วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2563

"สุดารัตน์" ปัดตั้งพรรคใหม่


คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตประธานยุทธศาสตร์ พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า การลาออกจากประธานยุทธศาสตร์พรรคนั้นเป็นการเปิดโอกาสให้ปรับโครงสร้าง เพราะการทำงานต้องมีการปรับเปลี่ยน แต่ยืนยันยังเป็นสมาชิกของพรรค ที่พร้อมทำงานดูแลทุกข์สุขของประชาชน และจะต่อสู้ร่วมกับประชาชนเพื่อให้ได้ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ซึ่งที่ผ่านมาคณะกรรมการยุทธศาสตร์ทำงานอย่างหนัก โดยเฉพาะการผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ผู้มีอำนาจยอมเสียสละ เพราะเห็นว่าการแก้ไขบ้านเมืองอย่างสันติมีทางเดียวคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พร้อมอยากให้ผู้มีอำนาจร่วมหาทางออก แต่ทั้งนี้ ส.ว. ยังเป็นใจกลางของปัญหา จึงอยากให้ทุกฝ่ายร่วมกันหาทางออก

คุณหญิงสุดารัตน์ ย้ำว่า เห็นด้วยกับการปรับโครงสร้างครั้งนี้ แต่ไม่ขอรับตำแหน่งหลังมีกระแสข่าวว่าถูกทาบทามให้เข้าร่วมคณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ แต่เชื่อว่า มิติการทำงานของพรรคจะเดินหน้า และเชื่อว่ากรรมการบริหารพรรคชุดใหม่จะบริหารงานอย่างต่อเนื่อง พร้อมยืนยันว่า ไม่ได้เป็นการลดบทบาท เพราะงานภายในพรรคยังมีอีกหลายเรื่อง และหลังจากนี้จะได้เดินหน้าลงพื้นที่ดูแลประชาชนได้มากขึ้น

ส่วนกรณีกระแสข่าวว่าหลังจากนี้คุณหญิงสุดารัตน์ จะลงรับสมัครผู้ว่า กทม. นั้น ยืนยันว่า ตนเองทำหน้าที่สรรหาผู้ที่จะมาทำหน้าที่เปลี่ยนกรุงเทพ ทั้งคนที่จะมาลงสมัครผู้ว่า กทม. สภากรุงเทพมหานครและทีมงาน พร้อมยืนยันว่า การลาออกจากประธานยุทธศาสตร์ของพรรคไม่ได้ไปตั้งพรรคการเมืองใหม่ 

คุณหญิงสุดารัตน์ ยังกล่าวถึงกระแสข่าวที่คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภริยา นายทักษิณ ชินวัตร จะเข้ามาบริหารพรรคเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ตัดสินใจลาออกจากประธานยุทธศาสตร์หรือไม่นั้น ยืนยันว่า ไม่เกี่ยวกับการตัดสินใจลาออก และยังไม่ทราบข้อเท็จจริงว่าคุณหญิงพจมานจะเข้ามาดูแลพรรคจริงหรือไม่ หากเป็นเรื่องจริงก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี

ส่วนเรื่องการลาออกครั้งนี้เพื่อไปร่วมรัฐบาลแห่งชาตินั้น คุณหญิงสุดารัตน์ ยืนยันว่า ตั้งแต่เป็นคณะกรรมการยุทธศาสตร์ ได้พูดหลายครั้งว่ารัฐบาลแห่งชาติไม่มีทางเกิดขึ้นได้ และไม่มีทางไปร่วมสังฆกรรม เพราะได้พิจารณาแล้วว่าการจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติเป็นการยื้อเวลาเท่านั้น และไม่เป็นประโยชน์ เพราะมองว่าทางออกของปัญหาคือการแก้รัฐธรรมนูญ

วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2563

"เวทีเปลี่ยนกรุงเทพฯ" เสียดายโอกาสยกระดับเมืองหลวง


"เวทีเปลี่ยนกรุงเทพฯ" พรั่งพรู! เสียดายโอกาสยกระดับเมืองหลวง เหตุ! กฎระเบียบล้าหลัง รัฐไม่หนุนธุรกิจใหม่ และยังมีการเลือกปฏิบัติ

คณะกรรมาธิการ หรือ กมธ.ศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ หรือ กมธ.ติดตามงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร จัดเวที ผ่าตัดงบประมาณรวมพลังสร้าง กทม. โดยมีการสัมมนา "รวมพลคนอยากเปลี่ยนกรุงเทพฯ" ที่ชั้น 5 โชว์รูมเบนซ์ ทองหล่อ

นางสาวธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการศึกษาที่เท่าเทียมใน 2 ประเด็น คือ โรงเรียนที่ดีและการศึกษาที่ดี โดยเห็นว่า "โรงเรียนที่ดี" ต้องอยู่ใกล้บ้าน มีอุปกรณ์การเรียนเพียงพอเพื่อประสิทธิภาพการเรียนการสอน ส่วน "การศึกษาที่ดี" นั้น ต้องสามารถดึงศักยภาพของนักเรียนที่แตกต่างกันออกมาได้อย่างเต็มที่ มีหลักสูตรที่ตอบสนองความต้องการของนักเรียนทุกคนอย่างเท่าเทียม โดยมีนักเรียนเป็นศูนย์กลาง และต้องทำให้นักเรียนเป็นพลเมืองอย่างสมบูรณ์ มีสิทธิเสรีถาพในการแสดงออกด้วย       

ขณะที่ กทม.มี 437 โรงเรียน มีนักเรียนกว่า 4 แสน งบประมาณ 1.4 หมื่นล้านบาทต่อปี แต่มากกว่า 50% เป็นงบประมาณสำหรับบุคคลากรหรือค่าจ้างครู ซึ่งถือเป็นการลงทุนทางการศึกษา แต่ไม่ได้ลงถึงนักเรียน หรือไม่ได้นำไปยกระดับคุณภาพการศึกษาให้นักเรียน ซึ่งการรวมศูนย์อำนาจ ยังเป็นอุปสรรคทางการศึกษาที่ทางโรงเรียนยังไม่ได้มีอิสระในการบริหารจัดการอย่างแท้จริง ดังนั้น การกระจายอำนาจจึงสำคัญในการสร้างการศึกษาที่เท่าเทียม พร้อมยืนยันว่า ถ้ายังจัดสรรและใช้งบประมาณด้านการศึกษาอย่างที่ผ่านมาและเป็นอยู่ จะไม่สามารถเอาชนะการเปลี่ยนแปลงของโลกได้ ลูกหลานไทยก็ยังจะด้อยพัฒนาเหมือนเดิม

นายสุรเดช ทวีแสงสกุลไทย จากบริษัท ช ทวี จำกัด ระบุว่า ปัญหาของประเทศไทยแก้ได้ด้วยเทคโนโลยี และต้องการเปลี่ยน กทม.เป็นเมืองของ "คนที่มีความสุข" ไม่ใช่เมืองเเห่งความสุข ซึ่งวาทกรรมที่คนไม่ได้มีความสุขจริงๆ ซึ่งจะทำได้ต้องไม่หวังพึ่งภาครัฐอย่าวเดียว แต่คนพื้นที่ที่มีศักยภาพต้องรวมตัวกัน ลดอีโก้ลง แล้วทำเพื่อคนอื่นโดยไม่หวังอะไร 

พร้อมยกตัวอย่าง "ขอนแก่นโมเดล" ที่เอกชนร่วมกันคิดและสร้างรถไฟฟ้าเอง โดยตั้งเป็นบริษัท เข้าตลาดหุ้นและแบ่งผลประโยชน์ให้คนจน ตามกองทุนผู้มีรายได้น้อยของ กลต. และผู้ว่า​ชการจังหวัดนั่งหัวโต๊ะคู่กับเอกชน โดยไม่ต้องพึ่งงบประมาณภาครัฐอย่างเดียว แม้จะมีงบประมาณท้องถิ่น 35% หรือ 28% ก็ไม่มีปัญหา โดยกระทรวงต่างๆที่เกี่ยวข้องสนับสนุนอย่างกระทรวงคมนาคม ช่วยศึกษาความเป็นไปได้, การขออนุญาติต่างๆต่อกระทรวงมหาดไทย รวมถึงการใช้ประโยขน์ที่ดินรัฐในส่วนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 

นายสรณัญช์ ชูฉัตร จากบริษัท อีทราน (ไทยแลนด์) ผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะจำหน่ายได้ในปีหน้า กล่าวว่า ในฐานะ startup ว่า ไม่ใช่แค่จะมาพัฒนา แต่อยากเริ่มกรุงเทพฯใหม่ ที่ statup อยู่ได้ และอยากอยู่ และเพื่อให้เป็นเมืองที่ไม่ได้มีแค่การท่องเที่ยว แต่เป็นเมืองที่การเติบโตของเศรษฐกิจที่สามารถเกิดขึ้นจริงได้ในอนาคต พร้อมยกตัวอย่างเมืองลิเวอร์พูล สหราชอาณาจักร ที่ลงทุนให้ statup เพราะเห็นว่า คือโอกาสที่เมืองจะฟื้นคืน โดยเฉพาะจากผลกระทบของ โควิด-19 และการลงทุนกับ startup ให้เติบโตขึ้นแล้ว ภาครัฐก็ยังเก็บภาษีได้อีก 

นายสรณัญช์ เสนอ 5 ข้อ เพื่อให้รัฐใช้ประโยชน์หรือสนับสนุน startup ในการพัฒนากรุงเทพมหานคร คือ 

       1.) การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ต้องมีออกแบบให้เหมาะสม เพราะบางทีก็ไม่รู้ว่าต้องการอะไร

      2.)​ นำปัญหาต่างๆออกมาเปิดเผยให้ ststup เข้าใจปัญหา

      3.) เปิดเผยกระบวนการและความคืบหน้าให้ประชาชนมีส่วนร่วม

      4.) เริ่มให้เล็กๆทดลองหลายๆกระบวนการ ลองผิดลองถูกได้ อาจจะยังไม่ต้องจัดซื้อจัดจ้าง แต่เป็นโครงการทดลองวิจัยต่างๆ ให้พื้นที่การสนับสนุนเพื่อให้ startup เข้ามาทำงานได้

       5.) เรียนรู้การทำงานร่วมกัน ต่อยอดโอกาสต่างๆให้กันและกัน เช่น startup นำเทคโนโลยีเข้ามา ส่วนภาครัฐสนับสนุน โดยไม่ต้องแข่งขันกับ startup

พร้อมกันนี้ มองว่า รถจักรยานยนต์รับจ้าง หรือ วินมอเตอร์ไซค์ สามารถร่วมมือกับภาครัฐหรือภาครัฐยกระดับให้การขนส่งสาธารณะมีความยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้ ทาง startup เป็นผู้ผลิต ภาครัฐดำเนินการเชิงนโยบาย

นายวิชัย อริยรัชโตภาส กรรมการพัฒนาชุมชนตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ กทม. ระบุว่า การพัฒนาต้องหวังผลระยะยาว ประชาชนมีส่วนร่วม ภาครัฐเติมเต็มส่วนที่ขาด มีความยั่งยืนไม่ทำลายความวิถีชีวิตความเป็นอยู่และวัฒนธรรมของชุมชน มีกลไกแบะระบบช่วยประคับประคอง สนับสนุนคนตัวเล็กตัวน้อยให้มีอาชีพ โดยเห็นว่า หน้าที่ของรัฐ คือให้การสนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้ชาวบ้าน ไม่ใช่ออกกฎหมายควบคุม แล้วให้ประชาชนขออนุญาตทุกๆเรื่อง รวมถึงระบบขนส่งสาธารณะที่มีคุณภาพ และสนับสนุนให้ข้าราชการใช้บริการสาธารณะ นอกจากนี้สวนสาธารณะและสัตว์สถานที่ต่างๆควรเออกแบบให้เอื้ออำนวยต่อคนพิการด้วย  เพราะผู้พิการไม่ใช่ "สปีชีส์" ที่ภาครัฐต้องนึกถึงเป็นลำดับสุดท้าย แต่คือประชาชนผู้เสียภาษีเช่นกัน 

นายวิชัย กล่าวถึงกรณีผู้สูงอายุ, นักศึกษาและผู้ด้อยโอกาส โดยเห็นว่า ถ้าไม่เรียนรู้หรือปรับตัว ในอนาคตจะอยู่ยากขึ้น ดังนั้น ต้องช่วยให้คนเหล่านี้ไม่ให้ถูกกระแส New Normal กวาดล้างหายไป ต้องมีศูนฝึกอบรม ศูนย์การเรียนรู้ อบรมพัฒนาอาชีพที่สอดคล้อง และหาพื้นที่ขายหรือตลาดให้ โดยกทม. จัดหาพื้นที่ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ ทำเป็นพื้นที่ผ่อนผัน ให้ชาวบ้านค้าขายได้โดยไม่ต้องเก็บค่าเช่า ให้แต่ละคนรับผิดชอบความสะอาดพื้นที่ ส่วน กทม.แค่จัดระเบียบ โดยวิธีเอาบทเรียนที่เคยกวาดล้าง Food Street เมื่อหลายปีที่แล้วมาปรับปรุงแก้ไข ให้ได้ประโยชน์และอยู่ร่วมกันได้และทำให้กลับมาเป็นเสน่ห์ของ กทม.รวมถึงเป็นจุดเด่นการท่องเที่ยว นำรายได้เข้าประเทศด้วย

นายเทพวรรณ คณินวรพันธุ์ CEO ZAAP Party เกี่ยวกับการจัด Event กล่าวว่า ขอเป็นอีกหนึ่งกระบอกเสียงของวัยรุ่นเพื่อจะบอกว่าจริงๆ กทม.มีอีกหลายมิติ ที่สามารถเปลี่ยนแปลงบางอย่างให้ดีขึ้นได้ และมองว่า การจำกัดเวลาสถานบันเทิงหรืองานรื่นเริง Event ต่างๆไม่เกินเที่ยงคืนหรือตีสองนั้น ยังเป็นอุปสรรคและเสียโอกาสทางรายได้ โดยงาน Event หนึ่งงาน ไม่ได้มีแค่ส่วนงานเดียว โดยยกตัวอย่าง "งานวัด" ที่มีร้านค้าจำนวนมากเปิดขาย รวมถึง รถจักรยานยนต์รับจ้างและอื่นๆได้ประโยชน์ ขณะที่วัยรุ่นมีความคิดสร้างสรรค์สามารถออกแบบงานดึงดูดผู้ร่วมงานได้จำนวนมาก ซึ่งที่ผ่านมาภาครัฐไม่เคยสนใจงานลักษณะนี้มีแต่เอกชนดำเนินการ ส่วนงานเปิดร้านขายของต่างๆของภาครัฐ กระจุกตัวทั้งแง่ผู้ค้าและสถานที่ ซึ่งไม่ทั่วถึงและไม่สะดวกในการไปจับจ่ายใช้สอยของผู้ที่สนใจ

นายเทพวรรณ ระบุด้วยว่า การท่องเที่ยวและศิลปะรูปแบบใหม่เกิดขึ้นจำนวนมาก แต่ กทม. ยังไม่มีพื้นที่ให้ พน้อมยืนยันว่า ถ้าภาครัฐจัดที่ให้ งาน Event สามารถสร้างรายได้ให้ผู้จัดงาน, ผู้ค้าผู้ขายและ นำรายได้เข้าประเทศได้ด้วย แต่ปัจจุบันเงื่อนไขกฎระเบียบต่างๆจะเป็นอุปสรรครวมถึงนโยบายของทางภาครัฐที่ไม่ได้ส่งเสริมและสนับสนุนอย่างจริงจัง แม้แต่ "ผับ บาร์" ของไทยติดระดับ top ten ของเอเชียหลายแห่ง ซึ่งถือว่าประเทศไทยยังไม่ได้ใช้ประโยชน์ในแง่นี้เท่าที่ควรและน่าเสียดายโอกาส พร้อมกล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า ไม่ควรปิดโอกาสคนกลางคืน เพราะคนใช้ชีวิตกลางคืนมีจำนวนมาก

นายธรรม์ธีร์ สุกโชติรัตน์ CEO JIB Digital Consult ระบุว่า ทั้ง Facebook Google มีรายได้มหาศาล มีสินทรัพย์ก็คือ "ข้อมูล" ผ่าน platform ต่างๆ ทั้งผู้บริโภคซึ่งผู้บริโภคทั้งรับและให้ข้อมูลผ่าน platform ด้วย ซึ่งปัจจุบันการใช้ Data หรือข้อมูลในยุค Digital จะลดการ "มโน" หรือคิดไปเองในการตัดสินใจ และ ความเร็ว กับ Real Time ของ Data สำคัญมาก เพราะทำให้การตัดสินใจ ตั้งอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งจะทำให้สามารถตรวจสอบเรื่องต่างๆและพยากรณ์สถารการณ์ได้อย่างเม่นยำ รวมถึงแก้ปัญหาต่างๆได้ทันท่วงที  พร้อมแนะนำการตัดสินใจทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องงาน 2 ข้อคือ

