วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2558

"ชัจจ์" แจงเลื่อนฟังคำพิพากษา พร้อมสู้คดีหมิ่น "สมยศ"


วันนี้ (30 กันยายน 2558 ) เวลา 11.00 น. ณ ห้องประชุมโรงพยาบาลพระราม พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย แถลงชี้แจงกรณีไม่ไปฟังศาลนัดอ่านคำพิพากษาคดีหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 , 328 พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง  ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จากกรณี พล.ต.ท.ชัจจ์ ให้สัมภาษณ์ หนังสือพิมพ์ คม ชัด ลึก ฉบับวันที่ 25 มกราคม 2556 และให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนโดยมีเจตนาให้บุคคลอื่นเข้าใจว่า พล.ต.อ.สมยศ เป็นคนไม่ดี และใช้อำนาจในทางที่ผิด ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง

โดย พล.ต.ท.ชัจจ์ กล่าวว่า แต่เดิมศาลนัดฟังคำพิพากษาวันที่ 25 ก.ย. แต่เมื่อสายวันที่ 24 ก.ย. ตนมีอาการวิงเวียนศีรษะ มึนงง อ่อนเพลีย เนื่องจากมีหลายโรครุมเร้า จึงเข้ารับการตรวจที่โรงพยาบาลกรุงเทพ สนามจันทร์ จ.นครปฐม ซึ่งแพทย์ได้รับตัวไว้เพื่อดูอาการ จนเมื่อวันที่ 25 ก.ย. อาการไม่ดีขึ้น จึงส่งทนายไปแจ้งต่อศาลเพื่อขอเลื่อนฟังคำพิพากษา ศาลจึงเลื่อนนัดเป็นวันที่ 28 ก.ย.

ต่อมา แพทย์โรงพยาบาลกรุงเทพ สนามจันทร์ จ.นครปฐม ได้แจ้งต่อตนว่าอาการยังไม่ดีขึ้น จึงแนะนำให้ไปพบแพทย์ที่เคยรักษาจะดีกว่า จากนั้นวันที่ 26 ก.ย. จึงทำการส่งตัวมาที่ รพ.พระรามเก้า โดยแพทย์ได้ทำการล้างท้องตั้งแต่คืนวันที่ 27 ก.ย. และนัดผ่าตัดก้อนเนื้องอกในลำใส้ใหญ่จำนวน 5 จุด เวลา 09.00 น. ของวันที่ 28 ก.ย. ซึ่ง พล.ต.ท.ชัจจ์ ได้มอบหมายให้ทนายไปแจ้งต่อศาลแล้ว แต่ศาลก็ยังคงออกหมายจับโดยเห็นว่ามีเจตนาหลบหนี เจ็บป่วยซ้ำซาก

พล.ต.ท.ชัจจ์ กล่าวย้ำว่า ไม่มีเจตนาหลบหนีใดๆทั้งสิ้น ตนเป็นตำรวจ เคารพอำนาจศาล เป็นข้าราชการการเมืองมา 2 ปี เคารพต่อหน้าที่ ซึ่งขอยืนยันว่าเมื่อหายป่วยจะไปแสดงตนต่อศาลทันที

ด้านนายภานุรัตน์ บุญญะกิจ ทนายความของ พล.ต.ท.ชัจช์ ระบุว่า ตนเตรียมไปยื่นขอความเมตตาต่อศาล และขอผ่อนผันการยึดเงินประกัน ซึ่งนัดต่อไปศาลมีกำหนดนัดฟังคำพิพากษาอีกทีในวันที่ 11 พ.ย. ซึ่งคิดว่าไม่มีปัญหา

เมื่อกล่าวถึงคดี พล.ต.ท.ชัจจ์ ได้ยืนยันว่าตนความบริสุทธิ์ พูดความจริงมาโดยตลอด และพร้อมจะสู้คดีจนถึงที่สุด














สั่งการมาแล้ว 3 เดือน รัฐเดินหน้า "ซิงเกิ้ลเกตเวย์" เต็มสูบ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังเครือข่ายสังคมออนไลน์ ได้ วิพากษ์วิจารณ์กรณี ทางการไทย เตรียมติดตั้ง ซิงเกิ้ลเกตเวย์ ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าจะมีการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล อย่างการล้วงข้อมูล หรือดักจับข้อมูลของทางรัฐบาลผ่านทางซิงเกิ้ลเกตเวย์ ขณะที่ทางการไทย โดย นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) ระบุผ่านสื่อมวลชนว่า "การดักจับข้อมูลไม่เหมาะสมไหลเข้าประเทศ ถือเป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องดำเนินการอยู่แล้ว" นั้น

ล่าสุด  ศูนย์บริการข้อมูลมติคณะรัฐมนตรี มีการเผยแพร่ ข้อสั่งการ ของนายกรัฐมนตรี ที่ นร.0505/ว.199 ลงวันที่ 3 กรกฎาคม 2558 ซึ่งเป็นเอกสารเผยแพร่ของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ทำเนียบรัฐบาล สรุปการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2558 ระบุว่า ให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกันกำหนดมาตรการในการแก้ปัญหาดังกล่าว รวมทั้งให้กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงยุติธรรม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ดำเนินการจัดตั้ง Single Gateway เพื่อใช้เป็นเครื่องมือควบคุมเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสม และการไหลเข้าของข้อมูลข่าวสารจากต่างประเทศผ่านทางระบบอินเทอร์เน็ต โดยให้ตรวจสอบข้อกฏหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งหากมีความจำเป็นต้องออกกฏหมายเพิ่มเติม ก็ให้เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็วต่อไปด้วย


วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2558

"วรชัย" ชี้ปม "อุยกูร์" ต้นเหตุระเบิดราชประสงค์


นายวรชัย เหมะ อดีตส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร. ออกมาระบุเรื่องเหตุระเดิบที่แยกราชประสงค์มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มการเมือง ว่า ตนเห็นว่าที่ออกมาพูดประเด็นนี้มีนัยยะเพื่อต้องการทำให้สอดคล้องกับที่ฝ่ายรัฐบาลพยายามพูดอยู่เสมอว่า เป็นเรื่องการเมืองฝ่ายตรงข้าม

ผบ.ตร.มีการบอกถึงบุคคลชื่อ “นายอ๊อด” โดยระบุว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดที่มีนบุรี และบางบัวทอง ซึ่งตนเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่านายอ๊อดเป็นใคร ตนเห็นว่าเหตุระเบิดที่ราชประสงค์เป็นเรื่องของอุยกูร์แน่นอน จะมองเป็นเรื่องการเมืองฝ่ายตรงข้ามทำนั้นเป็นไปไม่ได้เลย

“เป็นเรื่องของความพยายามที่จะทำให้เป็นเรื่องการเมือง ไม่รู้ว่าผบ.ตร.คิดอะไรอยู่ แต่เห็นว่าพยายามจะแขวะให้มีการเมืองมาเกี่ยวข้องสักนิดก็ยังดี ก็ไม่รู้ว่าที่ทำอย่านี้เพราะหวังตำแหน่งทางการเมืองในอนาคตหรือไม่ รับใบสั่งใครมาหรือเปล่า ไม่อยากให้ทำเพื่อประโยชน์ของใครคนใดคนหนึ่ง” นายวรชัย กล่าว

