วันจันทร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

"อสคพ." เร่งรัฐบาลดำเนินการ "พุทธะอิสระ" ปลุกเสกพระด้วยเลือด


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.00น. ที่ผ่านมา นายวิชัย ประเสริฐสุดศิริ ผู้ประสานงาน องค์กรส่งเสริมและปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนา (อสคพ.) เดินทางมาที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษให้ตรวจสอบและดำเนินการต่อ "พุทธะอิสระ" เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม ที่ได้ประกอบพิธีปลุกเสกพระเครื่องด้วยเลือด ว่าเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายหรือไม่? และหากเป็นความผิดก็ขอให้ดำเนินคดีตามบทบัญญัติกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป







ไต่สวน "วัฒนา" ขึ้นศาลทหาร ยืนยันพรุ่งนี้ให้กำลังใจ "ยิ่งลักษณ์"


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวัฒนา เมืองสุข เดินทางมาศาลทหารกรุงเทพ ในคดีอาญาถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐานฝ่าฝืนเงื่อนไขการปล่อยตัว ตามประกาศ คสช. ฉบับที่ 39/2560 ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จากกรณีที่นายวัฒนาได้โพสต์ข้อความว่า ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ เมื่อเดือนเมษายน 2559 จึงถูก คสช. ควบคุมตัวไปปรับทัศนคติที่พล ร. 9 จากนั้น คสช. ได้แจ้งความกล่าวหานายวัฒนาต่อกองปราบปรามให้ดำเนินคดีในข้อหาดังกล่าว โดยกล่าวหาว่า การแสดงความคิดเห็นของนายวัฒนา ผ่านเฟซบุ๊กถือเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมือง ซึ่ง นายวัฒนา ได้ให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา อัยการศาลทหารจึงส่งเรื่องฟ้องต่อศาลทหาร และศาลได้นัดพิจารณาคดีครั้งแรกเพื่อให้นายวัฒนามาให้การต่อศาล

นายวัฒนา กล่าวว่า ศาลได้นัดสอบคำให้การเป็นนัดแรก ตนจะปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และยืนยันว่าการประกาศไม่รับร่างรัฐธรรมนูญเป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นไม่ใช่การเคลื่อนไหวทางการเมืองและถือเป็นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และว่า กรณีที่เจ้าหน้าตำรวจ เตรียมขอให้ศาลออกหมายจับในข้อหายุยง ปลุกปั่น ตามมาตรา 116 จากการโพสต์ข้อความเชิญชวนให้ประชาชนเดินทางมาให้กำลังใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่จะเดินทางมายังศาลฏีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในคดีจำนำข้าวในเดือนสิงหาคม นั้น หากการเชิญชวนมาให้กำลังใจเป็นภัยต่อความมั่นคง ก็อยากฝากไปยังนายกรัฐมนตรี หากอยากจะเป็นใหญ่แล้วใช้คนบางประเภทมาทำแบบนี้ขอให้ระวัง หากบ้านเมืองเป็นปกติ และหลังมีการเลือกตั้งตนเองจะไม่เอาคนเหล่านี้ไว้แน่นอน

นอกจากนี้ตนจะเดินทางไปให้กำลังใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในวันพรุ่งนี้ (1 สิงหาคม) ซึ่งศาลฏีกาอนุญาติให้ น.ส. ยิ่งลักษณ์ แถลงปิดคดีด้วยวาจา เวลา 09.00 น. พร้อมนัดฟังคำพิพากษา ในวันที่ 25 สิงหาคม เวลา 09.00น.












วันอาทิตย์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

"ยุทธพงศ์" ท้าไก่อูดีเบต-จับพิรุธรัฐบาล วางเฉยสอบการระบายข้าว


นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะทำงานตรวจสอบการระบายข้าว พรรคเพื่อไทย กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า การเรียกร้องให้มีการตรวจสอบคุณภาพข้าว ไม่ใช่เป็นเรื่องการเมือง และไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดีจำนำข้าวของอดีตนายกรัฐมนตรีนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่อย่างใด แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องความเดือดร้อนของประชาชน และเป็นเรื่องที่รัฐบาลนี้กำลังถูกตั้งข้อสงสัยในเรื่องความโปร่งใสในการระบายข้าว แต่แปลกตรงที่รัฐบาลแทนที่จะเข้าไปตรวจสอบข้อสงสัยต่างๆและตรวจสอบคุณภาพข้าวว่าเป็น จริงไหม? ตามที่มีข้อสงสัยหรือไม่? แต่ โฆษกฯ พยายามจะโยงเป็นเรื่องการเมือง ทั้งๆที่ถ้ามีเรื่องข้อสงสัยในเรื่องความไม่โปร่งใสในเรื่องอื่นๆ นายกฯประยุทธ์จะดำเนินการทันที แต่กรณีนี้รัฐบาลกลับนิ่งเฉย ไม่มีแม้แต่ รมต. ที่เกี่ยวข้องจะออกมาตรวจสอบ ขอถามย้อนกลับ พล.ท.สรรเสริญ ว่า กรณีเจ้าของโกดัง ที่เขาเดือดร้อน มีอะไร ที่พิสูจน์ว่า พวกเขาเกี่ยวกับการเมือง และถ้ามีการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องจริง ผมขอ "ท้า" ให้ท่านโฆษกประจำสำนักฯ แฉออกมาเลย อย่ามากล่าวหาลอยๆเหมือนลักษณะ "เอาดีใส่ตัว เอาชั่วให้คนอื่น" เพราะมันจะเป็นเรื่องที่ไม่สร้างสรรค์ในยุคการเมืองไทยแลนด์ 4.0

"พานทองแท้" อัดรัฐโยนบาปยิ่งลักษณ์-ขายข้าวเป็นอาหารสัตว์ เทียบปรส.ภาค2


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

คลิปนี้หรือเปล่าครับ ที่กำลังโดนเก็บไม่ให้ออกอากาศ (ถามลอยๆ ไม่ผิด พ.ร.บ.คอมฯ)

https://www.facebook.com/OpSingleGateway/videos/697980700411600/

ดูแล้วทำให้นึกถึงเมื่อหลายเดือนก่อน มีอดีตนายทหารท่านหนึ่ง พูดให้ผมฟังว่า

"คอยดูให้ดี โครงการจำนำข้าว จะกลายเป็น ปรส. ภาค 2"

ผมเองได้แต่ฟัง ขณะที่ในใจคิดว่า เกี่ยวไรกันฟระเนียะ?

วันนี้เริ่มเห็นความคล้ายกันลางๆ

>>ปรส. ภาค 1
เอาสินทรัพย์มีค่าของคนไทย ไปขายเป็นสินทรัพย์ด้อยค่า แล้วเอากลับมาขายคนไทยอีกครั้งในราคาสูง โยนบาปหาว่าลุงจิ๋วทำเจ๊ง

>> ปรส.ภาค 2
เอาข้าวคนกิน ไปขายเป็น "อาหารสัตว์ ราคาถูก" แล้วค่อยเอากลับมาขายให้คนกินใหม่ในราคาสูง โยนบาปว่าอาปูทำขาดทุน

คนรับประโยชน์คือคนขาย ที่ได้ทั้งเงิน-ได้ทั้งกล่อง-ได้ทั้งกระทืบฝ่ายตรงข้ามให้จมธรณี

ส่วนคนฉิบหายยังคงเป็นคนไทยทั้งประเทศเหมือนเดิม

"ข้าวไทย" ซึ่งเป็นหยาดเหงื่อแรงงานของพี่น้องชาวนา มีค่าแค่นี้เองหรือ..??

