วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2561

"ชวลิต" ชี้ "เศรษฐกิจ ปากท้อง เป็นปัจจัยกำหนดผู้บริหารประเทศ


นายชวลิต วิชยสุทธิ์ อดีตรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตนรอดูว่ารัฐมนตรีในรัฐบาลนี้จะไปเปิดตัวกับพรรคพลังประชารัฐตามข่าว หรือไม่? แล้วก็เป็นความจริง มีรัฐมนตรี 4 ท่าน ไปเป็นผู้บริหารในพรรคพลังประชารัฐ และ 2 ใน 4 ท่านได้ดำรงตำแหน่งสำคัญ คือ นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมไปเป็นหัวหน้าพรรค นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ไปเป็น เลขาธิการพรรค ไม่เป็นเรื่องแปลก หากจะมีรัฐมนตรีในรัฐบาลไปดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองควบคู่ไปด้วย แต่ที่เป็นเรื่องแปลกประหลาดอย่างยิ่งก็คือ การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังนั่งอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยมีอำนาจพิเศษตาม ม.44 ควบคุมประเทศ ทั้งก่อนเลือกตั้ง ระหว่างเลือกตั้ง และหลังเลือกตั้ง จนกว่าการจัดตั้งรัฐบาลจะแล้วเสร็จ โดยที่พรรคพลังประชารัฐประกาศสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์  เป็น นายกรัฐมนตรี ให้ได้ยินไปทั้งประเทศ พฤติกรรมดังกล่าวถือได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ มีส่วนได้เสียในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยมีอำนาจพิเศษอยู่ในมือดังกล่าว และถือได้ว่าเป็นผลประโยชน์ขัดกันอีกประเด็นหนึ่ง ทั้งยังขัดกับจรรยาบรรณทางการเมือง ที่มีการเอาเปรียบกันในการแข่งขันทางการเมือง ซึ่งถือว่าไม่ชอบธรรมอย่างยิ่ง ถ้าจะเปรียบให้เห็นง่ายๆ เหมือนการแข่งขันกีฬาฟุตบอล ที่ พล.อ.ประยุทธ์ และรัฐมนตรีทั้ง 4 ท่านดังกล่าว เป็นทั้งนักกีฬาและเป็นกรรมการด้วย รู้ถึงไหน ก็อายถึงนั่น ดังนั้น การเลือกตั้งทั่วไปที่จะถึงจะเป็นการเลือกตั้งที่มีการเอาเปรียบกันอย่างสุดๆ ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย

นายชวลิต กล่าวต่อว่า บางครั้งรู้สึกหดหู่ ท้อใจ อับจนปัญญาที่จะให้ข้อคิด ข้อเสนอแนะทางออกประเทศจากปัญหาความขัดแย้งที่มีอยู่ เพราะฝ่ายบริหารในปัจจุบันไม่รู้สึก รู้สา ไม่รู้ร้อน รู้หนาว ด้วยซ้ำว่า ความยุติธรรม คืออะไร หากบ้านเมืองขาดความยุติธรรม แล้วจะเป็นอย่างไร คิดแต่เพียงว่า ทำอย่างไรจะได้อยู่ในอำนาจต่อ จึงรู้สึกเหนื่อยหน่าย เอือมระอา แต่เมื่อกลับไปพบชาวบ้านซึ่งลำบากมากในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน รวมทั้งลูกหลานที่จบการศึกษามาแล้วตกงานกันจำนวนมาก ล้วนให้กำลังใจให้เป็นส่วนหนึ่งทำหน้าที่เป็นปากเป็นเสียงให้ชาวบ้าน อย่างน้อยก็ช่วยจุดประกายไฟเล็กๆ ในใจประชาชนให้คนไทยที่รักความเป็นธรรมได้เห็น ได้ทราบความจริงเพื่อการตัดสินใจทางการเมือง ขณะนี้ตนเลิกหวังสปิริตจากรัฐบาลนี้ เพราะพฤติกรรมฟ้องประชาชนและชาวโลกโจ่งแจ้ง เขายังไม่รู้สึกละอายใดๆ ต่อการเอาเปรียบทางการเมือง เนติบริกรก็หาช่องว่างทางกฎหมายคอยแก้ตัว จึงหวังจากประชาชนที่จะสนับสนุนฝ่ายประชาธิปไตยให้ชนะอย่างถล่มทลายเมื่อการเลือกตั้งมาถึง ที่หวังเช่นนี้เพราะคนไทยได้สัมผัสความจริงมาแล้วว่า 4 ปีที่รัฐบาลนี้ได้บริหารประเทศ สภาพเศรษฐกิจในครอบครัวของแต่ละครอบครัวเป็นอย่างไร คงไม่มีใครอยากลำบากไปมากกว่านี้อีกแล้ว ผมเชื่อว่า "เศรษฐกิจ ปากท้อง จะเป็นปัจจัยกำหนดผู้บริหารประเทศ"

"อนุสรณ์" ซัด "พลังประชารัฐ" เอาเปรียบพรรคอื่นทุกประตู


#TV24 นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดตัว 4 รัฐมนตรีในรัฐบาลเป็นกำลังหลักในการผลักดัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกรอบหลังเลือกตั้งอย่างเป็นทางการตามคาดว่า “ข่าวลือเปิดทำเนียบเป็นที่ทำการพรรคการเมืองอาจเป็นข่าวจริงที่มาก่อนเวลาอันควรหรือไม่? 4-5 เดือนที่ผ่านมาคนในรัฐบาลและ คสช. ปฏิเสธมาตลอด แต่วันนี้เปิดตัวชัดอย่างไม่เหนียมอาย น่าแปลกใจที่พร้อมใจกันผันตัวเองจากกรรมการมาเป็นผู้เล่นโดยไม่เคอะเขินแม้แต่น้อย”