      1.) ถามตัวเองตลอดเวลาว่าการตัดสินใจนี้เป็นไปตาม ข้อมูลหรือคิดไปเอง

      2.) ข้อมูลรอบด้านหรือไม่ ยิ่งมีข้อมูลรอบด้านหลายมิติการตัดสินใจก็จะถี่ถ้วนขึ้น      

นายธรรม์ธีร์ ระบุด้วยว่า แม้นักการเมืองหรือตัวแทนประชาขนและภาครัฐ มีข้อมูลทั้งหมดในการตั้งคำถามและหาคำตอบในเรื่องต่าง แต่จะสิ่งสำคัญคือ จะคิดเพื่อนำไปแก้ไขปัญหาหรือพัฒนาหรือไม่ 

ส่วนตัว อยากเห็นระบบบริหารข้อมูลจริงเพื่อประชาชนทุกคน เป็นระบบที่ช่วยให้ประชาชนสะท้อนปัญหาสู่ภาครัฐ ตรวจสอบการใช้อำนาจ หรือเสนอนโยบาย ผ่าน platform ได้ จะนำสู่การแก้ปัญหาได้ตรงจุด พร้อมยืนยันว่า การให้ข้อมูลกับประชาชน ก็คือ "การให้พลังกับประชาชนและเมื่อประชาชนมีพลังมากพอ ก็จะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้" 

นายต่อพงษ์ วงศ์เสถียรชัย จากบริษัท เลิฟอันดามัน ระบุว่า ประเทศไทยสามารถนำความแตกต่างของกรุงเทพฯออกมาขายได้ โดยไม่จำเป็นต้องลอกแบบต่างประเทศ โดยเฉพาะ Street Food ที่เป็นเสน่ห์การท่องเที่ยว แต่อาจดึโมเดลต่างประเทศไว้เพื่อเตรียมการ เมื่อหมดโควิด -​19 หรือไทยเปิดประเทศ ก็สามารถดำเนินการได้เลยก็เป็นอีกแนวทางหนึ่ง และหากกรุงเทพฯในฐานะเมืองหลวง ไม่สามารถเป็นแม่แบบได้ เมืองอื่นๆก็ไม่สามารถเดินทางตามได้ ในขณะที่เมืองเก่าที่มีอยู่ก็ไม่ได้ถูกยกระดับให้มีเสน่ห์ได้ ตนจึงอยากเห็น ทั้ง 50 เขตใน กทม.กับถนนที่เต็มไปด้วยเสน่ห์อย่างน้อยต้องฟื้นฟู Food Street และสร้าง Street Art ขึ้นมาประจำแต่ละเขตและอื่นๆ

นายต่อพงษ์ ฝากถึงผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้องด้วยว่า "ถ้าคุณมองทุกอย่างเป็นกฎ 1-2-3-4 แต่ไม่ได้แก้ปัญหาให้ประชาชนหรือสร้างโอกาสสร้างรายได้ กฎเหล่านั้นต้องถูกแก้" โดยต้องสร้างกฎใหม่ให้ประชาชนอยู่ได้และต้องมีรายได้ด้วย ที่ผ่านมาแม้ๅาครัฐมีหลายนโยบายเกี่ยสกับการพัฒนาการท่องเที่ยว แต่ไม่มี Action Plan หรือไม่นำสู่การปฏิบัติที่เป็นจริงได้

คุณศิริศักดิ์ ไชยเทศ นักกิจกรรมเพื่อสิทธิมนุษยชนผู้มีความหลากหลายทางเพศ กล่าวว่า แม้ประเทศไทยมีกฎหมายและเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศเกี่ยวกับการไม่เลือกปฏิบัติและสิทธิมนุษยชน แต่ก็ยังมีการเลือกปฏิบัติอยู่ ในส่วน Sex worker ในไทยมีอยู่ประมาณ 300,000 กว่าคน ใน กทม.มี 10,000 กว่าคน ทั้งชาย-หญิงและ LGBT สร้างรายได้ให้ประเทศปีละล้านบาท แต่ภาษีเหล่านี้ไม่เคยกลับมาหา Sex worker เลย พร้อมยืนยันว่า อาชีพ sex worker มีศักดิ์ศรีไม่ต่างจากนายกรัฐมนตรีและไม่ใช่ การค้ามนุษย์ เพราะเป็นการตัดสินใจเลือกของผู้บรรลุนิติภาวะแล้ว โดยเรียกร้องในประเด็นนี้คือ 

      1.) ยกเลิกกฎหมายค้าประเวณี ก็มีกฎหมายอื่นๆทั้ง พ.ร.บ.เด็กและการต้ามนุษย์ดูแลได้

      2.) คุ้มครองพนักงานบริการ (sex worker)​ ตามกฎหมายแรงงาน โดยไม่ต้องให้ลงทะเบียน 

      3.) ร่างกฎหมายเพื่อคุ้มครองผู้ค้าบริการทางเพศ 

ส่วนประเด็น LGBT นั้นสถาบันเกินบางแห่งไม่ยอมให้กระเทยเข้าใช้บริการ, สภากาชาด ไม่รับการบริจาคเลือดจาก "เกย์-กะเทย" และมีการเลือกปฏิบัติอีกหลายอย่าง พร้อมเรียกร้องกฎหมายสมรสเท่าเทียม, ร่าง พ.ร.บ.รับรองเพศสภาพ ที่ไม่ใช่แค่ชายกับหญิงเท่านั้น, การเข้าถึงฮอร์โมนของผู้ต้องขังในเรือนจำที่เป็นคนข้ามเพศ ซึ่งไม่ใช่เรื่องความสวยความงามแต่เป็นเรื่องสุขภาพ, 

สำหรับเรื่องการศึกษานั้น เรียกร้องให้ต้องแก้ไขหลักสูตรแกนกลาง ไม่เลือกปฏิบัติต่อคนข้ามเพศ, ยุติการปิดกั้นไม่ให้คนข้ามเพศเข้าทำงาน, ต้องมีวันลาหยุดในการผ่าตัดแปลงเพศ ในลักษณะเหมือนกับการลาคลอดบุตร และอยากให้กรุงเทพฯเป็นต้นแบบของห้องน้ำสำหรับคนทุกเพศสภาพ รองรับกลุ่มหลายทางเพศด้วย รวมทั้งเสนอว่า ไทยต้องมี Thailand Pride โดยจัดที่ กทม.และระบุลงในปฏิทินเป็นเทศกาล ให้สมกับสมญานามว่า "สรวงสวรรค์ของ LGBT" ด้วย

วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2563

วงเสวนาติดตามงบฯ บี้รัฐเร่งเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม


วงเสวนา ติดตามการใช้งบประมาณ ชี้ กทม.จัดงบ ไร้ประสิทธิภาพ วางผังเมืองไม่ตอบโจทย์การอยู่อาศัย คุณภาพชีวิตประชาชน แนะ เร่งเลือกผู้ว่า กทม. ส.ก. และ ส.ข. เพิ่มกลไกถ่วงดุลโดยเร็ว

คณะกรรมาธิการการจัดทำ และติดตามการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎรจัดสัมมนา ในหัวข้อ "ผ่าตัดงบประมาณรวมพลังสร้างกทม." โดยเชิญสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร นักวิชาการ และอดีตสมาชิกสภากรุงเทพมหานครร่วมเสวนา

นายประเดิมชัย บุญช่วยเหลือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร พรรคเพื่อไทย อภิปรายถึงการเปลี่ยนแปลงการใช้งบประมาณ ของ กรุงเทพมหานคร โดยย้อนหลังไป 7 ปี จะเห็นได้ว่าใช้งบประมาณไปกว่า 5แสน 1หนึ่งหมื่น 7พันล้านบาท แต่ยังพบเห็นปัญหาที่ซ้ำซาก พร้อมหยิบยกโครงสร้างการบริหารของกรุงเทพฯขึ้นมาอภิปราย ซึ่งยังขาดการบูรณาการเพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหา โดยงบยังเน้นการลงถึงในระดับเขตแต่งบประมาณส่วนใหญ่อยู่ที่สำนักเป็นหลัก รวมถึงอีกหลายๆกรณี หลายโครงการที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับพี่น้องประชาชน สูญเสียงบประมาณ

เช่นโครงการจัดซื้อรถเรือดับเพลิงกว่า 6 พันล้านบาทแต่ไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ เรื่องงบประมาณด้านอนามัยเช่น โครงการจัดสร้างโรงฆ่าสัตว์ซึ่งใช้งบกว่า 900 ล้านบาท แต่ไม่ถูกนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ปัจจุบันกลายเป็นพื้นที่แพร่ เชื้อโรคต่างๆ รวมถึงปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก ปัญหาการเก็บขยะไม่ทัน หรือปัญหาการบำบัดน้ำเสีย รวมถึงปัญหาด้านสาธารณสุข แม้จะมีการลงทุนต่อเนือง และใช้งบประมาณมหาศาลก็ตาม  ดังนั้นปัญหาเหล่านี้จึงสะท้อนว่าผู้บริหารของกรุงเทพฯแต่ละชุด ไม่ได้หยิบแผนงานที่จะเกิดประโยชน์อย่างแท้จริงต่อชาวกรุงเทพฯขึ้นมาใช้ แต่เน้นการเดินหน้าตามนโยบายของตนเอง จึงทำให้งบประมาณบางส่วนอาจสูญเปล่า 

พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าในส่วนของงบกลางกรุงเทพฯที่ถูกตั้งไว้สำหรับให้ผู้บริหารกรุงเทพฯใช้จ่ายนั้นมีความสุ่มเสี่ยงว่าจะมีความไม่โปร่งใส หรือไม่เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน จึงเป็นอีดหนึ่งหน้าที่ ที่คณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎร จะได้ช่วยกันติดตามตรวจสอบ

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองว่า กรุงเทพฯมีงบประมาณมหาศาล แต่ยังมีการบริหารงานที่ล้าหลัง ทั้งการจัดสรรงบประมาณ การจัดผังเมือง โดยเห็นว่าการจัดผังเมืองไม่ต่างจากรัฐธรรมนูญที่ทุกคนต้องมีส่วนร่วมคิด ส่วนร่วมจัดการ หากผังเมืองดีชีวิตของประชาชนก็จะดี และการจัดผังเมืองของกรุงเทพฯไม่สามารถตอบโจทย์การอยู่อาศัย ปัญหาน้ำท่วม การระบายหรือคุณภาพชีวิตของประชาชนได้ ขณะที่การจัดสรรงบประมาณไม่ได้สอดคล้องกับพื้นที่และจำนวนประชากร 

อีกมีปัญหาคือ การที่ผู้อำนวยการเขตเป็นบุคคลที่มาจากส่วนกลางและไม่ต้องรับผิดชอบต่อประชาชน ผู้อำนวยการเขตไม่ต้องรับรู้ ถึงความทุกข์ยากเมื่อประชาชนเกิดปัญหา ขณะที่การตรวจสอบ การใช้งบประมาณ ด้วยกลไกที่เคย ปฏิบัติมาก็ถูกตัดไป

ด้านนายประภัสร์ จงสงวน อดีตผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย มองว่า กรุงเทพมหานครไม่เคยสอบถาม หรือ พูดคุย กับประชาชน หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องอย่างแท้จริงก่อนดำเนินโครงการต่างๆ เช่นการอนุญาตให้ BTS ใช้ที่ดินโดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ในส่วนดังกล่าว ขณะที่อัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าก็แพงที่สุดในโลก ทำให้ปัจจุบันคนทีมีรายได้น้อยไม่สามารถเข้าถึงได้ ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์เดิมที่ต้องการให้ประชาชนเข้าถึงบริการได้ทุกกลุ่ม รัฐบาลต้องมีหน้าที่เข้าไปเจรจากับเอกชนที่เข้ามาลงทุนโดยเฉพาะในมิติของค่าโดยสาร ที่ต้องเปิดโอกาสให้เป็นบริการเพื่อการขนส่งมวลชนอย่างแท้จริง ขณะเดียวกันนายประภัสร์ เห็นว่าการลงทุนทั้งการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าหรือการพัฒนาเครือข่ายเส้นทางสัญจรต่างๆ จะต้องยึดประชาชนเป็นหลัก จึงจะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

นายประเสริฐ ทองนุ่น อดีตสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร เขตบางกะปิ ชี้ให้เห็นว่าปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพฯซ้ำซาก เกิดจากการบริหารจัดการ ซึ่งละเลยสิ่งที่ควรจะเร่งแก้ไขปัญหา เช่นการพัฒนาพื้นที่ฟลัดเวย์ ขณะที่การจัดสรรงบประมาณเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ไม่สอดคล้องกับความจำเป็นเร่งด่วน "สิ่งที่ควรทำไม่ทำ สิ่งที่ยังไม่ควรทำกลับทำ" ปัญหาดังกล่าวเกิดจากการสั่งการลงมาจากผู้มีอำนาจ 

ดังนั้นการจัดสรรงบประมาณจำเป็นต้องกลับมาทบทวน ว่าควรมีแนวทางอย่างไรเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและสามารถใช้ประโยชน์จากการพัฒนา ต่างๆไม่ว่าจะเป็นสถานีสูบน้ำการพัฒนาพื้นที่คลองได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ขณะที่ข้าราชการส่วนใหญ่ ก็ละเลยที่จะทำงานเพื่อพี่น้องประชาชน รวมถึงกลไกสมาชิกสภาเขตเอง ก็ไม่สามารถเดินหน้าทำงานได้

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ส.ส. กรุงเทพมหานคร พรรคเพื่อไทย เชื่อว่าผู้ว่าราชการจังหวัดกรุงเทพฯทราบถึงปัญหาต่างๆ แต่ไม่คิดจะดำเนินการอย่างจริงจัง เพราะขาดการตรวจสอบถ่วงดุลเพื่อให้เร่งรัดผลักดันอย่างจริงจัง ดังนั้นสมาชิกสภาเขตจึงจำเป็นต้องมี หากเรามีการถ่วงดุลในระดับเขต ก็จะ ทำให้การพัฒนาสามารถเดินหน้าไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมองว่าการรัฐประหารทำให้เสียเวลาพัฒนา ดังนั้นจึงขอเสนอให้เร่งเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครโดยเร็ว และไม่ควรเกินเดือนกุมภาพันธ์ รวมถึงสมาชิกสภากรุงเทพฯ สมาชิกสภาเขต

วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2563

"เพื่อไทย" กังวลทุจริตโครงการสามสิบบาทรักษาทุกโรค

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์ พรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย นายประเดิมชัย บุญช่วยเหลือ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย และ นายอนุสรณ์ เอี่ยวสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงกรณีการทุจริตโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค

โดย นายประเดิมชัย กล่าวว่า “จากการติดตามการทำงานของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในโครงการคลินิกอบอุ่น ซึ่งมาจากโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคเดิมนั้น จากการตรวจสอบข้อมูลคลินิกอบอุ่น 200 คลินิก พบว่า มีการทุริตโดยการทำเอกสารเป็นเท็จเพื่อไปเบิกจ่ายงบประมาณ โดยเฉพาะในกลุ่มโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ไขมัน เป็นต้น ซึ่งต้องมีการเจาะเลือดเพื่อตรวจหาผล แต่ในความเป็นจริงไม่มีการให้บริการจริง ไม่มีการนำผลเลือดจริงไปตรวจ แต่มีการนำเอาข้อมูลเท็จมาเบิกจ่ายงบประมาณรวม 18 คลินิก ที่ถูกตรวจสอบในปี 2562 รวม 74 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ สปสช. ได้เรียกคืน และยกเลิกการทำสัญญากับ 18 คลินิกดังกล่าวแล้ว ทั้งนี้ จากข้อมูลพบว่า ในรอบ 10 ปี มีการเบิกงบไปแล้ว จำนวน 2,913 ล้านบาท แต่เพิ่งตรวจพบการทุจริตและเรียกเงินคืนเฉพาะในปี 2562 เท่านั้น แต่ปี 2555 - 2561 และในปี 2563 ยังไม่มีการตรวจสอบความผิดปกติ จึงขอให้ สปสช. ตรวจสอบและเรียกเงินที่เป็นยอดทุจริตกลับคืนมา”

นายประเดิมชัย กล่าวว่า “นอกจากนี้บริษัทที่ให้ผลแลปปลอม สปสช. ก็ไม่เคยออกมาพูดว่า จะเอาผิดกับบริษัทที่เสนอผลแลปปลอมเพื่อมาเบิกงบแต่อย่างใด ทั้งนี้ ในส่วนของกรรมาธิการ (กมธ.) ป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ ที่มี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส เป็นประธาน กมธ. ได้บรรจุเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาแล้ว โดยในวันที่ 23 กันยายนนี้ ทาง กมธ. จะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย สปสช.กทม. เขต 13 ซึ่งดูแลคลินิกดังกล่าวเข้ามาชี้แจงต่อไป และเมื่อได้ข้อมูลการทุจริตเรียบร้อย ตนจะยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปราการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบต่อไป”