นายวรชัย กล่าวว่า  การที่บอกว่าฝ่ายการเมืองเกี่ยวข้องนั้น ไม่ถูกต้อง โดยหลักแล้วกลุ่มการเมืองทุกคนกลุ่มก็เป็นคนไทย ทั้งเสื้อเหลือง เสื้อแดง หรือฝ่ายทหาร ไม่มีใครทำอย่างนี้แน่นอน เพราะเป็นการกระทำที่หวังถึงชีวิตคน ทำให้ชื่อเสียงประเทศชาติเสียหาย

"จตุพร" ติงคดีระเบิดราชประสงค์ จับสังเกตทางการไทยโยง “อ๊อด”


นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวในรายการมองไกล ผ่านยูทูป ว่า โดยสงสัยการทำหน้าที่คลี่คลายคดีวางระเบิดศาลท้าวมหาพรหม แยกราชประสงค์ ว่า

พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เหลืออายุราชการอีกเพียง 2 วัน แต่เร่งรีบปิดคดี แต่พยายามนำข้อมูลใหม่ลากโยงถึงคนไทยที่เคยเกี่ยวข้องกับคดีระเบิดสมานเมตตาแมนชั่น รวมทั้งนำคดีระเบิดที่มีนบุรีเข้ามาพัวพัน เพื่อให้เลี้ยวมาถึงคนเสื้อแดงเป็นผู้ต้องสงสัยของสังคม

นายจตุพร กล่าวว่า การแถลงปิดคดีดังกล่าวมีขึ้นเมื่อวันที่ 28 กันยายนที่ผ่านมา พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า ได้ออกหมายจับผู้ต้องสงสัยทั้งสิ้น 17 คน แต่จับกุมชายชาวต่างชาติได้เพียง 2 คน คือ นายเมียไรลี ยูซูฟู กับนายอาเด็ม คาราดักหรือบิลาล มูฮัมเหม็ด หรือไบลาล มูฮัมมัด ส่วนที่เหลืออีก 15 คน รวมทั้งนายอ๊อด พยุงวงศ์ หรือยงยุทธ พบแก้ว คนไทยที่มีส่วนพัวพัน ยังติดตามตัวไม่ได้ โดยอ้างคดีเกิดจากปัญหาการค้ามนุษย์ชาวอุยกูร์ และอาจมีการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องในฐานะจ้างวานให้กระทำ

นายจตุพร กล่าวอีกว่า สำหรับพิรุธการแถลงปิดคดีระเบิดนั้น การนำคดีเก่าที่ยังจับตัวคนร้ายมาลงโทษไม่ได้ เช่น ระเบิดที่สมานเมตตาแมนชั่นในปี 2553 และระเบิดที่มีนบุรีเมื่อปี 2557 เข้ามาพัวพันด้วย จึงเป็นการพยายามลากโยนให้เลี้ยวไปสู่ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง เป็นสาเหตุของคดีวางระเบิดศาลท้าวมหาพรหมเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม ที่ผ่านมา ซึ่งมีคนตายมากถึง 20 คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการระบุถึงนายอ๊อด ซึ่งเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีระเบิดสมานเมตตาแมนชั่น เพื่อจะนำมาเชื่อมโยงถึงคนเสื้อแดงให้เข้าไปพัวพันกับคดีระเบิดนั้น นายจตุพร ได้ปฏิเสธว่า ไม่เคยรู้จักนายอ๊อด รวมทั้งสงสัยว่า เมื่อนายอ๊อดเคยถูกจับ ศาลพิพากษาจำคุก 1 ปี แต่รอลงอาญาไว้ ได้กลายเป็นคนไทยที่ไม่มีเลขที่บัตรประชาชนได้อย่างไรกัน และไม่น่าเป็นไปได้

นายจตุพร กล่าวว่า เมื่อตำรวจพยายามเลี้ยวมาให้เป็นสาเหตุเกิดจากทางการเมืองแล้ว ตนขอให้ช่วยกันประณามกลุ่มการเมือง พรรคการเมือง ที่สมคบคิดการวางระเบิดว่า เป็นพวกจิตใจผิดมนุษย์ แต่ยังสงสัยว่า การเมืองทำแล้วได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา ซึ่งไม่มีเหตุผล และเป็นการโยนข้อกล่าวหากันอย่างมั่วไปหมดพร้อมกับกล่าวความสงสัยว่า การแถลงข่าวปิดคดีวางระเบิดนั้น ได้ระบุสาเหตุว่า เกิดจากการค้ามนุษย์ชาวอุยกูร์ ซึ่งไม่น่าเป็นความจริง เพราะชาวอุยกูร์ออกจากชินเจียงประเทศจีนมีเป้าหมายการเดินทางชัดเจนว่า ไปประเทศตุรกี เพื่อพักอาศัยอยู่กับชนเชื้อชาติเดียวกัน

จึงแตกต่างจากชาวโรฮิงยาที่มีปัญหาจากการค้ามนุษย์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย การยกสาเหตุค้ามนุษย์ชาวอุยกูร์มาอ้างยังมีความน่าสงสัยอยู่มาก เพราะถ้าค้ามนุษย์กันจริงแล้ว ทำไมไทยต้องส่งตัวผู้หญิงและเด็กไปประเทศตุรกี ส่วนชายฉกรรจ์แยกออกมาส่งเป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปให้ประเทศจีน ซึ่งความสงสัยเช่นนี้ย่อมบอกได้ชัดเจนถึงข้อพิรุธการอ้างเหตุการค้ามนุษย์ได้เป็นอย่างดี

"ขอเรียกร้องให้ตำรวจสอบสวนและติดตามจับกุมผู้ต้องหาด้วยความระมัดระวังโดยยกคดีการฆาตกรรมนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ 2 คนที่เกาะเต่า จ.สุราษฏร์ธานี ว่า คดีเกาะเต่าตำรวจจับกุมชาวพม่าเป็นผู้ต้องหา ซึ่งคนบนเกาะเต่าต่างรู้กันดีว่า ไม่เป็นความจริง และแพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านนิติเวชศาสตร์ ให้การฐานะพยานในชั้นศาลว่า ไม่พบดีเอ็นเอของผู้ต้องหาบนจอบที่เป็นอาวุธสังหาร รวมทั้งตำรวจนำตัวชาวโรฮิงญาขายโรตีบนเกาะเต่า ซึ่งกลัวตำรวจอยู่แล้วมาเป็นล่าม ไม่ใช้เจ้าหน้าที่สถานทูตพม่า จึงเป็นพิรุธในการทำหน้าที่ของตำรวจ

ดังนั้น การทำคดีวางระเบิดที่เกี่ยวข้องกับชาวอุยกูร์จึงต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง เพราะในเบื้องต้นข้อมูลเกี่ยวกับนายอาเดมยังขัดแย้งกัน โดยระเบิดเกิดขึ้นในวันที่ 17 สิงหาคม แต่นายอาเดมเดินทางเข้าประเทศไทย เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม เพื่อจะไปทำงานที่ประเทศมาเลเซีย แล้วมาถูกจับกุมได้ในวันที่ 29 สิงหาคมที่ผ่านมา จากนั้นช่วงนายอาเดมถูกขังในคุก ก็กลายเป็นชายเสื้อเหลืองมือวางระเบิด ทั้งๆ ที่รูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกัน" นายจตุพร ระบุ

