วันอังคารที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

"อนุสรณ์" แนะ คสช. ทำตามสัญญา-หยุดกดดันนักศึกษาชุมนุม


นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี นายปณิธาน วัฒนายากร ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ ระบุ ฝ่ายความมั่นคงพยายามกดดันทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้มีความเคลื่อนไหว ว่า ถ้าประเมินกันตามข้อเท็จจริง การเคลื่อนไหวของกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง กลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย ฯลฯ ส่วนใหญ่เป็นนิสิต นักศึกษาคนรุ่นใหม่ ที่ทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัยเป็นหลัก ไม่มีอะไรที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ เทียบไม่ได้กับการม็อบชัตดาวน์ประเทศ ชัตดาวน์ระบบราชการ ก่อจลาจลขัดขวางการเลือกตั้ง จนวิกฤติและเสียหายอย่างมาก ถ้า คสช.มองด้วยใจที่เป็นธรรม ไม่มีอคติ มองนิสิต นักศึกษา คนรุ่นใหม่ ด้วยใจที่มีเมตตาธรรม จะเห็นว่ากลุ่มคนเหล่านี้เป็นคนรุ่นใหม่ ที่ห่วงใยประเทศ อยากให้ประเทศคืนกลับสู่ระบอบประชาธิปไตย โดยจัดให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว ซึ่งควรส่งเสริม ไม่ใช่กดดัน ถ้าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ทำตามโรดแมป และแถลงการณ์ร่วมไทย-สหรัฐอเมริกา จัดให้มีการเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน 2561 กลุ่มคนเหล่านี้ก็คงไม่ออกมา และทุกครั้งที่ออกมาก็ไม่ได้สร้างความวุ่นวาย ชุมนุมเสร็จก็แยกย้าย ทำตามสัญญาที่ประกาศไว้ทุกครั้ง รัฐบาลและคสช.เอาเวลาไปแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องให้พี่น้องประชาชนดีกว่า ส่วนกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ท่านควรเปิดพื้นที่ในการแสดงออก มากกว่าการกดดันทุกรูปแบบ เพราะไม่เกิดประโยชน์และเป็นการทำลายบรรยากาศความปรองดองสมานฉันท์ในบ้านเมือง

"จาตุรนต์" ฟ้องกระทรวงการต่างประเทศ ยกเลิกหนังสือเดินทาง ไม่เป็นธรรม


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ เวลา 13.00น. ศาลปกครองสูงสุดนัดพิจารณาคดีหมายเลขดําที่ 61/2560 อร. ระหว่าง นายจาตุรนต์ ฉายแสง ในฐานะผู้ฟ้อง กับกระทรวงการต่างประเทศกับพวกรวม 7 คน ในข้อพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐออกคําสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ณ ห้องพิจารณาคดี 4 ชั้น 3 อาคารศาลปกครอง ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร โดยนายจาตุรนต์ ระบุว่า การใช้ดุลพินิจในการออกคําสั่งยกเลิกหนังสือเดินทางทั้งสามฉบับของตนนั้น ไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม

วันเสาร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

”อนุสรณ์” ชี้ ภาพลักษณ์คอร์รัปชั่นไทยสะท้อนปัญหาทุจริต


นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี ผลดัชนีภาพลักษณ์การคอร์รัปชั่นในภาครัฐทั่วโลก (Corruption Perception Index - CPI) ประจำปี 2560 ประเทศไทยได้คะแนนซีพีไอ 37 เต็ม 100 คะแนน ได้อันดับ 96 จากเดิม 101 เมื่อปี 2559 ซึ่งไทยได้คะแนน 35 คะแนน ว่า รัฐบาลคสช. และ ป.ป.ช. อย่าเพิ่งลิงโลดใจในผลคะแนนดังกล่าว องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International -- TI) ชี้ว่า แทบไม่เห็นผลงานการปราบทุจริตของคณะรัฐประหารไทย ต่างจากที่ว่าไว้เมื่อเข้าสู่อำนาจ 4 ปีก่อน ปมแหวนมารดา นาฬิกาเพื่อน สะท้อน ช่องโหว่ของกลไกคุณธรรมจริยธรรมของไทย จากสถิติ cpi index ในรอบหลายปี พบว่า คะแนนปีนี้ดีขึ้นจากปีที่แล้ว 2 คะแนน ทำให้ลำดับดีขึ้น 5 ลำดับ แต่ก็ยังแย่กว่าปี 2558 ซึ่งเคยอยู่ลำดับที่ 76 และได้ 38 คะแนน คะแนน และลำดับที่ได้ในปีนี้ยังแย่กว่าในปี 2557 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งบริหารประเทศ และเป็นปีที่มีการรัฐประหาร สะท้อนว่าการที่รัฐบาลคสช.ประกาศจะปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น ที่มีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.เป็นประธานคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ หรือ คตช.มีพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นกรรมการ ยังไม่ประสบความสำเร็จหรือไม่ ส่วนหนึ่งของสาเหตุที่อยู่อันดับต่ำมากๆ น่าจะมาจากสภาวะบ้านเมืองที่ยังไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างเต็มที่ มีการจำกัดสิทธิเสรีภาพของประชาชน พรรคการเมืองถูกห้ามทำกิจกรรมทำให้กระบวนการมีส่วนร่วมในการตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชั่นไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่ ประชาชนสื่อมวลชนถูกกันออกมานอกวงของการตรวจสอบและไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลการตรวจสอบทุจริตคอรัปชั่นหรือไม่ ปัญหาสำคัญคือการขาดสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชนและประชาชนหรือไม่ ซึ่งรัฐบาลต้องรับสภาพข้อเท็จจริงนี้ เพื่อนำไปแก้ไขต่อไป

วันศุกร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

"สุรพงษ์" หนุนคนหนุ่มสาวตั้งพรรคการเมือง


นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในสมัยรัฐบาล ดร.ทักษิณ ชินวัตร ได้โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