ด้าน คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า “เราได้ติดตามโครงการนี้มาหลายเดือนแล้ว เริ่มจากเราเห็นระบบบริหารจัดการที่ผิดเพี้ยน และผู้นำรัฐบาลไม่ได้เข้าใจในหลักการของโครงการนี้ โครงการแย่ลง ทั้งที่ใช้งบประมาณเพิ่มขึ้น งบประมาณมาโตที่ส่วนกลาง ไม่ได้กระจายงบฯลงไปที่โรงพยาบาล หรือสถานพยาบาล จึงเปิดช่องให้มีการทุจริตจำนวนมาก ผู้ให้บริการ คือหมอพยาบาลก็ไม่มีความสุข ผู้รับบริการก็ได้รับบริการที่ลดลง ทั้งนี้ เราพบการทุจริจในหลายรายการ เช่น การทุจริตผลแลป และเรื่องคลินิกชุมชน ในห้วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีการทุจริตอย่างมโหฬาร ยกตัวอย่างเช่น ในพื้นที่ กทม. เราพบว่า ห้วงไม่กี่ปีมีการใช้งบฯ ถึง 2,900 ล้านบาท ซึ่งลงไปอยู่ในคลินิกที่เจ้าของ หรือเครือข่ายแพทย์เพียง 3 กลุ่มเท่านั้น (เครือเพชรเกษมคลินิก เครือเรือพระร่วง และเครือข่ายของ สปสช.) คือมีการทุจริตกันตั้งแต่การคัดเลือกคลินิก โดยมีล็อกสเปก ทั้งที่มีคลินิกที่พร้อมมากมายแต่ไม่ได้รับการคัดเลือกเข้าไป และแม้จะมีการแฉทุจริต การตรวจสอบเรื่องทุจริตก็ยังไม่คืบหน้า และยังพ่วงเอาคลินิกที่อาจจะไม่ได้ทุจริตพ่วงเข้าไปด้วย การแก้ไขปัญหาทุจริตทำแบบลูบหน้าปะจมูก ทั้งที่ควรดำเนินการสอบสวน ดำเนินคดี แล้วค่อยสั่งปิด แต่กลับสั่งปิดก่อน จะเพื่อกลบหลักฐานหรืออะไรก็แล้วแต่ ไม่มีการหาสถานพยาบาลมารองรับก่อนสั่งปิด แล้วไปจับผู้ป่วยยัดใส่สถานพยาบาลที่มีอยู่อย่างจำกัด ทำให้เกิดความแออัด และทำให้ประชาชนได้รับกระทบกว่า 1 ล้านคน นอกจากแออัดแล้ว ยังไกลจากบ้านมาก ผู้ป่วยเรื้อรังที่ต้องได้รับการรักษาต่อเนื่องเมื่อมีการย้ายสถานพยาบาลเจอปัญหามาก เพราะคิวของสถานพยาบาลที่มีอยู่ก็ล้นอยู่แล้ว ขณะนี้ประชาชนร้องเรียนมายังพรรคเพื่อไทยจำนวนมาก เราจึงมองว่า การแก้ไขปัญหาทุจริตต้องลากมาตั้งแต่ต้นตอ”

“พรรคเพื่อไทยขอเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นโดยด่วน และต้องแก้ไขอย่างถูกทิศถูกทาง สิ่งที่รัฐบาลกำลังทำอยู่นี้โดยการไม่ตรวจสอบ ไม่ดำเนินคดี และสั่งปิดอย่างเดียว ไม่สามารถลากคนทุจริตออกมาลงโทษได้อย่างแท้จริง ขณะเดียวกันการรับสถานพยาบาล หรือคลินิกเฉพาะกลุ่มพวกเดียวกันเพียง 3 กลุ่ม เราเสนอว่า เรื่องค่าใช้จ่ายรายหัวควรเป็นสิทธิของประชาชน เช่น ประชาชนอยู่ในเขตบึงกุ่ม สปสช.ต้องรับสถานพยาบาลมากกว่า 1 แห่ง ในเขตนั้น และให้สิทธิในการเลือกใช้สถานพยาบาลเป็นของประชาชนผู้เป็นเจ้าของสิทธิ ไม่ใช่บังคับให้ประชาชนเลือกใช้คลินิกใดคลินิกเดียว นอกจากนี้ สปสช.ต้องสอบการทุจริตทั้งระดับคลินิก และระดับใน สปสช.ด้วย พร้อมทั้งเร่งแก้ปัญหาให้ประชาชนกว่า 8 แสนคน โดยเร่งหาสถานพยาบาลที่มีคุณภาพมาเพิ่มเติม" คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าว

วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2563

"ดร.ทักษิณ" เผย ครบรอบ 14 ปีรัฐประหาร ประเทศไทยล้าสมัย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

19 กันยายน 2563

วันนี้เป็นวันครบรอบ 14 ปีของรัฐประหาร ขณะผมมาประชุมสหประชาชาติ 19 ก.ย. 2549

ผมขอฝากคำถามเดียวครับ ว่า 14 ปีมานี้ ชีวิตคนไทยโดยรวมๆ เป็นไงบ้าง ประเทศไทยในสายตาโลกเป็นไงบ้าง

เด็กๆ ที่อายุระหว่าง 20 ถึง 30 ในปัจจุบัน 14 ปีที่แล้วเขาได้ยินได้เห็นพ่อแม่เขาคุยกันว่าเขากำลังมีงาน/มีธุรกิจ มีรถ มีบ้าน แต่วันนี้เขาได้ยินว่าเขากำลังตกงาน/ธุรกิจอยู่ไม่ได้ กำลังเสียรถ เสียบ้าน และตัวเขายังมองไม่เห็นอนาคตตัวเองถึงจะมีการศึกษาที่ดี เพราะวิธีคิดของเรากำลังถูกเอาเปรียบโดยทุนนิยมโลกที่เรารู้ไม่เท่าทัน เราล้าสมัยในหลายด้าน 

ถึงเวลาหรือยังที่เราจะปรับวิธีคิดใหม่ ทั้งฝ่ายบริหารบ้านเมืองและการเมือง เพราะที่ผ่านมา 14 ปีแล้ว เราไม่ทันโลกจริงๆ มีแต่ถูกเอาเปรียบ โลกไม่เหมือนเดิม คิดแบบเดิมไม่ได้ นโยบายที่เคยใช้ได้ในอดีตปัจจุบันยิ่งใช้ยิ่งแย่ โดยเฉพาะโลกหลังโควิดจะเป็นโลกที่เห็นแก่ตัวมากขึ้นกว่าเดิม เพื่อนที่แสนดีจะหายากขึ้น ผมหมายถึงการเมืองระหว่างประเทศ

ถึงแม้ผมไม่ได้ถือ passport ไทย แต่ผมตระหนักตลอดเวลาว่า ผมเป็นคนไทย รักคนไทย รักผืนแผ่นดินไทยไม่เคยเปลี่ยนแปลง

ทักษิณ ชินวัตร

วันศุกร์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2563

"ชวลิต" ตะเพิดประยุทธ์! ชี้ปัญหาอยู่ที่นายกฯ

"ชวลิต" แปลกใจ "พล.อ. ประยุทธ์" ขอแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจก่อน ทั้งที่ปัญหาอยู่ที่ตัวท่าน "ถึงเวลาแสดงสปิริต"

นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส. นครพนม พรรคเพื่อไทย เผยรู้สึกแปลกใจ ต่อแถลงการณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ปรามการชุมนุมใน 19 ก.ย.63 ทึ่ ม.ธรรมศาสตร์ ให้ระวัง

"การระบาดของโควิด" และ "ขอแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจก่อน" นั้น

ในส่วนปัญหาที่อาจมีการระบาดของโควิด นั้น จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมา ทั้งภาคราชการ คนไทยและทุกภาคส่วนได้ระมัดระวัง ป้องกันเป็นอย่างดี ไม่ได้ประมาท 

ความจริง ปัญหาบ้านเมือง ณ ปัจจุบัน พัฒนามารวมศูนย์อยู่ที่ศูนย์กลางของอำนาจบริหาร คือ นายกรัฐมนตรี

ถ้าท่านนายกรัฐมนตรีวางใจเป็นกลาง ก็จะพบความจริงว่า 6 ปีเศษที่ผ่านมา เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่า

1. แม้ท่านจะใช้งบประมาณมากมายแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แต่กลับมีคนจนเพิ่มขึ้น ๆ จนคนจนจะเต็มบ้าน เต็มเมืองแล้ว

2. รัฐบาลนี้กู้เงินมหาศาล ใช้เวลาเกือบ 100 ปี ก็ใช้หนึ้ไม่หมด เป็นภาระกับรุ่นลูก รุ่นหลาน ที่ชุมนุมเรียกร้องทางการเมืองมาอย่างต่อเนื่องในขณะนี้

3. พล.อ.ประยุทธ์ ฯ เปลี่ยนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแล้วถึง 3 ท่าน และกำลังควานหาอีก 1 ท่าน ซึ่งหายากอย่างยิ่ง ด้วยความไม่เชื่อมั่นทางด้านการเมือง

ประการสำคัญ ยังไม่มีสัญญาณใดที่รัฐบาลนี้จะฟื้นเศรษฐกิจได้  มีแต่จะจมลึกไปมากขึ้น ๆ

เฉพาะอย่างยิ่ง การที่ทุกพรรคการเมืองมีนโยบายแก้ รธน., สภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบรายงานการศึกษาการแก้ รธน. ก็ดี และนักเรียน นิสิต นักศึกษา ตลอดจนประชาชนทั่วไปชุมนุมเรียกร้องให้มีการแก้ รธน.ให้เป็นประชาธิปไตย เป็น รธน.ของประชาชนก็ดี ชี้ให้เห็นว่า หัวใจของปัญหาบ้านเมืองรวมศูนย์อยู่ที่ความไม่เชื่อมั่นทางด้านการเมือง การปกครองของประเทศ ที่มี พล.อ. ประยุทธ์ ฯ เป็นหัวหน้ารัฐบาล 

ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ฯ ควรประเมินตนเองได้แล้วว่า ท่านอาจถนัดงานด้านความมั่นคง การเข้ามาแก้ไขปัญหาประเทศในระยะเปลี่ยนผ่าน ได้พ้นเวลานั้นไปนานแล้ว

ถ้าบริหารประเทศต่อไป ปัญหาเศรษฐกิจจะยิ่งจมลึกจนยากจะเยียวยา ท่านจะรับผิดชอบอย่างไร

ความจริง ตัวบุคคลในการบริหารประเทศอาจเป็นปัญหารอง แต่ปัญหาหลักเชิงสัญลักษณ์ที่เป็นความเชื่อมั่นทางด้านการเมือง การปกครอง คือ ถึงเวลาที่ท่านจะแสดงสปิริตทางการเมืองได้แล้ว

ถ้าท่านประเมินตนเองแล้วลงตามระบบ รักษาระบอบประชาธิปไตยไว้ ก็จะเป็นสัญญาณบวกดึงความเชื่อมั่นประเทศกลับคืนมา        

     


"จาตุรนต์" เตือนสติกองทัพ การรัฐประหารไม่ใช่เครื่องมือแก้ไขความขัดแย้ง

นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เผยแพร่ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

ชวนคิด ชวนคุยถึง 19 กันยา 49 กันครับ

การรัฐประหารแต่ละครั้ง คณะผู้ก่อการมักจะอ้างปัญหาความขัดแย้ง เป็นหนึ่งในเหตุผลเพื่อก่อการ

ตลอดเวลาที่ผ่านมา จนถึงขณะนี้ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว

.

ตั้งแต่การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 โดย คมช. จนถึงการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 โดย คสช. ล้วนแต่ไม่ได้ช่วยให้ปัญหาความขัดแย้งในสังคมเบาบาลง แม้อาจจะทำให้ดูเหมือนความขัดแย้งยุติไปในบางช่วง แต่ก็เป็นการยุติชั่วคราว หรือ พักความขัดแย้งไว้ระยะหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้เป็นการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งให้หมดไป แต่จะเป็นการสะสมความขัดแย้งใหม่มากขึ้น จากปัญหาและเงื่อนไขต่างๆ แล้ววันหนึ่งความขัดแย้งที่สะสมขึ้นมาใหม่นั้นก็จะปะทุ บวกกับความขัดแย้งเดิมที่ไม่เคยได้รับการแก้ไข ก็จะเป็นปัญหาที่มากกว่าเดิม  

.

เหตุการณ์รัฐประหารปี 2557 ก็เป็นความต่อเนื่องมาจากเหตุการณ์รัฐประหารปี 2549 

และการรัฐประหารปี 2557 กับรัฐธรรมนูญ 2560 ก็กำลังนำพาสังคมไทยไปสู่เงื่อนไขความขัดแย้งใหม่ ที่ซับซ้อนมากขึ้นและเป็นปัญหามากกว่าเดิม   

.

ซึ่งเรื่องนี้ผมได้ให้สัมภาษณ์ เอาไว้แล้วในปี 2560

จึงขออนุญาตนำเนื้อหาส่วนหนึ่งมาเผยแพร่อีกครั้ง ในโอกาสที่ทุกฝ่ายกำลังกล่าวถึงเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 

.

...

“ปี 2549 กำลังมันก้ำกึ่ง ยึดอำนาจแล้ว เขียนกติกาแล้ว ต้องการสร้างระบบการปกครองที่กำหนดได้หมด แต่กำหนดไม่ได้เพราะว่าคนออกเสียงลงคะแนนไม่ยอม เขาก็ต้องไปใช้กลไกตามรัฐธรรมนูญมาจัดการกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง จัดการไปแล้ว มีเลือกตั้งอีก ประชาชนก็ยังไม่ยอม แถมมีพลังนอกสภาเกิดขึ้นด้วย ก็เลยต้องยึดอำนาจอีกรอบและเขียนกติกาใหม่ กติกาคราวนี้นอกจากเตรียมไว้จัดการรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแล้ว ยังสร้างกติกาที่ต้องการให้เกิดรัฐบาลที่มาจากคนนอก คือออกประตูไหนก็ได้ จัดการได้หมด แต่คำถามอยู่ที่ว่าพลังประชาธิปไตย พลังของผู้ออกเสียง พลังของพรรคการเมือง จะอยู่ในสภาพที่ยังชักเย่อต่อไปหรือไม่ ต้องดูกันต่อ หรือว่าจะถูกดึงจนล้มระเนนระนาด”

รัฐธรรมนูญฉบับนี้ (รัฐธรรมนูญ 2560) ไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างยิ่ง ซึ่งจะทำให้เราอยู่ภายใต้การปกครองที่ไม่เป็นประชาธิปไตย ประชาชนไม่สามารถกำหนดความเป็นไปของประเทศได้ มีแนวโน้มที่จะมีรัฐบาลจากคนนอกที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง หรือต่อให้มีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งก็อาจจะทำอะไรได้ไม่มาก เพราะถูกกลไกในรัฐธรรมนูญล็อกเอาไว้

เราก็กำลังเดินไปสู่สภาพที่รัฐบาลไม่ตอบสนองความต้องการของประชาชน และยังต้องทำงานภายใต้กรอบของนโยบายแห่งรัฐ แผนปฏิรูป และยุทธศาสตร์ชาติ ซึ่งกำลังทำกันอย่างขะมักเขม้น แต่เป็นการทำโดยไม่มีวิสัยทัศน์ ประชาชนไม่มีส่วนร่วม เต็มไปด้วยปัญหาและความยุ่งเหยิง แนวโน้มคือจะนำไปสู่ประเทศที่ล้าหลัง ปรับตัวยาก เพราะแผนปฏิรูปก็ดี ยุทธศาสตร์ชาติก็ดี สิ่งเหล่านี้มันล้าหลังและแก้ไขยาก รวมทั้งรัฐธรรมนูญเองก็แก้ไขยาก ในขณะที่โลกเปลี่ยนเร็วมาก

ในระยะใกล้ๆ คงจะยังไม่เกิดความรุนแรง แต่ความขัดแย้งเดิมในสังคมไทยที่ยังไม่ได้แก้ มันจะสะสมเป็นความขัดแย้งใหม่ๆ อีกมาก ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดนโยบายต่างๆ ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา การออกกฎหมาย ออกกติกาต่างๆ ผ่าน สนช. ผ่านคำสั่ง คสช. สิ่งเหล่านี้จะเป็นเงื่อนไขของความขัดแย้ง แต่สังคมไทยก็เบื่อหน่าย หวาดกลัว ไม่ต้องการเห็นความรุนแรงและความวุ่นวาย โอกาสที่พลังของฝ่ายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายสนับสนุนรัฐประหาร ฝ่ายไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร ที่เคยเคลื่อนไหวมาแล้ว เคยมีบทบาทมาแล้ว จะกลับมามีบทบาทมากๆ จนเป็นต้นเหตุนำไปสู่ความขัดแย้งบานปลายน่าจะยังไม่เกิดขึ้นได้เร็ว

