วันพุธที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2561

"ทนายวิญญัติ" ท้วง สนช. เอื้อประโยชน์ต่ออายุ ป.ป.ช.


ทนายวิญญัติ ชาติมนตรี เดินทางมาสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เพื่อกล่าวโทษคณะกรรมาธิการวิสามัญฯเสียงข้างมาก สมาชิก สนช. จำนวน157คน ที่ลงมติเห็นชอบร่างกฎหมาย ป.ป.ช. ต่ออายุการทำหน้าที่ของ ป.ป.ช. ต่อไป อาจขัดรัฐธรรมนูญ-ตรากฎหมายเอื้อประโยชน์

วันนี้ (31 มกราคม 2561) เวลา10.00น. ที่สำนักงาน ป.ป.ช. ทนายวิญญัติ ชาติมนตรี เลขาธิการสมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิเสรีภาพ (สกสส.) พร้อมคณะทำงาน ได้มายื่นหนังสือกล่าวโทษ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) จำนวน 157 คน ที่เห็นชอบกับ ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.... มาตรา 178  และกล่าวโทษกรรมาธิการวิสามัญเสียงข้างมาก ที่แก้ไขเพิ่มเติมร่างฯของ กรธ.   โดยร่วมกันตรากฎหมายที่มิได้มีผลใช้บังคับเป็นการทั่วไป มีการเลือกปฏิบัติ มุ่งหมายให้ใช้บังคับแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นการเจาะจง  ตามรธน. 2560 มาตรา 26 วรรคสอง  มีผลประโยชน์ทับซ้อน โดยให้มีผลให้ยกเว้นมิให้นำคุณสมบัติ ตาม รธน.2560 มาตรา 232 มาใช้บังคับ เพื่อเอื้อให้กรรมการ ป.ป.ช. 7  คน ที่เข้าข่ายขาดคุณสมบัติที่จะดำรงตำแหน่ง กรรมการ ป.ป.ช.ให้สามารถดำรงตำแหน่ง ป.ป.ช.อยู่อีก 9 ปี ไม่ต้องถูก Set Zero  ซึ่งเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ คือ การกำหนดคุณสมบัติของกรรมการในองค์กรอิสระขึ้นใหม่เพื่อการปฏิรูปประเทศ  สนช.ตรากฎหมายเอื้อประโยชน์กับคนเพียง 7 คน จึงทำไม่ได้ จึงเห็นว่าเป็นการกระทำเข้าข่ายร่วมกัน หรือสมยอม หรือรู้เห็นเป็นใจในการต่ออายุการทำหน้าที่ของ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ทับซ้อนโดยทุจริต ขาดหลักนิติธรรม

"นอกจากนี้ ยังพบว่า นางสาวสุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างฯ ได้พูดกับ กรรมาธิการฯท่านหนึ่งว่าขออยู่ 7 ปี แสดงว่านางสาวสุภา รู้ดีว่าตนเข้าข่ายขาดคุณสมบัติและต้องพ้นจากตำแหน่ง แสดงเจตนาพิเศษเพื่อให้มีการตรากฎหมายเพื่อต่ออายุของตน และกรรมการป.ป.ช.อีกหลายคน จึงเข้าข่าย เป็นเจ้าหน้าที่รัฐผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เป็นการเอื้อประโยชน์ตนเองและผู้อื่น ให้ประธานกรรมการ ป.ป.ช. และกรรมการ ป.ป.ช. รวมถึง นางสาวสุภาฯ ซึ่งเป็นกรรมการ ป.ป.ช. คนหนึ่งที่ขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญฯ ด้วย ให้สามารถอยู่ดำรงตำแหน่งต่อไปอีกได้จนกว่าจะครบวาระ ซึ่งการได้ประโยชน์ดังกล่าวไม่อาจกระทำได้โดยชอบตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ อันเป็นความผิดตามมาตรา 123/1 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2542 และตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157"
       
"เราในฐานะประชาชน ที่เชื่อว่า สภาแห่งนี้กระทำการที่ผิดบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญและกฎหมายอย่างโจ่งแจ้ง ไม่ยึดหลักนิติธรรม มีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติ อาจทำให้บ้านเมืองไร้กฎกติกาและไม่ได้รับการยอมรับ เพราะผู้ตรากฎหมายกระทำผิดเสียเอง  จึงต้องทำหน้าที่ให้มีผู้รับผิดชอบต่อการกระทำเหล่านี้" ทนายวิญญัติ กล่าว








วันอังคารที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2561

“เรืองไกร” ยื่นประยุทธ์ อายัดนาฬิกาประวิตร


เมื่อเวลา 9.30 น. วันที่ 30 ม.ค. ที่ศูนย์บริการประชาชน สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกวุฒิสภา และสมาชิกพรรคเพื่อไทย ได้ยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. เพื่อเร่งรัดให้นายกฯสั่งการให้เจ้าหน้าที่กรมศุลกากร ทำการยึดหรืออายัดนาฬิกาหรูของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มาตรวจสอบอย่างตรงไปตรงมาว่ามีการเสียภาษีนำเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่มครบถ้วนหรือไม่ ให้เทียบเท่ากับกรณีที่กรมศุลกากรทำหน้าที่ตรวจสอบกระเป๋าและนาฬิกาของดาราบางคน รวมทั้งกรณีรถยนต์หรู เพื่อตรวจสอบการสำแดงภาษีนำเข้าเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฏหมายหรือไม่?

นายเรืองไกร กล่าวว่า ป.ป.ช.ระบุว่า มีข้อเท็จจริงที่เชื่อได้ว่านาฬิกาหรู 25 เรือนของ พล.อ.ประวิตร มีอยู่จริง แม้จะอ้างว่ายืมเพื่อนมาใส่ แต่นาฬิกาหรูดังกล่าวเป็นสินค้าราคาแพง และต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศ ทั้งในแบบถูกต้องโดยบริษัทนำเข้า ที่ตรวจสอบได้จากเอกสารนำเข้าหรือใบเสร็จรับเงิน หรือในแบบหลบเลี่ยงการเสียภาษีนำเข้าและภาษีมูลค่าเพิ่มจะไม่มีเอกสารมาแสดง หากเป็นประเด็นหลัง จะทำให้รัฐเสียหายจากการเก็บภาษีไม่ได้ และขาดรายได้หลายล้านบาท ยังไม่รวมค่าปรับและเงินเพิ่ม ต้องตรวจสอบให้ชัดแต่เจ้าหน้าที่คงไม่กล้าจะไปเรียกอายัดเอง คงจึงเรียกร้องให้นายกฯสั่งการโดยด่วน และควรสั่งให้ พล.อ.ประวิตร ให้ความร่วมมือในการส่งมอบนาฬิกาหรือชี้เบาะแส เพื่อนำไปสู่การยึดนาฬิกามาตรวจสอบด้วย เพื่อแก้ข้อสงสัยโดยไม่จำเป็นต้องใช้อำนาจนายกฯ ตามมาตรา 44