คนหนุ่มสาว กับ พรรคการเมือง "ใหม่"
..................................................
เมื่อ "คนอยากเลือกตั้ง" ออกมาเรียกร้องให้การเลือกตั้งเกิดขึ้นตามกำหนด ก็มีบางเสียงบอกว่า "เลือกไปก็ได้คนเดิมๆ พรรคเดิมๆ แล้วก็จะกลับไปมีปัญหาแบบเดิมๆ"
.
วาทกรรมนี้ คิดได้ในบางมุมว่า คนพูดต้องการลดความน่าเชื่อถือของการเลือกตั้งว่า ไม่ใช่ทางออกจากปัญหาที่บ่นๆกันได้หรอก แต่ในบางมุม ผมก็เห็นประเด็นให้คิดต่อว่า ถ้าพรรคการเมืองที่เป็นตัวเลือกไม่มีวิวัฒนาการให้คนอยากเลือกตั้ง ปัญหาที่เผชิญอยู่ ก็เห็นทางออกริบหรี่อยู่เหมือนกัน
.
ลองคิดเล่นๆต่อไปอีกว่า สมมุติ ถ้าการเลือกตั้งเมื่อ 6 มกราคม พ.ศ.2544 ไม่มีพรรคไทยรักไทยเป็นตัวเลือกอยู่ในสารบบของการเลือกตั้งครั้งนั้น ถึงแม้มีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540 ประกาศใช้แล้ว แต่การเมืองไทยและสังคมไทยย่อมไม่เป็นเช่นที่เห็นในวันนี้อย่างแน่นอน
.
การเมืองไทยที่ไม่มีพรรคไทยรักไทย คงย้อนกลับไปเหมือนทศวรรษ 2530 ที่พรรคต่างๆหมุนเวียนกันขึ้นมาเป็นแกนนำรัฐบาลผสม ไม่มีการชูนโยบายในการเลือกตั้งอย่างจริงจัง หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า 30 บาทรักษาทุกโรคเป็นได้เพียงความใฝ่ฝันของคุณหมอสงวน กองทุนหมู่บ้านไม่เคยเกิดขึ้น ส่วน OTOP และ SME เป็นคำย่อที่ไม่มีใครรู้จัก และเราอาจยังทยอยจ่ายหนี้ให้ IMF อยู่
.
การเมืองไทยที่ไม่มีพรรคไทยรักไทย คงไม่มีการสร้างความขัดแย้งของสีเสื้อ เพราะเกิดการหมุนเวียนของอำนาจ ไม่มีพรรคใดชนะการเลือกตั้งทุกครั้ง ไม่ต้องอาศัยการเมืองบนท้องถนนเพื่อขับไล่รัฐบาล เพราะอายุรัฐบาลสั้นเพียง 1-2 ปี
.
การเกิดขึ้นของพรรคไทยรักไทยจึงเปลี่ยนการเมืองไทยและสังคมไทยในทศวรรษ 2540 โดยสิ้นเชิง
.
ผมคิดสนุกๆต่อไปอีกว่า ถ้าพรรคไทยรักไทยปี 2544 เดินทางข้ามเวลามาเสนอตัวรับเลือกตั้งในปี 2561 หรือ 2562 พรรคไทยรักไทยจะเป็นตัวเลือกที่เปลี่ยนการเมืองไทยและสังคมไทยได้หรือไม่
.
ฟันธงเลยว่า ไม่ได้ เพราะระบบนิเวศของสังคมเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้วกับปัจจุบันนี้แตกต่างกันมาก คนหนุ่มสาววันนี้ รับแรงกดดันจากปัญหาความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงโอกาส ความบีบคั้นจากการแข่งขัน และเทคโนโลยีใหม่ เช่น AI, Blockchain, IOT, EV ฯลฯ กำลังรื้อถอนสิ่งที่เขาเคยชินอย่างดุดันด้วยความเร็วแบบยกกำลัง ส่งผลให้เขาเหล่านั้นเรียกร้องหาพรรคการเมืองที่พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงใหญ่นี้ ซึ่งแน่นอน...พรรคไทยรักไทยยุค 2544 ทำไม่ได้
.
พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ หรือพรรคการเมืองอื่นๆที่อาสาเข้ามาบริหารประเทศในการเลือกตั้งครั้งหน้า จึงต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อรับความคาดหวังของคนรุ่นใหม่ ไม่ว่าจะเป็นแค่ การซ่อม (Fix), ปรับปรุง (Renovate) หรือใหญ่ขนาด รื้อถอน (Disrupt) ก็ตาม
.
ขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสที่ พรรคการเมือง "ใหม่" ขับเคลื่อนโดยคนรุ่นใหม่ สามารถเสนอตัวเป็นทางเลือก หากพรรคการเมืองเดิม อุ้ยอ้าย ขยับตัวไม่ทันกับการเปลี่ยนแปลงนี้
.
ผมสัมผัสได้ถึงกระแสลมของพรรคคนรุ่นใหม่ที่พัดแรงขึ้นทุกที ท่ามกลางคลื่นประชาธิปไตยของ "คนอยากเลือกตั้ง" ที่ก่อตัวใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้น
.
และเมื่อมองย้อนดูประวัติศาสตร์การเมืองไทย พรรคการเมือง "ใหม่" ก็ไม่เคยว่างเว้นจากการเมืองไทย และบางครั้งยังเคย "เขย่า" การเมืองอย่างเข้มข้นมาแล้ว
.
ในการเมืองไทยยุคปัจจุบัน หลัง 14 ตุลาคม 2516 เป็นต้นมา มีการเลือกตั้ง 3 ครั้งที่พรรคการเมืองซึ่งเพิ่งเกิดขึ้นใหม่ ได้รับเลือกตั้งอย่างมีนัยสำคัญ และมีผลต่อการเมืองไทยในขณะนั้น
.