อยากเป็นคนดี..ชอบแก้ไข
ก็ควรเปิดคลังให้ตรวจสอบ

อยากเป็นคนอะไร..ชอบแก้ตัว
ก็สั่ง ไก่เก็บข่าว-สั่งทหารปิดคลัง

อยากเป็นคนประเภทไหน เชิญ ฯพณฯ เลือกตามสบายจ้าาาา..!!

"อนุสรณ์" สวนไก่อู ย้อนดูประยุทธ์รับข้าวดีปนอาหารสัตว์


นายอนุสรณ์  เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี พลโทสรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุ ข้อเรียกร้องให้รัฐบาลตรวจสอบคุณภาพข้าวในช่วงใกล้วันตัดสินคดี เป็นการหวังผลทางคดี ว่า การดำเนินการดังกล่าว เป็นการดำเนินการตามสภาพข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจริงตามสถานการณ์ มิได้มีเจตนาจะทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาล แต่เป็นการทำหน้าที่อย่างสุจริตและบริสุทธิ์ใจ เพื่อพิทักษ์รักษาผลประโยชน์ของประเทศชาติ ไม่ได้ต้องการตรวจสอบเพื่อหวังผลทางคดีแต่อย่างใด พลโทสรรเสริญ ต้องระมัดระวังการแสดงความเห็นที่เป็นประเด็นการเมืองโดยไม่อยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง หรือคาดการณ์ในทางร้าย เพราะจะส่งผลกระทบต่อความน่าเชื่อถือของรัฐบาล ซึ่งไม่ควรมีมุมมองเชิงลบต่อข้อเรียกร้องตรวจสอบคุณภาพข้าว เพราะถือเป็นความปรารถนาดีของภาคประชาสังคม ที่มาจากเจ้าของโกดังที่จัดเก็บข้าว สื่อมวลชน และนักการเมือง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ยังยอมรับเลยว่า อาจมีข้าวดีรั่วไหลปะปนข้าวอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ และยังได้สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและคณะกรรมการนโยบายบริหารและจัดการข้าว หรือ นบข. ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน พลโทสรรเสริญ ออกมาแถลงสวนทางนายกฯแบบนี้ประชาชนสับสนหรือที่ พลเอกประยุทธ์สั่งการตรวจสอบเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน วันนี้ไม่ต้องตรวจสอบแล้ว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีการให้ข่าวย้อนแย้งขัดกัน นอกเหนือจากการที่รัฐบาลควรจัดระเบียบการสื่อสารของตัวเองให้ดี ต้องระมัดระวังการให้ความเห็นทางการเมือง รวมถึงประเด็นที่จะมีประชาชนจะมาให้กำลังใจนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในวันแถลงปิดคดี และวันนัดฟังคำพิพากษาคดีจำนำข้าวนั้น การพิจารณาคดีที่ผ่านมา 16 ครั้ง เป็นเครื่องพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่า คนไทยทุกคนรู้สิทธิ รู้หน้าที่ของตัวเองดี ขอให้เชื่อมั่นประชาชน ที่จะเดินทางมา มาด้วยความห่วงใยและต้องการให้กำลังใจตามพื้นฐานประเพณีวัฒนธรรม ไม่ได้ระดมกันมา ไม่มีการว่าจ้าง ไม่สร้างความรุนแรงแน่นอน

"หมวดเจี๊ยบ" ข้องใจทหารขวางตรวจโกดังข้าว-หวั่นไม่ยึดหลักนิติธรรม ปัญหาบานปลาย


ร.ท.หญิง สุณิสา เลิศภควัต อดีตรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า รัฐบาลอย่าเข้าใจผิดว่ามีนักการเมืองพรรคใดไปจ้างม็อบมาเชียร์ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทั้งในวันที่ 1 สิงหาคม 2560 และวันที่ 25 สิงหาคม 2560 เพราะของแบบนี้ ถ้าคนจะมาเขาก็มาเองด้วยใจและด้วยแรงศรัทธา ไม่ต้องมีใครไปจ้าง ทั้งนี้ เชื่อว่าสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ประชาชนให้ความสนใจในการพิจารณาคดีของ นางสาวยิ่งลักษณ์ มากเป็นพิเศษ น่าจะเป็นเพราะสงสัยว่านางสาวยิ่งลักษณ์ จะได้รับความยุติธรรมหรือไม่ เพราะมีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้นหลายอย่าง เช่น มีการถอนเงินออกจากบัญชีของนางสาวยิ่งลักษณ์ ทั้งๆ ที่ศาลยังไม่ตัดสิน หรือล่าสุดมีเจ้าของโกดังข้าวออกมาเปิดโปงว่า หลังการยึดอำนาจของ คสช. เจ้าของโกดังข้าวถูกกีดกันไม่ให้เข้าไปรมยาข้าว ทั้ง ๆ ที่ คนขัดขวางก็น่าจะรู้ว่าการทำเช่นนี้ อาจทำให้ข้าวเสียหายได้ แต่กลับห้ามไม่ให้เข้าไปรมยา นอกจากนี้ กล้องวงจรปิดในโกดัง ก็ถูกถอดออกไปอีกด้วย ทำให้ไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างกับข้าวในโกดัง หลังจากนั้นคณะกรรมการตรวจสอบข้าวที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตั้งขึ้นมาใหม่ ก็ลงความเห็นว่าข้าวในโกดัง ดังกล่าว เป็นข้าวคุณภาพต่ำ เกรดซี จะเอาไปขายเป็นอาหารสัตว์ ทั้งๆ ที่ ข้าวก็ยังไม่ได้เน่า มันยังเป็นข้าวดีๆ แต่รัฐก็ดันทุรังจะขายในราคาข้าวเน่าให้ได้ ทั้งๆ ที่ จะทำให้รัฐเสียประโยชน์ก็ยังจะทำ แต่พอเจ้าของโกดังออกมาเปิดโปงให้สังคมรู้ความจริง เพื่อขอความเป็นธรรม กลับถูกรัฐบาลดิสเครดิตว่ามีเบื้องหลังทางการเมือง ทั้งๆ ที่ ความจริงแล้ว เจ้าของโกดังย่อมต้องปกป้องตัวเองอยู่แล้ว เพราะหากเกิดเหตุการณ์ข้าวเน่า เขาต้องร่วมจ่ายค่าเสียหายด้วย แล้วใครจะยอมรับผิดชอบ ในสิ่งที่เขาไม่ได้ทำ ดังนั้น เขาย่อมต้องพูดความจริงเพื่อปกป้องตัวเอง ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้สังคม สงสัยว่ามีการแกล้งวางยา เอาข้าวดีไปขายเป็นข้าวเน่า เพื่อโยนบาปให้นางสาวยิ่งลักษณ์ เพื่อเป็นข้ออ้างยึดทรัพย์ เพื่อชำระค่าเสียหายในคดีรับจำนำข้าว ใช่หรือไม่? ที่สำคัญพอมีนักข่าวเดินทางไปพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่โกดังข้าว ก็ถูกเจ้าหน้าที่ทหารคุกคามห้ามทำข่าว ยิ่งทำให้คนสงสัยเข้าไปอีกว่ามีอะไรต้องปกปิดอย่างนั้นหรือ? สะท้อนให้เห็นว่าความเชื่อมั่นต่อความยุติธรรมในสังคมกำลังสั่นคลอน เหมือนคนป่วยที่อาการน่าเป็นห่วง หากผู้มีอำนาจตัดสินใจผิดพลาด ไม่ยึดหลักนิติธรรม อาจทำให้เหตุการณ์ลุกลามบานปลาย จากเรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้