“จาตุรนต์” ยื่นยกเลิกคำสั่ง คสช. ระงับธุรกรรมทางการเงิน


นายจำนงค์ ไชยมงคล ทนายความของนายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เดินทางเข้ายื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. เพื่อขอให้ยกเลิกคำสั่ง คสช. เรื่องธุรกรรมทางการเงิน

โดย นายจำนงค์ ได้กล่าวว่า “หลังจากที่มีคำสั่งระงับการดำเนินธุรกรรมทางการเงินของนายจาตุรนต์ไปตั้งแต่หลังการยึดอำนาจ ขณะนี้เวลาล่วงเลยมากว่า 3 ปีแล้ว แต่คำสั่งระงับธุรกรรมทางการเงินก็ยังอยู่ ทำให้นายจาตุรนต์แม้แต่จะทำประกันชีวิตก็ยังทำไม่ได้ ทั้งนี้ ผมเห็นว่าคำสั่งนี้เป็นคำสั่งบริหาร ดังนั้น นายกฯ และ ครม. สามารถยกเลิกคำสั่งดังกล่าวได้ โดยหากนายกฯไม่ดำเนินการ รัฐมนตรีสามารถนำเสนอเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุม ครม. เพื่อให้ ครม. พิจารณายกเลิกได้ แต่หากท่านเห็นว่า เรื่องนี้ไม่ใช่คำสั่งบริหาร ก็ขอให้ ครม. เสนอเรื่องนี้ให้ สนช. ดำเนินการพิจารณายกเลิกคำสั่งดังกล่าว เนื่องจาก คำสั่งดังกล่าวไม่ได้กำหนดแนวทางในการสอบสวนหรือกระบวนการพิสูจน์ข้อเท็จจริงว่านายจาตุรนต์จะต้องชี้แจงข้อเท็จจริงอย่างไรต่อหน่วยงานหรือองค์กรใดเพื่อให้พิสูจน์ข้อเท็จจริงที่จะทำให้ผู้มีอำนาจใช้ดุลพินิจยกเลิกหรือเพิกถอนคำสั่งได้ และไม่มีการกำหนดเงื่อนเวลาในการระงับทางการเงินว่าจะยกเลิกเมื่อใด ซึ่งเป็นคำสั่งที่ขัดต่อหลักนิติรัฐ นิติธรรม และขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตามเมื่อรัฐบาลชุดนี้ประกาศให้เรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นวาระแห่งชาติ เรื่องนี้เองก็เป็นเรื่องที่กระทบต่อสิทธิมนุษยชนโดยตรง ก็ขอให้ ครม. เรื่องนี้ไปพิจารณาด้วย”

“อนุสรณ์ ติง คสช. ไม่ทำตามสัญญา-ใช้เวลานานมาก


นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีพลโทสรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุ เลื่อนเลือกตั้งแค่ 90 วัน มันจะอะไรกันนักหนา ว่า ความจริงประชาชนน่าจะตั้งคำถามนี้กับพวกท่านมากกว่า เนื้อเพลงบอกว่า เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน ถามว่าทำตามสัญญาตรงไหน ไปประกาศปฏิญญาโตเกียวจะเลือกตั้งปี 2559 ปฏิญญานิวยอร์กจะจัดเลือกตั้งปี 2560 แถลงการณ์ร่วมสหรัฐอเมริกาบอกว่าจะมีการเลือกตั้งในปี 2561 แต่ก็เลื่อนแล้วเลื่อนอีก 4 ปี เลื่อน 4 ครั้ง แล้วขอเวลาอีกไม่นาน 5 ปียังไม่ถือว่านานอีกหรือ? การจะพูดอะไร ต้องดูบริบท ดูสิ่งที่พวกท่านทำด้วย ประเทศชาติและประชาชนไม่น่าจะได้ประโยชน์จากการเลื่อนการเลือกตั้ง แต่กลุ่มคนที่ถืออำนาจ คนที่อยู่ในตำแหน่งในสภา ในแม่น้ำ 5 สาย ที่รับเงินเดือนหลายทาง การได้อยู่ต่ออย่างน้อย 3 เดือน การันตีได้ค่าตอบแทนเดือนละเป็นแสนต่อไป แบบนี้ได้ประโยชน์หรือไม่? แล้วถึงเลื่อนออกไปอีก 90 วัน ก็ไม่แน่ว่าจะมีการเลือกตั้งต้นปี 2562 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ยังไม่ยืนยันเลยว่าเดือนกุมภาพันธ์ 2562 จะมีการเลือกตั้ง ส่วนพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่บอกว่าจะมีการเลือกตั้งในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคมนั้น ท่านคิดว่าความน่าเชื่อถือในตัวท่านยังมีเหลือให้พูดเรื่องนี้อยู่หรือไม่? ท่านเอาเวลาที่เหลือไปชี้แจงเรื่องแหวนเพชร นาฬิกา กับ ป.ป.ช.ดีกว่ามายืนยันเรื่องเลือกตั้งหรือไม่? แก่นของเรื่องนี้คือ พวกท่านไม่ทำตามสัญญา ใช้เวลานานมาก เมื่อพูดอะไร จึงขาดความน่าเชื่อถือ คนไม่เชื่อมั่น สะท้อนผ่านโพลและดัชนีตลาดหลักทรัพย์ คนไทยมองไม่เห็นอนาคตว่า คสช.จะเปิดให้มีการเลือกตั้งหรือไม่? เลือกตั้งเมื่อไหร่? ไม่มีหลักประกันใดๆทั้งสิ้น การพูดว่าเลื่อนเลือกตั้งแค่ 90 วัน อะไรกันนักหนา จึงเป็นการไม่ให้เกียรติและไม่เคารพความรู้สึกของประชาชน ไม่สำรวจดูสิ่งที่พวกท่านทำหรือไม่?