นายจตุพร กล่าวอีกว่า ต้องรอข้อมูลจากนายชูชาติ กันภัย ทนายความนายอาเดมอีกครั้งหนึ่งว่า ได้รับสารภาพเป็นชายเสื้อเหลืองมือวางระเบิดหรือไม่ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ได้ปฏิเสธไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ตนไม่ต้องการให้ตำรวจเร่งรีบจนขาดการระมัดระวัง เพราะตอนนี้เกิดการโยงข้อมูลจนมั่วไปหมด เริ่มจากเป็นสาเหตุการส่งชาวอุยกูร์กลับจีน แล้วมาเกิดปัญหาจากการค้ามนุษย์อุยกูร์ และพยายามโยงมาถึงระเบิดสมานเมตตาแมนชั่น เพื่อเชื่อมโยงไปถึงนายอ๊อดที่ไม่มีเลขบัตรประชาชน ทั้งหมดนี้คงจะให้เลี้ยวมาถึงเป้าหมายคนเสื้อแดงให้เข้าไปเกี่ยวข้อง ซึ่งคนทั่วไปสามารถเข้าใจได้ทันที ดังนั้น ตนขอให้รอบคอบ ยึดกระบวนการยุติธรรมไว้เป็นหลัก เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้ประเทศ

“นรวิชญ์” FB แจงกรณีจำนำข้าว การสั่งฟ้อง “ยิ่งลักษณ์” ไม่สมบูรณ์


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความในเครือข่ายสังคมออนไลน์ Facebook : Norrawit Larlaeng โดยมีเนื้อหาดังนี้

นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ยื่นฟ้องต่อศาลอาญากับนายตระกูล วินิจนัยภาค อัยการสูงสุด และพวกจากกรณีสั่งฟ้องและดำเนินคดีในโครงการรับจำนำข้าวโดยผิดกฎหมาย

ในวันนี้ (29 กันยายน 2558) นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะโจทก์ พร้อมนายสมหมาย กู้ทรัพย์ ทนายความได้เดินทางไปที่ศาลอาญา ยื่นฟ้อง นายตระกูล วินิจนัยภาค อัยการสูงสุด กับ นายสุรศักดิ์ ตรีรัตน์ตระกูล อธิบดีอัยการฝ่ายสอบสวนและพนักงานอัยการอื่นอีกรวมจำนวน 4 คน ในความผิดอาญาฐานร่วมกันปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 มาตรา 200 และมาตรา 83 โดยเป็นการกระทำผิดต่างกรรมต่างวาระกันรวม 3 กรณีดังต่อไปนี้

กรณีที่หนึ่ง นายตระกูล กับพวกได้ร่วมกันพิจารณาสำนวนของ ป.ป.ช. ที่กล่าวหานางสาวยิ่งลักษณ์ ว่าได้กระทำความผิดในโครงการรับจำนำข้าวเมื่อครั้งนางสาวยิ่งลักษณ์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งพบว่าการไต่สวนของ ป.ป.ช. นั้นมีข้อไม่สมบูรณ์ที่ไม่เพียงพอจะดำเนินคดีได้ถึง 4 ประเด็น

ดังนั้นเพื่อให้การแสวงหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม เพียงพอต่อการพิจารณาว่าจะมีการสั่งฟ้องคดีกับ นางสาวยิ่งลักษณ์ ตามที่ ป.ป.ช. กล่าวหาหรือไม่ นายตระกูล ในฐานะอัยการสูงสุด จึงได้ส่งเรื่องข้อไม่สมบูรณ์ ดังกล่าวไปให้ ป.ป.ช. ดำเนินการพร้อมกับนายตระกูล ได้แต่งตั้งคณะทำงานที่เป็นพนักงานอัยการ เข้าร่วมพิจารณาดำเนินการกับทาง ป.ป.ช. โดยมีนายวุฒิพงศ์ วิบูลย์พงศ์ รองอัยการสูงสุด เป็นประธานคณะทำงานร่วมกับทาง ป.ป.ช. ซึ่งคณะทำงานร่วมกันของ ป.ป.ช. กับพนักงานอัยการ จะต้องดำเนินการและพิจารณาเรื่องด้วยความรอบคอบรัดกุมและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย โดยเฉพาะการไต่สวนเพิ่มเติมให้ได้ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานตามที่อัยการสูงสุดได้แจ้งสั่งในข้อไม่สมบูรณ์ดังกล่าว อันเป็นอำนาจหน้าที่ตามที่กฎหมายของพนักงานอัยการที่บังคับไว้ แต่ นายตระกูล กับคณะทำงานบางคนได้รวบรัด เร่งรีบ ไม่ดำเนินการในข้อไม่สมบูรณ์ดังกล่าวให้ครบถ้วน เสียก่อน กลับสมคบกันให้คณะทำงานเพียงบางคนเร่งรีบเสนอความเห็นควรสั่งฟ้องนางสาวยิ่งลักษณ์ โดยไม่เป็นไปตามขั้นตอน และไม่ให้ความเป็นธรรม แล้วนายตระกูล ก็รวบรัด มีคำสั่งฟ้องนางสาวยิ่งลักษณ์ แล้วแถลงข่าว เพียง 1 ชั่วโมงก่อนการประชุมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่จะมีมติถอดถอนนางสาวยิ่งลักษณ์ ในวันที่ 23 มกราคม 2558 ซึ่ง นายวุฒิพงศ์ ประธานคณะทำงานได้แถลงข่าวว่าตนในฐานะรองอัยการสูงสุดและประธานคณะทำงานไม่รู้เรื่องกับข้อสรุปการสั่งฟ้องนางสาวยิ่งลักษณ์ ดังกล่าว แต่เตรียมจะเรียกประชุมคณะทำงานเพื่อหาข้อยุติในวันที่ 26 มกราคม 2558 แต่ก็ยังไม่ทันได้จัดประชุมเพราะนายตระกูล รวบรัดตัดหน้าสั่งฟ้องนางสาวยิ่งลักษณ์ เสียก่อนแล้ว ดังที่เป็นข่าววิพากษ์วิจารณ์กันต่างๆนานา ว่าการสั่งฟ้องของนายตระกูล อัยการสูงสุด กับนางสาวยิ่งลักษณ์ ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรม มีวาระซ่อนเร้นและไม่เป็นไปตามขั้นตอนที่ถูกต้อง

กรณีที่สอง

หลังจากนายตระกูล กับพวก ได้มีคำสั่งฟ้องนางสาวยิ่งลักษณ์ โดยไม่เป็นไปตามขั้นตอนที่ถูกต้องดังกล่าวมาแล้ว นายตระกูล กับพวกได้ร่วมกันร่างคำฟ้องแล้วยื่นฟ้องนางสาวยิ่งลักษณ์ ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยบรรยายฟ้องในฐานความผิดเพิ่มอีกฐานหนึ่งเกินกว่าฐานความผิดที่ได้เคยแจ้งข้อกล่าวหากับนางสาวยิ่งลักษณ์ ไว้ในชั้นไต่สวนของ ป.ป.ช.