"ปลอดประสพ" แนะรัฐรับผิดชอบความเสียหาย เตือนน้ำท่วมสกลนครล่าช้า


นายปลอดประสพ สุรัสวดี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในฐานะอดีตประธานคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

น้ำท่วมสกลนครเสียหายมาก เพราะ ไม่มีการเตือนภัยอย่างจริงจัง

ขอแสดงความเห็นใจพี่น้องชาวสกลนครที่ประสบภัยน้ำท่วม บ้านเรือนรถราเสียหายย่อยยับโดยไม่มีการเตือน ในฐานะที่เป็นผู้ก่อตั้งศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติและเป็นผู้อำนวยการคนแรกด้วย ก็ต้องถามรัฐบาลว่า ปล่อยให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ในสมัยน้ำท่วมใหญ่ปี 54 ผมเป็นผู้ประกาศเตือนว่า น้ำจะท่วมกรุงเทพฯ ผมโดนด่าอยู่สองวัน เพราะพูดแล้วน้ำไม่ท่วม แต่พอวันที่สามก็ท่วมใหญ่อย่างที่เห็น

ที่สกลนคร วันที่ 27 กรกฎาคม ฝนตก 129 มม. พอวันที่ 28 กรกฎาคม ตกหนักกว่าเดิมเป็น 170 มม. และตลอดอาทิตย์ฝนตกรวม 423 มม. ข้อมูลอย่างนี้ท่านต้องรู้ว่า น้ำจะท่วมแน่ๆ ฝนตกลงบนเทือกเขาภูพาน ซึ่งก็เป็นที่แน่นอนว่าต้องไหลลงกลางเมืองสกลนครแน่ๆ เส้นทางเดียวของการระบายน้ำก็คือ หนองหานไปลงน้ำก่ำต่อไปลงแม่น้ำโขง แต่ลำน้ำก่ำนั้นมีขนาดเล็กจึงระบายน้ำได้ช้า น้ำจึงท่วมกลางเมืองสกลนครอย่างที่เห็น

เมื่อ 20 ปีที่ผ่านมา เคยมีโครงการพัฒนาหองหานและลำน้ำก่ำ ซึ่งผมนี่แหละเป็นผู้จัดการโครงการฯ ผมได้สร้างทางระบายนำ้และประตูน้ำใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม ซึ่งหากไม่มีโครงการนี้ วันนี้จะท่วมมากและยาวนานกว่านี้เยอะ ผมจึงอยากให้พวกท่านศึกษาของเดิมว่า ใครเขาทำอะไรไว้บ้าง และพยายามพัฒนาต่อไป ไม่ใช่ด่าคนอื่นว่า ไม่ทำอะไร ทั้งๆที่ตัวเองเอาแต่พูดไม่ได้ทำอะไรจริงจังสักอย่าง

เพื่อไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำอีก ผมขอเรียกร้องให้มีการสอบสวนว่า เหตุใดจึงไม่มีการเตือนภัยที่เหมาะสมและทันเวลา ขอให้รัฐบาลรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายของราษฎรที่จมน้ำไป และขอให้รัฐทบทวนว่า การย้ายสังกัดศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ จากสำนักนายกรัฐมนตรี ไปสังกัด กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทยนั้น เป็นเรื่องที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อการเตือนภัยที่ดีกว่าเดิมหรือเปล่า

ผมขอเตือนพวกท่านว่า ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ เพิ่งจะเริ่มนะครับ (แต่ท่วมซะแล้ว) ประเทศไทยยังจะเจอมรสุมจากทะเลจีนตอนใต้อีกหลายลูก อย่าให้ท่วมเหมือนสกลนครอีกก็แล้วกัน สำหรับนนทบุรีบ้านผมปีนี้แปลกมาก คือน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นสูงเร็วกว่าปกติ พื้นที่ลุ่มริมแม่น้ำ น้ำท่วมในทุกช่วง น้ำทะเลขึ้นเร็วกว่าเดิมหนึ่งเดือนเต็มๆ

ผมจะถือว่า ผมเตือนท่านแล้วนะ หากน้ำท่วมเพราะท่านเพิกเฉย ผมจะฟ้อง ป.ป.ช. (กลัวไหมครับ?)

วันเสาร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

"เพื่อไทย" ห่วงอุทกภัยสกลนคร อัดรัฐไม่เตือนล่วงหน้า


นายพลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ อดีต ..กทม. พรรคเพื่อไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้ 

ผมได้ติดตามข่าวสถานการณ์น้ำท่วมหนักในภาคอีสาน ทั้งจากโซเชียลมีเดียและสื่อหลายสำนัก ผมขอส่งกำลังใจให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ และขอส่งกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ และ อาสาสมัคร รวมทั้งพี่น้องนักข่าว ที่ทำงานให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ ขอให้ภารกิจลุล่วงและสถานการณ์กลับคืนสู่ภาวะปกติโดยเร็วครับ

ที่จังหวัดสกลนคร มีข้อมูลว่า เหตุอุกทกภัยครั้งนี้ เป็นน้ำท่วมหนักที่สุดในรอบกว่า 40 ปี ชาวบ้านเองก็ไม่ได้คาดคิดว่าจะหนักหนาสาหัส ภัยธรรมชาติจริงอยู่ว่าเราไม่อาจคาดการณ์ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น และเสียหายขนาดไหน 

แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นบทเรียนสะท้อนการทำงานของภาครัฐเช่นกัน เพราะมีข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำ หรือ ในแหล่งกักเก็บน้ำ ที่เมื่อฝนตกลงมาปริมาณมาก กับล้นออกมาในปริมาณที่เกินความจุ เข้าท่วมพื้นที่ต่างๆ 

คำถามคือ เหตุใดภาครัฐที่เกี่ยวข้องก่อนหน้านี้ ไม่มีการแจ้งเตือน เพื่อให้ประชาชนรับมือ หรือรัฐเองจะได้เตรียมพร้อมในการช่วยเหลือประชาชนหากเกิดสถานการณ์ขึ้น ผมไม่ได้โทษว่าท่านผิดนะครับ แต่อาจเป็นเพราะชะล่าใจเกินไปก็เป็นได้ ก็ให้ถือว่าเป็นบทเรียนที่เราจะต้องปรับปรุงต่อไป และเดินหน้าช่วยผู้ประสบภัยให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ต่อจากนี้

เหตุการณ์น้ำท่วมหนัก น้ำท่วมซ้ำซาก เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาในหลายพื้นที่ของประเทศ เราเคยพูดถึงแผนบริหารจัดการน้ำทั้งระบบทั่วประเทศ ไม่รู้ว่ารัฐบาลมีแผนระยะยาวแบบใด แต่ก็น่าจะกลับมาทบทวนถึงการจัดการปัญหานี้แบบยั่งยืนนะครับ 