วันจันทร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2561

"10 ปี สิงห์คืนถ้ำ" ยิ่งดึกยิ่งคึกคัก


ผู้สื่อข่าวรายงานจากโรงแรมมิราเคิล แกรนด์ ว่า วิทยาลัยสื่อสารการเมือง มหาวิทยาลัยเกริก ร่วมกับชมรมสื่อสารการเมือง จัดงาน "10 ปี สิงห์คืนถ้ำ" โดยมี ฯพณฯ ดร.อุทัย พิมพ์ใจชน เป็นประธานในพิธีมอบโล่เกียรตินิยมสารนิพนธ์ดีเด่น ดุษฎีนิพนธ์ดีเด่น ศิษย์ดีเด่น และผู้สนับสนุนการจัดงาน โดยมี ดร.นันทนา นันทวโรภาส คณบดีวิทยาลัยสื่อสารการเมือง มหาวิทยาลัยเกริก ให้การต้อนรับและกล่าวรายงาน พร้อมด้วย ศ.(พิเศษ)ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ , ศ.ดร. ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี, รศ.ชูศักดิ์ ศิรินิล อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง, รศ.สุขุม นวลสกุล อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง, ผศ.ดร.ยุทธพร อิสรชัย มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, ผศ.ดร.ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต, ผศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว อาจารย์คณะนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา และ ผศ.ดร.วิโชติ วัณโณ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง พร้อมศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันร่วมงานอย่างคับคั่ง ในงานมีการทอล์คโชว์พิเศษ โดย รศ.สุขุม นวลสกุล ในหัวข้อ "การเมืองไทย 4.0" โดยมี พลเอก ดร.ปกิตน์ สันตินิยม ประธานชมรมสื่อสารการเมืองเป็นผู้ให้การสนับสนุนและอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คุณกนกวรรณ วิลาวัลย์ เป็นประธานการจัดงาน 


ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ภายในงานดังกล่าว มีการแสดงความยินดีกับผู้ที่สำเร็จการศึกษา หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิตเกียรตินิยม วิทยาลัยสื่อสารการเมือง สำหรับในปีนี้ดุษฎีนิพนธ์ดีเด่นประจำปี 2560 ได้แก่ ดุษฎีนิพนธ์ เรื่อง การประกอบสร้างความจริง กับรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ศึกษาประเด็นเปรียบเทียบ หนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการรายวัน กับหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน โดย ดร.จรัล อัมพรกลิ่นแก้ว โดยได้รับรางวัลโล่เกียรตินิยมดีเด่น ด้วยเกรดเฉลย 3.95 ด้วย นอกจากนี้ยังมีการมอบโล่ให้ศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันดีเด่น และยังมีการจัดกิจกรรมด้านสังคมที่คณาจารย์และนักศึกษาร่วมกันบริจาคเงินและสิ่งของให้โรงเรียนบ้านเด็กรามอินทราอีกด้วย


















ศิษย์กอดให้กำลังใจ "ชาญวิทย์" หลังถูกดำเนินคดีวิจารณ์กระเป๋าภริยาหัวหน้า คสช.


ผู้สื่อข่าวรายงานจากโรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น ว่า ดร.นันทนา นันทวโรภาส คณบดีวิทยาลัยสื่อสารการเมือง มหาวิทยาลัยเกริก นำศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบันวิทยาลัยสื่อสารการเมือง เข้าสวมกอดและให้กำลังใจ ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ชาญวิทย์ เกษตรศิริ หลังจากต้องเดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหาในวันที่ 31 มกราคม 2561 ที่ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ในเวลา 13.00น. เนื่องจากโพสต์ข้อความแสดงความเห็นวิจารณ์กระเป๋าถือของนางนราพร จันทร์โอชา ภริยาของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.






















"วัฒนรักษ์" เตือนเลื่อนเลือกตั้ง กระทบความเชื่อมั่นนักลงทุน


ร.ต.อ. วัฒนรักษ์ สุรนาทยุทธ์ คณะทำงานด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า “การเลื่อนการเลือกตั้งจากปี 2561 ไปเป็นปี 2562 นั้น อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นใจการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ และบริษัทที่ประกอบธุรกิจในประเทศไทยอยู่แล้วอาจย้ายถิ่นฐานการผลิตไปประเทศอื่น เพราะไม่สามารถวางแผนธุรกิจได้ นอกจากนี้ ยังมีรายงานจำนวนคนว่างงานในปี 2017 สูงขึ้นกว่าปี 2016 ประมาณ 100,000 คน รวมคนว่างงานทั้งหมดประมาณ 450,000 คน ปัจจุบันคนไทยทำงานที่ต่ำกว่าระดับการศึกษาซึ่งเป็นปัญหาที่น่าเป็นห่วง เพราะไม่สามารถหางานทำได้”

ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ กล่าวต่อไปว่า “ตลอด 4 ปี ของ คสช. ได้เลื่อน Road Map เลือกตั้งมาแล้ว 4 ครั้ง จากปี 2558 มาเป็น 2562 ด้วยเหตุผลทางการเมืองและเหตุผลทางเทคนิคกฎหมาย รัฐบาลควรทำตามสัญญาที่บอกว่าจะขอเวลาอีกไม่นาน ประเทศไทยจะดีขึ้น หากทำตาม Road Map การเลือกตั้งที่ตัวเองพูดไว้ จะเป็นผลดีกับประเทศมากกว่าหรือไม่?”