และนอกจากนั้น ยังบรรยายฟ้องขาดในส่วนที่เป็นคุณ กับนางสาวยิ่งลักษณ์ ในส่วนของข้อไม่สมบูรณ์จากการไต่สวนดังกล่าวข้างต้น ซึ่งกฎหมายกำหนดไว้ว่า จะต้องบรรยายฟ้องทั้งส่วนที่เป็นคุณและเป็นโทษกับจำเลยด้วย ทั้งนี้ เพื่อศาลจะได้มีดุลพินิจในการพิจารณาพิพากษา แต่นายตระกูล กับพวกได้ร่วมกันกระทำการและละเว้นไม่กระทำการฝ่าฝืนกฎหมายดังกล่าวข้างต้น

กรณีที่สาม

หลังจากมีการยื่นฟ้องคดีนางสาวยิ่งลักษณ์ ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้ว นายตระกูล กับพวกที่เป็นพนักงานอัยการได้ร่วมกันกระทำการในสิ่งที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมายของพนักงานอัยการเป็นอย่างยิ่งด้วยการสมคบและร่วมกันนำเอาเอกสารพยานหลักฐานนอกสำนวนการไต่สวนของ ป.ป.ช. จำนวนถึง 148 แฟ้ม รวม 67,800 แผ่น เข้ามาในสำนวนคดีของพนักงานอัยการ กล่าวคือสำนวนพยานหลักฐานดังกล่าวเป็นสำนวนที่มีอยู่ในสำนวนการไต่สวนคดีอื่นที่ไม่เกี่ยวกับสำนวนของนางสาวยิ่งลักษณ์ ที่ ป.ป.ช. ได้ดำเนินการไว้ ซึ่งตามกฎหมายแล้ว กรณีเช่นนี้จะต้องแจ้งสั่งให้ ป.ป.ช. ทำการไต่สวนเพิ่มเติมเสียก่อน ทำนองเดียวกับการสั่งให้สอบสวนเพิ่มเติมในสำนวนการสอบสวนของพนักงานสอบสวน แต่ นายตระกูล กับพวกได้สมคบและร่วมกันไปจัดหาแล้วนำมาเข้าในสำนวนคดีของนางสาวยิ่งลักษณ์ โดยที่ไม่มีการให้ ป.ป.ช. ไต่สวนก่อนตามกฎหมาย จากนั้นก็นำเสนอต่อศาลทันที อันมีเจตนาที่จะกลั่นแกล้งนางสาวยิ่งลักษณ์ เป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายของพนักงานอัยการในฐานะเจ้าพนักงานในกระบวนการยุติธรรม ที่จะต้องไม่กระทำความผิดเสียเองเพื่อกลั่นแกล้งบุคคลหนึ่งบุคคลใดเช่นนางสาวยิ่งลักษณ์

อนึ่ง ข้อไม่สมบูรณ์ทั้ง 4 ประเด็น อันเป็นเหตุให้ไม่เพียงพอต่อการจะสั่งฟ้องนางสาวยิ่งลักษณ์ ดังกล่าวมาข้างต้นได้แก่

(1) ประเด็นโครงการรับจำนำข้าวซึ่งรัฐบาลได้แถลงเป็นนโยบายต่อรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ

กล่าวคือ เมื่อรัฐบาลได้แถลงให้โครงการรับจำนำข้าวเป็นนโยบายต่อรัฐสภาแล้ว ย่อมผูกพันตามรัฐธรรมนูญที่ นางสาวยิ่งลักษณ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรีและประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) จะต้องดำเนินการตามอำนาจและหน้าที่นั้น นางสาวยิ่งลักษณ์ จะสามารถยับยั้งหรือยกเลิกโครงการที่เป็นนโยบายที่ได้แถลงต่อรัฐสภาได้หรือไม่ จึงให้ ป.ป.ช. ไต่สวนในประเด็นนี้เพิ่มเติม

(2) ประเด็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

กล่าวคือ การละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามข้อกล่าวหาของ ป.ป.ช. เป็นสาระสำคัญอย่างยิ่งแต่ยังไม่มีการไต่สวนให้ปรากฏพยานหลักฐานในประเด็นดังกล่าวว่ามีการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่อย่างไร จึงให้ ป.ป.ช. ไต่สวนในประเด็นนี้เพิ่มเติม

(3) ประเด็นเรื่องการทุจริต

กล่าวคือ ตามสำนวนการไต่สวนของ ป.ป.ช. ประเด็นเรื่องการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว พยานหลักฐานและการไต่สวนปรากฏเพียงการกล่าวหาของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับพวก ซึ่งเป็นผู้ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจฯ จึงให้ ป.ป.ช. ไต่สวนให้ได้ความว่ามีขั้นตอนใดที่พบการทุจริต และทุจริตอย่างไร มีพยานหลักฐานที่ส่อให้เห็นถึงการทุจริตหรือไม่ เพราะตามที่ ป.ป.ช. ไต่สวนมานั้นมีประเด็นขัดกันและยังไม่สิ้นกระแสความ

(4) ประเด็นอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์แก่รูปคดี

นางสาวยิ่งลักษณ์ ได้พิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว เห็นว่าการที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรีและประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.)ได้ดำเนินการโครงการรับจำนำข้าวเพื่อช่วยเหลือพี่น้องชาวนาซึ่งเป็นเกษตรกรอาชีพหลักของประเทศไทยอาชีพหนึ่งโดยเป็นความจำเป็นและเป็นเรื่องบังคับตามนโยบายของรัฐบาลที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภาอันเป็นความผูกพันตามรัฐธรรมนูญ

และตลอดเวลาที่ดำเนินการโครงการดังกล่าว นางสาวยิ่งลักษณ์ ได้กำกับดูแลสอดส่อง ให้โครงการเป็นไปโดยชอบด้วยรัฐธรรมนูญ กฎหมายระเบียบ ข้อบังคับ มติคณะรัฐมนตรีด้วยความเรียบร้อย เกิดประโยชน์แก่ชาวนาอย่างแท้จริง ดังเป็นที่ประจักษ์ตลอดมา การกล่าวหาและฟ้องร้องนางสาวยิ่งลักษณ์ ด้วยเหตุเพียงเพราะได้ใช้งบประมาณสิ้นเปลืองไป เป็นความไม่เป็นธรรมต่อนางสาวยิ่งลักษณ์ เป็นอย่างยิ่ง เพราะนโยบายการช่วยเหลือเกษตรกรหรือคนจนคนยากไร้ของประเทศก็จำเป็นต้องใช้งบประมาณสิ้นเปลืองหมดไปเป็นธรรมดาของรัฐบาลทุกยุคทุกสมัยซึ่งก็ได้ปฏิบัติเช่นนี้ต่อๆกันมา

ดังนั้นการกระทำของนายตระกูล อัยการสูงสุด กับพนักงานอัยการอีกบางคนที่รวบรัดมีคำสั่งฟ้อง นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยไม่ดำเนินการไต่สวนข้อไม่สมบูรณ์ให้ครบถ้วนแต่กลับสั่งฟ้องโดยไม่เป็นไปตามขั้นตอนก็ดีการบรรยายฟ้องคดีโดยละเว้นไม่ระบุข้อไม่สมบูรณ์จากการไต่สวนอันเป็นคุณต่อนางสาวยิ่งลักษณ์ ที่ถูกฟ้องก็ดีและการนำเอาเอกสารหลักฐานจำนวนถึง 67,800 แผ่น ซึ่งเป็นเอกสารนอกสำนวนเข้ามาในสำนวนที่ดำเนินคดีกับ นางสาวยิ่งลักษณ์ ดังกล่าวมาก็ดี เป็นการกระทำที่ผิดต่อกฎหมายของพนักงานอัยการในฐานะเจ้าพนักงานในกระบวนการยุติธรรมของรัฐ ทำให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ได้รับความเสียหาย นางสาวยิ่งลักษณ์ จึงจำเป็นต้องรักษาสิทธิและใช้สิทธิตามกฎหมายที่ต้องฟ้องร้องเป็นคดีอาญากับบุคคลดังกล่าวทั้ง 3 กรณี