หากต้องการการประสานงานอะไรในพื้นที่สามารถส่งมาทางกล่องข้อความผมได้นะครับ เพื่อรวบรวมส่งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือโทรศัพท์ไปยังสายด่วน กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย 1784 ได้ตลอด 24 ชม. ครับ

วันศุกร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

"หมวดเจี๊ยบ" สอนงานรัฐบาล แนะตั้งศูนย์ช่วยน้ำท่วมสกลนคร


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ..หญิง สุณิสา เลิศภควัต (หมวดเจี๊ยบ) อดีตรองโฆษกพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ http://www.twitter.com/SunisaOfficial โดยมีเนื้อหาดังนี้

น้ำท่วมหนักสุดในรอบ 30 ปี ที่ตัวเมือง .สกลนคร โดยชาวบ้านบอกว่าน้ำล้นเขื่อนไหลลงมาจากภูพานค่ะ

เจี๊ยบเข้าใจดีว่าทุกท่านกำลังใช้ชีวิตด้วยความยากลำบากขนาดไหนและต้องเจอกับอะไรบ้าง หวังว่าผู้มีอำนาจจะรู้ตัวว่าควรต้องรับมืออย่างไรกับสถานการณ์วิกฤตเช่นนี้นะคะ เพราะพวกท่านก็ทู่ซี้อยู่ในอำนาจมาตั้งสามปีกว่าๆ แล้ว ดังนั้น อย่าโอดครวญว่าจนปัญญาแก้ไขนะคะ เพราะฟังแล้วมันไม่น่าให้อภัยค่ะ 

อย่างน้อยท่านต้องเร่งประกาศให้พื้นที่น้ำท่วมหนักๆ อย่างนี้ เป็นพื้นที่ภัยพิบัติ และรีบจัดตั้งศูนย์อำนวยการช่วยเหลือฉุกเฉิน เพื่อเป็นศูนย์กลางในการบริหารสถานการณ์ และเพื่อให้เป็นศูนย์รวมความช่วยเหลือจากภาคเอกชน องค์กรต่างๆ ภาคประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มจิตอาสา ที่ต้องการนำความช่วยเหลือมามอบให้ผู้ประสบภัย เพราะโดยนิสัยแล้ว คนไทยเป็นคนมีน้ำใจและอยากให้ความช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติที่เดือดร้อนอยู่แล้ว ตามกำลังและความสามารถที่เขามี เพียงแต่รัฐบาลต้องจัดตั้งศูนย์อำนวยการกลางขึ้นมา เพื่อความสะดวกในการประสานงานติดต่อต่างๆ 

ที่สำคัญ รัฐบาล พล..ประยุทธ์ จันทร์โอชา ควรต้องรีบตัดสินใจแก้ปัญหาทันทีนะคะ ไม่ใช่รอเปิดงานวันจันทร์แล้วค่อยสั่งการ เพราะเจ้าภัยพิบัตินั้น มันก็เดินหน้าทำร้ายพี่น้องประชาชนอย่างไม่มีวันหยุดเสาร์อาทิตย์เช่นกันค่ะ ความเดือดร้อนของผู้ประสบภัยนั้นไม่มีวันหยุดราชการหรอกนะคะ ผู้มีอำนาจในรัฐบาลควรทำงานให้สมกับอภิสิทธิ์ทางสังคมที่ท่านได้รับกันด้วยเถอะค่ะ อย่าทำให้ประชาชนรู้สึกผิดหวังในตัวพวกท่าน มากไปกว่านี้เลยค่ะ 

วันพฤหัสบดีที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

"ยิ่งลักษณ์" เยือนอุบลราชธานี ประชาชนต้อนรับ 2 พันคน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายศุภเสกข์ อมรฉัตร บุตรชาย , พ.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ รักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และอดีต ส.ส.ภาคอีสานพรรคเพื่อไทย ได้เดินทางมาปลูกดอกดาวเรืองเพื่อแสดงความจงรักภักดีและรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณต่อพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพที่จะมีขึ้นในเดือนตุลาคมนี้ ร่วมกับแฟนเพจ นักเรียนจากโรงเรียนอุบลวิทยาคม โรงเรียนปทุมวิทยากร และพี่น้องประชาชน จำนวนกว่า 2,000 คน ณ บริเวณหน้าสนามบินนานาชาติจังหวัดอุบลราชธานี

ทั้งนี้ นางสาวยิ่งลักษณ์กล่าวว่า "ดีใจที่ได้มาร่วมเป็นหนึ่งในการปลูกดอกดาวเรืองร่วมกับแฟนเพจและพี่น้องประชาชนชาวอุบลฯ เพื่อให้ดอกดาวเรืองได้บานสะพรั่งพร้อมกันทั่วประเทศในช่วงเดือนตุลาคมนี้ เนื่องด้วยดอกดาวเรืองเป็นดอกไม้สีเหลือง และซึ่งเป็นสีประจำวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช"

อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า เนื่องจากกิจกรรมในวันนี้มีแฟนคลับ และพี่น้องประชาชนมาร่วมกิจกรรมจำนวนมาก บวกกับเวลากระชั้นชิด ทำให้นางสาวยิ่งลักษณ์ไม่ได้ทักทายแฟนคลับ และพี่น้องประชาชนเท่าที่ควร ระหว่างปลูกดอกดาวเรืองฝนได้ตกลงมา นางสาวยิ่งลักษณ์จึงใช้โอกาสนี้เดินฝ่าสายฝนเพื่อพูดคุย และทักทายกับพี่น้องประชาชนกลับมายังอาคารสนามบินแทนการนั่งรถที่ทางสนามบินจัดไว้รับส่ง

นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ระหว่างการทำกิจกรรม มีเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ทั้งในและนอกเครื่องแบบจำนวนมาก เฝ้าจับตาการทำกิจกรรมของนางสาวยิ่งลักษณ์ และแกนนำในพื้นที่ตลอดเวลา

"ทนายยิ่งลักษณ์" ยื่นทุเลารอศาลพิจารณา-ท้วงคำสั่งทางปกครองถอนเงิน 7 บัญชี


นายนพดล หลาวทอง ทนายความผู้รับผิดชอบในคดีท่ีศาลปกครองของ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีการยึดเงินในบัญชี ตามคำสั่งของกรมบังคับคดี ว่า เมื่อวันท่ี 18 กรกฎาคม 2560 ว่า สำนักงานบังคับคดีแพ่งกรุงเทพมหานคร 6 ได้ส่งหนังสือแจ้งการอายัดและยึดทรัพย์ตามคำสั่งกระทรวงการคลังมายังบ้านพักของอดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อแจ้งการอายัดและยึดทรัพย์ ตามคำสั่งกระทรวงการคลัง ซึ่งนางสาวยิ่งลักษณ์ได้รับหนังสือดังกล่าวในวันที่ 24 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน ธนาคารกรุงเทพก็ได้ทำหนังสือแจ้งให้อดีตนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นเจ้าของบัญชีทราบว่า ธนาคาร ได้ดำเนินการอายัดและถอนเงินออกจากบัญชีของธนาคารทั้ง 7 บัญชี เพื่อส่งมอบให้กับสำนักงานบังคับคดีแพ่งกรุงเทพมหานคร 6 แล้วตามคำสั่งอายัด ดังนั้นขณะนี้เงินฝากในบัญชีของอดีตนายกรัฐมนตรีถูกถอนออกจากบัญชีไปแล้ว สำหรับบัญชีเงินฝากในธนาคารอื่น ยังไม่แจ้งให้ทราบว่ามีการถอนเงินออกจากบัญชีแล้วหรือไม่?