"วิม" เตือนเลื่อนเลือกตั้ง กระทบเศรษฐกิจ


นายวิม รุ่งวัฒนจินดา คณะทำงานด้านเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย เปิดเผยถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นด้านการลงทุนจากกรณีการยืดเวลาการบังคับใช้ พรป. ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ว่า "การเลื่อนเวลาและการปรับโรดแมปการเลือกตั้งของรัฐบาล คสช. เป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรงกับภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยเฉพาะความเชื่อมั่นด้านการลงทุนจากต่างชาติ ตลอดเวลา เกือบ 4 ปีที่ผ่านมาอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำมาก ขณะที่ประเทศต่างๆในอาเซียนมีอัตราการขยายตัวในระดับสูง ทั้งนี้เกิดจากความไม่เชื่อมั่นในรัฐบาลที่ใช้อำนาจเผด็จการมากเกินไป จนทำให้นักลงทุนวิตกและเกิดความกลัว โดยเห็นได้จากรายงานตัวเลขเวิลด์แบงค์ ที่จัดอันดับประเทศที่น่าลงทุน ซึ่งประเทศไทยอยู่ลำดับที่ 46 เมื่อปี 2560 ขณะที่ปี 2554-2557 ก่อนการทำรัฐประหาร ประเทศไทยมีความน่าเชื่อถือในการลงทุนที่ลำดับ 16-17 แต่ในปี 2561 มีสัญญาณที่ดี ซึ่งดูเหมือนว่ารัฐบาลจะทำตามสัญญาคือการเร่งจัดการเลือกตั้งตามโรดแมป ทำให้นักลงทุนต่างชาติมีความมั่นใจที่จะกลับเข้ามาลงทุนอีกครั้ง  แต่กลับกลายเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ สนช. มีมติยึดระยะเวลาการบังคับใช้ พรป. ส.ส.ออกไปอีกอย่างน้อย 90 วัน ทำให้นักลงทุนและความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของประเทศลดลงอย่างน่าตกใจ ถือเป็นการซ้ำเติมประเทศให้ตกอยู่ในภาวะย่ำแย่ต่อไปอีก รวมทั้งประเทศจะสูญเสียโอกาสในการพัฒนาด้านต่างๆอีกมากมาย แม้ว่ารัฐบาลจะมีนโยบายขับเคลื่อนประเทศ ไทยแลนด์ 4.0 ก็ตาม ก็คงไม่สามารถพัฒนาอะไรได้เพราะนโยบายกับการปฏิบัติไม่ไปในทิศทางเดียวกัน"
   
"อย่างไรตามแม้ว่าขณะนี้รัฐบาลจะพยายามดำเนินนโยบายทางด้านเศรษฐกิจในระดับฐานราก เช่นการปรับค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ การปล่อยสินเชื่อภาคประชาชน เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในภาคครัวเรือน แต่มาตรการดังกล่าวยังไม่ส่งผลให้เกิดความเชื่อมั่นมากนัก จึงทำให้อัตราการขยายตัวไม่เพิ่มขึ้น ประกอบกับภาพลบของรัฐบาลในการทุจริตมีมาก จนทำให้ประชาชนหมดความเชื่อมั่น  การจับจ่ายเกิดการชะลอตัว รวมทั้งมาตรการตั้งทีมประชารัฐ 7,000 กว่าทีมลงไปทุกตำบลเพื่อจะแก้ไขปัญหาให้ประชาชนในระดับรากหญ้าก็เป็นมาตราการที่หวังผลทางการเมืองมากกว่าที่จะเน้นการแก้ไขปัญหาปากท้อง"
     
"นอกจากนี้มาตรการช่วยเหลือและการแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรที่ตกต่ำมาอย่างต่อเนื่อง เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศอยู่ในภาวะฝืดเคือง ขณะที่เกษตรกรส่วนใหญ่ของประเทศอยู่สภาพที่อดมื้อกินมื้อ แต่ไม่กล้าแสดงออกหรือเรียกต่อภาครัฐเพราะการใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐบาลทำให้ประชาชนถูกจำกัดสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออก ส่งผลให้ขณะนี้ตัวเลขหนี้ภาคครัวเรือนสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ เพราะประชาชนขาดรายได้ รายจ่ายที่จำเป็นปรับสูงขึ้น ประชาชนผู้มีรายได้ จำเป็นต้องกู้เงินนอกระบบเพิ่มมากขึ้น"
         
"สำหรับการลงทุนภาครัฐตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รัฐบาล คสช. เน้นแต่นโยบายการลงทุนขนาดใหญ่ ทำให้เม็ดเงินงบประมาณไม่กระจายตัว แต่กลับกระจุกตัวกับการจ้างงานบริษัทขนาดใหญ่ที่ได้รับประโยชน์เพียงไม่กี่ราย ประกอบกับการจ้างงานของบริษัทขนาดใหญ่ก็เน้นแต่การจ้างแรงงานต่างด้าวเพราะมีค่าแรงถูกกว่า จนทำให้แรงงานไทยไม่มีงานทำ ซึ่งต่อไปจะกลายเป็นปัญหาที่รัฐบาลต่อไปต้องเร่งแก้ไข การยืดเวลาการบังคับใช้กฎหมาย ของรัฐบาล คสช. จะหวังผลทางการเมืองอย่างไรก็ตาม  แต่สิ่งที่อยากให้รัฐบาลคำนึงถึงมากที่สุด  คือปากท้องของพี่น้องประชาชน ความเดือดร้อนในวันนี้มันมากเสียจนจะหมดความอดทน กลัวอดตายมากกว่า มาตรา 44 ของรัฐบาล ซึ่งเกรงว่าจะกลายเป็นปัญหาใหญ่เกินกว่าที่รัฐบาลที่มีอำนาจมากอย่าง คสช. จะแก้ไขได้" นายวิม รุ่งวัฒนจินดา กล่าว

วันอาทิตย์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2561

“จิรายุ” เปรียบเทียบ ประชานิยม คสช. กับยุคไทยรักไทย-เพื่อไทย


นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า วันนี้ประชาชนไม่อยากรู้ว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. จะรู้เห็นกับ สนช.หรือไม่เรื่องการเลื่อนเลือกตั้ง เพราะคนไทยคงรู้ดีและคงเบื่อหน่ายอยู่แล้วกับสัญญาที่ผู้นำไทยแลนด์ไปพูดไว้ถึง 3 ครั้ง เรื่องเลือกตั้ง ปี 2558 ที่โตเกียว ปี 2559 ที่สหประชาชาติ ปี 2560 ที่สหรัฐอเมริกา
     
แต่ประชาชนคงอยากรู้ว่าพลเอกประยุทธ์จะบอกสหภาพยุโรป สหรัฐฯ และนานาชาติ อย่างไร ในภาวะผู้นำไทยแลนด์มากกว่า และที่ผ่านมาประชาชนเข้าใจลึกซึ่งแล้วว่า ความจริงคืออะไร การปฏิรูป การแก้ไขปัญหาคอรัปชั่น ที่อุตส่าห์ไปเป่านกหวีดเรียกคนดีออกมานั้น วันนี้เป็นอย่างไร
     