“แต่เมื่อมีการสะสมปัญหา ความขัดแย้งเก่าไม่แก้ ความขัดแย้งใหม่เกิดขึ้นมากมาย มันเหมือนเป็นระเบิดเวลา มีกับระเบิดเต็มไปหมด สังคมก็กำลังเดินไปอยู่ความขัดแย้งที่ไม่สามารถแก้ได้โดยกระบวนการที่อยู่ในตัวระบบเอง เช่น จะแก้คำสั่ง คสช. ที่ส่งผลเสียต่อประชาชนต้องไปแก้กฎหมาย ซึ่งพรรคการเมือง สภาผู้แทนก็แก้ให้ไม่ได้ จะแก้รัฐธรรมนูญ แก้ยุทธศาสตร์ชาติ ก็แก้ไม่ได้ มันก็รอวันระเบิด เพียงแต่มันอาจเป็นเรื่องของผู้ที่เจอกับปัญหาในอนาคต จะเป็นใคร จะเกิดขึ้นอย่างไร เกิดขึ้นเมื่อไหร่ ผมไม่สามารถจินตนาการไปได้ รู้แต่ว่าแนวโน้มไม่ดีเลย”

วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2563

"เก่ง-การุณ" เผย เตรียมแถลงพรุ่งนี้ ก่อนร่วมสังเกตการณ์การชุมนุม

“การุณ” ชวน ส.ว.ไปร่วมสังเกตการณ์ แนะทุกฝ่ายช่วยกันปกป้องเยาวชน เผยคณะทำงานพร้อมร่วมสังเกตการณ์ป้องกันคุกคามเด็ก

วันที่ 17 กันยายน 2563  นายการุณ โหสกุล ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย  ในฐานะคณะทำงานเพื่อติดตามการชุมนุมของกลุ่มนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชน ในคณะกรรมาธิการ การปกครอง สภาผู้แทนราษฎร  เปิดเผยว่า คณะทำงานจะเข้าไปร่วมสังเกตการณ์การชุมนุมของนิสิต นักศึกษา ในวันที่ 19 ก.ย. นี้ เช่นเดียวกับที่เคยดำเนินการในการชุมนุมที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2563 และการชุมนุมต่างๆในพื้นที่ต่างจังหวัดที่ผ่านมา 


ทั้งนี้คณะทำงานจะเข้าไปตั้งจุดสังเกตการณ์ว่าเพื่อทำหน้าที่ตามปกติ โดยนายสมคิด เชื้อคง หัวหน้าคณะทำงานฯ จะแถลงรายละเอียดทั้งหมดต่อสื่อมวลชนอีกครั้งในวันศุกร์ที่ 18 กันยายน เวลา 10.00 น. ที่สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งคณะทำงานพร้อมที่จะดูแล และประสานงานกับทางเจ้าหน้าที่หากมีประชาชนถูกคุกคามหรือถูกละเมิดสิทธิ์เท่านั้น โดยการดำเนินการของคณะทำงานจะไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมของการชุมนุมแต่อย่างใด 


นายการุณ  กล่าวด้วยว่า การชุมนุมเป็นเรื่องการแสดงออกตามระบอบประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ ดังนั้นอยากให้เจ้าหน้าที่ดูแลม็อบเหมือนลูกหลาน เหมือนคนไทยด้วยกัน อย่ามองว่าเป็นศัตรู ให้มองว่าเป็นความคิดต่างที่ทุกฝ่ายต้องออกมาพูดจาและอธิบายให้เข้าใจและหาทางออกร่วมกัน  


“ส่วนกรณีที่นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา รวมทั้งอีกหลายฝ่ายออกมาให้ข่าวว่าจะมีการขนมวลชนมาร่วมชุมนุมจากกลุ่มการเมืองนั้น หากคุณสมชายรู้ข่าวขนาดนี้อยากให้ไปช่วยให้ข้อมูลกับฝ่ายความมั่นคงเลยว่าใครบ้างที่อยู่เบื้องหลัง อย่าปล่อยข่าวตีกินทำเป็นพวกอินไซค์รู้ทุกเรื่อง แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรในกอไผ่ วันนี้แทนที่จะแถลงข่าวอยู่แต่ในห้องแอร์ อยากเชิญชวนคุณสมชายและ ส.ว.ทุกท่าน  มาร่วมกันสังเกตการณ์ดูแลเยาวชนดีกว่า จะได้เปิดหูเปิดตาว่าเด็กๆเขาออกมาชุมนุมกันทำไม เวลาคุณสมชายไปคุยกับใครจะได้มีข้อมูลจริงไปพูด คนจะได้เชื่อถือบ้าง เพราะเห็นแต่ปากเก่งอยู่แต่ในสภา ถ้าเป็นตัวแทนประชาชนจริงๆก็อยากชวนมาช่วยกันปกป้อง ดูแลการชุมนุมให้เป็นไปอย่างสงบเรียบร้อยจะเกิดประโยชน์มากกว่าที่จะให้ข่าวทำลายความชอบธรรมของกลุ่มเยาวชนที่เป็นอนาคตของประเทศ”นายการุณ กล่าว  


"สุดารัตน์" ย้ำ 3 ข้อเรียกร้องหลัก ทางออกวิกฤตของประเทศ

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย เผยแพร่ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายร่วมกันหาทางออกจาก “วิกฤตของประเทศ” อย่างสันติ โดยขอให้รัฐบาลและส.ว. สนับสนุน 3 ข้อเรียกร้องหลัก ดังนี้ 

1.เปิดประชุมสภาวิสามัญ เพื่อใช้เวลาในเดือนตุลาคม พิจารณาญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งหมดให้แล้วเสร็จ 

2.สนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในมาตรา 256 และตั้ง สสร. ซึ่งทุกฝ่ายเห็นตรงกัน ทั้งฝ่ายค้าน และฝ่ายรัฐบาล ขาดเพียงเสียง ส.ว.อีก  84 เสียงเท่านั้น 

ทั้งนี้ เพื่อคืนอำนาจในการเขียนรัฐธรรมนูญ และอำนาจในการออกแบบอนาคต ทิศทางของประเทศให้กับประชาชน และเร่งรัดกระบวนการให้ได้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ภายใน 1 ปี หรือภายในเดือนตุลาคม 2564

3. สนับสนุนญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญอีก 4 ญัตติของพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมฝ่ายค้าน เพื่อเป็นทางออกแก้วิกฤตการเมือง ตามที่นักเรียน นิสิต นักศึกษาและประชาชน กำลังเรียกร้องอยู่ขณะนี้ คือ 

1) ยุติอำนาจ สว. ในการเลือกนายกรัฐมนตรี และแก้ ม.159 เพื่อเปิดทางให้นายกมาจากบัญชีของพรรคแล้วยังสามารถเลือกจาก ส.ส. ที่มีอยู่ในสภาได้ด้วย

2) ยุติอำนาจ สว. ในเรื่องการปฏิรูปประเทศ และการพิจารณาร่างกฎหมายร่วมกับ ส.ส. แทนที่จะเป็นไปตามขั้นตอนของแต่ละสภา

3) ให้ตรวจสอบคำสั่งและการกระทำของ คสช. ได้

4) แก้ไขระบบเลือกตั้งเป็นบัตร 2 ใบ เลือกคนและเลือกพรรค เพื่อสะท้อนเจตนารมณ์ของประชาชนในการเลือกตั้งอย่างแท้จริง

“เมื่อรัฐสภาเห็นชอบ ทั้ง 4 ญัตติในเดือนตุลาคม หากต้องมีการเลือกตั้งใหม่ ก็จะเป็นการเลือกตั้งใหม่ภายใต้กติกาที่เคารพสิทธิประชาชน อำนาจ ส.ว. ในการโหวตนายกฯจะถูกยกเลิกไป ที่สำคัญกลับมาใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ คือเลือกคนและเลือกพรรค”

“ด้วยวิธีการนี้ การร่างรัฐธรรมนูญโดย สสร. จะไม่มีหนทางให้สะดุดหยุดลง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม กระบวนการจะยังคงเดินหน้าต่อไป จนได้รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน” 

ดิฉันจึงขอเรียกร้องความจริงใจจากนายกรัฐมนตรี ส.ส. ฝ่ายรัฐบาล และ ส.ว. ให้การสนับสนุนเห็นชอบญัตติการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เสนอมาทุกญัตติ และสนับสนุนการเปิดประชุมสมัยวิสามัญของรัฐสภา เพื่อพิจารณาญัตติการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้แล้วเสร็จภายในเดือนตุลาคมนี้

เพื่อเป็นทางออกจากวิกฤตของประเทศอย่างสันติ 

"ทนายชุมสาย" แนะนักศึกษาขับไล่เผด็จการ

ทนายชุมสาย ชี้ มหาวิทยาลัย คือพื้นที่แห่งเสรีภาพและวิชาการ ไม่ควรกำหนดเงื่อนไข ข้อจำกัดห้ามใช้พื้นที่ ย้ำ ธรรมศาสตร์ คือสัญลักษณ์ ประชาธิปไตย ปฏิเสธเผด็จการ

ทนายชุมสาย ศรียาภัย รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ออกประกาศแนวทางการจัดชุมนุมของนักศึกษา 3 ข้อในพื้นที่มหาวิทยาลัย และต่อมาได้ออกประกาศไม่อนุญาต ให้กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ ใช้พื้นที่มหาวิทยาลัยนั้น ตนเห็นว่ามหาวิทยาลัยเป็นพื้นที่แห่งสิทธิเสรีภาพและวิชาการ การเรียนการสอนและกิจกรรม ดังนั้นเยาวชน ปัญญาชนคนหนุ่มสาวควรมีสิทธิใช้พื้นที่แสดงออกโดยเต็มที่ ภายในกรอบของรัฐธรรมนูญและกฎหมาย มหาวิทยาลัยต้องอำนวยความสะดวกไม่ควร ออกประกาศกำหนดเงื่อนไข หรือข้อห้าม

"ธรรมศาสตร์ สอนเรื่องประชาธิปไตย ความยุติธรรม สิทธิเสรีภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ในรั้วมหาวิทยาลัยต้องป็นพื้นที่ของเสรีภาพ และมีความปลอดภัย หากห้ามใช้พื้นที่อาจเป็นการผลักนักศึกษาออกไปเผชิญกับความสุ่มเสี่ยงภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ ที่สำคัญคือ มหาวิทยาลัย ไม่น่าจะได้รับความเสียหายในมิติใดๆ และคุณค่าของมหาวิทยาลัยไม่ได้เสื่อมหรือลดลงไป หากนักศึกษาจะเรียกร้องประชาธิปไตยและขับไล่เผด็จการภายในรั้วมหาวิทยาลัย และถือเป็นหน้าที่ที่ต้องสนับสนุน ซึ่งในอดีตธรรมศาสตร์ คือที่มั่นของนักศึกษาในการต่อสู้กับเผด็จการมาแล้ว และขอถามว่า หากป็นการชุมนุมเชียร์รัฐบาลสืบทอดอำนาจเผด็จการ โดยใช้พื้นที่ธรรมศาสตร์ สามารถกระทำได้อย่างนั้นหรือ"

นายชุมสาย กล่าวเพิ่มเติมว่า กำเนิดของธรรมศาสตร์ เมื่อพศ. 2476 ในชื่อ มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง มุ่งศึกษาวิชากฎหมายและความเป็นไปของบ้านเมืองเป็นสำคัญ ซึ่งล้วนเกี่ยวกับการเมืองการปกครอง สัญลักษณ์เป็นพานรัฐธรรมนูญอยู่กลางวงธรรมจักร หมายถึงการยึดมั่นและรักษาไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตย มีวลีอมตะว่า "ฉันรักธรรมศาสตร์เพราะธรรมศาสตร์สอนให้ฉันรักประชาชน" สะท้อนหลักการของประชาคมธรรมศาสตร์ อุดมการณ์ ประชาธิปไตยเสรีภาพและความเสมอภาค ซึ่งถือเป็นจิตวิญญาณธรรมศาสตร์โดยแท้ ดังนั้น มหาวิทยาลัยจึงไม่ควร กำหนดเงื่อนไข หรือข้อจำกัดห้าม ในการที่ นักศึกษา และประชาชน จะใช้สถานที่ เพื่อเรียกร้อง ความเป็นประชาธิปไตย ความยุติธรรม สิทธิเสรีภาพ 

พรรคร่วมฝ่ายค้าน แถลงแนะสังคมพิจารณาข้อเรียกร้องนักศึกษา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พรรคร่วมฝ่ายค้าน เผยแพร่ คำแถลงพรรคร่วมฝ่ายค้าน เรื่อง สิทธิเสรีภาพการแสดงออกของประชาชน และการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อหาทางออกให้กับประเทศ โดยมีเนื้อหาดังนี้

คำแถลงพรรคร่วมฝ่ายค้าน เรื่อง สิทธิเสรีภาพการแสดงออกของประชาชน และการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อหาทางออกให้กับประเทศ 

ด้วยสถานการณ์ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง เข้าสู่ภาวะวิกฤติจากการบริหารราชการแผ่นดินที่ผิดพลาดและไร้ซึ่งประสิทธิภาพ ไร้ขื่อแปในการอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชน สร้างสังคมที่มีแต่ความขัดแย้ง และสร้างรัฐธรรมนูญที่ก่อให้เกิดสารพัดปัญหา จนนำไปสู่ทางตันของประเทศในปัจจุบัน จนเกิดกระแสเรียกร้องของนักเรียน นิสิตนักศึกษา และประชาชนทุกเพศทุกวัยในวงกว้าง และจะมีการชุมนุมใหญ่ในวันเสาร์ที่ 19 กันยายน 2563 นั้น พรรคร่วมฝ่ายค้านขอแถลงให้พี่น้องประชาชนทราบ ดังนี้ 

1. พรรคร่วมฝ่ายค้านเห็นว่า การแสดงออกและการเรียกร้องของนักเรียน นิสิตนักศึกษา และประชาชนภายใต้กรอบกฎหมาย เป็นสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานตามระบอบประชาธิปไตย เป็นสิ่งที่ถูกต้องและสามารถกระทำได้ รัฐบาลต้องคุ้มครองและอำนวยความสะดวกให้การแสดงออกดังกล่าวเป็นไปได้อย่างเสรี รัฐบาลต้องเปิดพื้นที่สาธารณะที่ปลอดภัยในการแสดงออกของประชาชน โดยปราศจากการคุกคาม แทรกแซง ให้ร้าย และด้อยค่าการแสดงออกดังกล่าว รัฐบาลต้องไม่ทำลายความคิดเสรีของนักเรียน นิสิตนักศึกษา และประชาชน ด้วยการใช้เครื่องมือต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้กฎหมายที่บิดเบือนข้อเท็จจริง การนิ่งเฉยปล่อยให้มีการใช้ความรุนแรง การใช้อาวุธสลายการชุมนุม และกักขังหน่วงเหนี่ยว เป็นต้น ทั้งนี้ข้อเรียกร้องต่างๆ ของนักเรียน นิสิตนักศึกษา และประชาชนควรจะต้องมีการนำไปสู่การพิจารณาด้วยความพินิจพิเคราะห์ถึงข้อดี ข้อเสีย ความเหมาะสมอย่างละเอียดถี่ถ้วนและเป็นธรรม ทั้งนี้เพื่อเป็นการร่วมกันหาทางออกที่เหมาะสมให้กับสังคมไทย

2. หนึ่งในข้อเรียกร้องที่สำคัญของนักเรียน นิสิตนักศึกษา และประชาชนในวงกว้าง คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะรัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่ในปัจจุบันเป็นผลจากการสืบทอดอำนาจและความต้องการรักษาอำนาจของ คสช. เป็นเหมือนมะเร็งร้ายที่กัดกร่อนทำลายประเทศชาติ และนำพาประเทศมาสู่ทางตัน ไร้หนทางออก พรรคร่วมฝ่ายค้านจึงขอเรียกร้องให้ทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ร่วมกันผลักดันร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา 256 ที่เสนอเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาในวันที่ 23-24 กันยายน 2563 ซึ่งสนับสนุนให้มี ส.ส.ร.เพื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยที่ ส.ส.ร.ทั้งหมดต้องมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของพี่น้องประชาชน เพื่อนำไปสู่รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน  เพื่อปลดล็อกประเทศจากทางตันในปัจจุบัน พรรคร่วมฝ่ายค้านเห็นว่าหาก ส.ส.ร. มิได้มาจากการเลือกตั้งของประชาชนโดยตรง จะเป็นช่องทางให้คนเฉพาะบางกลุ่มหรือฝ่ายผู้มีอำนาจสามารถเข้ามาแทรกแซงและบิดเบือนเจตนารมณ์ของประชาชนได้