นายนพดล กล่าวอีกว่า ในฐานะทนาย ได้ยื่นหนังสือถึงหน่วยงานต่างๆท่ีเกี่ยวข้องให้รอคำสั่งศาลปกครองก่อนท่ีจะดำเนินการใด เพราะขณะนี้ทนายได้ยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีอยู่ ทั้งนี้มองว่าขณะนี้ยังไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนที่ฝ่ายปกครองจะต้องรีบดำเนินการอายัดทรัพย์ของนางสาวยิ่งลักษณ์

"หากยังปล่อยให้หน่วยงานทางปกครองตั้งเรื่องเอง สั่งยึดอายัดทรัพย์เอง โดยไม่รอการพิจารณาของศาล หลังจากนี้จะเป็นอย่างไร? การพิจารณาของศาลยังจะมีความหมายอยู่อีกหรือไม่? กลายเป็นว่าหน่วยงานทางปกครองจะใหญ่กว่าศาลหรือ?" นายนพดล กล่าว

วันพุธที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

สุขสันต์วันเกิด ดร.ทักษิณ ชินวัตร "พานทองแท้" อวยพร ใครใส่ร้ายขอให้พ่าย


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

สุขสันต์วันเกิดครับพ่อ 

วันเกิดพ่อปีนี้ โอ๊คจองตั๋วเครื่องบินเตรียมจะบินไปหาพ่อพร้อมกับน้องอิ๊ง แต่ในที่สุดก็ไม่ได้เดินทาง เพราะพ่อขอให้โอ๊คอยู่เป็นเพื่อนอาปูที่เมืองไทยไปก่อนในช่วงนี้ 

โอ๊คขอให้พ่อมีความสุขมากๆ สุขภาพแข็งแรง เป็นผู้นำครอบครัวที่เข็มแข็ง ดังเช่นทุกวันนี้ตลอดไป 

ขอให้พ่อฟันฝ่าปัญหาและอุปสรรคทั้งหลายทั้งปวงไปได้ ขอให้คุณงามความดีต่างๆ ที่พ่อได้ทำให้กับบ้านเมืองนี้ ดลบันดาลให้คนที่คิดร้าย-ใส่ร้ายพ่อมาตลอด จงพ่ายแพ้ไปในที่สุดครับ

"เพื่อไทย" สวนรัฐมองโลกแง่ร้าย-มวลชนหนุน "ยิ่งลักษณ์" ห่วงใย-มาด้วยใจ-ไม่ได้จ้าง


นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ออกมาเตือนประชาชน อย่าสร้างความวุ่นวายต่อต้านนอกศาล ว่า "ขอทำความเข้าใจกับผู้ที่เป็นกังวลในวันแถลงปิดคดีและวันนัดฟังคำพิพากษาคดีจำนำข้าว ประชาชนที่เดินทางมาให้กำลังใจ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นั้น ล้วนมาด้วยความห่วงใยและต้องการให้กำลังใจ เป็นการเดินทางมาโดยธรรมชาติ ไม่ได้ระดมกันมา ไม่มีการว่าจ้าง ถือเป็นการให้กำลังใจตามพื้นฐานวัฒนธรรมของคนไทย การพิจารณาคดีที่ผ่านมา 16 ครั้งเป็นเครื่องพิสูจน์ได้ ขอให้รัฐบาล คสช. และเครือข่าย เชื่อมั่นว่า จะไม่มีการก่อจลาจล สร้างความวุ่นวายอย่างแน่นอน ประชาชนที่เดินทางมาให้กำลังใจนางสาวยิ่งลักษณ์ต่างคนต่างมาให้กำลังใจแล้วก็เดินทางกลับด้วยความเรียบร้อย อย่ามองโลกในแง่ร้าย คนไทยทุกคนรู้สิทธิรู้หน้าที่ของตัวเองดี ไม่สร้างความรุนแรงแน่นอน อยากฝากรัฐบาล คสช. และเครือข่าย แทนที่จะออกมาปรามประชาชนที่เขารู้หน้าที่ของตัวเองเป็นอย่างดี รัฐบาลควรเอาเวลาไปแก้ไขปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ หรือ แก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างที่วิกฤติเศรษฐกิจได้กระทบต่อเศรษฐกิจฐานรากปากท้องของประชาชนระดับฐานรากอย่างหนัก น่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า"





"ยิ่งลักษณ์" ขอเมตตา-ความเป็นธรรม ยื่นศาลฎีกาฯ ส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความข้อโต้แย้ง


​วันนี้ (26 ก.ค. 60) น.ส. ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้มอบหมายให้นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองสั่งเพิกถอนคำสั่งและกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ จากการที่ศาลสั่งยกคำร้องขอให้ส่งเรื่องโต้แย้งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560มาตรา 212 โดยคำร้องดังกล่าวระบุเหตุผลอันเป็นข้อกฎหมาย และข้อเท็จจริงโดยสรุปว่า

​ประการที่ 1 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 212 บัญญัติว่า "มาตรา 212 ในการที่ศาลจะใช้บทบัญญัติแห่งกฎหมายบังคับแก่คดีใด ถ้าศาลเห็นเองหรือคู่ความโต้แย้งพร้อมด้วยเหตุผลว่าบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้นต้องด้วยมาตรา 5 และยังไม่มีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในส่วนที่เกี่ยวกับบทบัญญัตินั้น ให้ศาลส่งความเห็นเช่นว่านั้นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย ในระหว่างนั้นให้ศาลดำเนินการพิจารณาต่อไปได้ แต่ให้รอการพิพากษาคดีไว้ชั่วคราวจนกว่าจะมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ" อันเป็นกฎหมายที่ระบุไว้ชัดเจนว่าเป็นสภาพบังคับตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญให้ศาล  (ที่พิจารณาคดีนั้นๆ) ส่งความเห็นที่คู่ความโต้แย้งนั้นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัย ศาลจึงไม่อาจใช้ดุลพินิจปฏิบัติเป็นอย่างอื่นได้ โดยเฉพาะการที่ศาลฎีกาได้สั่งยกคำร้องที่โต้แย้งของจำเลย อันเป็นผลโดยตรงว่า ศาลนี้ไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติ มาตรา 212 แห่งรัฐธรรมนูญฯ คือ ไม่ส่งความเห็นที่คู่ความโต้แย้งต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยนั่นเอง

​ประการที่ 2 โดยบทบัญญัติของมาตรา 212 แห่งรัฐธรรมนูญฯ และโดยบทบัญญัติอื่นใดตามรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุด ไม่มีบทบัญญัติใดที่ให้อำนาจศาลที่พิจารณาคดีจะมีอำนาจพิจารณาวินิจฉัยคำร้องที่จำเลยโต้แย้ง แล้วสั่งยกคำร้องเสียเอง

​โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่ศาลฎีกาจะใช้ดุลพินิจพิจารณาวินิจฉัยเองว่าคำร้องของ น.ส. ยิ่งลักษณ์ ที่โต้แย้งดังกล่าวไม่เข้าเกณฑ์ที่จะยื่น เพื่อให้ศาลส่งไปยังศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา 212  แห่งรัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบันนั้น ย่อมไม่อาจกระทำได้ เพราะนอกจากไม่มีกฎหมายให้อำนาจศาลฎีกาแล้ว  ยังมีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญมาตรา 212 ดังกล่าวอันมีสภาพบังคับที่ไม่อาจปฏิบัติเป็นอย่างอื่นได้

​ประการที่ 3 บทบัญญัติของมาตรา 212 วรรคสอง แห่งรัฐธรรมนูญฯ ได้บัญญัติไว้ว่า “ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าคำโต้แย้งของคู่ความตามวรรคหนึ่ง ไม่เป็นสาระอันควรได้รับการวินิจฉัย ศาลรัฐธรรมนูญจะไม่รับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณาก็ได้” จึงเป็นที่ชัดเจนตามบทบัญญัติดังกล่าวว่า ศาลรัฐธรรมนูญเพียงศาลเดียวเท่านั้นที่จะมีอำนาจตามกฎหมายในการสั่งรับหรือไม่รับเรื่องไว้พิจารณา ศาลอื่นไม่มีอำนาจในการสั่งไม่รับเรื่องไว้พิจารณาแต่อย่างใด

​ประการที่ 4 เมื่อได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2560 ศาลรัฐธรรมนูญได้ออกประกาศใช้ข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยวิธีพิจารณาและการทำคำวินิจฉัย (ฉบับที่ 2) เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2560 ซึ่งเป็นเดือนเดียวกันทันที โดยได้ประกาศใช้ข้อกำหนดดังกล่าวไว้ในข้อ 4 ความว่า

“ข้อ 4 ให้ยกเลิกความในข้อ 20 แห่งข้อกำหนดศาลรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาและการทำคำวินิจฉัย พ.ศ. 2550 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน

​ข้อ 20 การยื่นคำร้องต่อศาลตามข้อ 17 ให้เป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ และข้อกำหนดนี้

การยื่นคำร้องตามข้อ 17 (11) ให้ศาลยุติธรรม ศาลปกครอง หรือศาลทหารที่จะใช้บทบัญญัติแห่งกฎหมายบังคับแก่คดีส่งความเห็นหรือคำโต้แย้งของคู่ความพร้อมด้วยเหตุผลไปยังสำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานศาลปกครอง หรือกรมพระธรรมนูญ แล้วแต่กรณี เพื่อส่งให้ศาลพิจารณาวินิจฉัย”

ซึ่งการยื่นคำร้องตามข้อ 17 (11) ก็คือ การที่ น.ส. ยิ่งลักษณ์ได้ยื่นคำร้องโต้แย้งตามมาตรา 212 แห่งรัฐธรรมนูญฯ ฉบับใหม่นั่นเอง

แสดงว่าศาลรัฐธรรมนูญได้ออกข้อกำหนดดังกล่าวเพื่อยืนยันและขยายความถึงวิธีปฏิบัติตามมาตรา 212 ว่า ศาลที่นั่งพิจารณาจะต้องส่งคำร้องที่โต้แย้งฯ ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเท่านั้น ศาลจะไม่ส่งคำร้องที่โต้แย้งฯ โดยสั่งยกคำร้องเสียเอง หรือสั่งอย่างหนึ่งอย่างใดอันเป็นผลให้ไม่มีการส่งคำร้องที่โต้แย้งฯ นั้นมายังศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้เป็นอันขาด

ประการที่ 5  ด้วยเนื้อหาของการโต้แย้งจากคู่ความที่จำเป็นต้องร้องขอตามมาตรา 212 เพื่อให้ศาลที่นั่งพิจารณาต้องส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย  เป็นการโต้แย้งต่อการนำเอากฎหมายใด ๆ มาบังคับใช้ต่อคดี โดยอาจขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ศาลที่นั่งพิจารณาจึงไม่ควรเป็นผู้พิจารณาวินิจฉัยเสียเอง เพราะอาจขัดต่อหลักนิติธรรม และการดำรงไว้ซึ่งความเป็นกลางในฐานะตุลาการได้

โดยท้ายคำร้องดังกล่าว น.ส. ยิ่งลักษณ์ ยังได้วิงวอนต่อศาลว่า การพิจารณาคดีนี้ หากมีคำพิพากษาจะทำให้คดีถึงที่สุด โดยที่ไม่มีโอกาสขอให้ศาลรัฐธรรมนูญตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายได้อีก “สิทธิในกระบวนการยุติธรรม” ที่คุ้มครองจำเลยไว้ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญนั้น น.ส. ยิ่งลักษณ์จะเสียสิทธิไป แม้ว่าการตัดสินใจยื่นคำร้องฉบับนี้จะสร้างความลำบากใจต่อ น.ส. ยิ่งลักษณ์เป็นอย่างยิ่ง เพราะเกรงว่าจะเป็นการสร้างความยุ่งยากและรบกวนจนเป็นภาระต่อองค์คณะของศาลฎีกา แต่ น.ส. ยิ่งลักษณ์ เพียงต้องการวิงวอนขอความเมตตาและขอความเป็นธรรมในกรณีดังกล่าว

"ยิ่งลักษณ์" อวยพรวันเกิด "ทักษิณ" ขอให้ผ่านไปด้วยดี-มีความสุข

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 9.00. ที่ผ่านมา นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้


วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของพี่ชาย น้องไม่มีอะไรจะให้ นอกจากขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองให้พี่ปลอดภัย มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง และที่สำคัญขอให้พี่ของน้องมีความสุข เพราะพี่ผ่านเรื่องอะไรต่างๆ มามากมาย ขอให้เรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นผ่านพ้นไปได้ด้วยดีนะคะ น้องรักพี่ค่ะ

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ดร.ทักษิณ ชินวัตร มีชื่อจีนว่า ชิวต๋าซิน เกิดเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม .. 2492 เป็นชาวอำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ปัจจุบันอายุ 68 ปี เป็นบุตรคนที่ 2 ในจำนวนพี่น้องทั้งหมด 10 คน สมรสกับคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ในปี ..2523 มีบุตร 3 คน คือ 1. พานทองแท้ ชินวัตร (โอ๊ค) 2. พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ (เอม) และ 3. แพทองธาร ชินวัตร (อุ๊งอิ๊ง

วันอังคารที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

"ยิ่งลักษณ์" ประกาศยืนหยัดต่อสู้-เรียกกำลังใจจากประชาชนเป็นพลังความเข้มแข็ง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.45น. ที่ผ่านมา นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้



ดิฉันอยากจะสะท้อนถึงความพยายามต่างๆ ในการกระทำที่เสมือนสร้างเป็นเงื่อนไขเพื่อชี้นำคดี ก่อนที่จะมีผลตัดสินของศาลฎีกาฯ ในคดีโครงการรับจำนำข้าว 

แต่ในที่สุดรัฐบาลก็เลือกที่จะทำเพราะคิดว่าตนมีอำนาจจะใช้อำนาจอย่างไรก็ได้ รวมทั้งไม่รอคำสั่งศาลปกครองที่ดิฉันได้ขอให้ทุเลาการบังคับคดีไว้ 