นายอนุสรณ์ กล่าวว่า “คนไทยอาจกังวลมากขึ้นว่าการแข่งขันที่กรรมการมีส่วนได้เสียหรือมีผลประโยชน์ทับซ้อนเป็นทั้งนักกีฬาและเป็นทั้งผู้รักษากฎกติกาการแข่งขันในเวลาเดียวกัน จะได้การเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรมได้อย่างไร การแต่งตั้งให้ตำแหน่งกับบุคคลที่มีคดีอุกฉกรรจ์ประชาชนตั้งคำถามว่าถือเป็นผลประโยชน์ต่างตอบแทนหรือไม่? เกรงใจประชาชนบ้างหรือไม่? การตั้งรัฐมนตรีตั้งตามความสามารถหรือตั้งเพื่อจัดวางตัวบุคคลให้มาวางแนวทางในการสืบทอดอำนาจ นี่แค่หนังตัวอย่าง 5-6 เดือนจากนี้ไป”

“ประชาชนน่าจะได้เห็นอะไรมากกว่านี้หรือไม่? ลำพังอำนาจที่ได้มาโดยไม่ผ่านกระบวนการการเลือกตั้ง ไม่มีส่วนยึดโยงกับประชาชนก็ถูกตั้งคำถามถึงความชอบธรรมทั้งในประเทศและต่างประเทศมากอยู่แล้ว ท่านยังเอาอำนาจของประชาชนไปตอบแทนให้รางวัลกับคนที่ร่วมในกระบวนการเข้าสู่อำนาจของท่านในบริบทต่างๆอย่างมากมายหรือไม่ แล้วยังมีความพยายามที่จะสืบทอดอำนาจ สร้าง กฎ กติกา เอื้อให้พรรคพวกในเครือข่ายของตัวเองเคลื่อนไหวได้อย่างเสรี ในขณะที่พรรคคู่แข่งหรือพรรคตรงกันข้ามกลับเอาเปรียบ ทำให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบเกิดขึ้นหรือไม่? อาจถือเป็นความไม่สง่างามที่มีการวางเครือข่ายองคาพยพอย่างเป็นกระบวนการ มีการวางงบประมาณ ใช้ทรัพยากรของรัฐโยกย้ายบุคลากรเพื่อประโยชน์ทางการเมืองและการเลือกตั้งในอนาคตหรือไม่? ดังนั้นเสียงเรียกร้องจากทั่วทุกสารทิศที่ดังขึ้นเรื่อยๆในการเรียกร้องให้ผู้มีอำนาจเสียสละถอยออกมา เพราะเมื่อตัดสินใจเป็นผู้เล่นก็ไม่ควรถืออำนาจเบ็ดเสร็จเหนือกรรมการ จนอาจทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริตและเที่ยงธรรมหรือไม่?” นายอนุสรณ์ กล่าว

วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2561

"ณัฐวุฒิ" ชี้ รัฐบาลเฉพาะกาลไม่เป็นไปตามหลักการประชาธิปไตย ไร้หลักประกันว่าจะแก้ปัญหาได้


#TV24 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2561 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. กล่าวว่า "ตนมีจุดร่วมที่ชัดเจนกับ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี คือประเทศไทยต้องปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่าท่านมีความปรารถนาดีต่อชาติบ้านเมือง ไม่สงสัยต่อความรู้ความสามารถ และประสบการณ์ว่ามีคุณค่าควรรับฟัง การชี้ให้เห็นความทุกข์ยากของประชาชน พร้อมทั้งเรียกร้องให้ผู้มีอำนาจเสียสละ เมื่อตัดสินใจเป็นผู้เล่นก็ไม่ควรถืออำนาจเบ็ดเสร็จเหนือกรรมการ เป็นปัญหาพื้นฐานซึ่งหลายฝ่ายเห็นตรงกันและเรียกร้องต่างกรรมต่างวาระมาตลอด ส่วนข้อเสนอให้มีรัฐบาลเฉพาะกาลนั้นเคยได้ยินผ่านสื่อมาเป็นระยะ แต่ไม่ทราบรายละเอียดที่มาที่ไปเพราะไม่เคยหารือกันเรื่องนี้"

นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า "ส่วนตัวเชื่อมั่นการแก้ปัญหาด้วยกระบวนการประชาธิปไตย สนับสนุนอย่างที่สุดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 แม้กติกาและสิ่งแวดล้อมทางอำนาจขาดความชอบธรรมเพราะผู้มีอำนาจไม่ลาออกแน่นอน แผนสืบทอดอำนาจก็ปรากฏชัด แต่ต้องยึดกุมสถานการณ์ที่อำนาจกลับมาสู่มือประชาชนไว้ให้ได้ แล้วเดินหน้าไปในโลกของความเป็นจริง ถ้าทุกฝ่ายจริงใจแก้ปัญหาชาติ เคารพการตัดสินใจของประชาชน ไม่มักมากในอำนาจหรือผลประโยชน์ทางการเมือง ที่สำคัญคือ ประชาชนต้องตัดสินใจไปในทิศทางเดียวกัน ปฏิเสธวิถีเผด็จการ สนับสนุนแนวทางประชาธิปไตย เชื่อว่าบ้านเมืองไปต่อได้"