3. พรรคร่วมฝ่ายค้านขอเรียกร้องให้สมาชิกวุฒิสภาร่วมมือกับภาคส่วนต่างๆ ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับอำนาจของสมาชิกวุฒิสภา โดยเฉพาะอย่างยิ่งอำนาจในการเลือกนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 272 ต้องถูกยกเลิก พวกเราเรียกร้องให้สมาชิกวุฒิสภาเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวมของประเทศ ร่วมมือกับทุกภาคส่วนในสังคมหาทางออกให้ประเทศ  เพื่อทำให้รัฐธรรมนูญเป็นประชาธิปไตยให้มากที่สุด และสามารถสะท้อนเจตนารมณ์ของประชาชนได้ตรงตามความเป็นจริงที่สุด เพื่อยุติความขัดแย้งที่นับวันจะขยายตัวไม่มีที่สิ้นสุด

17 กันยายน 2563







"ทศพร" เตรียมตั้งเต็นท์พยาบาล บริการผู้ชุมนุม

“หมอทศพร” เผยแพทย์อาสาพร้อมดูแลผู้ชุมนุม อัดแกนนำขาประจำจ้องป่วนกิจกรรมเยาวชนปลดแอก

นายแพทย์ทศพร เสรีรักษ์ อดีตรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การจัดกิจกรรมแฟลซม็อบของกลุ่มเยาวชนปลดแอกที่จะมีขึ้นในวันที่ 19 กันยายน ที่จะถึงนี้ พบว่ามีความพยายามในการสร้างความวุ่นวายขึ้น ล่าสุดนายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา ออกมาโพสเฟสบุ๊คว่าจะมีการขนมวลชนเข้ามาร่วมชุมนุม  รู้กระทั่งจำนวนคน เรื่องแบบนี้ใครจะพูดก็ได้เพราะไม่มีหลักฐาน หรือเพียงแค่จะโพสให้ใครเห็นหรือเปล่า 

จากการลงพื้นที่พบว่าการชุมชุนที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คาดว่าจะมีประชาชนที่รักประชาธิปไตยเข้ามาร่วมเป็นจำนวนมาก แม้จะมีการข่มขู่คุกคาม อยากบอกว่าประชาชนกลัวประเทศไม่มีประชาธิปไตยมากกว่า กลัวการข่มขู่คุกคาม ทั้งนี้คนที่จะมาร่วมงานในครั้งนี้ไม่ต้องเกณฑ์ทุกคนมากันเองมาด้วยใจ

นายแพทย์ทศพร กล่าวด้วยว่า กรณีการสร้างข่าวหรือสร้างประเด็นให้สังคมเปิดความสับสน ส่วนใหญ่เป็นคนที่มีความสัมพันธ์กับ กลุ่มการเมืองที่โค่นล้มรัฐบาล ที่มาจากการเลือกตั้งหรือรัฐบาลประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นนายสมชาย หรือ นายแก้วสรร อติโพธิ  อดีตแนวร่วมกลุ่ม กปปส. ก็เคยออกมากวักมือเรียกทหาร ให้ออกมายึดอำนาจทั้งนั้น การเคลื่อนไหวของคนกลุ่มนี้มีเบื้องหลังและการเมืองแอบแฝง

“ทั้งนี้เพื่อสร้างความมั่นใจและดูแลความเรียบร้อย  ในฐานะที่เป็นแพทย์ มีการรวมรวมแพทย์ที่รักประชาธิปไตย มาช่วยกันดูแลผู้มาร่วมชุมนุม พร้อมทั้งจะมีการจัดตั้งหน่วยแพทย์อาสา 3 จุด เพื่อดูแลและป้องกันการติดเชื้อให้กับประชาชนที่มาร่วมชุมนุม จนถึงเวลานี้มีคณะแพทย์ ให้ความสนใจที่จะมาร่วม ให้บริการประชาชนเป็นจำนวนมาก รวมทั้งเตรียมไปดูสถานที่ ตั้งจุดพยาบาล พร้อมจัดกิจกรรมล้อมวง เล่าประวัติศาสตร์การต่อสู้ของขบวนการนิสิตนักศึกษา ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในวันที่ 18 กันยายนด้วย” นายแพทย์ทศพร กล่าว    

วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2563

"ทวี" รายงานตัว ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชาติ

พันตำรวจเอก ทวีสอดส่อง เข้ารายงานตัวเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) แบบบัญชีรายชื่อพรรคประชาชาติ ต่อสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร แล้วในวันนี้ (15 ก.ย. 63) ณห้องรับรอง ชั้น 3 อาคารรัฐสภา ฝั่งสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรตามประกาศสภาผู้แทนราษฎร เรื่อง ให้ผู้มีชื่ออยู่ในลำดับถัดไปในบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองเลื่อนขึ้นมาเป็นส.ส. แทนตำแหน่งที่ว่าง หลังจาก นายวันมูหะมัด นอร์ มะทา ได้มีหนังสือขอลาออกจากตำแหน่งส.ส. ตั้งแต่วันที่ 11 กันยายน 2563 เป็นเหตุให้สมาชิกภาพของ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา สิ้นสุดลงตามมาตรา 101 (3) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560ฉะนั้น อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 105 (2)ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช 2560จึงประกาศให้ผู้มีชื่อในลำดับถัดไปในบัญชีรายชื่อของพรรคประชาชาติเลื่อนขึ้นมาเป็น ส.ส. ประกาศ ณ วันที่ 11 กันยายน พ.ศ.2563 นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร  

วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2563

"เพื่อไทย" เตรียมยื่นญัตติขอแก้ไข ม.256 ตั้ง สสร.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

ผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ พบว่าประชาชนเกินกว่าร้อยละ 60 ต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยตั้ง สสร. ดังนั้น พรรคร่วมฝ่ายค้าน 4 พรรคและพรรคเพื่อไทย รวมทั้งพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคจึงได้ยื่นญัตติขอแก้ไขมาตรา 256 เพื่อตั้ง สสร. ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของประชาชน แต่โดยที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 จะต้องได้รับความเห็นชอบจาก ส.ว. ไม่น้อยกว่า 84 เสียง จึงเรียนมายัง ส.ว. เพื่อพิจารณา ดังนี้

(1) การตั้ง สสร. คือการคืนอำนาจให้ประชาชน แต่ไม่ใช่การตีเช็คเปล่าตามที่ ส.ว. บางท่านกล่าวหา เพราะตามร่างของรัฐบาลเมื่อร่างเสร็จจะต้องกลับมารัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบ หากรัฐสภาไม่เห็นชอบจะถูกส่งไปทำประชามติ หากไม่ผ่านประชามติรัฐธรรมนูญ 2560 ก็ยังบังคับใช้ต่อไป 

(2) กรุณาอย่าเอาค่าใช้จ่ายในการทำประชามติ 4,000 ล้านบาท มาเป็นข้ออ้าง เพราะตั้งแต่ยึดอำนาจจนปัจจุบัน รัฐบาลประยุทธ์ทำความเสียหายให้บ้านเมืองเกิน 5 ล้านล้านบาทแล้ว แค่จัดเก็บภาษีก็ต่ำกว่าเป้าเกิน 1 ล้านล้านบาท ส่วนการกู้เงินมากกว่า 4 ล้านล้านบาท หากไม่ลดความขัดแย้งบ้านเมืองจะเสียหายมากกว่านี้

(3) การที่ คสช. แต่งตั้งให้ท่านเป็น ส.ว. ไม่ถือเป็นความผิดเพราะท่านไม่ได้แต่งตั้งตัวเอง แต่หากท่านขัดขวางไม่ยอมให้ประชาชนไปร่างรัฐธรรมนูญจนเกิดปัญหาขึ้น ผมเชื่อว่าทุกคนจะถือเป็นความรับผิดชอบของ ส.ว. เพราะ ส.ส. ทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลพร้อมที่จะคืนอำนาจให้ประชาชนแล้ว จึงเหลือเพียง ส.ว. เท่านั้น  

พึงระลึกว่าอำนาจเป็นของประชาชน การคืนอำนาจให้ประชาชนไปร่างรัฐธรรมนูญเองจะลดความขัดแย้งทางการเมืองและทำให้ประเทศเดินไปข้างหน้าได้โดยสันติ ขอฝากอนาคตของประเทศนี้ไว้กับ ส.ว. ทุกท่าน อยากเป็นวีรชนหรือทรชนก็เลือกเอาครับ

วัฒนา เมืองสุข

14 กันยายน 2563

"อนุดิษฐ์" เชื่อม็อบนักศึกษา สงบ-สันติ-ไม่รุนแรง

"อนุดิษฐ์" ยัน ยื่นเพิ่มรธน. 4 ญัตติเพื่อให้การเมืองกลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว ชี้  นักศึกษามีมันสมองและตำราเป็นอาวุธ ไม่ต้องสร้างสถานการณ์โยนความผิดให้รัฐบาล

วันที่ 14 กันยายน 2563 น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ไม่เห็นด้วยกับความพยายามให้ข้อมูลป้ายสีการชุมนุมใหญ่ในวันที่ 19 กันยายนว่า แกนนำนักศึกษามีแผนที่จะสร้างความรุนแรง จนกระทั่งไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ เพราะการชุมนุมหลายครั้งที่ผ่านมาทั้งนักเรียน นิสิตนักศึกษา และประชาชนได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า สามารถจัดการชุมนุมให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย สงบ สันติ และอยู่ภายใต้กรอบที่รัฐธรรมนูญทุกประการ ไม่มีสัญญาณใดๆเลย ว่าจะมีการวางแผนสร้างความรุนแรงเพื่อโยนความผิดให้รัฐบาล เหมือนอย่างที่บางฝ่ายเป็นห่วง


"นักศึกษามีมันสมองและตำราเป็นอาวุธ จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องสร้างสถานการณ์อย่างหนึ่งอย่างใดขึ้นมา เพื่อนำไปสู่ความรุนแรงแล้วโยนความผิดให้รัฐบาล ในทางตรงกันข้าม หากจะมีความรุนแรงเกิดขึ้นก็น่าจะมาจากผู้ไม่หวังดีที่ต้องการทำลายความชอบธรรมของการชุมนุมมากกว่า ดังนั้นเจ้าหน้าที่รัฐต้องดูแลการชุมนุมด้วยความมีเมตตาธรรมและปราศจากอคติ เพราะที่ผ่านมาได้เกิดปรากฏการณ์ ข่มขู่ คุกคาม หรือใช้กฎหมายเข้าจับกุม ไม่เว้นแม้กระทั่งเด็กนักเรียนมัธยมด้วยข้อหาที่รุนแรงเกินเหตุ  จึงเป็นไปไม่ได้ ที่ฝ่ายที่ต้องการความสงบ จะเป็นฝ่ายใช้ความรุนแรงเพราะย่อมไม่เป็นผลดีกับการชุมนุมโดยตรง" น.อ.อนุดิษฐ์กล่าว


ส่วนกรณีที่ ส.ว.บางคนระบุถึงการเพิ่มญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญอีก 4 ญัตติของฝ่ายค้าน โดยเฉพาะการตัดอำนาจ ส.ว.ในเรื่องการปฎิรูป รวมทั้งการปิดทางนายกฯคนนอกว่า เป็นการสร้างความขัดแย้งและทำให้ ส.ว.ไม่สนับสนุนนั้น น.อ.อนุดิษฐ์เชื่อว่าท้ายที่สุดแล้ว นักการเมืองทุกฝ่ายจะรับฟังเสียงและความต้องการของประชาชน เพราะสิ่งที่พรรคเพื่อไทยและฝ่ายค้านดำเนินการก็เป็นความพยายามทำให้การเมืองกลับไปสู่ภาวะปกติโดยเร็วและเป็นการสร้างกติกาประชาธิปไตยที่เป็นธรรมและเป็นสากล ไม่ได้ทำเพื่อคนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด  ซึ่งจะทำให้ประเทศไม่ต้องติดหล่มอยู่กับความขัดแย้ง อันเกิดจากกติกาที่ไม่เป็นธรรมเหมือนที่ผ่านมา


"ตอนนี้ประเทศภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์มีวิกฤติทุกด้าน ซึ่งเกิดมาจากความต้องการอยู่ยาวของ พล.อ.ประยุทธ์เอง โดยทุกฝ่ายถือว่าเป็นต้นเหตุของปัญหาทั้งสิ้น ดังนั้น หากทุกฝ่ายเห็นแก่ชาติบ้านเมือง ขอเชิญชวนมาร่วมกันเร่งถอดสลักระเบิด อะไรที่ถอยกันได้หรือมีส่วนช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น ก็สามารถมาพูดคุยกันเพื่อหาทางออก แม้ว่าทุกฝ่ายจะมีเงื่อนไขของตัวเองเป็นที่ตั้งก็ตาม โดยเชื่อว่าทุกฝ่ายมีวุฒิภาวะที่จะช่วยกันสร้างกติกาที่ดีได้ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งอำนาจพิเศษจากการรัฐประหารอีกต่อไป" น.อ.อนุดิษฐ์กล่าว


"ชุมสาย" ตอก สว.องครักษ์พิทักษ์ประยุทธ์ หยุดหาเหตุสร้างเงื่อนไขขวางแก้ รธน.

ทนายชุมสาย ศรียาภัย รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กรณีที่มีสว.จำนวนหนึ่งออกมาให้ข่าวสดงท่าทีไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญรวม 4 ญัตติ ในแนวทางของพรรคฝ่ายค้านว่า ต้องเข้าใจก่อนว่า การแก้ รธน.เป็นความประสงค์ของประชาชน แต่ต้องผ่านสภา พรรคร่วมฝ่ายค้านและแม้กระทั่งพรรคร่วมรัฐบาล เพียงแค่ต้องการขอความร่วมมือจาก สว.ในการหาทางออกประเทศเท่านั้น ไม่ได้จ้องจะโยนความผิด หรือเพิ่มความขัดแย้ง ซึ่งขณะนี้วิกฤติของประเทศที่ใหญ่ที่สุด ก็คือวิกฤติรัฐธรรมนูญที่มีปัญหา และไม่เกี่ยวกับเวลาว่าบังคับใช้มานานแค่ไหน รัฐธรรมนูญที่ถูกทำขึ้นเพื่อเผด็จการ วันเดียวก็ไม่ควรบังคับใช้


"ท่านก็รู้อยู่แก่ใจดี ว่ารัฐธรรมนูญนี้ทำเพื่อสืบทอดอำนาจ ท่านเป็นสว.มีความรู้ความสามารถ มีวุฒิภาวะ ผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก หากยังคงหาเหตุสร้างเงื่อนไขเพื่อขัดขวางการแก้ รัฐธรรมนูญเช่นนี้ ประเทศชาติ ประชาชนจะได้อะไร ประชาชนเขาไม่ทนอีกต่อไป และหากเกิดเหตุการณ์เลวร้ายใดๆ ท่านจะรับผิดชอบไหวหรือไม่?"