แต่ประเด็นสำคัญคือประชาชนอยากรู้จริงๆ ว่า รัฐบาล คสช.จะเอาเปรียบคนอื่นก่อนการเลือกตั้งหรือไม่? ขนาดไหน? โดยเฉพาะการใช้กลไกของรัฐ และเงินงบประมาณที่วันนี้เรียกได้ว่ายิ่งกว่าแนวคิด “เฮเลคอปเตอร์มั่นนี่” โดยเฉพาะแจกเงินผ่านบัตรคนจน ที่พลเอกประยุทธ์ พยายามจะปฏิเสธว่าไม่ใช่ประชานิยม ซึ่งที่จริงแล้ว ก็เป็นการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย หรือประชานิยมนั่นแหละ ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่น่าอายและทุกประเทศก็ทำกัน แต่ประชานิยมของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จะเป็นการแจกเงินเปล่า และไม่ได้สร้างให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้นเอง ไม่เหมือนในอดีตที่นโยบายช่วยผู้มีรายได้น้อยของพรรคไทยรักไทย และพรรคเพื่อไทย ที่มุ่งเน้นการสร้างรายได้ เช่น กองทุนหมู่บ้าน โอทอป 30 บาทรักษาทุกโรค SME และ SML นอกจากนี้ ประชาชนผู้มีรายได้น้อยลำบากกันกว่า 3 ปี แต่รัฐบาลพึ่งจะมาช่วย แล้วพลเอกประยุทธ์ ก็ประกาศเป็นนักการเมือง อดไม่ได้ที่ประชาชนต้องคิดว่าเป็นการแจกเงินเพื่อหาเสียงใช่หรือไม่? อีกทั้งบัตรคนจนก็ไปซื้อได้เฉพาะสินค้าของนายทุนบางคนเท่านั้น ไม่ได้ช่วยพ่อค้าแม่ค้าตามท้องตลาดเลย ซ้ำยังทำให้การค้าขายของพ่อค้าแม่ค้าในตลาดมียอดขายต่ำลงอีก เพราะถูกแย่งตลาดไป ดังนั้น ประชานิยมของพลเอกประยุทธ์แทบจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์เท่าที่ควร แถมยังจะเป็นภาระการเงิน การคลังของประเทศไปอีกนาน เพราะแจกแล้วก็จะเลิกแจกไม่ได้ ซึ่งต่างกับประชานิยมของพรรคเพื่อไทยที่มุ่งเน้นการเพิ่มรายได้ให้ประชาชน คือ ประชาชนต้องทำงานเพื่อให้ได้รายได้มากขึ้น ไม่ใช่แค่แจกเงิน
   
วันนี้เมื่อเข้าสู่โหมดเตรียมตัวเลือกตั้ง รัฐบาลต้องไม่เอาเปรียบคนอื่นเหมือนกับที่เคยดูถูกไว้ในช่วงหลายรัฐบาลที่ผ่านมา และต้องออกมาอธิบายให้ได้ว่าตกลงแล้วเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างไร แย่ลงขนาดไหนและแนวทางจะแก้ไขในปีนี้เป็นอย่างไรประชาชนรอฟังอยู่ เพราะผลกระทบจากนานาชาติจะยิ่งทำให้เศรษฐกิจในประเทศมีปัญหามากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นคนไทยควรเตรียมตัวรับมือกับมรสุมเศรษฐกิจลูกใหม่ตั้งแต่เดือนหน้านี้เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าว

วันเสาร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2561

“อนุสรณ์” เผยผลสำรวจ ประชาชนกังขาผล ป.ป.ช. สอบทุจริต คสช.


นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีศูนย์สำรวจความคิดเห็น "นิด้าโพล" สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “ความเชื่อมั่นต่อการทำงานตรวจสอบรัฐบาล คสช. ของ ป.ป.ช.” ว่า ทั้งป.ป.ช.และรัฐบาล คสช. ต้องรับฟังและตรวจสอบตัวเองถึงเสียงสะท้อนความเชื่อมั่นต่อการทำงานของ ป.ป.ช. ที่ร้อยละ 76.32 เห็นว่า มีความไม่ปกติ ไม่โปร่งใส ร้อยละ 61.04 ระบุว่า มีการแทรกแซงการทำงานของ ป.ป.ช. จากรัฐบาล คสช. คำชี้แจงของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รวมถึงท่าทีจาก ป.ป.ช. ทำให้ประชาชนกังขาและไม่เชื่อมั่นต่อกระบวนการตรวจสอบหรือไม่ เพราะแม้แต่กองหนุนของท่านเองยังตั้งคำถามในลักษณะเกิดวิกฤติศรัทธา ความเชื่อมั่นลด กองหนุนหดหายหรือไม่ ท่านต้องไปตรวจสอบมาตรฐานการทำหน้าที่ตรวจสอบ ถ้าเป็นแบบลูบหน้าปะจมูกเลือกปฏิบัติ ประชาชนคงไม่อาจไว้วางใจหรือให้ความเชื่อมั่นได้ และเมื่อประชาชนสิ้นหวังต่อกระบวนการและมาตรฐานการตรวจสอบ ช่วงเวลาที่เหลือของรัฐบาลจะประสบสภาวะยากลำบาก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของรัฐบาลทั้งระบบ โดยเฉพาะท่าทีของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชานายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ต่อการตรวจสอบเรื่องนี้ ประชาชนตั้งคำถามว่าระหว่างความถูกต้อง การตรวจสอบอย่างมีมาตรฐานธรรมาภิบาลกับความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้อง ท่านมีหลักอย่างไร ประชาชนรอด้วยใจระทึกว่า ลำดับดัชนีคอรัปชั่นหรือ CPI ที่จะเปิดเผยในเดือนกุมภาพันธ์ ประเทศไทยจะมีลำดับดีขึ้นหรือแย่ลง ซึ่งเรื่องนี้อาจเป็นปัจจัยหนึ่งในการประเมินดัชนีคอรัปชั่นดังกล่าว

วันศุกร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2561

เพื่อไทย แถลง “ความล้มเหลวของ คสช. ในการปราบคอรัปชั่น”


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทย แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน เรื่อง "ความล้มเหลวของรัฐบาล คสช. ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่น" โดยมีเนื้อหาดังนี้

1. สรุปข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ เกี่ยวกับการทุจริต 

1.1 โครงการขุดลอกคูคลองทั่วประเทศขององค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก (อผศ.)