"การมีรัฐบาลเฉพาะกาลนอกจากไม่เป็นไปตามหลักการประชาธิปไตย และอาจถูกมองเป็นเจตนาล้มการเลือกตั้งแล้ว ยังไม่มีหลักประกันว่าจะแก้ปัญหาได้ รัฐบาลชุดนี้ใช้เวลาเกือบ 5 ปี บอกว่ารวบรวมคนดี คนรักชาติไว้เต็มลำ ก็ยังเป็นแค่เรือแป๊ะ ไม่เป็นสับปะรด จึงเชื่อว่าการฟังเสียงประชาชนเป็นสิ่งที่ใกล้ความจริงมากกว่า" นายณัฐวุฒิ กล่าว

"ภูมิธรรม" โพสต์ส่งกำลังใจ อินโดนีเซีย เหตุแผ่นดินไหว-สึนามิถล่ม


#TV24 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

ผมขอแสดงความเสียใจ และความห่วงใยอย่างยิ่ง กับการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชาวอินโดนีเซีย…ในเหตุการณ์แผ่นดินไหวและเหตุการณ์สึนามิที่ถล่ม "เมืองพาลูและเมืองตองการาตลอดจนบริเวณชายฝั่งเกาะสุราเวสี" นับเป็นความสูญเสียครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งของประชาชนชาวอินโดนีเซีย
ผมขอส่งความปรารถนาดี กำลังใจและความห่วงใยมายังทุกท่านที่กำลังเผชิญกับความสูญเสียจากวิกฤติการณ์ในครั้งนี้

…ขออาราธนาสิ่งดีงามทั้งหลายในสากลโลก จงปกปักษ์รักษาและช่วยลดความรุนแรงต่างๆ ที่ท่านทั้งหลายเผชิญในครั้งนี้ด้วยครับ

ภูมิธรรม เวชยชัย
เลขาธิการพรรคเพื่อไทย
28 กันยายน 2561

วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2561

"วัฒนา" ชี้ ศาลอาญาสั่งปล่อยตัว "กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง" ปลุกความหวังประชาชน


#TV24 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยเนื้อหาดังนี้

ผมขอแสดงความชื่นชมกับการใช้ดุลพินิจของศาลอาญา ที่มีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวน้องๆ กลุ่มคนอยากเลือกตั้งโดยไม่ต้องวางหลักประกัน การใช้ดุลพินิจดังกล่าวตั้งอยู่บนหลักนิติธรรมที่หาได้ยากยิ่งในยุคเผด็จการครองเมือง เป็นการปลุกความหวังของประชาชนที่มีต่อกระบวนการยุติธรรม

การที่กลุ่มคนอยากเลือกตั้งออกมาเรียกร้องสิทธิเลือกตั้งนั้น นับเป็นการกระทำที่สมควรยกย่องและไม่อาจถือเป็นความผิด เพราะมิได้เกิดจากแรงจูงใจทางอาญา (criminal motive) อีกทั้งการที่เจ้าของสิทธิเรียกร้องสิทธิของตัวเองคืนจากผู้ที่ไม่มีสิทธิย่อมไม่อาจเป็นความผิดได้เลย คนที่ปล้นสิทธิของประชาชนไปต่างหากที่ควรละอายที่บังอาจไปแจ้งความดำเนินคดีกับผู้เป็นเจ้าของอำนาจ ทำไปโดยไม่เคยสำเหนียกเลยว่าอำนาจดังกล่าวตนกับพวกไปปล้นเอาของประชาชนมา

เผด็จการใช้กฎหมายและเจ้าหน้าที่รัฐเป็นเครื่องมือจัดการผู้เห็นต่าง ที่เลวไม่แพ้กันคือองค์กรในกระบวนการยุติธรรมจำนวนหนึ่งกลับสยบและยอมเป็นเครื่องมือให้กับเผด็จการทำร้ายประชาชน ดังนั้น การที่ศาลอาญากล้าใช้ดุลพินิจผดุงครรลองที่ถูกต้องย่อมทำให้ประชาชนมีความหวังว่า วันใดก็ตามที่อำนาจกลับคืนมาเป็นของประชาชน เผด็จการและลิ่วล้อที่สร้างเวรกรรมกับประชาชนไว้จะต้องถูกนำตัวมาขึ้นศาลเพื่อลงโทษซึ่งไม่ใช่การเช็คบิลหรือการแก้แค้น หากแต่เป็นการทำตามกฎหมาย ส่วนใครก็ตามที่รักจะเป็นโจรอย่าใจเสาะ หัดอายกระโปรงของน้องกลุ่มคนอยากเลือกตั้งบ้าง ริจะเป็นโจรแต่กลัวถูกเช็คบิล กระจอกเกิ๊น

วัฒนา เมืองสุข
28 กันยายน 2561

#มุ่งสร้างประชาธิปไตย
#ร่วมยืนหยัดกับประชาชน
#ไม่จำนนต่อเผด็จการ

"ชวลิต" ชงตั้งรัฐบาลรักษาการจัดเลือกตั้งร่วม กกต. ทางออกจากกับดักความขัดแย้ง


#TV24 นายชวลิต วิชยสุทธิ์ อดีตรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ให้ความเห็นกรณีนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ระบุว่า แม้จะมี พรฎ.เลือกตั้ง รัฐบาลนี้ก็สามารถประชุม ครม.สัญจรได้ โยกย้ายข้าราชการได้ เพราะเป็นรัฐบาลเต็มรูปแบบ ไม่ใช่รัฐบาลรักษาการ ว่า "ฟังการให้สัมภาษณ์ดังกล่าวแล้วแทบช็อค เอาเปรียบกันสุดๆ ประเทศไทยคงเป็นหนึ่งเดียวในโลก (ในทางลบ) ที่เมื่อเข้าโหมดเลือกตั้งแล้ว รัฐบาลทำได้ทุกอย่างตามอำเภอใจ และที่น่าเกลียดที่สุด คือ มีอำนาจพิเศษตาม ม.44 คุมการจัดตั้งรัฐบาลไว้ด้วย เหลืออย่างเดียวที่ อ.มีชัย ฤชุพันธ์ ไม่ได้เขียนไว้ คือ ชื่อนายกรัฐมนตรีไม่ได้เขียนไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญ"