1) การเลือกตั้งวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2522 พรรคการเมือง"ใหม่"ที่เพิ่งก่อตั้งเพียง 45 วันอย่างพรรคประชากรไทย มีนายสมัคร สุนทรเวช เป็นหัวหน้าพรรค กวาดที่นั่งในกรุงเทพมหานครไป 29 ที่นั่งจากทั้งหมด 32 ที่นั่ง เหลือเพียง 3 ที่นั่งให้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช และ นายเกษม ศิริสัมพันธ์ จากพรรคกิจสังคม และ พ.อ.ถนัด คอมันตร์ จากพรรคประชาธิปัตย์
.
2) การเลือกตั้งวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ.2535 พรรคพลังธรรมที่มี พลตรี จำลอง ศรีเมือง เป็นหัวหน้าพรรค กวาดที่นั่งในกรุงเทพมหานครไป 32 ที่นั่งจากทั้งหมด 35 ที่นั่ง เหลือเพียง 3 ที่นั่งให้ นายสมัคร สุนทรเวช และ ดร.ลลิตา ฤกษ์สำราญ จากพรรคประชากรไทย และ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จากพรรคประชาธิปัตย์
.
3) การเลือกตั้งวันที่ 6 มกราคม พ.ศ.2544 พรรคไทยรักไทยที่มี ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นหัวหน้าพรรค กวาดที่นั่งในกรุงเทพมหานครไป 29 ที่นั่งจากทั้งหมด 37 ที่นั่ง เหลือเพียง 8 ที่นั่งให้พรรคประชาธิปัตย์
.
อ่านทบทวน 3 ครั้ง คุ้นๆไหมครับ คำว่า "กวาดที่นั่งในกรุงเทพมหานคร" - พื้นที่ที่เชื่อกันว่า ไม่มีการซื้อเสียง แต่ผู้เลือกเปลี่ยนใจได้เสมอหากผู้ที่ได้รับเลือกไปแล้ว ทำงานไม่ถูกใจ และผู้เลือกพร้อมอ้าแขนรับผู้เสนอตัวรับเลือกตั้งรายใหม่ๆตลอดเวลา
.
การเลือกตั้งครั้งหน้า ผมจึงไม่เพียงอยากให้มาถึงในเร็ววัน แต่ยังอยากเห็นพรรคการเมือง"ใหม่" ที่ขับเคลื่อนโดยคนหนุ่มสาว เพื่อนำพาสังคมไทยไปสู่อนาคตที่พวกเขาใฝ่ฝัน และหากพวกเขาทำการบ้านได้ดีพอ เราอาจได้เห็นการ "กวาดที่นั่งในกรุงเทพมหานคร" อีกครั้ง
.
ที่จริงแล้ว พรรคการเมือง"ใหม่" และนักการเมือง”แบบใหม่” กำลังเป็นกระแสนิยมไปทั่วโลก เพราะคนหนุ่มสาวทั้งโลกในวันนี้ ต่างเผชิญกับแรงบีบคั้นรุนแรงอย่างที่กล่าวมาแล้วข้างต้นเหมือนๆกัน
.
อีกทั้ง คนหนุ่มสาวยังถูกผลักไสให้เป็น "คนนอก" กระเด็นไกลจากแวดวงการเมืองที่มีผลต่อชีวิตและอนาคตของเขา ดังนั้น จึงเกิดการก่อตัว เรียกร้องให้มีตัวแทนของพวกเขาที่เป็นอิสระจากพวก "ขาใหญ่" ในการเมืองแบบดั้งเดิม
.
ไม่น่าแปลกใจ ที่ตัวแทนซึ่งให้ความรู้สึกแบบ "คนนอก" จึงเป็นที่ยอมรับในกลุ่มก้อนของคนหนุ่มสาว การผงาดขึ้นมาของคนแบบ Bernie Sanders ของสหรัฐอเมริกา, Jeremy Corbyn ของอังกฤษ, Justin Trudeau ของแคนาดา, Emmanuel Macron ของฝรั่งเศส และ Pablo Iglesias ของสเปน อธิบายความคับข้องของคนหนุ่มสาวยุคนี้ได้พอสมควร
.
วันนี้ เราเห็นคนหนุ่มสาวของไทยลุกขึ้นมาแสดงความรู้สึกว่า "อยากเลือกตั้ง" อย่างคึกคัก ไม่หวั่นเกรงภยันตรายใดๆ
.
พร้อมๆกัน ก็มีคนหนุ่มสาวบางคนเริ่มคิดดังๆ ให้ได้ยิน วาดหวังถึงตัวแทนของพวกเขาในการเลือกตั้งที่จะมาถึง เช่น
.
“การเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้ดีขึ้น ไม่สามารถทำได้ชั่วข้ามคืน ต้องใช้เวลา อดทน มุ่งมั่น
แต่การใช้เวลา ไม่ได้หมายความว่า รอเวลาอย่างเดียว โดยไม่ลงมือทำ
ผมเชื่อว่า ยังมีคนรุ่นใหม่ที่มีความคิดดีๆและมุ่งมั่นตั้งใจอยากเข้ามาเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ ทำการเมืองแบบใหม่ให้ประเทศนี้อีกมาก
"การเมือง" เป็นเรื่องของเรา หากเราไม่ทำ คนอื่นก็จะเข้ามาทำ
หากเราต้องการให้การเมืองเป็นแบบใด เราต้องลงมือทำเอง
เราต้องสร้าง "ทางเลือกใหม่" ให้สำเร็จให้จงได้
"ทางเลือกใหม่" อาจไม่ชนะในวันนี้
แต่อย่างน้อย ต้องทำให้ผู้คนมี "ความหวัง" กับการเมือง...
การเมืองแบบใหม่ ประชาชนสร้างได้"
- ปิยบุตร แสงกนกกุล
.
ผมทำนายว่า หลังวันที่ 1 มีนาคมนี้ เราจะได้เห็นคนหนุ่มสาวลุกขึ้นมาตั้งพรรคการเมืองของพวกเขาเอง ขับเคลื่อนโดยวิธีคิดแบบคนหนุ่มสาว เพื่ออนาคตของสังคมไทยที่พวกเขาจะใช้ชีวิตไปอีก 50-60 ปี
.
คนรุ่นใหม่ อนาคตใหม่