นอกจากนั้น ขณะนี้ยังปรากฏอีกด้วยว่า มีการพยายามของกลุ่มคนบางกลุ่มที่จะมุ่งมั่นดำเนินคดีทางแพ่งเพื่อเรียกความรับผิดเป็นค่าเสียหายจากนางสาวยิ่งลักษณ์ อีกด้วย มีการให้ข่าวเป็นระยะๆ ว่านางสาวยิ่งลักษณ์ จะต้องรับผิดเป็นจำนวนหลายแสนล้านบาท ซึ่งนางสาวยิ่งลักษณ์ จะได้ติดตามการกระทำของกลุ่มคนดังกล่าวต่อไป และหากมีการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ไม่ชอบธรรม ไม่เป็นไปตามกฎหมาย นางสาวยิ่งลักษณ์ ก็จะได้ฟ้องร้องดำเนินคดีกับทุกคนโดยไม่ละเว้น แต่สิ่งที่นางสาวยิ่งลักษณ์ รู้สึกกังวลและไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่งก็คือ

การดำเนินคดีต่างๆ นานาที่เกิดขึ้นกับนางสาวยิ่งลักษณ์ ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งเป็นถึงนายกรัฐมนตรี จากบุคคลซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐและเป็นเจ้าพนักงานในกระบวนการยุติธรรมของบ้านเมืองด้วยความไม่เป็นธรรม ไม่ชอบด้วยกฎหมายและมีเจตนากลั่นแกล้งนั้นย่อมส่อสะท้อน แสดงว่าพี่น้องประชาชนซึ่งเป็นคนจนเป็นคนยากไร้และไม่มีตำแหน่งหน้าที่ใดๆ นั้น จะได้รับการคุ้มครองปกป้องและความเป็นธรรมได้อย่างไร

“ยิ่งลักษณ์” ฟ้องอัยการสูงสุด ยืนยันสิทธิ์เพื่อปกป้องตนเอง


“ยิ่งลักษณ์” ขอใช้สิทธิ์ยื่นฟ้องอัยการสูงสุดกับพวก เพื่อปกป้องตนเอง กรณีอัยการสูงสุดกับพวกปฏิบัติหน้าที่มิชอบในการไม่ไต่สวนข้อไม่สมบูรณ์ บรรยายฟ้องเท็จและเกินการแจ้งข้อกล่าวหา ของ ป.ป.ช. นำเอกสารนอกสำนวนเข้าสู่สำนวนโดยมิชอบ

วันนี้ ( 29 ก.ย. 2558) น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางมายังศาลอาญาเพื่อยื่นฟ้องอัยการสูงสุดพร้อมพวกในความผิดอาญาฐาน ร่วมกันปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 มาตรา 200 และมาตรา 83 โดยเป็นการกระทำผิดต่างกรรมต่างวาระกันรวม 3 กรณีดังต่อไปนี้

1.การที่อัยการสูงสุดมีความเห็นชี้ข้อไม่สมบูรณ์เพียงพอที่จะดำเนินคดีได้รวม 4 ข้อ อันประกอบไปด้วย ประเด็นปัญหาเรื่องโครงการรับจำนำข้าว ประเด็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ประเด็นเรื่องการทุจริต และประเด็นอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดี ซึ่งเป็นคุณกับตน แต่กลับไม่ได้ไต่สวนให้เสร็จสิ้นตาม พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและภายหลังกลับมีความเห็นสั่งฟ้อง 1 ชั่วโมงก่อนการพิจารณาถอดถอนตนที่ สนช.

2.การบรรยายฟ้องของอัยการสูงสุด ที่ยื่นฟ้องตนต่อศาลมีการเพิ่มเติมข้อกล่าวหาจากที่ ป.ป.ช. แจ้งข้อกล่าวหาเดิมตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 โดยไม่มีข้อกล่าวหาว่าทุจริต หรือสมยอมให้ทุจริต แต่คำฟ้องของ อสส.กลับบรรยายว่าตนรู้เห็นและสมยอมให้เกิดการทุจริต ซึ่งเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสำหรับผู้อื่น

3. ในชั้นพิจารณาของศาล อัยการสูงสุดกลับนำเอกสารที่ไม่มีการไต่สวนในชั้นป.ป.ช. และในชั้นคณะทำงานร่วมระหว่างอัยการสูงสุดและป.ป.ช. ในคดีที่กล่าวหาดิฉันเข้ามาในสำนวนจำนวนกล่าว 60,000 แผ่น ซึ่งถือเป็นการนำเอกสารนอกสำนวน เข้ามาในสำนวนโดยมิชอบ

นอกจากนี้ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ยังเห็นว่าการดำเนินการของอัยการสูงสุดทั้ง 3 ข้อที่กล่าวมาเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จึงจำเป็นต้องรักษาสิทธิและใช้สิทธิตามกฎหมายที่ต้องฟ้องร้องกับทุกกรณีที่เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ไม่ชอบธรรม และไม่เป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย ระเบียบ และหลักนิติธรรม

วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2558

ทนายนรวิชญ์ เห็นต่าง "วิษณุ" ยืนยันไม่เริ่มนับอายุความคดีแพ่งจำนำข้าว


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่าน Facebook : Norrawit Larlaeng โดยมีเนื้อหาดังนี้

จากที่ปรากฏเป็นข่าว ว่าจะมีการสรุปสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด ให้เสร็จสิ้น ภายใน วันที่ 30 กันยายน 2558 เพื่อไม่ให้คดี ขาดอายุความนั้นนาย นรวิชญ์ หล้าแหล่ง ในฐานะทนายความส่วนตัว ของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรกล่าวว่าในเรื่องอายุความ มีความ “เห็นต่าง” ในเรื่องอายุความ

ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 มาตรา 10 วรรคสอง กำหนด ให้สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากเจ้าหน้าที่ มีกำหนดอายุความ 2 ปี นับแต่วันที่หน่วยงานของรัฐรู้ถึงการละเมิด และรู้ตัวเจ้าหน้าที่ผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทน

คำว่า นับแต่วันที่ หน่วยงานของรัฐ “รู้” ถึงการละเมิด และ “รู้” ตัวเจ้าหน้าที่ ผู้จะพึงใช้ค่าสินไหมทดแทน ก็คือ วันที่ พลเอกประยุทธ ฯ และ รมว. คลัง ซึ่งเป็นผู้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด ในโครงการรับจำนำข้าว ได้วินิจฉัย ว่า “มีผู้กระทำผิด หรือไม่ เท่าใด” จึงต้องเริ่มนับอายุความ 2 ปี

ดังนั้น เมื่อ พลเอกประยุทธ ฯ และ รมว. คลัง ซึ่งเป็นผู้แต่งตั้ง คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด ยังไม่ได้วินิจฉัยว่า มีเจ้าหน้าที่ผู้ใดกระทำผิด หรือไม่ เท่าใด “การเริ่มนับอายุความ 2 ปี จึงยังไม่เริ่มนับ เมื่ออายุความยังไม่เริ่มนับ อายุความคดีแพ่งจึงยังไม่ขาดอายุความ”

คดีนี้นางสาวยิ่งลักษณ์ฯ เพิ่งจะได้ให้ถ้อยคำเป็นลายลักษณ์อักษรไปเมื่อวันที่ 2 กันยายน 2558 ที่ผ่านมา ซึ่งในการให้ถ้อยคำเป็นหนังสือนั้นได้อ้างพยานบุคคล ที่เกี่ยวข้อง ในโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญ แต่คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด กลับไม่ไต่สวนให้ได้ข้อเท็จจริงให้ครบถ้วน เสียก่อน

ซึ่งในเรื่องนี้ ตาม ข้อ 15 ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ระบุไว้ชัดเจนว่า คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด ต้องให้โอกาสแก่ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้ชี้แจงข้อเท็จจริง และโต้แย้ง แสดงพยานหลักฐานของตนอย่างเพียงพอ และเป็นธรรม