แม้วันนี้ ดิฉันจะถูกอายัดบัญชีธนาคาร และกำลังจะถูกยึดทรัพย์สินทั้งหมด จนต้องร้องต่อศาลปกครองเพื่อขอทุเลา คงได้แต่บอกว่าดิฉันยังเข้มแข็ง และพร้อมยืนหยัดต่อสู้ในการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจว่า "ดิฉันไม่ได้ทำอะไรผิด" ผ่านการแถลงการณ์ปิดคดีด้วยวาจาต่อศาลอย่างหมดใจ ในวันที่ 1 ส.ค. นี้ค่ะ ซึ่งดิฉันก็จะทำอย่างดีที่สุด

ดิฉันขอเปลี่ยนกำลังใจจากแฟนเพจและพี่น้องประชาชน มาเป็นพลังให้ดิฉันได้มีความเข้มแข็งและอดทนค่ะ

วันจันทร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

"เรืองไกร" ยื่นหนังสือ วินิจฉัย ร่าง พ.ร.ป.วิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ขัดรัฐธรรมนูญ


นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย เข้ายื่นเรื่องร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน กรณีขอให้เสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามหน้าที่ และอำนาจในมาตรา มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (1) และมาตรา 212 วรรคหนึ่ง แห่งรัฐธรรมนูญ ..2560 ใน 2 กรณี คือ (1) บทบัญญัติของมาตรา 13 แห่ง ...ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ..2542 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่? และ (2) ...แก้ไขเพิ่มเติม ...ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ..2542 ..2550 ตราโดยไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่?

นายเรืองไกร กล่าวว่า บทบัญญัติของมาตรา 13 แห่ง ...ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง .. 2542 ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ เนื่องจากเห็นว่าบทบัญญัติ มาตรา 13 วรรคสาม ที่แก้ไขเพิ่มเติมเมื่อปี 2550 และการลงมติเสียงส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย จึงทำให้ร่างตกไป และแม้จะมีการขอแก้ไขเพิ่มเติม แต่ไม่ผ่านความเห็นชอบของสภาฯ ข้อความในบทบัญญัติมาตรา 13 วรรคสาม ที่แก้ไขเพิ่มเติมยังคงใช้อยู่มาถึงปัจจุบัน ทั้งที่มีลักษณะเป็นบทบัญญัติของกฎหมายที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ 

นายเรืองไกร กล่าวว่า ยังมีปัญหาการตรากฎหมายไม่ชอบ ในส่วนของการแก้ไขเพิ่มเติม ...ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ..2542 ในการพิจารณาของ สนช.ปี 2550 เนื่องจากในวันที่ลงมติวาระ 3 เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน ..2550 ด้วยคะแนนเสียงเห็นชอบ 111 เสียง ไม่เห็นชอบ 1 เสียง เท่ากับมี สนช.อยู่ในที่ประชุมเพียง 112 คน ไม่ถึงกึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกที่มีอยู่ 239 คน จึงถือว่าเป็นการตรากฎหมายที่ไม่ชอบ เนื่องจากองค์ประชุมไม่ครบ โดยศาลรัฐธรรมนูญเคยวินิจฉัยร่างกฎหมายที่มีปัญหาองค์ประชุมไม่ครบ ในการพิจารณาของ สนช.ชุดเดียวกันมาแล้ว 7 ฉบับ ว่าเป็นการตรากฎหมายที่มิชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เมื่อกฎหมายตราไม่ชอบ ต่อให้คดี ..ยิ่งลักษณ์ ตัดสินไปแล้ว ก็สามารถย้อนมาได้ ในรัฐธรรมนูญเขียนไว้ ถ้าไปดูหมวดของศาลจะเห็นได้ ใน มาตรา 210-214 พูดง่ายๆ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ถ้ากระบวนการไม่ใช่ ก็ต้องคืนความยุติธรรม คืนความชอบธรรม และที่มายื่นในครั้งนี้ก็ เพื่อประโยชน์ของกระบวนการยุติธรรม

"เพื่อไทย" แนะเร่งสอบข้อเท็จจริง-เปิดสัญญาการระบายข้าวรัฐ


นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะทำงานตรวจสอบการระบายข้าวของพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย ดร.สุรสาล ผาสุข อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสิงห์บุรี แถลงข่าวที่พรรคเพื่อไทย ตั้งข้อสังเกตถึงความผิดปกติในการระบายข้าวของรัฐบาล คสช. พร้อมเปิดสัญญาที่ลงนามโดยกระทรวงพาณิชย์กับคู่สัญญาที่เป็นบริษัทเอกชน โดยเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงทั้งหมด เพื่อสร้างความกระจ่างในแก่สังคมว่าเกิดอะไรขึ้นกับข้าวสารของรัฐบาล คสช.

วันเสาร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

"เพื่อไทย" ร่วมฟังการไต่สวนคดีจำนำข้าว "ยิ่งลักษณ์" เตรียมแถลงปิดสำนวนด้วยวาจา


นายชวลิต วิชยสุทธิ์ อดีตรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ตนเป็นคนหนึ่งที่ได้เดินทางไปให้กำลังใจ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และได้รับฟังการไต่สวนพยานในคดีรับจำนำข้าว โดยนายชวลิต กล่าวว่า ตนไม่ขอก้าวล่วงวิพากษ์วิจารณ์การให้ถ้อยคำของพยานซึ่งเป็นอดีตข้าราชการ อคส.ที่เกษียณอายุราชการ และมาเป็นพยานฝ่ายจำเลย ตนเชื่อโดยสุจริตใจว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีความสุจริตใจที่จะช่วยชาวนาให้พ้นจากความทุกข์ยาก จึงนำโครงการรับจำนำข้าวเป็นนโยบายในการช่วยเหลือชาวนา

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า หลังเสร็จสิ้นการไต่สวนพยานจำเลยนัดสุดท้าย ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อนุญาตให้ผู้ถูกกล่าวหาแถลงปิดคดีด้วยวาจาในวันที่ 1 สิงหาคม 2560 เวลา 09.30น. และอนุญาตให้คู่ความทั้ง 2 ฝ่าย ยื่นคำแถลงปิดคดีเป็นลายลักษณ์อักษรภายในวันที่ 15 สิงหาคม 2560 หากไม่ยื่นในวันที่กำหนดให้ถือว่าไม่ติดใจยื่นคำแถลงการณ์ปิดคดี โดยศาลได้นัดอ่านคำพิพากษาในวันที่ 25 สิงหาคม นี้ ในเวลา 09.00น. ขณะที่ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณทุกกำลังใจ และขอให้พี่น้องประชาชนติดตามในวันที่ 1 สิงหาคม 2560 ในการแถลงปิดคดีด้วยวาจา