"พานทองแท้" เผยภาพถ่ายล่าสุด "ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์" มีสีหน้ายิ้มแย้ม


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพานทองแท้ ชินวัตร โพสต์ภาพถ่าย คู่กับ ดร.ทักษิณ ชินวัตร และ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยระบุว่า "ฝากให้เพื่อนดู 1 นาที ลบ ทดสอบความไว จับเวลา เริ่ม" โดยในภาพ อดีตนายกรัฐมนตรีทั้ง 2 คน มีสีหน้ายิ้มแย้ม และถือเป็นการปรากฏภาพถ่ายของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร คู่กับ ดร.ทักษิณ ชินวัตร ครั้งแรกที่ถูกเผยแพร่โดยบุคคลในครอบครัว นับตั้งแต่ถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง จนต้องเดินทางลี้ภัยออกนอกประเทศ

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ก็ได้โพสต์ภาพถ่าย พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ด้วยเช่นเดียวกัน




“พิชัย” ถูกเรียกขัดคำสั่ง คสช. คาดกลบข่าวความนิยมทรุด-ทุจริตพุ่ง


นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ตามที่ได้มีหมายเรียกมาหาตนโดยแจ้งข้อหา ฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดตามประกาศ คสช. และให้ตนไปพบเจ้าหน้าที่ในวันที่ 15 มีนาคม นั้น ยังไม่รู้ว่ามีสาเหตุใด เพราะระยะหลัง ข่าวส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่สื่อคาดหวังว่าตนจะลงสมัครผู้ว่า กทม. และตนเองก็ไม่ค่อยได้วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลบ่อยนัก นอกจากจะมีสาเหตุของเรื่องที่ไม่ถูกต้องอย่างมากจริงๆ และได้มีการเสนอข้อแนะนำอย่างสร้างสรรค์เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ประชาชนเดือดร้อนตามที่ได้พูดคุยกันไว้  อีกทั้งตัวเลขเศรษฐกิจก็ดีขึ้นมาบ้างแต่ก็น่าจะดีกว่านี้มาก หากได้รัฐบาลจากการเลือกตั้งที่มีความรู้ความสามารถในการบริหาร และไม่ต้องติดกรอบปัญหาการเมืองที่ยังเป็นเงื่อนไขของหลายประเทศที่ไม่เจรจาการค้าด้วย และยังมีปัญหาการกระจายรายได้ที่มีเพียงคนจำนวนน้อยที่ได้ประโยชน์จากการเจริญเติบโต จนดูเหมือนเป็นการผูกขาดประเทศนี้ไปแล้ว ซึ่งการผูกขาดนี้จะปิดกั้นโอกาสของประชาชนส่วนใหญ่ที่จะพัฒนาก้าวขึ้นมาได้ จึงไม่เข้าใจว่าจะมาเรียกตนด้วยเหตุใด อดไม่ได้ที่จะสงสัยว่า ต้องการเรียกตนเพื่อกลบข่าวกระแสนิยมที่กำลังตกต่ำอย่างมากของรัฐบาลในปัจจุบัน อีกทั้ง กระแสการทุจริตคอรัปชั่นที่พุ่งขึ้นสูง จากมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยที่เระบุว่าดัชนีคอรัปชั่นพุ่งสูงสุดในรอบ 3 ปี และอาจมีการทุจริตคอรับชั่นพุ่งขึ้นถึง 2 แสนล้านบาท อีกทั้งดุสิตโพลล์ยังให้รัฐบาลสอบตกเรื่องทุจริตคอรัปชั่นโดยได้คะแนนเพียง 4.85 จาก คะแนนเต็ม 10 และแม้องค์กรความโปร่งใสสากลจะจัดอันดับความโปร่งใสของไทยอยู่ที่ 96 ซึ่งดีกว่าปีที่แล้วที่ 101 แต่ก็ยังต่ำกว่า ปี 2558 ที่อันดับ 76 มาก และ องค์กรความโปร่งใสสากลนี้ยังระบุว่าไทยมีการจ่ายใต้โต๊ะเป็นอันดับ 3 ซึ่งสูงกว่า กัมพูชา และ เมียนมาร์เสียอีก ดังนั้นจึงขออย่าได้นำการเรียกตนเพื่อกลบปัญหาเหล่านี้ ทั้งนี้จึงอยากถามว่า การเรียกตนทั้ง 10 หนนี้ เป็นปัญหาสิทธิมนุษยชนหรือไม่ เพราะรัฐบาลได้มีมติให้สิทธิมนุษยชนเป็นวาระแห่งชาติ แต่กลับดำเนินการตรงข้ามหมด แม้กระทั่ง องค์กรสิทธิมนุษยชนสากล เช่น ฮิวเมนไรท์วอทช์  แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ฯลฯ ยังตำหนิรัฐบาลหลายครั้ง

วันพฤหัสบดีที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

แอมเนสตี้ เปิดรายงานสถานการณ์ไทยละเมิดสิทธิมนุษยชน

แอมเนสตี้เปิดรายงานประจำปีระบุประเทศไทยยังมีปัญหาสิทธิมนุษยชนหลายด้าน โดยเฉพาะเสรีภาพในการแสดงออกและผู้ลี้ภัย ระบุรัฐบาลยังไม่ให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชนตามที่ประกาศเป็นวาระแห่งชาติและแผน Thailand 4.0


ผู้สื่อข่าวรายงานจากโรงแรม เดอะ สุโกศล กรุงเทพ ว่า เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดตัวรายงานสถานการณ์สิทธิมนุษยชนประจำปี 2560/61 ซึ่งเป็นการรวบรวมและวิเคราะห์สถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนใน 159 ประเทศทั่วโลกตลอดปี 2560 ที่ผ่านมา โดยพบว่าในหลายประเทศ ซึ่งรวมถึงประเทศไทย มีการพยายามคุกคามเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมุนมอย่างสงบของประชาชนอย่างหนัก


แอมเนสตี้พบว่าในปี 2560 นักปกป้องสิทธิมนุษยชน นักกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อม นักศึกษา ชาวบ้านที่เรียกร้องสิทธิชุมชน ทนายความ สื่อมวลชน นักวิชาการ ไปจนถึงประชาชนทั่วไปในประเทศไทยต่างถูกภาครัฐและเอกชนละเมิดเสรีภาพในการแสดงออกอย่างต่อเนื่อง โดยข้อกฎหมายที่มักถูกนำมาอ้างใช้บ่อยครั้ง ได้แก่ มาตรา 44 ในรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว มาตรา 116 ในประมวลกฎหมายอาญา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และคำสั่ง คสช. ที่ 3/2558 ซึ่งต่างมีเนื้อหาหรือการตีความที่ขัดต่อมาตรฐานด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศที่ประเทศไทยมีพันธกรณีต้องปฏิบัติตาม

ประเทศไทยยังคงส่งกลับผู้ลี้ภัยไปยังประเทศที่พวกเขาจะเสี่ยงอันตรายในปี 2560 ส่งผลให้ผู้ลี้ภัยเหล่านั้นถูกจับกุม คุมขัง เสี่ยงถูกทรมานและสังหาร หรืออาจไม่ได้รับการพิจารณาคดีที่เป็นธรรม ซึ่งถือว่าผิดกฎหมายจารีตระหว่างประเทศว่าด้วยการไม่ส่งกลับ (non- refoulement) อย่างไรก็ตาม คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบให้จัดทำระบบคัดกรองผู้ลี้ภัยแล้ว ซึ่งหากปฏิบัติตามมาตรฐานสากลได้จริงในอนาคต ก็จะถือว่าเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญของประเทศ


นอกจากนี้ รายงานแอมเนสตี้ฉบับนี้ยังให้ความสำคัญกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยอีกหลายประเด็น เช่น ระบบยุติธรรม การลอยนวลพ้นผิด การอุ้มหาย การทรมานโดยเจ้าหน้าที่รัฐ การสังหารนอกกระบวนการกฎหมาย และการค้ามนุษย์

นางปิยนุช โคตรสาร ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ตั้งข้อสังเกตว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าทางการไทยยังไม่ได้ให้ความสำคัญต่อสิทธิมนุษยชนของประชาชนอย่างแท้จริง แม้ว่าเมื่อไม่นานมานี้จะมีการประกาศให้สิทธิมนุษยชนเป็นวาระแห่งชาติและเป็นหนึ่งปัจจัยขับเคลื่อนแผนพัฒนา Thailand 4.0


“แอมเนสตี้ยินดีที่รัฐบาลไทยประกาศให้สิทธิมนุษยชนเป็นวาระแห่งชาติ ตลอดจนระบุว่าจะใช้สิทธิมนุษยชนเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อน Thailand 4.0 เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม การละเมิดสิทธิมนุษยชนยังคงถูกปล่อยให้เกิดขึ้นเป็นประจำ เห็นได้จากการคุกคาม จับกุม และดำเนินคดีประชาชนจำนวนมากที่ออกมาแสดงความคิดเห็นอย่างสงบ ไปจนถึงปัญหาสิทธิมนุษยชนด้านอื่นๆ ที่ระบุในรายงานของเราและเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาประชาชนตลอดปีที่ผ่านมา” นางปิยนุชกล่าว




"พิชัย" ถูกหมายเรียกขัดคำสั่ง คสช.


นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีพลังงาน กล่าวว่า ได้รับหมายเรียกจากเจ้าหน้าที่ตำรวจลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2561 เพื่อให้เข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจในวันที่ 15 มีนาคม 2561 ในข้อหา ฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดตามประกาศ คสช. ฉบับวันที่ 39/2557 ลงวันที่ 25 พฤษภาคม 2557 ผู้กล่าวหาคือ พันเอก วิจารณ์ จดแดง โดยนายพิชัย กล่าวว่ายังไม่ทราบว่าถูกกล่าวหาในรายละเอียดอย่างไร ทั้งนี้ ครั้งนี้เป็นการเรียกครั้งที่ 10 ที่นายพิชัย ถูกเรียก โดย 8 ครั้งแรกเป็นการเรียกปรับทัศนคติ โดยครั้งที่ 7 ถูกกักตัวอยู่ 7 วันโดยมีการคลุมหัวปิดตา ทั้งไปและกลับ และ 2 ครั้งหลังเป็นการแจ้งข้อหา โดยนายพิชัย ได้แสดงความคิดเห็นสะท้อนความเดือดร้อนของประชาชนทางเศรษฐกิจมาโดยตลอด และให้ข้อคิดและคำแนะนำกับคสช. ในการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจที่เป็นจุดอ่อนของรัฐบาลและคสช. มาตั้งแต่การปฏิวัติ

"ภูมิธรรม" แถลงพบอดีตนายกฯเป็นเรื่องปกติ-แจงข่าวเปลี่ยนผู้นำพรรคไม่มีมูล


นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย เผยแพร่ คำแถลงจากเลขาธิการพรรคเพื่อไทย โดยมีเนื้อหาดังนี้

คำแถลงจากเลขาธิการพรรคเพื่อไทย

จากกระแสข่าวการเดินทางไปพบอดีตนายกฯ ของสมาชิกพรรคเพื่อไทย และการแสดงความเห็นของบางท่านต่อกรณีดังกล่าวว่า เป็นเรื่องที่อาจมีนัยทางการเมืองหรืออาจเป็นปัญหาทางการเมืองนั้น

ผมขอเสนอความเห็นว่า การพบปะเยี่ยมเยียนบุคคลอันเป็นที่เคารพรักของตนในช่วงเวลาสำคัญๆ ตามประเพณีบางครั้ง หากจะมีและเกิดขึ้นจริงตามที่เป็นข่าวนั้น ย่อมถือเป็นเรื่องสิทธิส่วนบุคคลของสมาชิกพรรคแต่ละท่าน ที่มีความระลึกถึงและปรารถนาจะพบกับอดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ที่เคารพรักของตน เป็นการแสดงออกอย่างเปิดเผย บนพื้นฐานของความสัมพันธ์ที่มนุษย์พึงมีต่อมนุษย์ และเป็นการแสดงความเคารพนับถือตามวัฒนธรรมที่ถือปฏิบัติกันต่อมาโดยตลอด ดังเช่นในช่วงเวลาสำคัญที่เป็นเทศกาลปีใหม่ของคนไทยเชื้อสายจีน ต้องถือเป็นเรื่องปกติ ที่ไม่ได้มีนัยสำคัญทางการเมืองใดๆ แต่การแสดงออกเช่นนี้กลับถูกนำมาเป็นเงื่อนไขทางการเมืองเพื่อลิดรอนหรือตัดตอนพรรคการเมืองที่เห็นต่างเหมือนในหลายกรณีที่พรรคเพื่อไทยได้เคยถูกกระทำมาแล้ว

พรรคเพื่อไทย เป็นพรรคการเมืองซึ่งมีสถานะเป็นนิติบุคคล มีหัวหน้าพรรค รองหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค และกรรมการบริหารพรรค ซึ่งทุกท่านล้วนเป็นตัวแทนของพรรคที่ได้รับเลือกตั้งจากสมาชิกพรรคตามกระบวนการทางกฎหมายและเป็นไปตามวิถีทางในระบอบประชาธิปไตย คณะกรรมการบริหารพรรค ประกอบด้วย หัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรคและคณะกรรมการบริหารแต่ละชุดจึงถือเป็นผู้แทนพรรคการเมืองอย่างถูกต้องและชอบธรรมทั้งทางนิตินัยและพฤตินัย การตัดสินใจสำคัญใดๆ ของพรรคเพื่อไทย ล้วนดำเนินการและเกิดขึ้นโดยอาศัยกระบวนการตัดสินใจของคณะกรรมการบริหารอย่างมีระบบและแบบแผน อำนาจการตัดสินใจใดๆ ของคณะผู้บริหารพรรค จำเป็นต้องรับฟังความเห็นจากสาขาพรรค จากที่ประชุมกรรมการบริหารพรรค และที่สำคัญต้องอยู่บนพื้นฐานการรับฟังความเห็นอย่างกว้างขวางจากสมาชิกพรรค รวมถึงความต้องการของประชาชน ที่จะเป็นฝ่ายเสนอและตรวจสอบการดำเนินการตามระบบของพรรค จึงไม่สามารถที่จะมีการบงการ สั่งการ หรือโน้มน้าวใดๆ จากปัจเจกบุคคลตามที่ถูกนำมากล่าวอ้างได้ การนำประเด็นความห่วงใยมาบอกกล่าวต่อกันก็เป็นการสื่อสารเชิงบวกที่ผู้ใหญ่มีต่อบุคคลนั้นๆ ด้วยความปรารถนาดี มิใช่การสั่งการ ควบคุม กำหนดเงื่อนไขทางการเมืองต่อพรรค การนำประเด็นดังกล่าวนี้ไปสร้างเป็นเงื่อนไขในการยุบพรรค จึงเป็นบทละครเดิมๆ ที่ถูกนำมาใช้อย่างสม่ำเสมอ ในอีกด้านหนึ่งก็คือ การแสดงออกถึงความวิตกกังวลของอำนาจตนที่กำลังคลอนแคลนในปัจจุบัน จนต้องพยายามหาเหตุกลั่นแกล้ง ทำลายหรือกำจัดผู้มีความเห็นแตกต่างทางการเมืองกับฝ่ายตน ซึ่งผู้ที่รักความเป็นธรรมในสังคมต่างเข้าใจและประจักษ์ชัดกลเกมนี้อยู่แล้ว

ปัจจุบันพรรคเพื่อไทยมีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ และ พ.ร.ป.พรรคการเมือง ซึ่งกิจกรรมทางการเมืองโดยเฉพาะเรื่องการคัดเลือกตัวผู้สมัคร รวมถึงผู้นำพรรค เป็นสิ่งที่ไม่สามารถดำเนินการให้เกิดขึ้นได้ในปัจจุบัน เพราะพรรคยังไม่สามารถดำเนินกิจกรรมทางการเมืองใดๆ ได้ ฉะนั้นกระแสข่าวที่พูดถึงการจัดวางตัวผู้สมัครและผู้นำพรรคจึงไม่มีมูลความจริงทั้งสิ้น

ผมในฐานะเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ขอยืนยันอย่างหนักแน่นอีกครั้งหนึ่ง ในกรอบการดำเนินการทางการเมืองของพรรคดังกล่าวข้างต้น และพรรคได้มีการสื่อสารต่อท่านสมาชิกพรรคให้ระมัดระวังการแสดงความคิดเห็นอันจะนำไปสู่การเข้าใจผิด และเกิดการตีความที่ทำให้ผู้ที่ไม่ปรารถนาดีต่อพรรคหยิบยกมาเป็นประเด็นการสร้างความเข้าใจผิดและกล่าวหาโจมตีพรรคได้

ผมขอเรียกร้องให้ยุติการกล่าวร้ายและการสร้างความเข้าใจผิดต่อพรรคเพื่อไทย และขอใช้พื้นที่ผ่านสื่อมวลชนแลกเปลี่ยนกับทุกฝ่าย เพื่อขอให้เราช่วยกันใช้ช่วงเวลาดังกล่าวอำนวยให้เกิดความสามัคคีและการสร้างประโยชน์สุขให้เกิดขึ้นแก่พี่น้องประชาชน น่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในยามนี้

ภูมิธรรม เวชยชัย
เลขาธิการพรรคเพื่อไทย
22 กุมภาพันธ์ 2561

วันพุธที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

"เพื่อไทย" แนะสังคมจับตา รัฐใช้งบโครงการไทยนิยมยั่งยืน


นายชวลิต วิชยสุทธิ์ อดีตรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ได้ตรวจสอบที่มาของงบประมาณโครงการไทยนิยมยั่งยืนแล้ว เป็นงบประมาณเพิ่มเติมปี 2561 โดยแหล่งที่มาของงบ เป็นเงินกู้ 100,000 ล้านบาท เป็นเงินจากภาษีประชาชน 50,000 ล้านบาท ซึ่งต้องไปจ่ายชดใช้เงินคงคลัง 50,000 ล้านบาท ใช้ในโครงการไทยนิยมจริงๆ ถึง 100,000 ล้านบาท ดังนั้น จึงควรใช้อย่างประหยัด โปร่งใส มีผลตอบแทนคุ้มค่ากับเม็ดเงิน แต่การณ์กลับตรงข้าม ไม่ได้ใช้งบอย่างประหยัด และคุ้มค่ากับเม็ดเงิน นอกจากนั้น วิธีการจัดทำโครงการยังสุ่มเสี่ยงกับการทุจริต คอรัปชั่นได้ง่าย ส่อไร้วินัยการเงินการคลัง ซึ่งจะชี้ให้เห็นเป็นข้อๆได้ ดังนี้
       
1. โครงสร้างทีมขับเคลื่อนมีมากถึง 7,663 ทีม ไม่นับข้าราชการจากส่วนกลาง และฝ่ายบริหารที่จะลงไปตรวจเยี่ยม เข้าลักษณะขี่ช้างจับตั๊กแตน เฉพาะค่าอาหาร 2,000 ล้านบาท ไม่นับค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าพาหนะอีกมหาศาล
       
2. รัฐบาลนี้ประกาศจะปฏิรูปประเทศ แต่ลักษณะการจัดทำโครงการกลับโบราณ ย้อนยุคมาก คือ ตั้งงบไว้ แล้วไปหาโครงการเอาข้างหน้าตามหมู่บ้านที่จะไปเยี่ยมเยียน เพื่อให้ทันกับการใช้งบประมาณตามวงรอบงบประมาณเป็นหลัก ผลประโยชน์คุ้มค่าเป็นรอง ทั้งยังสุ่มเสี่ยงกับการทุจริต คอรัปชั่นได้ง่าย อยากสอบถามว่า ถ้าเป็นเอกชน เป็นธนาคาร มีประชาชนมาขอกู้เงินโดยยังไม่มีโครงการ ยังไม่รู้ว่าโครงการนั้นจะมีผลตอบแทนอย่างไร? คุ้มค่าหรือไม่? ธนาคารจะให้กู้หรือไม่? ในทางตรงข้าม ทีกับพรรคการเมือง รัฐบาลออกกฎหมายควบคุมยุ่บยั่บ จนแทบจะออกนโยบายมาช่วยเหลือประชาชนได้ยากอย่างยิ่ง ทั้งยังต้องจัดทำรายละเอียดขออนุญาตต่อ กกต. อีกด้วย
       
นายชวลิต กล่าวว่า “ในการคัดเลือกโครงการ เหตุใดไม่บูรณาการด้วยการใช้โครงการในแผนพัฒนาอำเภอ แผนพัฒนาท้องถิ่น หรือแผนพัฒนาจังหวัด ซึ่งผ่านการจัดทำประชาพิจารณ์และเรียงลำดับความสำคัญไว้แล้ว ทำไมจะต้องจัดทัพใหญ่โต ตีเกราะเคาะไม้ ให้สิ้นเปลืองงบประมาณโดยใช่เหตุ จึงอาจกล่าวได้ว่าองคาพยพของทีมขับเคลื่อนที่ใหญ่โต เข้าลักษณะขี่ช้างจับตั๊กแตน การใช้งบสุรุ่ยสุร่าย เข้าลักษณะตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ และตีปี๊บหาเสียงซึ่งเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง เพราะเป็นเงินภาษีประชาชน ที่สำคัญเป็นเงินไปกู้มา เฉพาะอย่างยิ่ง การตั้งงบยอดรวมไว้ แล้วไปหาโครงการเอาข้างหน้า ตามตำบล หมู่บ้าน เปรียบเสมือนแบล๊งคเช็คไว้ แล้วไปเติมเงิน เติมโครงการเอาข้างหน้าดังกล่าวข้างต้น นับเป็นการใช้งบประมาณอย่างไร้วินัย การเงิน การคลัง สุ่มเสี่ยงกระทำผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 164 จึงขอให้ผู้เกี่ยวข้องหลายหน่วยงานทบทวนการจัดทำโครงการให้รอบคอบ เริ่มตั้งแต่งบค่าอาหาร 2,000 ล้านบาท ส่อผิดวัตถุประสงค์โครงการหรือไม่? หรือมีในวัตถุประสงค์โครงการหรือไม่? นอกจากนี้องค์กรในการตรวจสอบ ได้แก่ สตง. ควรให้คำแนะนำในการใช้งบประมาณให้ถูกต้องตามระเบียบของทางราชการอย่างเคร่งครัดต่อไป”

กลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้องเลือกตั้ง ยื่นวินิจฉัย คำสั่งคสช. ขัดรัฐธรรมนูญ