ดังนั้น คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด ต้องให้โอกาสแก่ นางสาวยิ่งลักษณ์ ฯ ในฐานะผู้เกี่ยวข้อง ได้ชี้แจงข้อเท็จจริง และโต้แย้ง แสดงพยานหลักฐานของตนอย่างเพียงพอ และเป็นธรรม โดยให้มีการไต่สวนพยานบุคคล ที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ฯ ในฐานะผู้เกี่ยวข้องได้อ้างไว้แล้วนั้น ให้เสร็จสิ้น ครบถ้วน ก่อนสรุปสำนวน

การที่คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด ไม่ได้ให้โอกาสแก่ เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ได้ชี้แจงข้อเท็จจริง และโต้แย้ง แสดงพยานหลักฐานของตนอย่างเพียงพอ และเป็นธรรม ซึ่งในเรื่องนี้ศาลปกครองสูงสุดได้เคยมีแนวคำพิพากษาไว้แล้ว ว่าเป็นการไต่สวนข้อเท็จจริงที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

นายนรวิชญ์กล่าวเพิ่มเติมว่าขณะนี้ทีมทนายความ กำลังรวบรวมพยานหลักฐาน หากเห็นว่าเกิดความเสียหาย แก่นางสาวยิ่งลักษณ์ ฯ จะได้ดำเนินการตามกฎหมายทั้ง ทางอาญา และทางแพ่งกับผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป

วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2558

เปลี่ยน CEO ใหม่ ฟื้นความเชื่อมั่น เซ่นข่าวฉาว-โกงทดสอบรถโฟล์คฯ


โฟล์คสวาเกน ตั้งนายแมตเธียส มุลเลอร์ ประธานปอร์เช่ เป็นหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่บริหาร หรือซีอีโอคนใหม่ตามความคาดเมื่อวันศุกร์(25ก.ย.) ท่ามกลางเรื่องอื้อฉาวโกงการทดสอบไอเสียที่ลามสู่ยุโรป ซึ่งนายแมตเธียส ระบุว่า เป้าหมายแรกของเขาคือเรียกคืนความเชื่อมั่น หลังจากการดำดิ่งของหุ้นโฟล์คสวาเกน และการลาออกเมื่อช่วงกลางสัปดาห์ของนายมาร์ติน วินเทอร์คอร์น ที่นั่งเก้าอี้ซีอีโอของบริษัทมายาวนาน

วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2558

“ประวุฒิ” เผยความคืบหน้าคดี เสื้อเหลือง วางระเบิดราชประสงค์


พลตำรวจโทประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงความคืบหน้าหลังการประชุมเหตุระเบิดบริเวณแยกราชประสงค์และท่าน้ำสาธร ว่า พนักงานสอบสวนได้ขออนุมัติหมายจับจากศาลทหาร ใน 7 ข้อหา ได้แก่ ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตรตร่องไว้ก่อน, ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ร่วมกันทำให้เกิดระเบิดจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและบาดเจ็บ, ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ ทำให้สินทรัพย์สินเสียหาย, ร่วมกันครอบครองวัตถุระเบิดโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันพกพาวัตถุระเบิดเข้ามาในเขตเมือง และ ร่วมกันมียุทธภัณฑ์โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยมีผู้ต้องหา ทั้งหมด 17คน คือ

1.นายฮาเหม็ด โบซองแลน ผู้ต้องหาที่พักอาศัยที่พลูอนันต์อพารเม้น ห้อง404
2.นายอาลิ โจรัน ผู้ต้องหาที่พักอาศัยที่พลูอนันต์อพารเม้น ห้อง412
3.ชาวตุรกีไม่ทราบชื่อ ผู้ต้องหาที่พักอาศัยที่พลูอนันต์อพารเม้น ห้อง412
4.นายเมียไรลี ยูซูฟู ผู้ต้องหาที่นำระเบิดไปให้กับชายเสื้อเหลือง
5.นายอับดุลเลาห์ อับดุลเลาห์ มาน เพื่อนของสามีนางสาววรรณาและพักอาศัยในไมมูณาอพารมเม้นต์
6.นายอับดุล ตาวาบ ผู้ว่าจ้างและจัดหาห้องพัก
7.นางวรรณา สวนสัน ผู้เช่าห้องพักที่ไมมูนาการเด้น
8. นายอาเหม็ด ดาวูโตกลู สามีนางสาววรรณา
9. นายยูซูฟ ผู้ต้องหาพักอาศัยที่ไมมูณา การเด้นโฮม
10.นายออด พยุงวงศ์ หรือนายยงยุทธ ภพแก้ว
11.นายอาบูดูซาตาร์ อบูดูเระห์มาน หรืออิซาน ผู้ต้องหาที่พักอาศัยไมมูณา การ์เด้นท์โฮมห้องที่ 9106
12.นายอารินู  ผู้ต้องหาที่ทำหน้าที่ซื้อซิมโทรศัพท์
13.นายมานาย มาหมัด ผู้ต้องหาที่ทำหน้าที่ซื้อซิมโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเป็นหมายเลขที่จุดระเบิดที่แยกราชประสงค์
14.ชายไม่ทราบชื่อ ที่ซื้ออุปกรณ์ ท่อเหล็กที่ใช้ประกอบระเบิด
15.ชายไม่ทราบชื่อ ซื้ออาหารที่พักเข้าห้อง 412ที่พลูอนัตต์
16.นายบิลบาด มูฮะหมัด หรือ บิลลาดเติรก์ หรือนายอาเดม คาราดัค ชายเสื้อเหลือ
17.นายซูแบร์ ชายเสื้อผ้าที่วางระเบิดท่าเรือสาธร พักห้อง412 พลูอนันต์

ทั้งนี้ผู้ต้องหารายที่10 ,12และ13 เป็นผู้ต้องหารายใหม่ที่พึ่งมีการออกหมายจับ ส่วนผู้ต้องหารายอื่นๆจะถูกถอนหมายจับจากศาลต่างๆที่ได้ออกหมายจับไปก่อนหน้านี้มาที่ศาลทหาร เนื่องจากเป็นคดีที่มีวัตถุระเบิดและยุทธภัณฑ์ ฆ่าคนตายโดยใช้ระเบิดและ ละเมิดคำสั่งของคสช.ซึ่งโทษสูงสุดคือประหารชีวิต

ซึ่งในวันพรุ่งนี้จะมีการนำตัว นายอาเด็มและนายเมียไรลี ไปแจ้งข้อกล่าวหาและขอถอนหมายจับจากศาลจังหวัดมีนบุรี และนำตัวไปศาลทหารเพื่อขอนำตัวมาทำแผนประกองคำรับสารภาพ ในเวลา 11.00ที่แยกราชประสงค์ หัวลำโพงและ ตามจุดต่างๆ นอกจากนี้จะมีการงมหาโทรศัพท์มือถือที่ใช้จุดระเบิดที่แยกราชประสงค์ในคลองแสนแสบ และจะมีการปิดการจราจรชั่วคราว

ทั้งนี้จากการตรวจสอบพยานหลักฐานที่ชัดเจน ประกอบกับคำรับสารภาพของนายอาเด็ม ทำให้พนักงานสอบสวน เชื่อว่านายอาเด็มคือชายเสื้อเหลืองที่นำกระเป๋าเป้ไปวางระเบิดที่ศาลท้าวมหาพรหม โดยเป็นการยอมจำนนด้วยพยานแหละหลักฐาน นอกจากนี้นายเมียไรลียังชี้ตัวยืนยันนายอาเด็มได้ถูกต้อง