ทนายชุมสาย กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่สำคัญคือ เมื่อผู้มีอำนาจให้ท่านเป็น สว.และท่านก็ได้ตอบแทนแล้วโดยการโหวตให้เป็นนายก จากนี้ไปท่านก็ควรจะตอบแทนประชาชน ในฐานะรับเงินเดือนที่เป็นภาษีประชาชนบ้าง ในกระบวนการแก้ไข รธน.ครั้งนี้ ท่านจะทำอะไรก็สุดแท้แต่ท่าน แต่ ขอให้ตระหนักถึง ที่มาที่ไป และความชอบธรรมในการเข้าสู่อำนาจของท่าน เพราะเมื่อถึงเวลา ประชาชนเจ้าของอํานาจอธิปไตยตัวจริง จะให้บทเรียนกับท่านเอง 

วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2563

"พงศ์เทพ" ชี้ สสร. ต้องมาจากการเลือกตั้ง

นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2539 กล่าวในเวทีระดมความเห็นภายใต้หัวข้อ "สสร.แบบไหนที่คนไทยต้องการ?" ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ว่า "รัฐธรรมนูญฉบับปี 60 เป็นฉบับที่โกงมากที่สุด กลไกลการตรวจสอบที่ไม่สามารถทำได้ และสว.เองก็มาจากกลุ่มบุคคลที่เป็นพักพวกเดียวกัน จนทำให้เกิดการยึดโยงไปสู่การสืบทอดอำนาจในที่สุด และรัฐธรรมนูญปี 60 ก็เขียนขึ้นมา เพื่อให้แก้ไขยากที่สุดแล้ว แต่ต้องยอมรับว่า การเคลื่อนไหวของกลุ่มนักศึกษาในช่วงเวลาที่ผ่านมา ทำให้เกิดการกระตุ้น เพื่อให้เกิดแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ  สำหรับ ผู้ที่จะเข้ามาทำหน้าที่ สสร. ต้องมี จิตวิญญาณเป็นนักประชาธิปไตย ต้องเปิดกว้างรับฟังความเห็นจากทุกฝ่าย และควรมาจากประชาชน เป็นผู้เลือกตั้งเข้ามาโดยตรงเท่านั้น ขณะเดียวกัน จะต้องทำอย่างไรที่การเลือกตั้ง สสร.จะไม่มีนักการเมืองเข้ามาชี้นำ ทั้งนี้ เมื่อจัดให้มีการเลือกตั้ง สสร. ที่ต้องให้ กกต.ชุดปัจจุบันดำเนินการ เราจะมีความเชื่อมั่นได้มากน้อยแค่ไหน จึงเสนอตั้ง กกต.เฉพาะกิจ โดยเลือกจาก กกต.ชุดปัจจุบัน 2 คน และคนนอกอีก 5 คน อย่างไรก็ตาม นายพงษ์เทพ อยากให้นิสิต นักศึกษา ช่วยกันติดตามแก้ไขยกร่างรัฐธรรมนูญอย่างใกล้ชิด เพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ"

วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2563

"เผ่าภูมิ" เตือนรัฐอย่าเล่นการเมืองบนกระทรวงปากท้องประชาชน

ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์กรณีความล่าช้าการแต่งตั้ง รมว. คลังคนใหม่แทนตำแหน่งที่ว่างลงว่า ผมขอเสนอให้นายกรัฐมนตรีเลือกขุนคลัง โดยคำนึงถึงคุณลักษณะ 5 ข้อที่ขุนคลังควร และไม่ควรมี ดังนี้ 

1. “ต้องรู้เรื่องเศรษฐศาสตร์มหภาค” หมอไม่สามารถรักษาโรคโดยขาดความรู้ ขุนคลังก็ไม่สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้หากไร้ซึ่งความเข้าใจเศรษฐศาสตร์มหภาค ต้องมองภาพเศรษฐกิจทั้งระบบให้ออก ต้องรู้การเชื่อมโยงของภาคส่วนต่างๆของระบบ มาตรการใดส่งผลไปยังตัวแปรใด อย่างไร ต้องมองให้ทะลุ ผมไม่เชื่อว่าการเอาคนมาเป็นขุนคลัง โดยไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังบริหารอยู่ ฟังๆเอาจากข้าราชการอย่างเดียว จะประสบความสำเร็จ 

2. “ควรเป็นสายการคลัง มากกว่าสายการเงิน” แต่ละช่วงเราต้องการขุนคลังในลักษณะที่ต่างกัน ปัจจุบันเราต้องการนโยบายการคลังแบบเข้มเข้นในการฟื้นตัว การบริหารเศรษฐกิจของประเทศมันใหญ่กว่าคำว่าการบริหารสถาบันการเงิน มันใหญ่กว่าคำว่าปริมาณเงินในระบบ การให้สินเชื่อ หรือแม้กระทั่งอัตราแลกเปลี่ยน แต่มันคือการบริหารการรับจ่ายเงินจำนวนมหาศาลของประเทศ ซึ่งระบบภาษีมันไกลเกินกว่าคำว่าจัดเก็บ คำว่าเข้าเป้า แต่มันคือการใช้ภาษีในการชี้นำทิศทางประเทศให้ได้ มาตรการคลังมันก็ไกลเกินกว่าคำว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจไปวันๆ

3.  “อย่าเอาสายการตลาด สร้างภาพการตลาดนำแก่นของมาตรการการคลัง” อันนี้คนไทยรู้ดีตลอด 3-4 ปีที่ผ่านมา ในระยะยาวภาพเหล่านั้นไม่สามารถปกปิดความจริงของเศรษฐกิจไทยได้เลย

4.  “ประสบการณ์ ความเชื่อมั่น ยังจำเป็น” บทบาทขุนคลังนอกจากจะต้องมีความรู้ความสามารถแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้คือท่านต้องเป็นที่ยอมรับและทั้งสังคมเชื่อมั่น ก่อนจะบริหารเศรษฐกิจสำเร็จ ต้องทำให้คนเชื่อได้ว่าท่านจะทำสำเร็จให้ได้ก่อน

5. “ต้องเป็นนักยุทธศาสตร์ และกล้าปรับโครงสร้างทาง ศก.” เป็นภาพใหญ่ที่ต้องไปให้ถึง ทุกคนพูดเรื่องการปรับโครงสร้าง แต่น้อยคนนักจะรู้ว่าจะใช้เครื่องมือการเงินการคลังที่มีอยู่ไปถึงจุดนั้นอย่างไร หลายครั้งที่ขุนคลังมองภาพเล็กๆ ทำมาตรการเฉพาะหน้าไปวันๆ และหลายครั้งมีทัศนคติที่ว่าการปรับเปลี่ยนจะทำให้เกิดแรงต้าน และเลือกที่จะไม่ทำ

สุดท้ายอยากให้พึงระลึกไว้ว่ากระทรวงการคลังเป็นหัวหอกหลักด้านเศรษฐกิจ ผมเข้าใจดีว่ากำลังเกิดการแย่งชิงกันอย่างรุนแรงในฝั่งรัฐบาลในตำแหน่งนี้ แต่อยากเตือนว่านี่คือกระทรวงที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับปากท้องของประชาชน จะแก่งแย่งเล่นการเมืองอย่างไรก็อย่าลืมเอาคำว่า “ประชาชน” อยู่ในสมการของท่านด้วย


"จาตุรนต์" ชี้จุดแข็งม็อบนักศึกษา คือสันติวิธี


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สโมสรนิสิตรัฐศาสตร์ จุฬาฯ  จัดเสวนา What is to be done? ก้าวต่อไปของนักเรียน นิสิตนักศึกษา ประชาชน "เราจะทำอะไรดี?” โดยสรุปบทเรียนจากอดีต วิเคราะห์การเคลื่อนไหวของเยาวชน นิสิตนักศึกษาและประชาชนในปัจจุบันเพื่อแสวงหาทางออกร่วมกันในสังคม โดยมี นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี เป็นผู้ร่วมเสวนาด้วย 

นายจาตุรนต์ ฉายแสง กล่าวว่า ตั้งแต่อดีตที่มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองตั้งแต่ 14 ต.ค. 2516 เป็นต้นมา ทำไมประชาธิปไตยประเทศไทยจึงไม่ยั่งยืน ถ้าเราจะทำให้เป็นประชาธิปไตยต้องทำให้หลายฝ่ายเข้าร่วมและเห็นปัญหาจนต้องมีการเปลี่ยนแปลง ปัญหาคือถ้าเปลี่ยนแปลงแล้วประชาชนจะได้ประโยชน์อย่างไร ทำอย่างไรให้เปลี่ยนแปลงแล้วมีประชาธิปไตยที่ยั่งยืนและพัฒนาต่อไป ทั้งนี้ตนได้ข้อสรุปว่าปัญหาพื้นฐานของประเทศนี้คือความไม่เป็นประชาธิปไตย และมีความพยายามดึงประเทศกลับไปเป็นเผด็จการ และเป็นเรื่องที่ยังไม่โยงกับพลังของนักศึกษา ทำให้การเคลื่อนไหวยังไม่เกิดพลัง หลังรัฐประหาร 1-2 ปี มีคนมาถามตนว่าเป็นเผด็จการอย่างนี้แล้วจะเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตยได้อย่างไร ตนตอบว่ายังไม่เห็นพลังที่ต่อสู้ทางการเมืองก่อนการรัฐประหารจะมีศักยภาพ แต่เมื่อเกิดปัญหาที่สะสมจากระบอบเผด็จการ คนเดือดร้อนมากขึ้นก็คงจะมีพลังใหม่เกิดขึ้นมา แต่ก็ยังนึกไม่ออก จนวันนี้กลายเป็นว่าสิ่งที่นึกไม่ออกก็คือพลังของนักเรียนนักศึกษาและประชาชนที่อยากให้บ้านเมืองเปลี่ยนแปลง เป็นเรื่องแปลกใหม่ไม่เหมือนในอดีต นักเรียน นักศึกษาปัจจุบันมีความเข้าใจในประวัติศาสตร์ ความคิดทางการเมืองค่อนข้างมาก

“ความขัดแย้งทางสังคมและการเคลื่อนไหวของนักศึกษาคงไม่จบเร็วๆนี้ แต่ต้องรักษาแนวทางสันติวิธี ที่ผ่านก็เห็นแล้วว่าการบุกทำเนียบ ปิดสนามบิน เป็นเรื่องที่ทุกคนรับไม่ได้ ยิ่งกว่าการสาดสีใส่ตำรวจ แต่สิ่งที่เรียกร้องของนักศึกษาคงต้องใช้เวลาเผื่อเวลาไว้เพื่อรอดูผลการเรียกร้อง เช่น เรื่องการตั้ง ส.ส.ร.  ส่วนรัฐบาลและรัฐสภา ต้องเปิดให้มีการแลกเปลี่ยนความเห็น ให้ประชาชนมีเสรีในความคิดเห็นหากใครที่จะรัฐประหาร คนที่เสียหายคือผู้ที่เสนอให้มีการยึดอำนาจเสียเอง” นายจาตุรนต์ กล่าว












"วัฒนา" ติงรัฐจ่ายเบี้ย "พิการ-ชรา" ช้า-อย่าโทษโควิด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

แล้วก็เป็นไปตามที่ผมดักคอไว้ว่าพลเอกประยุทธ์จะเอาโควิดเป็นแพะรับบาปตามนิสัยดั้งเดิม ทั้งที่เศรษฐกิจประเทศไทยย่ำแย่มาตั้งแต่ยึดอำนาจแล้ว หลักฐานคือการจัดเก็บภาษีสมัยพลเอกประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีนับแต่ปี 2557-2563 รัฐบาลจัดเก็บภาษีได้ต่ำกว่าประมาณการเกิน 1 ล้านล้านบาท ส่วนด้านการกู้สร้างสถิติไว้เกินกว่า 4 ล้านล้านบาท 

ความโง่ล่าสุดคือการที่รัฐบาลจ่ายเบี้ยคนพิการและคนชราของเดือนกันยายนล่าช้า ทำให้ประชาชนคิดว่ารัฐบาลถังแตกอันจะกระทบต่อความเชื่อมั่นที่เป็นหัวใจสำคัญของการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ส่วนที่ที่ปรึกษาบางคนอุตริแนะนำให้ลดเงินเดือนข้าราชการก็อย่าได้โง่ไปทำเด็ดขาด เพราะนอกจากจะทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในสถานะทางการคลังของรัฐบาลแล้ว ยังจะทำให้เครดิตของประเทศตกต่ำในสายตาของนักลงทุน

สิ่งที่นายกรัฐมนตรีควรรีบทำคือยุติปัญหาทางการเมืองที่เกิดจากรัฐธรรมนูญ ด้วยการคืนอำนาจให้ประชาชนไปร่างรัฐธรรมนูญเองเพื่อลดความขัดแย้ง วันนี้พรรคร่วมฝ่ายค้านและพรรคร่วมรัฐบาลได้เสนอญัตติขอแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา 256 เพื่อตั้ง สสร. ตรงกันซึ่งในหลักการทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลจะต้องสนับสนุน หากได้รับการสนับสนุนจาก ส.ว. อีก 84 คน ปัญหาทางการเมืองก็เบาลง รัฐบาลก็จะมีเวลาไปแก้ปัญหาเศรษฐกิจ

ผมจึงเรียกร้องมายังนายกรัฐมนตรีในฐานะอดีตหัวหน้า คสช. ซึ่งเป็นผู้แต่งตั้ง ส.ว. ทั้ง 250 คน ให้ตระหนักถึงปัญหาทางการเมืองที่ท่านและคณะได้ก่อขึ้นไว้ด้วยการยึดอำนาจและแต่งตั้งนายมีชัยให้เขียนรัฐธรรมนูญจนเกิดปัญหากับบ้านเมือง ขอให้ช่วยกันหาทางออกให้กับประเทศด้วยการคืนอำนาจให้ประชาชนไปร่างรัฐธรรมนูญและยอมรับอำนาจของประชาชน การแก้ตัวว่าไม่มีอำนาจไปสั่ง ส.ว. นอกจากจะไม่มีใครเชื่อแล้วยังจะทำให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้นไปอีก เชื่อเถิดว่าถ้าประชาชนไม่ยอมรถถังหรือกองทัพใดก็เอาไม่อยู่

วัฒนา เมืองสุข

11 กันยายน 2563

วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2563

"ฟิล์ม รัฐภูมิ" แนะกำจัด "ระบอบประยุทธ์”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ฟิล์ม-รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ รองโฆษกเพื่อไทย เผยแพร่ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้ 

ตลอดเวลาที่มีประเทศนี้ ผมต่อต้านคำว่าระบอบ นั่นนี่ ที่พยายามจะยัดเอาใครสักคนที่เราต้องการโจมตีใส่ลงไป 

แต่วันนี้ ผมเห็นด้วยว่าเราควรกำจัด "ระบอบประยุทธ์” การแบนสุราที่จำหน่ายออนไลน์ เป็นเรื่องที่เหมือนจะเป็นเรื่องดีเพราะทำให้คนดื่มน้อยลงป้องกันนักดื่มหน้าใหม่

แต่แท้ที่จริงคือกฎหมายเอื้อทุนใหญ่ รัฐบาลชุดนี้ทำอะไร หวังผลประโยชน์ตลอด คุณจะปล่อยให้บ้านเมืองเกิดความเหลื่อมล้ำ คนจนไม่มีทางลืมตาอ้าปาก

รัฐบาลนำโดยฝ่ายบริหารที่มีความคิดตื้นเขินกับความลำบากประชาชน แต่ฉลาดหลักแหลมกับการเอื้อทุนใหญ่ โดยใช้อำนาจกดหัวประชาชน เห็นแต่ละอย่างที่คิด คิดได้ยังไง ปวดหัวจริงๆ...ประชาธิปไตย จริงเหรอครับ...

"ทนายชุมสาย" ชี้ รัฐธรรมนูญ 2560 มาจากฐานคิดเผด็จการ

"ชุมสาย" ชี้ รัฐธรรมนูญ 2560 มาจากฐานคิดเผด็จการ ต้องทำใหม่ เปรียบ เป็นดอกผลของต้นไม้พิษ ต้องฟังเสียงประชาชนเจ้าของประเทศเท่านั้น

นายชุมสาย ศรียาภัย รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้เกิดจากฐานคิดวิปริตของผู้มีอำนาจสั่งให้ยกร่าง มีปัญหาในการทำประชามติ และเชื่อว่า กรธ.ส่วนใหญ่ไม่มีอิสระ จึงได้ออกแบบการปกครองภายใต้รัฐบาล คสช.ต่อมาถึงรัฐบาลสืบทอดอำนาจให้มีค่ายคูประตูกลไว้ตีพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยทุกทิศทาง ซึ่งมีบทบัญญัติเกี่ยวพัน ยึดโยงกันเป็นระบบ ไปจนถึงกฎหมายลูก เกิดปัญหาในทางปฏิบัติหลายมิติ ส่วนตัวเห็นว่าต้องแก้ ในบทบัญญัติที่มีปัญหาทั้งหมด ทั้งนี้โดยไม่แตะหมวด 1 และหมวด 2 การที่มี สว.บางส่วนออกมาให้ความเห็นว่าไม่ควรต้องแก้ในประเด็นที่เกี่ยวกับอำนาจ สว.ส่วนอื่น นอกจากอำนาจโหวตนายก ด้วยสารพัดเหตุผลนั้น ตนเห็นว่า ที่ออกมาพูดเช่นนี้ชี้เจตนาว่า ยังหวงอำนาจอยู่ เพราะอำนาจของ สว.ถูกซ่อนอยู่ในหลายบทบัญญัติด้วยกัน 

นายชุมสาย กล่าวเพิ่มเติมว่าสว.ชุดนี้ไม่มีทางเป็นอิสระได้เลย ซึ่ง สว.ชุดนี้เป็นยิ่งกว่าพรรคการเมือง ทั้งอำนาจและจำนวน และความสัมพันธ์กับผู้มีอำนาจ เพราะหากพิจารณาถึงที่มาที่ไป เชื่อว่าผู้มีอำนาจสั่งได้ คนก็รู้กันทั้งประเทศ เพราะถูกสร้างขึ้นมา เพื่ออำนาจนายก 2 สมัยเป็นอย่างน้อย ทั้งยังมีไว้ป้องกัน การแก้ไขรัฐธรรมนูญ มีอำนาจเกี่ยวกับแผนการปฏิรูปประเทศ และการแก้ไขโทษหรือองค์ประกอบความผิด ต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ซึ่งในส่วนนี้ เป็นหลักประกัน ของข้าราชการที่สนองอำนาจ ตาม รธน.มาตรา 270 และ 271