นายชวลิต กล่าวว่า "พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคการเมืองหนึ่งที่มีเอกอัครราชทูตและเจ้าหน้าที่ประจำสถานทูตมาเยี่ยมเยียนทั้งที่พรรค และไปพบกับอดีต ส.ส.ตามจังหวัดต่างๆ ตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ทูตทุกประเทศล้วนให้กำลังใจประเทศไทยและประชาชนคนไทยที่ตกอยู่ในสภาพการเมืองการปกครองที่ไม่ปกติมาเป็นเวลานาน ต่างอวยพรขอให้ประเทศไทยเข้าสู่ภาวะปกติ มีประชาธิปไตย มีการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม บางประเทศถึงกับกล่าวว่า ดีใจด้วยกับ พรรคเพื่อไทยกับผลโพลที่สำนักต่างๆ เผยแพร่ว่าได้รับความนิยมอยู่อันดับ 1 มาตลอด พออธิบายให้ฟังว่า ยังมีอุปสรรคสำคัญที่ต้องแก้ไขอยู่ กล่าวคือ ประชาธิปไตยบ้านยู กับประชาธิปไตยบ้านไอขณะนี้ยังต่างกันอยู่มาก ประชาธิปไตยบ้านไอ แม้ พรรคเพื่อไทยจะได้เสียง ส.ส.เป็นอันดับ 1 แต่อีกภาคส่วนหนึ่ง คือ รัฐบาลรักษาการ ซึ่งมีหัวหน้า คสช.ทำหน้าที่เป็นหัวหน้ารัฐบาลด้วย ภาคส่วนนี้มี ส.ว.อีก 250 คน ซึ่งมาจากการสรรหา สามารถลงคะแนนเลือก นายกรัฐมนตรีได้ ที่สำคัญกว่านั้น หัวหน้า คสช.ซึ่งเป็นหัวหน้ารัฐบาลรักษาการระหว่างเลือกตั้ง มีอำนาจพิเศษตาม ม.44 คุมการจัดตั้งรัฐบาลจนแล้วเสร็จ พอฟังจบ เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตึสีหน้างงๆ รำพึงว่า แล้วบ้านยูจะเดินยังไงต่อไป"

"ประเทศไทยต้องมีทางออกหลุดจากกับดักแห่งความขัดแย้ง ตนเคยเสนอความเห็นไว้ และยังยืนยันความคิดเดิมว่า รัฐบาลรักษาการเพื่อจัดการเลือกตั้งร่วมกับ กกต. ต้องเป็นกลาง มีความเป็นธรรม เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปอย่างเสรีและเป็นธรรม ถึงจะได้รับความเชื่อมั่นจากประชาชนและชาวโลก ซึ่งมีหนทางเดียว คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องลาออก ทั้งตำแหน่งหัวหน้า คสช. และนายกรัฐมนตรี ซึ่งตนหวังที่จะเห็นสปิริตจากชายชาติทหารที่กล่าวอ้างเสมอว่า รักชาติและประชาชน" นายชวลิต กล่าว

วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2561

"อนุสรณ์" ตอก "ประยุทธ์" ผลงานไม่เข้าตา นึกอยากไล่ใครก็ได้ ยัน คำป๋าเหนาะไม่ดูถูกประชาชน


#TV24 นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ไล่นายเสนาะ เทียนทอง ประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย แก่แล้วควรกลับบ้าน หลังจากที่นายเสนาะ ประกาศพรรคเพื่อไทยจะได้ ส.ส.ไม่ต่ำกว่า 200 ที่นั่ง และมองว่าแม้ พล.อ.ประยุทธ์ จะถูกเสนอชื่อให้เป็นนายกฯคนต่อไป ก็ไม่สามารถทำหน้าที่บริหารงานต่อไปได้ ว่า

"พล.อ.ประยุทธ์ โชคดี ใครพูดอะไรไม่เข้าหู นึกอยากจะไล่ใครก็ไล่ได้ ไม่เหมือนคนไทยที่หากมองว่าผลงานรัฐบาลไม่เข้าตา เศรษฐกิจปากท้องมีปัญหา ค่าครองชีพสูง รายได้ต่ำ ไม่มีกำลังซื้อ อยู่มา 4-5 ปี ถึงอยากไล่ก็ไล่ไม่ได้ ทำได้เพียงแต่รอว่าเมื่อไหร่จะปลดล็อกและเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง ความจริงการบอกว่าพรรคเพื่อไทยจะได้ ส.ส.ไม่ต่ำกว่า 200 ที่นั่งนั้น เป็นเพียงการวิเคราะห์คาดการณ์ ผลจะเป็นอย่างไรต้องให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน อาจจะมากกว่านี้หรือน้อยกว่านี้ก็ได้ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องไปไล่กัน กติกาการเลือกตั้งเป็นอย่างไร ทุกฝ่ายควรพร้อมปฏิบัติเพื่อให้การเลือกตั้งบริสุทธิ์ยุติธรรม ส่วนผลจะออกมาอย่างไร ทุกฝ่ายต้องเคารพการตัดสินใจของประชาชน"

