ถูกลบหายไปเสมือนหนึ่งว่าไม่เคยเกิดขึ้นเลย ให้มีพื้นที่ในสังคมอีกครั้ง โดยในปีนี้ งานจะจัดขึ้นทั้งหมดเป็นเวลา 3 วัน และมีกิจกรรมหลากหลายแบบ อาทิ สุนทรกถา "40ปีเปลี่ยน-40ปีไม่ผ่าน" โดย ศ.ดร.สุรชาติ บำรุงสุข เทศกาลภาพยนตร์การเมืองในรูปแบบใหม่ โดยเฉพาะเรื่อง "เรายังคงอยู่ตรงนี้" เทศกาลหนังสือ งานเสวนาและวงดนตรีสดจากนักศึกษาเยาวชนทั้งจากอดีตและปัจจุบัน

"เป็นการระลึกถึงความทรงจำในเดือนตุลา พวกเราหวังว่าสังคมไทยจะให้ความสนใจและมาร่วมงานในวันที่ 6-8 ตุลาคม นี้ เราไม่อยากเห็นใครถูกแขวนคอและเอาเก้าอี้ตีอีก เราไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นอีก" นายกฤษฎางค์ กล่าว