ผู้สื่อข่าวรายงานจากสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ นางสาวณัฏฐา มหัทธนา ตัวแทนกลุ่มผู้ชุมนุมที่เรียกร้องให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว เข้ายื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขอให้ศาลคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพตาม มาตรา 213 ของรัฐธรรมนูญ เนื่องจากถูกพนักงานสอบสวนตั้งข้อกล่าวหาตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 3/2558 ข้อ 12 ที่ห้ามมั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมือง ณ ที่ใดๆ เกินกว่า 5 คน  โดยเห็นว่าคำสั่งห้ามชุมนุมดังกล่าวขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ที่คุ้มครองเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ ที่สำคัญคำสั่งดังกล่าวยังขัดต่อหลักนิติธรรม เพราะไม่ได้ออกมาเพื่อคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ แต่ออกมาเพื่อคุ้มครองการรัฐประหาร ทั้งยังขัดต่อสิทธิมนุษยชนที่ถือว่าการชุมนุมเป็นเสรีภาพเช่นกัน   ขณะนี้มีกฎหมายสองฉบับขัดกันเอง คือคำสั่งห้ามชุมนุมกับรัฐธรรมนูญ  ซึ่งรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุด  คำสั่งดังกล่าวย่อมใช้บังคับไม่ได้

"มีศาลที่เกี่ยวข้องได้คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพประชาชน  เช่น ศาลปกครองคุ้มครองการทำกิจกรรมของกลุ่ม We Walk, ศาลอาญากรุงเทพใต้คุ้มครองสิทธิของผู้ต้องหาตามรัฐธรรมนูญ ที่ไม่รับคำร้องฝากขังกลุ่มผู้ชุมนุมเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว และล่าสุด คือ ศาลแพ่งคุ้มครองการชุมนุมของม็อบเทพา วันนี้ต้องมาศาลรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นอำนาจหน้าที่ของศาลรัฐธรรมนูญอันเป็นหลักให้พึ่งพาได้  ทั้งนี้เชื่อมั่นว่าศาลรัฐธรรมนูญจะเร่งพิจารณาโดยเร็ว เพราะเรื่องนี้ประชาชนคอยจับตาและให้ความสนใจ" นางสาวณัฏฐา กล่าว











วันอังคารที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

“ลดาวัลลิ์” โต้เดือดอังกฤษพาดพิงไทย ค้าประเวณีดึงนักท่องเที่ยว


นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน และประธานชมรมเสียงสตรีแห่งประเทศไทย เรียกร้องให้กระทรวงการต่างประเทศประท้วงต่อคำพูดของ นายบอริส จอห์นสัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษ ที่กล่าวพาดพิงถึงประเทศไทยในทางเสียหาย ว่าประเทศไทยใช้ธุรกิจค้าประเวณีหรือเซ็กส์ทัวร์มาดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษให้มาเที่ยวประเทศไทย

นางลดาวัลลิ์ กล่าวว่า รู้สึกผิดหวังต่อบทบาทของคนระดับรัฐมนตรีต่างประเทศอย่าง นายบอริส จอห์นสัน ที่พูดเช่นนี้เพราะคำพูดของเขาทำลายชื่อเสียงเกียรติและศักดิ์ศรีของประชาชนทั้งสองประเทศ คือทั้งอังกฤษและประเทศไทย ตนเชื่อว่าชาวอังกฤษที่มาเที่ยวประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นคนดีมีจริยธรรมและมาเป็นครอบครัวเพื่อมาท่องเที่ยว ในสถานที่อันงดงามที่มีอยู่ทั่วประเทศไทย มาชิมอาหารไทย มาชื่นชมวัฒนธรรมไทยที่มีความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธุ์ ตนขอยืนยันว่าประเทศไทยไม่มีนโยบายใช้การค้าประเวณีหรือเซ็กส์ทัวร์มาเป็นเครื่องมือดึงดูดนักท่องเที่ยว ตามที่นายบอริสกล่าวถึงเลย ตรงกันข้ามประเทศไทยได้เฝ้าระวังต่อปัญหาดังกล่าว ทั้งมีการป้องกันปัญหาที่ต้นเหตุและที่ปลายเหตุ ดังจะเห็นว่าประเทศไทยมีกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษาเรียนก่อนผ่อนคืนทีหลัง มีโรงเรียนขยายโอกาสถึงชั้นมัธยมต้นครบทุกตำบลจนเด็กไทยเข้าสู่ระบบการศึกษาภาคบังคับตามเป้าหมายทุกปี มีกองทุนหมู่บ้านมีกองทุนชุมชนมีกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีเพื่อให้สตรีไทยกู้ยืมในอัตรดอกเบี้ยต่ำไปประกอบอาชีพมีรายได้เลี้ยงตนเองอย่างสุจริต

นางลดาวัลลิ์ กล่าวว่า "อยากจะเชิญนายบอริสฯ มาเที่ยวประเทศไทยสักครั้งจะได้หูตาสว่างมากขึ้นกว่านี้ จะได้ปรับทัศนคติต่อผู้หญิงไทยและประเทศไทยเสียใหม่ จะได้มีสติไม่พลาดพลั้งจนถูกสังคมประนามและขับไล่ให้ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในขณะนี้"

“ณัฐวุฒิ” หนุนคนหนุ่มสาวแสดงพลังอยากเลือกตั้ง-แนะรัฐหยุดปรามาส


นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. กล่าวว่า “ผมคิดว่าข้อเรียกร้องถึงนักการเมืองทุกฝ่ายให้ออกมาร่วมต่อสู้กับกลุ่มคนอยากเลือกตั้งนั้นเป็นท่าทีที่สร้างสรรค์ แสดงวุฒิภาวะของแกนนำ นักการเมืองจะตอบสนองอย่างไรภายใต้เหตุผลแบบไหน สถานการณ์จะอธิบายความจริงทั้งหมด ทั้งนี้ อยากเสนอเพิ่มเติมให้มีแนวทางสื่อสารความคิดประสานพลังกับคนหนุ่มสาวและนิสิตนักศึกษาให้คมชัดเป็นรูปธรรมมากขึ้น เพราะเป็นกลุ่มพลังที่ยังไร้บาดแผลจากการต่อสู้ สามารถกำหนดอนาคตของสังคมได้เหมือนที่เคยปรากฏในหลายประเทศ คนที่ลุกขึ้นเรียกร้องสิทธิเสรีภาพให้คนทั้งสังคมได้ย่อมไม่ใช่เด็ก ส่วนคนที่คิดว่าอำนาจต้องอยู่ในมือพวกตัวเท่านั้น ยิ่งอยู่นานยิ่งดี ก็ไม่ถือว่าเป็นผู้ใหญ่ ไม่มีใครอายุน้อยเกินไปที่จะต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และไม่มีใครอายุมากเกินไปจนไม่ต้องรับฟังเสียงประชาชน ทุกอย่างชี้ขาดโดยหลักการที่ถูกต้อง”