วันศุกร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

"ยิ่งลักษณ์" ขอบคุณทุกกำลังใจ เตรียมแถลงปิดคดีด้วยวาจา 1 สิงหาคม 2560


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางมารับฟังการไต่สวนพยานคดีจำนำข้าว ซึ่งวันนี้ยังคงมีประชาชนมาให้กำลังใจและมอบดอกไม้เป็นจำนวนมาก พร้อมเปล่งเสียงพร้อมกันว่า "ยิ่งลักษณ์สู้ๆ" โดยนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กล่าวว่า "ขออนุญาตใช้โอกาสนี้ ขอขอบคุณพี่น้องประชาชนที่มาให้กำลังใจ ทั้งมาด้วยตนเองที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและที่ให้กำลังใจอยู่ทางบ้าน ขอถือโอกาสนี้ขอบคุณนะคะ เนื่องจากวันนี้เป็นวันพิจารณาคดีวันสุดท้ายแล้ว วันนี้ดิฉันขอไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆเพราะมีข้อสรุปกันแล้ว เนื้อหาทั้งหมดรบกวนขอให้สื่อมวลชนทั้งหมดและพี่น้องประชาชนติดตามในวันที่ 1 สิงหาคม ในการแถลงปิดคดีด้วยวาจาค่ะ"



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังเสร็จสิ้นการไต่สวนพยานจำเลยนัดสุดท้าย ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แจกข่าวศาลฎีกาฯ ระบุว่าศาลอนุญาตให้จำเลยแถลงปิดคดีด้วยวาจาในวันที่ 1 สิงหาคม 2560 เวลา 09.30น. และอนุญาตให้คู่ความทั้ง 2 ฝ่าย ยื่นคำแถลงปิดคดีเป็นลายลักษณ์อักษรภายในวันที่ 15 สิงหาคม 2560 หากไม่ยื่นในวันที่กำหนดให้ถือว่าไม่ติดใจยื่นคำแถลงการณ์ปิดคดี โดยศาลได้นัดอ่านคำพิพากษาในวันที่ 25 สิงหาคม นี้ ในเวลา 09.00น.



วันพฤหัสบดีที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

"หมวดเจี๊ยบ" แนะรัฐหยุดสกัดคนมาให้กำลังใจ "ยิ่งลักษณ์" พรุ่งนี้


ร.ท.หญิง สุณิสา เลิศภควัต อดีตรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าในวันที่ 21 กรกฎาคม 2560 อาจจะมีประชาชนจำนวนมากไปรอให้กำลังใจนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ว่า "ไม่เห็นแปลกถ้าจะมีประชาชนให้ความสนใจการพิจารณาคดีของอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ในครั้งนี้เป็นพิเศษ เพราะในวันที่ 21 กรกฎาคมนี้ จะมีการวินิจฉัยในประเด็นสำคัญ คือ ศาลจะอนุญาตให้มีการเบิกความพยานเพิ่มเติมตามที่ทนายความของอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ร้องขอหรือไม่? ซึ่งหากศาลอนุญาต ก็อาจจะทำให้การพิจารณาคดียืดเวลาออกไป คนจำนวนมากจึงรอฟังว่าศาลจะวินิจฉัยประเด็นนี้อย่างไร?"

นอกจากนี้ สังคมก็คงอยากทราบว่ากำหนดเวลาที่อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ จะต้องแถลงปิดคดีคือเมื่อไหร่ และอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ จะแถลงปิดคดีด้วยวิธีใด จะเป็นการแถลงด้วยวาจาหรือเป็นลายลักษณ์อักษร ที่สำคัญ ต้องยอมรับว่ามีพี่น้องประชาชนจำนวนมากที่รู้สึกเห็นใจที่อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ถูกดำเนินคดี ทั้งๆที่ทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาปากท้องให้พี่น้องเกษตรกร และที่ผ่านมาชาวนาจำนวนมากก็ได้รับประโยชน์จากโครงการรับจำนำข้าว ดังนั้น การพิจารณาคดีในวันที่ 21 กรกฎาคมนี้ ถือเป็นนัดสำคัญ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่มีข่าวว่าจะมีประชาชนเดินทางมาให้กำลังใจอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์มากเป็นพิเศษ

"ทำไม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะต้องทำเป็นตื่นเต้นด้วย? และหาก พล.อ.ประยุทธ์ เป็นห่วงประชาชนที่จะเดินทางมาที่ศาลจริง ก็ควรแสดงความจริงใจด้วยการอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนที่เดินทางมารวมตัวที่ศาล และควรรักษาความปลอดภัยในบริเวณศาลเพื่อให้บรรยากาศเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย ไม่ใช่ส่งเจ้าหน้าที่ทหารหรือตำรวจไปกดดันประชาชนถึงที่บ้านตามจังหวัดต่างๆ เพื่อสกัดกั้นไม่ให้เดินทางมาให้กำลังใจอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ที่ศาล ซึ่งอาจทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ดูไม่ดี หรืออาจถูกนินทาว่ากลัวอะไรกับผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่ง" ร.ท.หญิง สุณิสา เลิศภควัต กล่าว

"เพื่อไทย" ยื่นหนังสือ วินิจฉัย ร่าง พ.ร.ป.วิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ขัดรัฐธรรมนูญ


นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย เข้ายื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ที่ศูนย์บริการประชาชน สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (ฝั่ง ก.พ.) เพื่อขอให้พิจารณาและส่งความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยว่าร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. .... ตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และมีข้อความขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ

โดยนายอนุสรณ์ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยได้ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการไปถึงจุดยืนที่ต้องการให้ทบทวนและแก้ไขเนื้อหาของร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ที่ต้องยื่นหนังสือให้นายกรัฐมนตรี เนื่องจากไม่มีช่องทางอื่นที่จะส่งความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญได้ เว้นแต่สภานิติบัญญัติแห่งชาติและนายกรัฐมนตรี จะเป็นผู้ส่งความเห็นไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 148 (2) ประกอบมาตรา 132





วันพุธที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2560

"วิญญัติ" ยื่นหนังสือ DSI เร่งดำเนินคดี กปปส. ปิดกรุงเทพฯ


ผู้สื่อข่าวรายงานจาก กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ (DSI) ว่า เมื่อเวลา 10.00น.ที่ผ่านมา นายวิญญัติ ชาติมนตรี เลขาธิการสมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิและเสรีภาพ (สกสส.) เดินทางเข้ายื่นหนังสือถึง พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ เพื่อติดตามและเร่งรัดการสอบสวนคดีอาญา ซึ่งเป็นคดีพิเศษที่ 261/2556 ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. กับพวก รวม 58 คน เป็นผู้ต้องหาฐานความผิด ร่วมกันเป็นกบฏฯ และข้อหาอื่นรวม 9 ข้อหา กรณีที่มีการชุมนุมทางการเมืองปิดสถานที่ราชการ ในช่วงปี 2556 ถึงปี 2557

นายวิญญัติ กล่าวว่า "ตนในฐานะที่เป็นผู้กล่าวหาในคดีพิเศษที่ 261/2556 ซึ่งเป็นการกระทำความผิดระหว่างการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. เมื่อปี 2556-2557 ทึ่ผ่านมาได้ยื่นหนังสือทวงถามการสั่งคดีนี้กับอัยการสูงสุดมาแล้ว 2 ครั้ง ต่อมาเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคมที่ผ่านมา สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 4 ได้มีหนังสือถึงอธิบดีดีเอสไอให้เร่งส่งผลการสอบสวนเพิ่มเติม จนถึงขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้า จึงขอให้ดีเอสไอเร่งส่งความเห็นของพยานเพื่อให้พนักงานอัยการพิจารณา มิเช่นนั้นให้ถือว่าผู้ต้องหาจำนวนดังกล่าวไม่ประสงค์จะส่งความเห็น จึงไม่ทราบว่าในส่วนที่เหลือติดขัดอะไร?"