"รัฐธรรมนูญฉบับนี้ประชาชนทราบดีแล้วว่าถูกออกแบบมาเพื่อ พล.อ.ประยุทธ์ หัวหน้าคณะรัฐประหารและบริวาร แต่ได้ทำลายหลักการประชาธิปไตย ระบบศาลและกระบวนการยุติธรรม ระบบรัฐสภา และโอกาสในมิติต่างๆของประเทศ ที่หนักสุดคือ ย่ำยีสิทธิเสรีภาพและศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์มากที่สุด ปรียบเป็นดอกผลของต้นไม้พิษ (fruit of the poisonous tree) หากกินเข้าไปแม้ไม่ตายก็ทุพพลภาพ จึงต้องทำรัฐธรรมนูญใหม่ ให้เป็นไปตามความประสงค์แท้จริงของประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยโดยแท้จริงเท่านั้น" นายชุมสาย กล่าว

"เพื่อไทย" แนะจับตารัฐประหาร เตือนอาจไม่ใช่ข่าวลือ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายปิยวัฒน พันธ์สายเชื้อ ส.ส.ยโสธร พรรคเพื่อไทย เปิดเผยถึงกระแสข่าวเกี่ยวกับการปฏิวัติรัฐประหารว่า มองว่าไม่ควรกระทำ เพราะแค่ข่าวลือก็ส่งผลกระทบ กับการลงทุนแล้ว ทั้งนี้นักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศกังวลใจ เพียงแค่ข่าวลือก็ส่งผลให้ต้องปรับแผนงานการลงทุนในประเทศไทย หากเกิดขึ้นจริงก็จะส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจ  ประเทศถดถอยมากกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ปัญหาที่เกิดขึ้นเกิดมาจาก การบริหารงานที่ผิดพลาดของรัฐบาล และ รัฐธรรมนูญที่เป็นเผด็จการที่เขียนเพื่อสืบทอดอำนาจ ให้กับผู้มีอำนาจและไม่เป็นประชาธิปไตย  ดังนั้นทางแก้ก็ควรจะพูดคุยกันในที่ประชุมสภาตามวิถีทางประชาธิปไตย ไม่ควรใช้อำนาจนอกรัฐธรรมนูญมาแก้ปัญหาที่มีอยู่ 

นายปิยวัฒน กล่าวด้วยว่าส่วนการเคลื่อนย้ายกำลังพล ที่ผิดสังเกตของกองทัพ จะอ้างว่าฝึกตามรอบหรือ เตรียมกำลังพลไว้ เพื่อสวนสนามอำลาตำแหน่งของ ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ก็ไม่ควรที่จะทำ เพราะในภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ขนาดนี้ กองทัพไม่ควรใช้งบประมาณที่ไม่เกิดประโยชน์ ควรนำงบประมาณไปช่วยชาวบ้านดีกว่า 

“ส่วนการเคลื่อนกำลังเพื่อข่มขู่กลุ่มเยาวชนปลดแอก ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 19 กันยายนที่จะถึงนี้ยิ่งไม่ควร  เพราะการชุมนุมของกลุ่มเยาวชน ไม่เกินเลยขอบเขตที่กฎหมายกำหนด ดังนั้นหากผู้มีอำนาจหวังจะก่อการรัฐประหารอีกครั้ง ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ เชื่อว่าจะไม่สามารถที่จะบริหารประเทศได้อย่างแน่นอน เพราะประชาชนทั่วประเทศคงไม่ยอม” นายปิยวัฒน กล่าว 

วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2563

พรรคเพื่อไทยแถลงข่าว ยื่นญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ

ตามที่พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมฝ่ายค้านอีก 4 พรรคได้ยื่นญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2563 ไปแล้วนั้น ต่อมาคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหา หลักเกณฑ์ และแนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพ. ศ. 2560 ได้เสนอผลการศึกษาต่อประธานสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2563 และจะมีการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 10 กันยายน 2563 และในวันที่ 1 กันยายน พรรคร่วมรัฐบาลก็ได้ยื่นญัตติขอแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 256 เช่นเดียวกัน ซึ่งสอดคล้องกับข้อเรียกร้องของนักเรียน นิสิต นักศึกษาและประชาชน ที่ต้องการให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากประชาชนเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เมื่อแล้วเสร็จให้มีการยุบสภาเลือกตั้งใหม่ขณะเดียวกันก็มีข้อเรียกร้องให้ตัดอำนาจของวุฒิสภาในหลายประเด็นโดยเฉพาะในการให้ความเห็นชอบบุคคลที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

พรรคเพื่อไทยขอเรียนว่า พรรคได้ให้ความเห็นทั้งในคณะกรรมาธิการและในทางสาธารณะตลอดมาว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นกติกาที่มีแต่สร้างปัญหาให้แก่ประเทศและประชาชน รัฐบาล นายกรัฐมนตรี วุฒิสภา ศาลรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระต่างๆ ล้วนตอบสนองต่อการสืบทอดอำนาจเผด็จการ พรรคจึงเห็นว่า สสร. เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในทางสันติวิธี  จึงเร่งผลักดันเรื่องนี้ ซึ่งจะมีการพิจารณาญัตติดังกล่าว วันที่ 23-24 กันยายน 2563 ในวาระที่ 1  และเพื่อเร่งรัดให้เสร็จเร็วที่สุดที่จะเป็นไปได้ พรรคจึงขอเชิญชวนพรรคร่วมฝ่ายค้าน พรรคร่วมรัฐบาล และสมาชิกวุฒิสภา ร่วมลงชื่อขอเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ ซึ่งต้องการเสียงประมาณ 250 คน เนื่องจากจะปิดสมัยประชุมในวันที่ 25 กันยายน 2563 และจะเปิดอีกครั้งหนึ่งในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 

พรรคได้เตรียมร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมในอีกหลายประเด็นพร้อมกับประเด็น ส.ส.ร.โดยเฉพาะในส่วนของบทเฉพาะกาลได้แก่ 

1. การยกเลิกอำนาจวุฒิสภาในการเลือกนายกรัฐมนตรีตามมาตรา 272 โดยพรรคเสนอเพิ่มเติมว่า นายกรัฐมนตรีนอกจากเลือกจากบัญชีของพรรคการเมืองแล้ว สามารถเลือกจาก ส.ส.ได้ด้วย และได้เสนอร่างนี้เช่นเดียวกับร่างแก้ไข ม.256 ไว้ในรายงานของคณะกรรมาธิการฯ

2. การยกเลิกอำนาจของวุฒิสภา ตามมาตรา 270 เกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศ และมาตรา 271 เกี่ยวกับการไม่เห็นชอบหรือแก้ไขเพิ่มเติมร่างกฎหมายเกี่ยวกับ แก้ไขเพิ่มเติมโทษหรือองค์ประกอบความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ฯลฯ เฉพาะเมื่อการแก้ไขเพิ่มเติมนั้นมีผลให้ผู้กระทำความผิดพ้นจากความผิดหรือโทษ ที่เสนอโดยสภาผู้แทนราษฎร

3. การยกเลิกมาตรา 279 ซึ่งเป็นบทเฉพาะกาลที่ทำให้ประกาศคำสั่งและการกระทำของ คสช. อยู่เหนือกว่าบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะเรื่องสิทธิเสรีภาพ

4. การแก้ไขระบบเลือกตั้ง ด้วยการยกเลิกมาตรา 88, 83 , 85 , 90 , 91 และ 94 โดยแก้ไขระบบเลือกตั้งให้เป็นไปตามแนวทางของรัฐธรรมนูญพ.ศ 2540 คือใช้บัตร 2 ใบ (เลือกคนและเลือกพรรค)

พรรคเพื่อไทยขอเรียนว่า ญัตติที่เสนอทั้งหมดข้างต้น สมาชิกพรรคได้ให้ความเห็นชอบและใคร่เชิญชวนพรรคร่วมฝ่ายค้าน พรรคร่วมรัฐบาล และสมาชิกวุฒิสภา ร่วมกันผลักดัน    ด้วยการร่วมเสนอญัตติและพิจารณาให้ความเห็นชอบ เพื่อให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้าร่วมกันอย่างสันติ

พรรคจะเสนอญัตติที่กล่าวมาโดยเร็วที่สุดซึ่งคาดว่าจะดำเนินการ ได้ภายใน วันพุธที่ 9  กันยายน 2563  

พรรคเพื่อไทย  

8 กันยายน 2563

วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2563

“ยุทธพงศ์” โหมโรง ชำแหละ “เรือดำน้ำ” กลางสภา 9 กันยานี้

“ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร” โหมโรง ชำแหละ “เรือดำน้ำ” กลางสภา ในการอภิปรายทั่วไป 9 กันยายนนี้ 

นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานคณะอนุกรรมาธิการ (กมธ.) ครุภัณฑ์ ไอซีที รัฐวิสาหกิจ และทุนหมุนเวียน ในคณะ กมธ.วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 ยืนยันว่าจะมีการเปิดเผยเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับกรณีที่มีการอ้างสัญญาจีทูจีโครงการจัดซื้อเรือดำน้ำ ในการอภิปรายทั่วไป ในวันที่ 9 กันยายนนี้ เพื่อจะได้พิสูจน์ข้อเท็จจริงว่าเป็นเรื่องรัฐบาลต่อรัฐบาลจริงหรือไม่ และเป็นจีทูจีจริงหรือไม่ ซึ่งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 178 ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า หนังสือสัญญาอื่นที่อาจกระทบต่อความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา และต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน นับตั้งแต่ได้รับเรื่อง รวมถึงรายละเอียดการจัดซื้อที่นายกรัฐมนตรีระบุถึงการจัดซื้อเรือดำน้ำจากจีน เพราะโปรโมชั่นซื้อ 2 ลำ ได้แถมฟรี 1 ลำ จะเป็นไปตามนั้นจริงหรือไม่ นอกจากนี้ยังมีข้อมูลหลักฐาน ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีและประเด็นปัญหาอื่นๆ ซึ่งจะเปิดเผยในการอภิปรายวันที่ 9 กันยายนนี้ด้วย

มีโอกาสสำเร็จ! "นพดล" หนุน แก้รัฐธรรมนูญ ม.272 ตัดอำนาจ ส.ว.เลือกนายกฯ

"นพดล" เชื่อว่าการแก้ไขมาตรา 272 เพื่อตัดอำนาจ ส.ว. ให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกฯมีโอกาสสำเร็จ หลังท่าทีสนับสนุนของ ส.ว.

นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว ต่างประเทศ กล่าวถึงการที่ส.ว.บางกลุ่มพร้อมสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 272 ว่า เรื่องนี้ตนเคยให้ความเห็นไปนานแล้วว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญควรเป็น 2 ระยะ คือระยะสั้นและระยะปานกลาง  ระยะปานกลางคือการแก้ไขมาตรา 256 เกี่ยวกับวิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้มีเงื่อนไขที่ไม่เข้มจนเกินไปและกลับมาใช้เกณฑ์เสียงข้างมากของทั้งสองสภา แล้วแก้ไขให้ตัวแทนประชาชนเข้าไปร่างรัฐธรรมนูญในรูปแบบของสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือสสร. ซึ่งคาดว่าะใช้เวลาประมาณ 1-2 ปี 

อย่างไรก็ตามในระยะสั้นหรือเฉพาะหน้านั้น ควรแก้ไขเนื้อหาบางประเด็นที่จะทำให้ระบบการเมืองดีขึ้น เช่น 1) แก้ไขระบบการเลือกตั้งให้เป็นระบบที่สะท้อนเจตจำนงของประชาชน และ การคำนวณจำนวน สส. หลังการเลือกตั้งไม่ซับซ้อน กลับไปใช้การเลือกตั้งระบบสัดส่วนและบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ และ 2)แก้ไขมาตรา 272 บทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญเพื่อตัดอำนาจ ส.ว.  ที่จะให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกฯ แต่ให้สภาผู้แทนฯพิจารณาให้ความเห็นชอบ ตามมาตรา 159

" ในประเด็นหลังนี้หลายพรรคการเมืองมีท่าทีมานานแล้ว แต่อาจเห็นต่างกันในจังหวะเวลาที่จะยื่นแก้ไข. ที่น่าสนใจคือเริ่มมี ส.ว.หลายคนเห็นด้วย และพร้อมที่จะสนับสนุนการแก้ไขในประเด็นนี้ ซึ่งตนเห็นว่าโอกาสที่จะแก้สำเร็จมีมากขึ้น และคงทำให้มีความหวังที่ประเทศจะมีกติกาที่เป็นธรรม ซึ่งการเกิดขึ้นของสามัญสำนึกทางการเมืองเป็นสิ่งที่ดี"

"เพื่อไทย" ขวาง "อานันท์" นั่งนายกฯ รัฐบาลสมานฉันท์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวัฒนา เมืองสุข โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้ 

ผมไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของ ดร. อาทิตย์ อุไรรัตน์ ที่เสนอให้นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นนายกรัฐมนตรีคนนอกเพื่อตั้งรัฐบาลสมานฉันท์ปฏิรูปประเทศ กอบกู้ฟื้นฟูเศรษฐกิจ และร่างรัฐธรรมนูญใหม่ภายใน 2 ปี เพราะเป็นวิธีคิดแบบเผด็จการและจะทำให้ไทยกลับไปสู่วังวนเดิม

ประเทศไทยมีปัญหาที่เกิดจากรัฐธรรมนูญจริง แต่สามารถแก้ไขได้ตามขั้นตอนซึ่งขณะนี้ทุกฝ่ายที่มาจากการเลือกตั้งกำลังดำเนินการเพื่อเอาประเทศออกจากปัญหาแล้ว โดยพรรคฝ่ายค้านคือเพื่อไทยและอีก 4 พรรค และพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลได้ยื่นญัตติขอแก้ไขมาตรา 256 เพื่อตั้ง สสร. ให้มายกร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นของประชาชน ญัตติดังกล่าวจะพิจารณาในรัฐสภาวันที่ 23-24 กันยายน นี้ หาก ส.ว. ที่เผด็จการแต่งตั้งไม่ขัดขวางการคืนอำนาจให้ประชาชน ประเทศจะมีทางออกตามครรลอง

เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝันในระหว่างร่างรัฐธรรมนูญโดย สสร.  เช่น นายกยุบสภา หรือนายกลาออก พรรคเพื่อไทยได้เสนอขอแก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตราที่เกี่ยวกับอำนาจของ ส.ว. เปิดช่องให้สามารถเลือกนายกจากคนที่เป็น ส.ส. และขอแก้ไขวิธีการเลือกตั้งให้ใช้บัตร 2 ใบ เพื่อหลีกเลี่ยง ส.ส. ปัดเศษ หรือเลือกคนหนึ่งได้อีกคนหนึ่ง เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปตามเจตนารมณ์ของประชาชน

การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่จะเกิดขึ้นจึงต้องการเพียงความร่วมมือของ ส.ว. เท่านั้น ประเทศก็จะกลับไปสู่ความเป็นปกติอย่างที่ควรจะเป็น ผมจึงเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเคารพอำนาจและการตัดสินใจของประชาชน ใช้ความอดทนเพื่อให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นตามกระบวนการของกฎหมาย นั่นคือรากฐานใหม่ของประเทศที่เราจะวางร่วมกัน

วัฒนา เมืองสุข

7 กันยายน 2563

วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2563

"สุดารัตน์" อัด "ประยุทธ์" ไม่จริงใจต่อประชาชน

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย เผยแพร่ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้


มาตรการที่ศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 หรือ ศบศ. ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานเห็นชอบมาตรการกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศโดยแจกเงิน 3,000 บาท ให้คนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปจำนวน 15 ล้านคน ให้เวลาใช้ 3 เดือนโดยกำหนดให้ใช้วันละ 100-250 บาท ผ่านร้านค้าที่ขึ้นทะเบียน ทำให้ดิฉันมีความเป็นห่วงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศมากขึ้น

ถ้ายังจำกันได้ เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2563 รัฐบาลได้ออก พรก. กู้เงินจำนวน 1.0 ล้านล้านบาท เพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยาและฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ซึ่งนับเป็นการกู้เงินจำนวนมากที่สุดของประเทศ แต่จนถึงวันนี้เป็นเวลาเกือบ 5 เดือน รัฐบาลก็ยังคงวนเวียนกับการแจกเงินแบบที่เคยทำมาก่อนเกิดโควิด และทำมาตลอด 6 ปีกว่าที่พลเอกประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรี แปลว่ารัฐบาลยังคิดมาตรการอื่นที่ดีกว่าการแจกเงินไม่ออก ปัญหาคือจะมีปัญญาแจกเงินไปได้อีกนานเท่าไร

ผลของความล้มเหลวของการแจกเงิน ดังกล่าวแสดงออกมาในรูปของการจัดเก็บภาษี ปรากฏว่าสิ้นสุดเดือนกรกฎาคม 2563 รัฐบาลจัดเก็บภาษีได้ต่ำกว่าประมาณการถึง 267,810 ล้านบาท คาดว่าสิ้นปีงบประมาณ 2563 การจัดเก็บภาษีอากรน่าจะติดลบเกินกว่า 300,000 ล้านบาท แสดงว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่กู้เงินมาใช้เงินอย่างมโหฬารไม่ได้ผล คาดว่าสิ้นปีงบประมาณ 2564 หนี้สาธารณะจะสูงเกินร้อยละ 60 ที่เป็นกรอบความยั่งยืนทางการคลังซึ่งจะทำให้รัฐบาลก่อหนี้ไม่ได้อีก แปลว่ารัฐบาลประยุทธ์จะล้มละลายทางการคลัง ความหายนะจะบังเกิดกับประชาชน