นายณัฐวุฒิ กล่าวด้วยว่า “ในส่วนของ นปช. นั้นผมเคยแสดงจุดยืนไปแล้วว่า สนับสนุนทุกการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยโดยหลักสันติวิธี แม้วันนี้เราจะอยู่ในสภาพเหมือนเลือดโทรมกาย มากด้วยข้อจำกัดในการเคลื่อนไหว แต่เป็นหน้าที่ที่จะต้องยืนหยัดและผ่านไปให้ได้ ทั้งนี้ ขอชื่นชมกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง เชื่อว่ามาถูกทางแล้ว เพราะการเลือกตั้งเป็นข้อเรียกร้องขั้นพื้นฐานที่สุด แต่วันนี้กลายเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอนที่สุด รัฐบาลไม่ควรมองเป็นปฏิปักษ์หรือแสดงการปรามาสด้วยการบอกว่ามีเบื้องหลังหรือท่อน้ำเลี้ยง หน่วยข่าวที่เกาะติดมาตลอดย่อมรายงานข้อเท็จจริงได้ว่าไม่มี วันนี้ขบวนการอยากเลือกตั้งมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ขบวนการยื้อเลือกตั้งต่างหากที่พยายามทำให้ซับซ้อน ถ้ามีใครกำลังทำแบบนั้นขอให้รู้ไว้ว่าปิดไม่มิด ไม่เห็นวันนี้วันหน้าก็ต้องชัดว่าทำเพื่อประชาชนหรือเพื่ออำนาจของใคร อยากให้ดูกรณีเศรษฐียิงเสือดำเป็นตัวอย่าง วันหนึ่งคนก็ต้องเห็นกองอุจจาระที่ทิ้งไว้”

"เรืองไกร" ยื่นสอบ ครม.-คสช. ถือหุ้นขัดรัฐธรรมนูญ


นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกวุฒิสภา เดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อ กกต. ขอให้ดำเนินการตรวจสอบ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ กรณีการถือหุ้น SCC ของ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) จำนวน 5,000 หุ้น ว่าเป็นหุ้นสัมปทานหรือไม่? ซึ่งอาจเป็นการกระทำที่เข้าข่ายขัดกันแห่งผลประโยชน์ ตามหมวด 9 ของรัฐธรรมนูญ 2560 และอาจเข้าข่ายขาดคุณสมบัติตามมาตรา 186 ประกอบมาตรา 184 วรรคหนึ่ง (2) ประกอบมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) หรือไม่? พร้อมทั้งขอให้ กกต. ดำเนินการตามมาตรา 170 วรรคสาม ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไป

โดย นายเรืองไกร กล่าวว่า “จากกรณีที่ นพ.ธีระเกียรติ ได้มีการยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. 4 ครั้ง โดยพบว่าการยื่นในตำแหน่ง รมช.ศึกษาธิการ 3 ครั้งแรก มีหุ้น SCC ของบริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) 4,200 หุ้น แต่การยื่นครั้งหลังสุดพบว่ามีจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้น 800 หุ้น รวมเป็น 5,000 หุ้น จึงควรตรวจสอบว่า หุ้นจำนวน 800 หุ้น ได้มาในระหว่างการดำรงตำแหน่งหรือไม่? เพราะถ้าได้มาภายหลังรัฐธรรมนูญใช้บังคับและยังคงถืออยู่ กกต. ก็จะต้องตรวจสอบ ตามมาตรา 186 ประกอบ 184 (2) ส่วนการที่ นพ.ธีระเกียรติ อ้างความเห็นกฤษฎีกานั้น ผมได้ค้นหาข้อมูลดังกล่าวไม่เจอ แต่พบเพียงว่ากฤษฎีกาเคยตีความ พ.ร.บ.การเป็นหุ้นส่วนของรัฐมนตรี ที่ตีความว่า ครม. ต้องทำตามรัฐธรรมนูญ จะไม่ทำตามไม่ได้ ส่วนความเห็นของนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ที่บอกว่าหุ้นเป็นเรื่องของมาตรา 187 นั้น ไม่เกี่ยวกันเพราะหุ้นสัมปทานเพียงหุ้นเดียวก็ถือไม่ได้ นอกจากนั้นจะต้องตรวจสอบเรื่องที่ นพ.ธีระเกียรติ อ้างว่าคนอื่นก็มีหุ้นในลักษณะดังกล่าวนั้นเป็นผู้ใด? และ นพ.ธีระเกียรติก็ควรต้องเปิดเผยออกมา ดังนั้นจึงให้ กกต. และศาลรัฐธรรมนูญตัดสินและวินิจฉัย”

นายเรืองไกร กล่าวอีกว่า "ขอให้ กกต.เร่งพิจารณากรณีคุณสมบัติ 9 รัฐมนตรี ที่ได้ยื่นเรื่องให้ กกต. พิจารณาไปตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคม 2560 ที่ถือครองหุ้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ แต่ปรากฏว่ายังไม่มีความคืบหน้าในการตรวจสอบ ดังนั้น ภายใน 1-2 เดือนนี้ จะยื่นหนังสือทวงถามต่อ กกต. อีกครั้ง ในขณะเดียวกันก็อยากให้ กกต. ชุดปัจจุบันเร่งดำเนินการตรวจสอบให้แล้วเสร็จก่อนที่จะพ้นจากตำแหน่ง"

วันจันทร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ตรุษจีนปากน้ำโพสุดยิ่งใหญ่ สวมชุดแดง-แห่มังกรทอง-เชิดสิงโต


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดทั้งวันตั้งแต่ช่วงเช้าที่ผ่านมา จังหวัดนครสวรรค์ทำการปิดถนนรอบเมืองปากน้ำโพ เพื่อรับขบวนแห่เจ้าพ่อเจ้าแม่ปากน้ำโพ ‪ในงานตรุษจีนนครสวรรค์ (ตรุษจีนปากน้ำโพ) ปี 2561 โดยขบวนแห่ภาคกลางวัน เช้าจนถึงค่ำวันนี้ตรงกับวันชิวสี่ จะมีการแห่เชิดมังกรทองแบะสิงโตไปอวยพรตามบ้านเรือนประชาชน ‬เริ่มต้นตั้งแต่ถนน พหลโยธินหน้าอุทยานนครสวรรค์ เมืองนครสวรรค์ แยกสะพานเดชาติวงศ์ เข้าเทศบาลนครนครสวรรค์ เมืองปากน้ำโพ ผ่านถนน สวรรค์วิถี ถนนโกสีย์ ถนนวงษ์สวรรค์ ถนนมาตุลี กลางเมืองปากน้ำโพ โดยขบวนจะไปสิ้นสุด ที่บริเวณต้นน้ำเจ้าพระยา พร้อมการแสดงเชิดมังกรทอง และสิงโต บริเวณหาดทรายริมน้ำเจ้าพระยา ให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวได้ชมเป็นวันสุดท้ายของตรุษจีนปี 2561 นับเป็นการจัดงานตรุษจีนที่ยิ่งใหญ่และยาวนานที่สุดในประเทศไทย รวมกว่า‪ 12 วัน 12 คืน ระหว่างวันที่ 9–20 กุมภาพันธ์ 2561 ขณะที่ประชาชนจำนวนมากสวมใส่เสื้อผ้าสีแดงซึ่งเป็นสีมงคล คอยต้อนรับขบวนแห่ตลอดสองข้างทาง‬