ข้อเท็จจริง คสช. ได้ให้ความเห็นชอบให้ อผศ. ได้รับสิทธิพิเศษในการรับจ้างขุดลอกคูคลองทั่วประเทศตามหนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนที่สุด ที่ กค.0421.3/7624 ลว.1 กรกฎาคม 2557 สิทธิพิเศษดังกล่าวคือ ให้มีการจัดซื้อจัดจ้างโดยวิธีกรณีพิเศษ ไม่ต้องประมูล ไม่ต้องมีการแข่งขันราคา แต่กระทรวงการคลังก็ได้วางเงื่อนไขไว้ว่า อผศ. ต้องมีบุคคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ มีเครื่องมือ เครื่องจักรที่จะดำเนินการได้เอง จะจ้างช่วงไม่ได้ 
พฤติการณ์ที่ส่อว่ามีการทุจริต คสช. และกระทรวงกลาโหมซึ่งกำกับดูแล อผศ. ก็รู้อยู่ว่า อผศ. ซึ่งไม่มีหน้าที่ในเรื่องดังกล่าวโดยตรงย่อมไม่มีความพร้อมเรื่องบุคคลากรและเครื่องจักรในการทำงานขุดลอกคูคลองทั่วประเทศได้ ซึ่งเป็นสาเหตุให้มีการจ้างช่วงกับบริษัทเอกชนและมีข้อร้องเรียนว่ามีการกินหัวคิวกันเป็นทอดๆ และยังมีการทิ้งงานด้วย จนที่สุด ครม. จึงได้มีมติยกเลิกสิทธิพิเศษกับ อผศ.
ความเสียหายในการดำเนินการดังกล่าวมีการใช้งบประมาณไปแล้วจำนวนมากและมีผู้ที่กระทำการอันเข้าข่ายกระทำทุจริตผิดกฎหมายที่สามารถตรวจสอบได้ไม่ยาก มีการร้องไปยังนายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการ ... จนเป็นข่าวครึกโครม แต่เรื่องก็เงียบหายไป 

1.2 โครงการ 9101 ตามรอยเท้าพ่อภายใต้ร่มพระบารมีเพื่อการพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน

ข้อเท็จจริง ครม. มีมติเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2560 ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ดำเนินโครงการดังกล่าวภายใต้วงเงิน 22,752.50 ล้านบาท โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและชุมชนซึ่งโครงการนี้หากมีการบริหารจัดการที่ดี ไม่ให้มีการทุจริตก็จะเป็นประโยชน์แก่เกษตรกรและชุมชน

พฤติการณ์ที่ส่อว่ามีการทุจริต หลังมีการดำเนินโครงการ ได้มีข้อร้องเรียนจากประชาชนในหลายจังหวัดว่ามีการทุจริตในหลายขั้นตอน โดยเฉพาะการจัดซื้อพันธุ์ข้าว พันธุ์ปลา อาหารสัตว์ ปุ๋ย เครื่องพ่นยาเคมี รวมถึงอุปกรณ์การเกษตรอื่นที่มีราคาสูงกว่าราคาจริงในท้องตลาดมาก และมีการผูกขาดตัดตอนในสินค้าบางอย่าง เช่น ปุ๋ยหมักอินทรีย์

ความเสียหาย โครงการนี้เป็นโครงการเพื่อเทิดพระเกียรติ ควรที่ผู้รับผิดชอบจะต้องดำเนินโครงการด้วยความรอบคอบ ระมัดระวัง แต่กลับปล่อยให้มีการทุจริตอย่างกว้างขวางและได้มีการร้องเรียนไปยัง ... และ ... เพื่อตรวจสอบแล้ว แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้า

1.3 โครงการจัดซื้อเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด GT200
ข้อเท็จจริง เมื่อครั้งที่ พล..อนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็น ผบ.ทบ. กองทัพบกได้จัดซื้อเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด GT200 ซึ่งผลิตโดยบริษัทในประเทศอังกฤษระหว่างปี 2550-2552 จำนวน 474 เครื่อง รวมเป็น 419 ล้าน และยังมีหน่วยงานอื่นๆ ได้จัดซื้อเครื่องมือดังกล่าวอีกหลายหน่วยงาน ต่อมามีการพิสูจน์เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า เครื่องมือดังกล่าวเป็นของปลอม ไม่มีประสิทธิภาพในการใช้งานได้ และศาลอังกฤษได้ลงโทษจำคุกผู้บริหารบริษัทผู้ผลิตและสั่งห้ามการผลิตแล้ว

พฤติการณ์ที่ส่อว่ามีการทุจริต เนื่องจากเป็นการจัดซื้อโดยไม่ได้มีการตรวจสอบคุณภาพและประสิทธิภาพในการใช้งาน มีการซื้อขายในราคาที่สูงถึงเครื่องละหลายแสน ถึง 1 ล้านกว่าบาท ทั้งที่อุปกรณ์ทั้งหมดมีราคาไม่กี่ร้อยบาท สูญเสียงบประมาณไปโดยไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ

ความเสียหาย นอกจากเกิดความเสียหายต่องบประมาณแผ่นดินไปจำนวนมากแล้ว การนำเครื่องมือที่ไม่มีคุณภาพมาใช้ยังเป็นความเสี่ยงต่อเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด้วย เรื่องนี้ได้มีการร้องต่อคณะกรรมการ ... ให้ตรวจสอบมาตั้งแต่มีการพิสูจน์การใช้งานของเครื่องว่าใช้งานไม่ได้แล้ว จนต่อมาศาลอังกฤษมีคำพิพากษา แต่คณะกรรมการ ... ก็ไม่มีความคืบหน้าในการตรวจสอบ ล่าสุด เมื่อ กรกฎาคม 2559 ประธานกรรมการ ... คนปัจจุบันแถลงว่าจะสรุปเรื่องและชี้มูลความผิดผู้เกี่ยวข้องได้ในเดือนกันยายน 2559 แต่จนบัดนี้เรื่องก็ยังเงียบ ทั้งที่ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทุจริตมีพร้อม

1.4 กรณีเครือญาติของ พล..ประยุทธ์ จันทร์โอชา นำเงินหลวงฝากในบัญชีตนเองและใช้สถานที่ของกองทัพประกอบธุรกิจ

จากกรณีที่ พล..ปรีชา จันทร์โอชา น้องชายของนายกรัฐมนตรี ได้นำเงินหลวงของกองทัพภาคที่ 3 ไปฝากเข้าบัญชีของภริยาตนเอง ซึ่งเป็นการกระทำที่อาจเข้าข่ายผิดทั้งทางวินัยและอาญา รวมถึงกรณีที่บุตรชายของ พล..ปรีชา ได้ใช้สถานที่ภายในกองทัพภาคที่ 3 ซึ่งเป็นสถานที่ราชการเป็นที่ทำการของบริษัทตนเองและรับเหมางานที่เป็นคู่สัญญากับกองทัพภาคที่ 3 ด้วย

เรื่องดังกล่าว ทั้งรัฐบาล กระทรวงกลาโหมและคณะกรรมการ ... ควรที่จะมีการตรวจสอบอย่างจริงจัง และควรเปิดเผยผลสอบต่อสาธารณชน เนื่องจากบุคคลที่เกี่ยวข้องมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนายกรัฐมนตรี แต่เรื่องก็เงียบหายไป