ความน่าเป็นห่วงของมาตรการแจกเงินครั้งนี้คือ เงินที่แจกที่มาจากการกู้และเป็นหนี้ที่ประชาชนต้องชดใช้ซึ่งกว่าจะใช้หนี้หมดคงใช้เวลาเกือบ 100 ปี แต่จะไม่เกิดประโยชน์กับผู้ประกอบการรายเล็กรายน้อยหรือเอสเอ็มอี เพราะรัฐบาลไม่ได้มีมาตรการอะไรที่จะทำให้พ่อค้าแม่ค้ารายเล็กรายน้อยได้ประโยชน์จากเงินที่แจก โดยทำกระบวนการแจกยุ่งยากต้องใช้ผ่านแอ๊พ ซึ่งเอื้อกิจการรายใหญ่ทั้งสิ้น ถ้าคิดจะแจกให้คนจนได้ประโยชน์ก็แจกเป็น "เงินสด" เลยดีกว่า

ส่วนที่รัฐบาลคิดว่าคนไทยไม่มีกำลังซื้อจึงต้องแจกเงินแล้วทำไมจึงคิดว่าพ่อค้าแม่ค้าที่หมดตัวไปแล้วยังมีทุนไปซื้อของมาขายเพื่อรับเงินที่รัฐบาลแจกคน 15 ล้านคน ผลคือเงินที่กู้มาแจกจะไหลไปสู่กระเป๋าเจ้าสัวเพียงไม่กี่รายทำให้ความเหลื่อมล้ำมากขึ้นไปอีก

“กู้เงินมาแจก ก็ยังแจกไม่เป็น”

ปัญหาของรัฐบาลนี้คือการที่นายกมาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ แต่ไม่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องเศรษฐกิจ และที่สำคัญที่สุดคือ ไม่มีความจริงใจต่อประชาชน คิดแต่จะอุ้มคนรวย โดยอ้างคนจนบังหน้า

"ยุทธพงศ์" ย้ำ ตั้งคำถามการจัดซื้อเรือดำน้ำ ไม่ได้หมิ่นกองทัพเรือ


นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย แถลงกรณีที่กองทัพเรือ เข้าแจ้งความดำเนินคดีข้อหาหมิ่นประมาทกับตนว่าทำให้ กองทัพเรือเสียหายนั้น เรื่องนี้ต้องแยกออกเป็น 2 ประเด็น ตนไม่ได้มีเจตนาดูหมิ่นกองทัพเรือที่เป็นเหล่าทัพหลัก ตนให้ความเคารพ แต่สิ่งที่ตนออกมาตรวจสอบในฐานะที่ตนเป็นส.ส. และเป็น กมธ.งบประมาณ ตนไม่ได้มีเจตนาทำลายชื่อเสียง หรือทำให้ กองทัพเรือเสียเกียรติภูมิขาดความเชื่อมั่นจากประชาชน ขอให้แยกกัน แต่ตนกำลังตรวจสอบบุคลากรบางคนที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อเรือดำน้ำ โดยเฉพาะ พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ ผบ.ทร. และ พล.ร.ท.ประชาชาติ ศิริสวัสดิ์ รองเสนาธิการและโฆษก ทร.จึงขอให้แยกออกเป็น 2 ประเด็น

นายยุทธพงศ์ กล่าวว่า เรื่องนี้จำเป็นต้องตรวจสอบว่าเป็นการจัดซื้อแบบจีทูจีหรือไม่ ตนเห็นว่าสิ่งที่ ผบ.ทร.และรัฐบาลดำเนินการ ไม่เป็นไปตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งเคยตัดสินไว้กรณีการจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงของ กทม.ว่า1.การจัดซื้อแบบจีทูจีต้องเป็นไปตลอดเวลาที่ดำเนินการ ไม่ใช่เรื่มที่จีทูจี เริ่มต้นจากรัฐบาลไทยกับรัฐบาลจีน แต่ระหว่างทางเป็น ผบ.ทร.กับเฮียตี๋ที่ไหนไม่รู้มาเซ็นสัญญา ถามว่าตนกลัวผิดกฎหมายหรือไม่นั้น ตนไม่กลัวเพราะมีแนวคำพิพากษาศาลฎีกาฯ ระบุไว้ชัด 2.การชำระเงินต้องระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาลด้วยกัน ไม่ใช่บริษัทหรือองค์กร เรื่องนี้มีแนวทางพิพากษาศาลฎีกาฯอยู่แล้ว ใครเดินผิดไปจากนี้ถือว่าผิดกฎหมายหมด และ 3.ตนมีเจตนาบริสุทธิ์ใจ รักษาผลประโยชน์ชาติ เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนรวม ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของ ผบ.ทร.หรือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ เพราะการจัดซื้อเรือลำแรกเริ่มจากที่ พล.อ.ประวิตรขณะดำรงตำแหน่งรมว.กลาโหม

นายยุทธพงศ์ กล่าวต่อว่า ตนถามหาหนังสือมอบอำนาจจากรัฐบาลหรือฟูลส์ พาวเวอร์ให้มาแสดง 5 รอบแล้ว แต่ ทร.ก็ไม่เคยนำหนังสือดังกล่าวมาแจงเลย แต่กลับไปแจ้งควาเอาผิดตนที่ทำหน้าที่ตรวจสอบ ดังนั้นตนต้องพิสูจน์ความจริง ปกป้องงบประมาณแผ่นดิน ทั้งนี้ ตนคิดว่าเรื่องนี้จบไปแล้ว เพราะ ทร.ถอยยังไม่ซื้ออีก 2 ลำ และทำหนังสือแจ้งประธาน กมธ.งบประมาณว่ายอมถอย เพราะคำนึงถึงสถานการณ์ความเดือดร้อนของประชาชนจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ไม่คิดว่าจะไปแจ้งความดำเนินคดีกับตน ดังนั้นตนจึงลุกขึ้นมาต่อสู้ คุณไม่เลิก ตนก็ไม่เลิก พิสูจน์กันว่าใครของจริง ใครของปลอม เพราะ ผบ.ทร.หาเรื่องตนก่อน ไม่ยอมเลิก ตนจึงขอให้มีการตรวจสอบ โดย 1.เรียกร้องให้ ผบ.ทร. และ พล.อ.ประวิตร โชว์หนังสือฟูลส์ พาวเวอร์ซึ่งเป็นการเรียกร้องเป็นรอบที่ 6 แล้ว 2.ในวันที่ 9 กันยายนที่มีการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติตาม มาตรา 152 ตนจะเอาหลักฐานเด็ดไปแฉเกี่ยวกับการจัดซื้อเรือดำน้ำลำแรก ที่มีหลักฐานว่าบริษัทที่ขายไม่ใช่รัฐบาลจีน ทำให้ลำแรกจมแน่ และจะไม่ได้จ่ายเงินด้วย ที่สำคัญมีหลักฐานชัดว่า บริษัท China Shipbuilding & Offshore International (csoc) จริงๆ แล้วไม่ใช่รัฐบาลจีน ถ้าตนเปิดหลักฐานรับรองว่ารัฐบาลตกเก้าอี้แน่ และ 3.เมื่อตนเปิดหลักฐานในการอภิปรายดังกล่าวแล้ว ตนจะเอาคืนโดยจะไปร้องทุกข์กล่าวโทษ ผบ.ทร.และผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งต้องมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และพล.อ.ประวิตรที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ด้วย เพื่อพิสูจน์ว่าการจัดซื้อดังกล่าวเป็นแบบจีทูจีหรือไม่

"ก่อนท่านเกษียณขอท้าให้ท่านออกทีวีเดี่ยวๆ กับผมสองคน มาพิสูจน์กันว่าที่ท่านไปเซ็นสัญญานั้นเป็นจีทูจีจริงหรือไม่ ผมพร้อมติดคุกเพราะออกมาต่อสู้เพื่อประโยชน์ประเทศและประชาชน แลกกันคนละหมัด” นายยุทธพงศ์ กล่าว

สัมภาษณ์ "ศรัณย์ ทิมสุวรรณ" การแสดงออกทางความคิดของนักเรียน บทบาทของครู และ โรงเรียน

กองบรรณาธิการ TV24 สัมภาษณ์ นายศรัณย์ ทิมสุวรรณ ส.ส.เลย พรรคเพื่อไทย ในฐานะคณะทำงานเพื่อติดตามการชุมนุมของกลุ่มนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชน ในคณะกรรมาธิการการปกครอง สภาผู้แทนราษฎร ถึงการแสดงออกทางความคิดของกลุ่มนักเรียน การ "ชู 3 นิ้วระหว่างเคารพธงชาติ" และ "ผูกโบว์ขาวต้านเผด็จการ" เพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ของการมีสิทธิและเสรีภาพในการมีส่วนร่วมของสังคม ที่เกิดขึ้นในโรงเรียนมัธยมหลายแห่ง บทบาทของครู และ โรงเรียน  กับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น


นายศรัณย์ กล่าวว่า จากที่ได้ติดตามเห็นว่าก็มีคนออกมาแสดงความคิดเห็นเรื่องนี้ และ อยากมาร่วมเยอะ ไม่ว่าจะจากเยาวชนหรือว่าจากกลุ่มประชาชนกลุ่มอื่นๆที่มีความสนใจและก็ต้องการที่จะผลักดันในสิ่งเดียวกัน ไม่ว่ากลุ่มใดก็ตามจะทำอะไรเพื่อจะเปลี่ยนแปลงเรื่องสักเรื่องต้องเป็นเรื่องที่มีผลกระทบกับเขา การที่เด็กนักเรียนออกมาต้องการที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงด้านการเมือง แสดงได้ว่าเขาตระหนักได้ว่าการเมืองเกี่ยวพันกับเขา อาจจะไม่โดยตรง แต่ว่าสิ่งรอบๆตัวเขาเกี่ยวพันกับการเมือง ไม่ว่าจะเป็นสภาพเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นคุณภาพชีวิต หรือ แม้กระทั่งหลักสูตรที่เขาเรียน หรืออนาคตที่เขาต้องโตขึ้นมา และ ต้องออกไปทำงาน แสดงให้เห็นว่าเขารับรู้ถึงสิ่งเหล่านี้ เขาพยายามสร้างอนาคตที่ดีของเขา ตั้งแต่ตอนที่เขาเป็นนักเรียน อยากทำให้เมืองนี้ดีทำให้ประเทศนี้ดีสำหรับเขาที่จะโตขึ้นมาทำงานในประเทศนี้ เป็นสิ่งที่ดีที่ทุกคนตระหนักได้ว่าเราต้องช่วยทำให้ประเทศนี้ดีขึ้น ไม่ใช่เฉพาะคนที่ทำงานอยู่ แต่ตั้งแต่เด็กที่รู้ว่าตัวเองต้องโตขึ้นมาในประเทศนี้เหมือนกัน


ด้านบทบาทของครูต่อการแสดงออกของนักเรียน เราจะมีคำว่าครูเป็นแม่พิมพ์ ส่วนตัวมองว่าครู คือคนแนะนำ หรือ เป็นไกด์ไลน์ให้นักเรียนที่จะเติบโตไปในทางที่เป็นของเขา การที่เด็กเริ่มมาทำกิจกรรม เป็นการแสดงออกว่าเด็กเขารู้สึกว่าสิ่งนี้เกี่ยวกับเขา ครูกับโรงเรียนควรที่จะเป็นคนไกด์ไลน์ให้เขาเอาข้อมูลให้เขา เพื่อที่จะได้ทำให้เขามีข้อมูลมากพอในการตัดสินใจทำอะไรต่อไป โรงเรียนเป็นไกด์ที่จะทำให้เด็กโตไปในทิศทางที่ถูกต้อง แต่ไม่กำหนดว่าคุณจะต้องโตไปแบบไหน ไม่ใช่เหมือนแม่พิมพ์ที่คุณจะต้องพิมพ์ออกมาให้ได้เหมือนกัน เด็กทุกคนไม่มีใครเหมือนกัน เราแค่ต้องการทำให้เด็กโตไปในทิศทางที่ถูก แต่เขาจะโตไปในสาขาไหนมันไม่ควรเป็นสิ่งที่เราไปกำหนด การที่เด็กเริ่มทำอะไรโดยที่ครูไม่ได้บอก คือการแสดงให้เห็นว่าเด็กเขามีความต้องการของตัวเอง และก็อยากแสดงมันออกมา ถือเป็นมูฟเม้นท์ที่ดี


การแสดงออก เด็กไม่ได้มีการแสดงออก หรือ กิจกรรมอะไรที่น่าจะผิดกฎของโรงเรียน ไม่ว่าจะเป็นการชู 3 นิ้ว หรือว่าจะเป็นการผูกโบว์ขาว มันเป็นกิจกรรมที่แสดงออกถึงสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อ ไม่ได้เป็นการชุมนุมกันหยุดเรียน หรือว่าชุมนุมกันต่อต้านอะไรสักอย่างในโรงเรียนแล้วทำให้เกิดความวุ่นวาย บทบาทของโรงเรียนคือต้องเข้าใจและก็พยายามไกด์นักเรียนให้ไปในทางที่ถูก ว่าคุณสามารถทำได้ถึงตรงไหน และสิ่งที่เราได้เห็นตามข่าวไม่ว่าจะเป็นชู 3 นิ้ว หรือว่า รณรงค์ผูกริบบิ้นสีขาวก็ไม่ได้เกินกว่าสิ่งที่โรงเรียนควรจะอนุญาต มันไม่ได้กระทบต่อการเรียน เพราะว่าเขาก็ไม่ได้ทำในห้องเรียนเขาไม่ได้ประกาศปิดห้องเรียนไม่ให้ครูเข้าไป เพื่อเรียกร้องอะไรสักอย่าง ถ้ามันไม่ถึงขนาดนั้นโรงเรียนก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปห้าม  


เมื่อถามความเห็นถึงกรอบความเคลื่อนไหวของกลุ่มนักเรียนว่าควรมีขอบเขตขนาดไหน นายศรัณย์ กล่าวว่า เป็นสิ่งที่ตอบยากว่าเราจะแบ่งให้ตรงไหนคือสิ่งที่เราบอกว่าเกินสมควร แต่อยากให้ดูตรงสิ่งที่เขาทำ มันไม่ได้ละเมิดกับกฎที่ทุกคนทำกันเป็นปกติ ถ้าเขาไม่ประท้วงปิดโรงเรียน ซึ่งมันจะดูเป็นเหตุการณ์ที่อาจจะมีทั้งความรุนแรงความไม่สงบเกิดขึ้น ก็มองว่าถ้ามันไม่ถึงขั้นนั้น ก็ไม่ควรต้องไปห้ามปรามจนเกินไป ไม่ว่าจะเป็นการทำกิจกรรมหลังเลิกเรียน ซึ่งก็เป็นบริเวณโรงเรียนและก็เป็นช่วงเวลาที่เด็กก็ไม่ได้มีหน้าที่ต้องเรียนหรือว่าทำอะไรอย่างอื่น เพราะฉะนั้นก็ควรเปิดพื้นที่อิสระให้เขาได้ทำกิจกรรม ส่วนโรงเรียนกับครูก็ช่วยดูแลความเรียบร้อย ส่วนที่เราไม่รู้ว่าในอนาคตกิจกรรมจะเป็นรูปแบบไหน แต่ ณ ถึงปัจจุบันยังไม่มีกิจกรรมที่ถูกมองได้ว่ามันขัดขวางหรือละเมิดสิทธิคนอื่นจนเกินไป  กิจกรรมที่มีอยู่ตอนนี้ที่แสดงออกภายในโรงเรียนภายในพื้นที่ภายในเวลาที่เขาควรมีอิสระไม่ควรจะเป็นสิ่งที่โรงเรียนเข้าไปขัดขวาง


การที่เด็กแสดงออกที่โรงเรียน เพราะว่าในช่วงวัยของเขาเขาอยู่โรงเรียนมากกว่าอยู่ที่บ้าน มากกว่าออกไปข้างนอก เด็กนักเรียนไปเรียน 5 วันในสัปดาห์ เราปฏิเสธไม่ได้ว่าสถานที่ที่เขาใช้เป็นพื้นที่ของเขาได้มากที่สุด ที่เขาได้เจอเพื่อนที่เขามีสังคมของเขาก็คือโรงเรียน เพราะฉะนั้นการแสดงออก ซึ่งก็เป็นกลุ่มของเขา คอมมิวนิตี้ของเขา โรงเรียนก็เป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่เขาจะใช้ในการแสดงออกถึงอะไรสักอย่างกับกลุ่มในวัยของเขา