"ส่วนการดูถูกประชาชนนั้นกรณีของนายเสนาะไม่น่าเข้าข่าย แต่การยึดอำนาจมา 4-5 ปี แล้วแต่งตั้งพวกพ้องเครือข่ายมารับรายได้หลายทาง ทั้งเงินเดือนราชการทหารต้นสังกัดเดิม ค่าตอบแทนในตำแหน่งข้าราชการการเมือง บางคนยังไปเป็นอธิบดี ไปเป็นฝ่ายปฏิบัติการและบริหาร รับรายได้คนละ 3-4 ทาง พอกลิ่นอายเลือกตั้งโชยมา รัฐมนตรีร่วมคณะ ต่างจับจองจะไปเป็นหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค โฆษกพรรค กันค่อน ครม.จัดสรรปันส่วนตำแหน่งกันเสร็จสรรพ แบบนี้ถือว่าดูถูกประชาชนหรือไม่? ตำแหน่งเยอะจนเสื้อไม่พอติดเครื่องหมาย แล้วทำงานรับใช้ประชาชนเต็มเม็ดเต็มหน่วยหรือไม่? บริหารจัดการชีวิตการทำงานยังไง? แบ่งยังไงจะทำงานไหนเวลาไหนเพื่อไม่ให้กระทบกับงานในหน้าที่ทั้งหมด ส่วนการบอกว่าถ้าเลือกพรรคเพื่อไทย จะวุ่นวายนั้น เป็นไปไม่ได้เลย เพราะกลุ่มคนที่สร้างความวุ่นวายครั้งหลังสุด ม็อบนกหวีด ชัตดาวน์ประเทศ ก่อจลาจลล้มการเลือกตั้ง รัฐบาลก็ตั้งมารับตำแหน่งหลายคนแล้ว ถ้ารัฐบาลควบคุมคนในกำกับของรัฐบาลให้ดี ความวุ่นวายจะไม่เกิดขึ้นหรือไม่?" นายอนุสรณ์ กล่าว

"ชวลิต" ยัน ป๋าเหนาะพูดจากประสบการณ์ ชี้ ส.ว.ช่วยหนุนประยุทธ์เป็นนายกได้ แต่บริหารไม่รอด


#TV24 นายชวลิต วิชยสุทธิ์ อดีตรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ให้ความเห็นกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวกล่าวถึงนายเสนาะ เทียนทอง หรือป๋าเหนาะ ประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทยว่า "แก่แล้ว ไปพักผ่อนได้แล้ว" หลังจากนายเสนาะ กล่าวให้กำลังใจสมาชิกพรรคเพื่อไทย ว่า ในการเลือกตั้งที่จะถึงพรรคเพื่อไทยจะได้ที่นั่ง 200 อัพ แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จะได้ 250 ส.ว.หนุนเป็นนายกฯ ก็จะบริหารไม่ได้ นั้น

นายชวลิต กล่าวว่า "ตนเป็นคนหนึ่งที่ฟังนายเสนาะ พูดตั้งแต่ต้นจนจบ ยืนยันว่า สิ่งที่นายเสนาะ พูดเป็นความจริง เป็นสัจธรรมทางการเมือง กล่าวคือ แม้ พล.อ.ประยุทธ์ อาจได้ 250 ส.ว.หนุนให้เป็นนายกฯโดยบวกกับคะแนนเสียงจากพรรคการเมืองที่ประกาศสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯได้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง แต่งานในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะต้องพิจารณาให้ความเห็นชอบกฎหมาย เช่น พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี กฎหมายเกี่ยวกับการเงินอื่นๆ ตลอดจนการตรวจสอบรัฐบาลด้วยการตั้งกระทู้ และการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯหรือรัฐมนตรีเป็นต้น งานในสภาผู้แทนราษฏรดังกล่าว ส.ว.ไม่อาจมาลงคะแนนช่วยเหมือนตอนเลือกนายกฯได้ จึงเห็นได้ว่า สิ่งที่นายเสนาะพูดนั้น พูดจากประสบการณ์ ซึ่งตีความหมายได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ อาจเป็นนายกฯได้ เพราะมี ส.ว. เป็นตัวช่วย แต่จะบริหารไม่ได้ เพราะเสียงในสภาผู้แทนราษฎรไม่พอหรือฉิวเฉียด ไม่ใช่ว่าพอพรรคเพื่อไทยไม่ได้เป็นนายกฯแล้วจะก่อความวุ่นวายดังที่ พล.อ.ประยุทธ์ เข้าใจ เพราะมิใช่วิสัยของพรรคเพื่อไทย"

นายชวลิต กล่าวว่า "ได้มีโอกาสคุยกับนายเสนาะ ท่านกล่าวว่าไม่คิดตอบโต้อะไรกับ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เป็นประโยชน์เพราะตนก็แก่แล้วจริงๆ ผู้ใหญ่จะลงไปทะเลาะกับผู้มีอายุคราวลูกก็ใช่ที่ เดี๋ยวจะถูกเด็กลูบหัวเอาอย่างไรก็ตามตนไม่ใช่แก่แล้วแก่เลย ยังแข็งแรง ความจำดี ที่สำคัญยังห่วงบ้านห่วงเมือง อยากให้เดินในแนวทางที่ถูกต้องตามครรลองประชาธิปไตย สุดท้ายป๋าเหนาะก็หัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างอารมณ์ดี พร้อมกับกล่าวว่า ใครที่ต่อว่าผมว่าแก่แล้วนั้น ไม่แก่บ้างก็แล้วไป"