1.5 กรณียกป่ารอยต่อชุมชน ห้วยเม็กให้บริษัทกระทิงแดงเช่า

ข้อเท็จจริง พล..อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้ลงนามเห็นชอบให้ บริษัทกระทิงแดง สร้างโรงงานในพื้นที่ป่าชุมชน .อุบลรัตน์ .ขอนแก่น โดยตามรายงานที่เสนอไปยัง มท. อ้างว่าพื้นที่มีสภาพแห้งแล้งชาวบ้านไม่ได้ใช้ประโยชน์แล้ว ซึ่งตามระเบียบ มท. กำหนดอนุญาตได้ไม่เกิน 10 ไร่ แต่อนุมัติให้เต็มพื้นที่ 31 ไร่ 2 งาน

พฤติการณ์ที่ส่อว่ามีการเอื้อประโยชน์
1) พื้นที่ป่าที่ให้เช่า ไม่ใช่ป่าเสื่อมโทรม แต่เป็นป่าที่สมบูรณ์มีแหล่งน้ำ แหล่งอาหาร ที่ประชาชนยังใช้ประโยชน์อยู่
2) ประชาชนไม่เห็นด้วย แต่กลับใช้ผลการทำประชาพิจารณ์ที่ไม่ตรงประเด็นมาเป็นข้อพิจารณา
3) มีการสร้างโรงงานรุกล้ำปิดทางสาธารณะ
4) มีการใช้ประโยชน์เกินพื้นที่ที่ได้รับอนุญาต

ความเสียหาย เมื่อได้มีการอนุมัติให้เอกชนได้ใช้พื้นที่ป่า และปรากฏว่าเป็นการกระทำไปโดยไม่ชอบถือว่าผู้ที่เกี่ยวข้องมีส่วนในการกระทำ อันเข้าข่ายเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ แม้ต่อมาจะมีการยกเลิกการอนุญาตและเอกชนได้ยุติการสร้างโรงงานแล้วก็ตาม ถือเป็นความเสียหายต่อระบบราชการและรัฐแล้ว จึงต้องมีผู้รับผิดชอบต่อเรื่องดังกล่าว

1.6 เรื่องนาฬิกาของ พล..ประวิตร วงษ์สุวรรณ

เรื่องนี้ควรต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ เนื่องจากบุคคลที่ถูกตรวจสอบเป็นผู้ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

ข้อเท็จจริงจากการตรวจสอบข้อมูลของสังคมออนไลน์ได้พบข้อเท็จจริงว่า พล..ประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้ครอบครองนาฬิกาซึ่งมีราคาแพงตั้งแต่หลักล้านถึงหลายล้าน ซึ่งมีผู้ร้องเรียนให้คณะกรรมการ ... ได้ตรวจสอบเรื่องดังกล่าว

พฤติการณ์ที่อาจเข้าข่ายเป็นความผิด กรณีที่เกิดขึ้นหากพบว่า พล..ประวิตร เป็นเจ้าของนาฬิกา ปัญหาที่ต้องพิจารณาก็จะมีในเรื่องของการไม่แจ้งในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน และเงินที่ได้มาจากการซื้อนาฬิกาดังกล่าวมาจากไหน หรือถ้าเป็นเรื่องของการที่เพื่อนให้ยืมตามที่ พล..ประวิตร ให้สัมภาษณ์ กรณีนี้ก็อาจเข้าข่ายเป็นการรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด (การให้ใช้ทรัพย์สินโดยไม่คิดมูลค่า ถือเป็นประโยชน์อื่นใดอย่างหนึ่ง) อันเป็นความผิดตามกฎหมาย ... ทั้ง 2 กรณี

ข้อเสนอในการตรวจสอบ แม้คณะกรรมการ ... จะมีหลักเกณฑ์การตรวจสอบเรื่องดังกล่าว แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เนื่องจาก พล..ประวิตร เป็นคนใน คสช. และดำรงตำแหน่งสำคัญ มีความสัมพันธ์กับประธานกรรมการ ... ด้วย จึงขอฝากให้มีการตรวจสอบเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา ตามพยานหลักฐานที่ถูกต้องแท้จริง

โดยกรณีที่อ้างว่า นาฬิกาเพื่อนให้ยืมและได้คืนไปหมดแล้วนั้น ก็ควรต้องไปตรวจสอบว่านาฬิกาแต่ละเรือนเป็นของเพื่อนคนใด และเพื่อนคนนั้นได้ซื้อมาจากที่ใด มีหลักฐานการซื้อขายหรือการเสียภาษีถูกต้องหรือไม่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากที่จะตรวจสอบ ข้อสำคัญคือ ... ต้องไม่รับฟังเฉพาะพยานบุคคลที่อ้างว่าเป็นเจ้าของนาฬิกาเท่านั้น เพราะอาจมีการสมอ้างได้ อีกอย่างเลขาธิการ ... ไม่ควรที่จะแถลงหรือแสดงความคิดเห็นในทำนองหาทางออกให้กับพล..ประวิตร เหมือนที่เคยแถลงมา นอกจากนี้ เรื่องนี้ถือว่า ... ทำงานล่าช้าไปหนึ่งก้าว เพราะเมื่อมีข้อเท็จจริงเรื่องนี้และมีการร้องขอให้ตรวจสอบ ... ควรใช้อำนาจที่มีอยู่สั่งยึดหรืออายัดนาฬิกาดังกล่าวเพื่อตรวจสอบจะได้เกิดความชัดเจน แต่อย่างไรก็ดีเมื่อพล..ประวิตร อ้างว่าได้คืนให้เพื่อนไปหมดแล้วก็ต้องไปตามยึดอายัดไว้ตรวจสอบได้เช่นกัน เป็นของเพื่อนคนไหนก็ไปตามกับเพื่อนคนนั้น