ส่วนการติดตามตัวนางสาววรรณา สวนสันต์และนายอาเหม็ด ดาวูโตกลู สามีได้มีการประสานกับตำรวจสากลเป็นระยะและอยู่ระหว่างการติดตามเบาะแสเพื่อยืนยันที่อยู่แท้จริงอีกครั้ง

สหภาพยุโรปแถลงการณ์ เร่งไทย คืนสิทธิพลเมือง-ฟังเสียงวิจารณ์


กรุงเทพฯ 24 กันยายน 2558 – ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานคณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

สำนักงานคณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย  ขอยืนยันในความมุ่งมั่นของ สหภาพยุโรปต่อประชาชนชาวไทยผู้ซึ่งสหภาพยุโรปมีความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งและยาวนานทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจและวัฒนธรรม และการติดต่อเชื่อมโยงระดับประชาชน (people to people contacts) ในฐานะมิตร และหุ้นส่วนของประเทศไทยสหภาพยุโรปได้เรียกร้องอย่างต่อเนื่องให้มีการกลับเข้าสู่กระบวนการทางประชาธิปไตย

ในช่วงเวลาที่ได้เริ่มมีกระบวนการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ทางสำนักงานคณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทยได้เรียกร้องให้รัฐบาลไทยเคารพเสรีภาพในการพูดและการชุมนุมอีกครั้ง การอภิปรายสาธารณะที่ทำได้อย่างเต็มรูปแบบและเสรีเท่านั้นที่เสียงวิพากษ์วิจารณ์จะสามารถได้ยินได้ ซึ่งจะทำให้เกิดการปฏิรูปและความสมานฉันท์ที่แท้จริง

สำนักงานคณะผู้แทนสหภาพยุโรปประจำประเทศไทยเชื่อว่าหลักนิติธรรมการปกป้องและการส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เป็นองค์ประกอบที่สำคัญแก่ความมั่นคงและความก้าวหน้าและขอเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ทางการไทยปฏิบัติตามข้อผูกพันของประเทศไทยภายใต้กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและการเมือง


'ภูมิธรรม' ยืนยัน จุดยืนเพื่อไทย ไม่ร่วม 'สปท.'


นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี ที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ระบุว่ามีสมาชิกพรรคเพื่อไทย สมัครเข้าเป็นสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) แต่ไม่ขอเปิดเผยรายชื่อว่า หัวหน้าพรรคเพื่อไทยได้มีคำแถลงการณ์ชัดเจนแล้วว่า พรรคเพื่อไทยไม่สามารถส่งใครเข้าร่วมเป็น สปท.ในนามพรรคได้ หากใครได้รับการประสานมาถือเป็นเรื่องที่ฝ่ายผู้ดำเนินการต้องประสานกับตัวสมาชิกพรรค ถ้าใครประสงค์เข้าร่วมถือเป็นสิทธิและเป็นดุลพินิจ แต่ต้องลาออกจากสมาชิกพรรคตามจุดยืนที่หัวหน้าพรรคได้ระบุไว้

"ยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่มีอดีต ส.ส.รายใดยื่นใบลาออกอย่างเป็นทางการ เพื่อไปสมัครเป็น สปท. ส่วนที่ พล.อ.ประวิตร พูดเรื่องดังกล่าวนั้น ผมไม่ทราบว่าท่านพูดในลักษณะใด จึงไม่อยากวิพากษ์วิจารณ์ แต่ใครจะพูดอะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับคำยืนยันว่า พรรคเพื่อไทยจะไม่ส่งใครเข้าร่วมเป็น สปท.อย่างแน่นอน" นายภูมิธรรม กล่าว.

ชาวนา เผย “ยิ่งลักษณ์” ถูกกลั่นแกล้งจำนำข้าว

ชาวนาสุพรรณบุรี ชี้ ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยเห็นนายกรัฐมนตรีคนใด จะต้องจ่ายเงินชดเชยโครงการที่ทำไปแล้ว พร้อมระบุ สิ่งที่ทำชาติเสียหายมากที่สุด คือการทำให้ชีวิตชาวนาตกต่ำ เช่นปัจจุบันนี้


ผู้สื่อข่าว TV24 สถานีประชาชน ลงพื้นที่ ไปตรวจสอบสภาพบ้านของนายสมทรง ประทุมทอง เกษตรกรบ้านดอนเก้า ตำบลบ่อกรุ อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี ที่การก่อสร้างต้องหยุดชะงักลง เนื่องจากขาดเงินค่าจ้างและค่าวัสดุอุปกรณ์ เมื่อปี 2557

นายสมทรง ระบุว่า บ้านหลังนี้เกิดจากผลกำไรที่ได้จากการขายข้าว ตามโครงการรับจำนำข้าวเพียงไม่กี่ครั้งในสมัยรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งมาบัดนี้ แม้จะเห็นข้าวออกรวงอยู่ในที่นาฝั่งตรงข้ามบ้านหลังนี้  แต่เงินในกระเป๋าทั้งเนื้อทั้งตัวมีไม่ถึง 200 บาท ถือได้ว่าเป็นช่วงชีวิตที่ตกต่ำที่สุดของชาวนาทั้งประเทศ จึงไม่รู้ว่าหากไม่มีโครงการรับจำนำข้าว ต้องรออีกกี่สิบปี ถึงจะสร้างบ้านเสร็จ

นอกจากนี้ ชาวนาสุพรรณบุรีรายนี้ กล่าวถึงกระแสข่าวการเตรียมเอาผิดรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ โดยให้ชดเชยเงินโครงการรับจำนำข้าวกว่า 5 แสนล้านบาทว่า ตั้งแต่เกิดมาจนอายุหกสิบกว่าปี ยังไม่เคยเห็นนายกรัฐมนตรี หรือ รัฐบาลชุดใด ต้องจ่ายเงินชดเชยให้กับโครงการรัฐบาลมาก่อน ถ้าหากนางสาวยิ่งลักษณ์ต้องชดใช้เงินจำนำข้าว นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ต้องชดใช้เงินที่หมดไปกับโครงการประกันราคาข้าวเช่นกัน กรณีนี้ ชาวนาจึงไม่เห็นด้วยและเห็นใจนางสาวยิ่งลักษณ์ แต่ไม่รู้จะช่วยได้อย่างไร เพราะเข้าใจว่านางสาวยิ่งลักษณ์ ต้องทำตามนโยบายที่สัญญาไว้กับประชาชนเมื่อตอนหาเสียง อีกทั้ง จากการพูดคุยกับเพื่อนเกษตรกรพบว่า ทุกคนมีความเห็นตรงกันว่าเรื่องดังกล่าวเป็นคดีการเมือง ซึ่งอดีตนายกรัฐมนตรีกำลังถูกกลั่นแกล้ง

ด้านนางสำรวย ดวงแก้ว ชาวนาสุพรรณบุรีอีกราย ที่หลังจากโครงการรับจำนำข้าวถูกยกเลิก ต้องหาอาชีพเสริม อย่างการเพาะเห็ดฟางตระเวนขายตามหมู่บ้าน รวมทั้งขายล็อตเตอรี่พร้อมกันไปด้วย แม้จะได้กำไรเพียงใบละ 1 บาท ก็ต้องทำ เพราะการดำรงชีวิตช่วงนี้ยากลำบากมาก  อย่างไรก็ตาม นางสำรวย กล่าวว่า ถ้าจะให้เลือกระหว่างการกู้เงินจากรัฐบาล แม้จะดอกเบี้ยต่ำ ก็จะไม่ขอกู้เนื่องจากยังต้องเป็นหนี้ และเมื่อไม่มีเงินจ่าย ยิ่งทำให้ระบบเศรษฐกิจเสียหาย ทั้งนี้ จึงต้องการขอเพียงการขายข้าวให้ได้ราคาเท่านั้น ถึงจะแก้วิกฤติได้ พร้อมรู้สึกประหลาดใจ ที่ก่อนหน้านี้มีกระแสโจมตีเรื่องข้าวเน่า และจีทูจี แต่ล่าสุด เพิ่งเห็นข่าวว่า มีการประมูลข้าวในโกดังไปขาย เช่นที่ประเทศจีนและฟิลิปปินส์





วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2558

ประชาชนให้กำลังใจ "ยิ่งลักษณ์" ขณะเยือน นครสวรรค์-สิงห์บุรี


วันที่ 22 กันยายน 2558 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะ ประกอบด้วย นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์,นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ, นายวราเทพ รัตนากร อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, พล.ต.ต.ธวัช บุญเฟื่อง อดีตรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง, นางสาวขัตติยา สวัสดิผล อดีตส.ส.พรรคเพื่อไทย และคณะ เดินทางมายังจังหวัดนครสวรรค์ เพื่อทำบุญถวายจตุปัจจัยไทยธรรม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การเดินทางในครั้งนี้ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถือโอกาสมาฝึกทำโมจิไดฟุกุ ที่ร้านโมจิจุฬา ด้วยขณะที่วานนี้ มีการหยุดแวะพักรับประทานอาหารที่จังหวัดสิงห์บุรี โดยตลอดทั้ง 2 วันผ่านมา นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พบปะพูดคุยกับประชาชนอย่างเป็นกันเองด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส














วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2558

"สุรพงษ์" สอน "ประยุทธ์" ประชารัฐ คือ ประชานิยม


นายสุรพงษ์  โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการเปิดนโยบายเศรษฐกิจประชารัฐของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่า ไม่ได้ต่างกันเลยกับนโยบายประชานิยม ทั้งในวิธีการดำเนินการในแต่ละนโยบาย เพียงแต่ตั้งชื่อเรียกกันใหม่เท่านั้น เพราะที่ผ่านมาได้มีการกล่าวหาว่าการทำประชานิยมทำให้บ้านเมืองเสียหาย ทั้งๆที่บางนโยบายประชานิยมทำแล้วเห็นผลลัพท์ออกมาดีมากๆ ไม่เหมือนเช็คช่วยชาติ 2,000.-บาท ในไทยเข้มแข็งเป็นต้น โครงการดีๆเช่น 30 บาทรักษาทุกโรคซึ่งได้รับการขานรับไปทั่วโลก นอกจากนี้ยังมี รถเมล์ รถไฟฟรี กองทุนหมู่บ้าน (เอสเอ็มแอล) ทุกวันนี้ยังทำกันอยู่ใช่หรือไม่ การทำประชานิยมก็ดำเนินการร่วมกันระหว่างรัฐกับประชาชนมาโดยตลอด เพราะถ้าจะปรบมือข้างเดียวมันคงไม่ดัง และนโยบายประชชานิยมที่ผ่านมา ก็ทำเพื่อช่วยยกระดับประชาชน ลดความเลื่อมล้ำทางสังคมและให้ความช่วยเหลือพี่น้องรากหญ้าให้ลืมตาอ้าปากได้ในสังคมไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบและเป็นการช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบตรงเป้าหมายและถูกจังหวะ

EU เพิ่มแรงบีบ-เร่งเลือกตั้ง จ่อระงับเจรจา FTA กับ รัฐบาลไทย


เว็บไซต์ EUReporter เผยแพร่ความคิดเห็นของคณะผู้แทนสหภาพยุโรป (อียู) ว่าด้วยอาเซียน ซึ่งเรียกร้องให้อียูกดดันให้ คสช. คืนอำนาจให้ประชาชนในไทย และนำพาประเทศกลับคืนสู่ความเป็นประชาธิปไตยโดยเร็ว โดยนายเดวิด มาร์ติน ผู้แทนอียูจากสหราชอาณาจักร เสนอให้อียูขยายเวลาระงับการเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรี (FTA) กับรัฐบาลไทยต่อไป จนกว่าไทยจะกลับคืนสู่การปกครองในระบอบประชาธิปไตย และอียูควรใช้เครื่องมือทางการทูตที่มีในการโน้มน้าวกดดันให้ไทยหวนคืนสู่เส้นทางประชาธิปไตยโดยเร็ว ขณะที่นางจูลี เกอร์ลิง หนึ่งในคณะผู้แทนอียู ระบุว่ารัฐบาลทหารไทยเคยให้สัญญาว่าจะเปลี่ยนผ่านประเทศไปสู่ประชาธิปไตย แต่กลับไม่มีความคืบหน้า แม้ว่าอียูพร้อมจะช่วยเหลือ แต่ความอดทนที่มีเริ่มจะหมดลง หนทางเร่งด่วนที่ไทยควรทำคือ การกำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจน และหากไม่มีการจัดการใดๆมากไปกว่านี้ก็จำเป็นที่อียูจะต้องพิจารณามาตรการที่เข้มงวดขึ้น

วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2558

"วิชาญ" จับมือรัฐบาล ดัน “ตลาดน้ำขวัญเรียม” สร้างจิตสำนึก

นายจตุพร บุรุษพัฒน์ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ พร้อมด้วย นายวิชาญ มีนชัยนันท์ อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย เขต มีนบุรี ในฐานะผู้นำการจัดกิจกรรม ได้ลงเรือ เพื่อสำรวจเส้นทางบางช่วงของคลองแสนแสบตรวจสอบสภาพน้ำ ความสะอาดริมคลอง และการสัญจรทางน้ำ

หลังจากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้กล่าวเปิดงานอย่างเป็นทางการ โดยกรมทรัพยากรน้ำในฐานะที่มีหน้าที่หลักในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ จึงได้จัดกิจกรรมเนื่องในวันอนุรักษ์และพัฒนาแม่น้ำคูคลอง ประจำปี 2558 ขึ้นมา เพื่อเสริมสร้างให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการรักษาสิ่งแวดล้อม และสอดคล้องกับหัวข้อ วันอนุรักษ์และพัฒนาแม่น้ำคูคลองแห่งชาติ โดยภายในงานมีกิจกรรมนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ การจัดนิทรรศการให้ความรู้ด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ กิจกรรมสร้างจิตสำนึก ตระหนักถึงความสำคัญของทรัพยากรน้ำและร่วมกันอนุรักษ์และพัฒนาแม่น้ำคูคลอง อาทิ การประกวดภาพวาดของนักเรียนและบุคคลทั่วไป การแข่งขันพายเรือมาด รวมถึงการจัดกิจกรรม ปลูกจิตสำนึก และการแสดงบนเวที และที่เป็นไฮไลน์สำคัญของงานในวันนี้ก็คือการแสดง แห่เรือ สุพรรณหงส์จำลอง โดยเจ้าหน้าที่ทหารจากกองทัพเรือมาเป็นผู้สาธิต

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ตั้งแต่ช่วงเช้า ณ ตลาดน้ำขวัญเรียม นายวิชาญ มีนชัยนันท์ อดีต ส.ส. พรรคเพื่อไทย และกลุ่มรักเมืองมีน เปิดงาน "ภูมิรักษ์ พิทักษ์น้ำ" ด้วยประเพณีตักบาตรทางเรือ ในคลองแสนแสบ เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่เป็นไฮไลท์ประจำตลาดน้ำขวัญเรียม