ลั่นกลองรบ! "เพื่อไทย" เปิดตัว "คนรุ่นใหม่" สุดคึกคัก


สมาชิกคนรุ่นใหม่เพื่อไทย "New Gen" เดินทางมาสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย โดยมี พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ รักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทยให้การต้อนรับ



ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคเพื่อไทยว่า พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ รักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ได้ร่วมให้การต้อนรับการเปิดตัวกลุ่มคนรุ่นใหม่ของพรรค ท่ามกลางความสนใจของสื่อมวลชนเป็นจำนวนมาก


นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล สมาชิกคนรุ่นใหม่เพื่อไทย ในฐานะที่ปรึกษาเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า "กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มาสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยมีความตั้งใจที่จะเข้ามาทำงานการเมืองอย่างเเท้จริง ไม่ได้มีแค่ภาพ แต่เราเป็นคนรุ่นใหม่ที่มีจิตใจ อุดมการณ์ หลักการ มีทัศนคติ ที่จะสร้างการเมืองเชิงบวก ก้าวข้ามความขัดแย้ง หลีกเลี่ยงการตอบโต้ทางการเมือง เข้ามาช่วยทำให้ประเทศไทยของเรา ก้าวไปในจุดที่ก้าวหน้าขึ้น มีความสามารถ มีอุดมการณ์ ที่จะผสมผสานนำภารกิจ วิสัยทัศน์ และนโยบายไปสู่การปฎิบัติด้วยการผสมผสานกับบุคลากรของพรรคที่มีอยู่เดิมทั้งอดีต ส.ส.เขต และปาร์ตี้ลิสต์ ซึ่งจะทำให้คนรุ่นใหม่ของพรรคเพื่อไทยมีความแตกต่างกับพรรคอื่นๆ


นางสาวอรุณี กาสยานนท์  สมาชิกคนรุ่นใหม่เพื่อไทย ในฐานะนักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ กล่าวว่า "คนรุ่นใหม่ของพรรคเพื่อไทยพร้อมทำงานร่วมกับทุกพรรค เพราะการเข้ามาทำงานทางการเมืองเพื่อพยายามลดความขัดแย้ง ทำให้ประเทศเดินหน้า ทำการเมืองสร้างสรรค์ มีทัศนคติทางการเมืองเชิงบวก ลดการตอบโต้ที่จะนำไปสู่ความขัดแย้ง ทั้งนี้ ส่วนตัวไม่มีความกังวลที่เข้ามาอยู่กับพรรคเพื่อไทยที่ถูกมองว่าอยู่ฝ่ายตรงกันข้ามกับรัฐบาล และพร้อมจะสู้ทุกรูปแบบด้วยความขาวสะอาดและโปร่งใส"


ขณะที่นายภูมิธรรม กล่าวว่า "คนรุ่นใหม่ที่มาสมัครสมาชิกนั้นมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะมาทำงานให้กับพรรค ทั้งนี้ ส่วนหนึ่งจะลงสมัครส.ส.เขต ขณะที่อีกส่วนหนึ่งจะมาทำงานเชิงนโยบายและช่วยงานการเมืองในทุกมิติ ซึ่งถือว่าการมาของคนรุ่นใหม่ครั้งนี้ทำให้พรรคมีความหลากหลายมากขึ้น"











วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2561

เอกอัครราชทูตสหรัฐฯเข้าพบแกนนำพรรคเพื่อไทย หนุนประเทศกลับสู่ประชาธิปไตย


ที่พรรคเพื่อไทย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกลิน ที. เดวีส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ได้เข้าพบคณะผู้บริหารพรรคเพื่อไทยโดยใช้เวลาพูดคุยประมาณ 2 ชั่วโมง ภายหลังการพูดคุย นายกลิน กล่าวว่า ในฐานะตัวแทนสหรัฐอเมริกาได้เน้นย้ำความสำคัญในเรื่องของการที่ประเทศไทยจะมีกระบวนการที่มุ่งไปสู่ประชาธิปไตย และหวังว่าจะไปสู่การเลือกตั้งในเร็ววัน และก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง หวังว่าประชาชนคนไทยจะมีโอกาสมีส่วนร่วมอภิปราย และแสดงความคิดเห็นอย่างเสรีประชาชนจะได้เลือกรัฐบาลได้อย่างเสรี และมาที่นี่เพื่อมาเรียนรู้จากพรรคเพื่อไทย เพื่อจะเข้าใจแผนของพรรคที่กำลังดำเนินอยู่ สำหรับประเทศสหรัฐอเมริกามีความหวังว่า ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่มีความแข็งแกร่ง ซึ่งจะเป็นแบบนั้นได้คือต้องผ่านการเลือกตั้งและสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างเสรี ไม่ใช่นักการเมืองจึงไม่สามารถให้ความเห็นตรงส่วนนี้ได้ แต่ได้เน้นย้ำจุดยื่นที่อยากให้ประเทศไทยกลับไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่แข็งแกร่ง และตนสนับสนุนเสรีภาพ และการเปิดพื้นที่ทางการเมืองสำหรับอนาคตประเทศไทยให้มากขึ้น ทั้งนี้ ก็เป็นสิ่งที่ดีที่ทางรัฐบาลปัจจุบันยืนยันว่าจะกลับไปสู่ประชาธิปไตย สหรัฐเองก็ยินดีสนับสนุนตรงนั้น























“อนุสรณ์” ชี้ “เพื่อไทย” พร้อมทำงาน สร้างสรรค์ โปร่งใส ตรงไปตรงมา


#TV24 นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกระแสข่าวนายโภคิน พลกุล แกนนำพรรคเพื่อไทย ไปเจรจากับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โดยอ้างว่ามีการเสนอเก้าอี้นายกรัฐมนตรีให้แม้พรรคเพื่อไทยจะเป็นฝ่ายชนะการเลือกตั้งว่า