2. คณะกรรมการ ... ไม่มีความชอบธรรมในการทำหน้าที่ 
เนื่องจากรัฐธรรมนูญได้กำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ซึ่งรวมถึงกรรมการ ... ไว้ชัดเจน และสูงกว่ารัฐธรรมนูญปี 2550 เช่น กรณีเป็นผู้ดำรงตำแหน่งในหน่วยงานราชการไม่ต่ำกว่าอธิบดี ต้องดำรงตำแหน่งมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี และห้ามผู้ที่เคยดำรงตำแหน่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ เป็นกรรมการ ... หากเป็นข้าราชการการเมือง ก็ต้องพ้นตำแหน่งมาแล้วไม่น้อยกว่า 10 ปี เมื่อรัฐธรรมนูญกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามเช่นนี้ ผู้ร่างรัฐธรรมนูญต้องกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญให้มีการสรรหากรรมการในองค์กรอิสระใหม่ ไม่ใช่เขียนให้ สนช. ไปกำหนดเรื่องการดำรงตำแหน่งของกรรมการในองค์กรอิสระเอาเอง เลยทำให้เกิดกรณีบางองค์กรอิสระ เช่น กกต. และ กสม. ถูกเซ็ตซีโร่ ส่วนตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและกรรมการ ... กลับไม่เซ็ตซีโร่ ซึ่งเมื่อพิจารณาคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของกรรมการ ... ชุดปัจจุบัน พบว่า ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามถึง 7 คน จึงไม่อาจที่จะดำรงตำแหน่งกรรมการ ... ได้ตามรัฐธรรมนูญ 

การที่ให้กรรมการ ... ยังดำรงตำแหน่งต่อไปจนครบวาระ ทั้งที่ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญชัดเจน อาจมองได้ว่า ผู้ร่างรัฐธรรมนูญและสภานิติบัญญัติแห่งชาติซึ่งมาจากแม่น้ำสายเดียวกัน ร่วมมือกันใช้เทคนิคทางกฎหมาย เพื่อให้คนในกลุ่มของพวกตนได้ดำรงตำแหน่งต่อไป ซึ่งถือเป็นความล้มเหลวและการล่มสลายครั้งใหญ่ของระบบการจัดทำกฎหมายของประเทศ จึงเห็นว่าเมื่อกรรมการ ... ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ และกรรมการ ... ส่วนใหญ่ ได้รับการสรรหาในยุคของ คสช. บางคนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจใน คสช. จึงไม่มีความชอบธรรมที่กรรมการ ... เหล่านั้น จะอยู่ในตำแหน่งต่อไป

วันพฤหัสบดีที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2561

40ส.ส.เพื่อไทย ค้านป.ป.ช.ไต่สวนออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรม


ผู้สื่อข่าวรายงานจากสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ว่า เมื่อเวลา 10.00น. ที่ผ่านมา กลุ่ม 40 อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย นำโดย นายวรชัย เหมมะ อดีต ส.ส.สมุทรปราการ นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ ยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ขอให้ยุติการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณี ป.ป.ช.ตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน 40 อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่เข้าชื่อเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำผิดการชุมนุมทางการเมือง โดยระบุว่า ป.ป.ช.ไม่มีอำนาจตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนเรื่องนี้ได้ เพราะเป็นการก้าวล่วงอำนาจหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติของรัฐสภา และสมาชิกรัฐสภาที่มีเอกสิทธิ์ในการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย ที่ผ่านมา มีการตรา พ.ร.บ.นิรโทษกรรม 23 ฉบับ และการตรากฎหมายฉบับนี้ไม่ได้เอื้อประโยชน์ให้ผู้หนึ่งผู้ใดตามข้อกล่าวหา เมื่อเทียบเคียงกรณีที่ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. และน.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช.ไปร่วมเป็น กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วย ป.ป.ช. ที่แก้ไขหลักการเดิมหลายประการ เช่น ให้กรรมการที่ขาดคุณสมบัติ มีลักษณะต้องห้ามเป็น ป.ป.ช.ยังปฏิบัติหน้าที่ต่อไปได้จนครบวาระ ถือเป็นการกระทำที่เป็นผลประโยชน์ทับซ้อน มีความผิดต่อหน้าที่ร้ายแรงกว่ากรณีอดีต ส.ส. 40 คน นอกจากนี้ ยังมีคดีที่ ส.ส.หญิงพรรคเพื่อไทย ที่เป็นหนึ่งในบุคคลที่ถูกกล่าวหาเรื่องดังกล่าว ได้ยื่นฟ้องประธาน ป.ป.ช. และกรรมการ ป.ป.ช. 9 คน ต่อศาลแพ่งเรียกร้องค่าเสียหาย 1 ล้านบาท ข้อหาละเมิด ทำให้ 40 ส.ส.เกิดความเสียหายกรณีดังกล่าว ซึ่งในวันที่ 13 ก.พ. ศาลได้นัดสืบพยานนัดแรก

"พานทองแท้" ยื่นกระทรวงยุติธรรม ขอความเป็นธรรมคดีกรุงไทย


ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงยุติธรรมว่า เมื่อเวลา 10.00น. ที่ผ่านมา นายพานทองแท้ ชินวัตร ได้มอบอำนาจให้ นายชุมสาย ศรียาภัย ทนายความ มายื่นหนังสือถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม


โดยเนื้อหาในหนังสือได้ร้องขอความเป็นธรรมถึง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้รักษาการตาม พรบ.การสอบสวนคดีพิเศษฯ โดยมีอำนาจกำกับดูแลการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษดังกล่าว  โดยขอให้กำกับและสั่งการให้กรมสอบสวนคดีพิเศษและคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ปฏิบัติหน้าที่อย่างเป็นธรรม และปฏิเสธการถูกแทรกแซง ครอบงำหรือชี้นำจากพนักงานอัยการสอบสวนร่วมหรือบุคคลอื่นใด ถ้าหากมี และขอให้คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษใช้ดุลยพินิจสอบสวนพยานทุกปากที่ได้อ้างมาให้ครบถ้วน ทั้งนี้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหา ตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และขอให้สั่งการให้กรมสอบสวนคดีพิเศษพิจารณาดำเนินการขอให้นายขจรศักดิ์  พุทธานุภาพ พ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ด้วยเหตุตามที่ได้ระบุในหนังสือขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุดไว้แล้ว

ทั้งนี้ นายพานทองแท้ หวังให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจกำกับดูแลองค์กรและบุคลากรที่ปฏิบัติหน้าที่สอบสวนคดีพิเศษที่ 25/2560 ได้อำนวยความยุติธรรมเพื่อให้เกิดความชอบธรรมตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 ซึ่งมุ่งให้ประชาชนได้รับการดำเนินกระบวนการยุติธรรมที่เป็นธรรมและปราศจากการแทรกแซงหรือครอบงำ จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะได้รับการพิจารณาดำเนินการตามหนังสือขอความเป็นธรรมดังกล่าว อย่างเป็นธรรมและรวดเร็ว