ขอปฏิเสธข่าวนี้อย่างหนักแน่นชัดเจน กรณีดังกล่าวเป็นไปไม่ได้เลย และไม่มีมูลความจริงใดๆโดยสิ้นเชิง พรรคเพื่อไทยเป็นสถาบันการเมืองที่เป็นที่พึ่งที่หวังของประชาชนเป็นหลักของประเทศ ที่สำคัญพรรคไหนจะชนะการเลือกตั้งยังไม่มีใครรู้ ต้องไปถามประชาชนเจ้าของประเทศในคูหาเลือกตั้ง แต่หากประชาชนมอบฉันทานุมัติให้พรรคเพื่อไทยครองเสียงข้างมากเป็นอันดับ 1 ของประเทศ พรรคเพื่อไทยก็พร้อมให้บุคลากรทางการเมืองของพรรคเป็นนายกรัฐมนตรีเองแน่นอน

ซึ่งมั่นใจว่าทั้ง 3 รายชื่อที่พรรคเพื่อไทยจะเสนอเป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ต้องเป็นที่ยอมรับและเชื่อมั่นของประชาชนทั้งประเทศ ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นใดๆเลยที่จะไปยกเก้าอี้นายกรัฐมนตรีที่ประชาชนมอบให้ไปให้คนของพรรคอื่น ไม่แน่ใจว่ากระบวนการปล่อยข่าวนี้เจตนาหรือหวังผลดิสเครดิตอะไรกันทางการเมืองหรือไม่? เพราะเท่ากับเป็นการดูหมิ่นและไม่เคารพเสียงของประชาชน ไม่แน่ใจว่าเกี่ยวข้องกับสถานการณ์การแข่งขันชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่จะเป็นการแสดงต้นทุนและสร้างเครดิตให้กับบางฝ่ายหรือไม่? การเลือกตั้งครั้งหน้าพรรคเพื่อไทยไม่จำเป็นต้องไปบิดเบือนเจตนารมย์ของประชาชนผู้ไปใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้ง เพื่อจะเอาชนะใครหรือฝ่ายใด? พรรคเพื่อไทย หัวใจคือประชาชน พร้อมทำงานการเมืองอย่างสร้างสรรค์ โปร่งใส ตรงไปตรงมา ยึดหลักธรรมาภิบาล และขอเรียกร้องให้ทุกฝ่าย คิดการเมืองน้อยๆแล้วคิดถึงบ้านเมืองให้มาก แล้วเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม

“ชวลิต” อัด “รัฐบาล” ใกล้เลือกตั้ง ยังใช้ ม.44 สวนทางสถานการณ์บ้านเมือง


#TV24 นายชวลิต วิชยสุทธิ์ อดีตรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในการประชุมพรรคเพื่อไทยในวันนี้ ตนได้มาสมัครเป็นสมาชิกพรรคหลังจากขาดจากสมาชิกภาพเพราะไปอุปสมบทถวายเป็นพระราชกุศลแด่ในหลวง ร.9 ที่ผ่านมา
         
ในการพิจารณาข้อบังคับพรรคที่ต้องจัดทำใหม่ ตนได้ขอบคุณพรรคที่ได้จัดทำอย่างรอบคอบและรับฟังความเห็นจากสมาชิกให้มีส่วนร่วมอย่างทั่วถึง

สำหรับตนได้ขอให้คณะกรรมการฝ่ายกฎหมายและฝ่ายนโยบายยกระดับนโยบายการกระจายอำนาจสู่ทัองถิ่น และท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ ให้เห็นเด่นชัดยิ่งขึ้น เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาท้องถิ่นของตนเองเยี่ยงนานาอารยประเทศ ยิ่งรัฐบาลนี้เพิ่งใช้อำนาจตาม ม.44 ตั้งนายกเมืองพัทยา ทั้งๆที่อยู่ในช่วงปลายรัฐบาล และเข้าโหมดเลือกตั้ง ถือว่าเป็นการใช้อำนาจพิเศษสวนทางกับสถานการณ์บ้านเมืองที่กำลังก้าวเข้าสู่ประชาธิปไตย และเป็นการเอาเปรียบกันทางการเมือง ซึ่งก็ชี้ให้ประชาชนและสังคมโลกเห็นว่า ผู้นำฝ่ายบริหารปัจจุบันมีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาท้องถิ่น และพัฒนาบ้านเมืองอย่างไร
         
ประการสำคัญได้จังหวะเวลาพอดีกับที่ท่านนายกรัฐมนตรีแสดงเจตนาสนใจการเมือง นับเป็นเรื่องที่ดีที่จะเป็นตัวเลือกหนึ่งให้ประชาชนได้ตัดสินใจทางการเมืองในการเลือกอนาคตของตนเอง

"ทนายวิญญัติ" ยื่น อสส.ตั้งกรรมการสอบอธิบดีอัยการคดีพิเศษ ปล่อยปละละเลยต่อหน้าที่


#TV24 เมื่อวันนี้ 26 กันยายน 2561 เวลา 10:00 น. ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความด้านสิทธิมนุษยชนและเลขาธิการสมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิเสรีภาพ (สกสส.) พร้อมคณะทำงาน ได้เข้ายื่นหนังสือถึงอัยการสูงสุด ให้สั่งการเร่งนำตัวผู้ต้องหากลุ่ม กปปส. ที่เหลืออีกอย่างน้อย 18 คน ฟ้องต่อศาลอาญาในคดีร่วมกันเป็นกบฏ และขอให้อัยการสูงสุดตั้งกรรมการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์


นายวิญญัติ กล่าวว่า "นับแต่มีการสั่งฟ้องผู้ต้องหา 47 คน ฟ้องต่อศาลแล้ว 29 คน ยังเหลืออีก 18 คน ไม่มีการนำตัวมาฟ้องต่อศาลอาญา ทั้งๆที่ผู้ต้องหากลุ่มนี้เป็นชุดเดียวกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ มีพฤติการณ์ที่ถูกกล่าวหาเป็นการร่วมกระทำความผิดและสนับสนุนกระทำความผิด แต่สำนักงานคดีพิเศษกลับปล่อยปละละเลยไม่เร่งดำเนินการให้ได้ตัวมาฟ้อง และยังยอมให้มีการขอเลื่อนนัดหลายครั้งโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ไม่มีมาตรการใดที่จะดำเนินการให้ได้ตัวผู้ต้องหาที่เหลือมาฟ้องต่อศาลให้ครบตามสำนวนได้ อาทิ การออกหมายจับ เป็นอำนาจของอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ ที่จะเร่งดำเนินการตามกฎหมายได้ แต่กลับปล่อยปละละเลยต่อหน้าที่ ไม่นำพาให้เกิดการบังคับใช้กฎหมายและจัดให้มีการนำตัวผู้ต้องหาดังกล่าวมาฟ้องคดีอาญาต่อศาลแต่อย่างใด จนกระทั่งความผิดบางฐานที่ฟ้องผู้ต้องหาอื่นไปแล้ว เช่น คดีอาญาฐานบุกรุก ตาม ป.อ. มาตรา 362 ซึ่งมีอายุความ 5 ปี จะขาดอายุความในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2561 อันจะทำให้ผู้ต้องหาที่เหลือได้รับประโยชน์หลุดพ้นคดีบุกรุกไป"

"ดังนั้น เพื่อเป็นการผดุงไว้ซึ่งหลักนิติธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ และเพื่อรักษาไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย จึงขอให้อัยการสูงสุดตั้งกรรมการสอบอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ ปล่อยปละละเลยต่อหน้าที่ และให้นำตัวผู้ต้องหาที่เหลือส่งฟ้องศาล หากปล่อยปละละเลยจนคดีขาดอายุความ ตนจะดำเนินการตามกฎหมายเพื่อรักษาประโยชน์ของรัฐ" นายวิญญัติ กล่าว

ในส่วนผู้ต้องหาที่เหลือตามสำนวนสอบสวนและมีคำสั่งฟ้องแล้ว มีดังนี้
(1) นายนิติธร ล้ำเหลือ ผู้ต้องหาที่ 11
(2) นายอุทัย ยอดมณี ผู้ต้องหาที่ 12
(3) พันตำรวจโทสุภวัฒน์ สุปิยะพาณิชย์ ผู้ต้องหาที่ 17
(4) นางสาวจิตรภัสร์ กฤดากร ผู้ต้องหาที่ 19
(5) นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ผู้ต้องหาที่ 25
(6) นายกิตติศักดิ์ ปรกติ ผู้ต้องหาที่ 27
(7) พลเอกปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ ผู้ต้องหาที่ 31
(8) นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ต้องหาที่ 32
(9) นายพิภพ ธงไชย ผู้ต้องหาที่ 33
(10) นายอมร อมรรัตนานนท์ หรือรัชต์ชยุตม์ ศิรโยธินภักดี ผู้ต้องหาที่ 37
(11) นายกิตติชัย ใสสะอาด ผู้ต้องหาที่ 43
(12) นายคมสัน ทองศิริ ผู้ต้องหาที่ 44
(13) นายพิเชษฐ พัฒนโชติ ผู้ต้องหาที่ 46
(14) นายประกอบกิจ อินทร์ทอง ผู้ต้องหาที่ 48
(15) นายนัสเซอร์ ยีหมะ ผู้ต้องหาที่ 49
(16) นายพานสุวรรณ ณ แก้ว ผู้ต้องหาที่ 50
(17) นายสุริยันต์ ทองหนูเอียด ผู้ต้องหาที่ 51
(18)นางทยา ทีปสุวรรณ ผู้ต้องหาที่ 55


วันอังคารที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2561

มูลนิธิคอนราดฯ จัดเสวนาวิชาการ การเลือกตั้งแบบใหม่และการพัฒนาการเลือกตั้งในประเทศไทย


#TV24 ผู้สื่อข่าวรายงาน เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2561 ณ โรงแรม V-VERVE HOTEL จังหวัดฉะเชิงเทรา มูลนิธิคอนราด อาเดนาวร์ (KAS) มูลนิธิจากสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ร่วมกับ สถาบันศึกษาการพัฒนาประชาธิปไตย (iDS) จัดงานเสวนาวิชาการในหัวข้อ "THE MILLENNIALS AND THE NEW ELECTORAL SYSTEM" มีเนื้อหาการอภิปรายและวิเคราะห์ระบบการเลือกตั้งแบบใหม่และการพัฒนาการเลือกตั้งในประเทศไทย โดยมีนักวิชาการ นำโดย "ผศ. ร.ต.อ. ดร.วิเชียร ตันศิริคงคล อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา" พร้อมด้วย "ดร.สติธร ธนานิธิโชติ นักวิชาการสถาบันพระปกเกล้า" "อาจารย์อาจิณโจนาธาน อาจิณกิจ" "อาจารย์นพพร ขุนค้า" และนักวิชาการ นิสิต นักศึกษา