วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

“ชวลิต” เผยทั่วโลกจับตาเลือกตั้งไทย แนะรัฐหยุดใช้กติกาพิสดาร


นายชวลิต วิชยสุทธิ์ อดีต ..นครพนม สมาชิกพรรคเพื่อไทย ให้ความเห็นกรณี พล..ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ไปกล่าวที่ประเทศสาธารณรัฐเยอรมัน ว่า จะดูแลการเลือกตั้งให้บริสุทธิ์ ยุติธรรมที่สุดนั้น ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง จะขอติดตามคำกล่าวของท่านนายกรัฐมนตรีที่กล้าพูด กล้ารับปากต่อสังคมโลกว่า จะดูแลการเลือกตั้งให้บริสุทธิ์ ยุติธรรม ที่สุด ซึ่งถ้าทำได้จริง ความเชื่อมั่นประเทศจะกลับคืนมา แต่ถ้าทำไม่ได้ก็จะเป็นการทำลายความเชื่อมั่นประเทศอย่างรุนแรงเช่นกัน เพื่อให้สังคมโลกเชื่อว่า ท่านเอาจริงที่จะให้การเลือกตั้งบริสุทธิ์ ยุติธรรม ขอเสนอความเห็นต่อท่านนายกรัฐมนตรีใน 2 ประเด็นใหญ่ๆ ดังนี้
          
1. เก็บ .44 ใส่ลิ้นชัก เพราะการจัดการเลือกตั้งเป็นหน้าที่ของ กกต.โดยตรง คสช.ไม่ควรถูกข้อครหาว่าก้าวก่าย แทรกแซงการทำงานของ กกต.อันจะส่งผลให้การเลือกตั้งไม่สุจริต เสรี และเป็นธรรม ขณะนี้สังคมวิพากษ์ วิจารณ์อย่างมากว่า คสช.ใช้ .44 ส่อว่าเอื้อประโยชน์ทางการเมืองแก่พรรคการเมืองบางพรรค 

กรณีตัวอย่างสดๆ ร้อนๆ ที่เป็นประเด็นอยู่ในขณะนี้ คือ เรื่องการแบ่งเขตเลือกตั้งแบบพิสดาร ที่มีคำสั่ง คสช.ที่ 16/2561 ขยายเวลาการแบ่งเขตเลือกตั้ง จนเกิดแบบที่ 4 ขึ้นมา นอกเหนือจากที่ กกต.เคยออกแบบไว้ 3 แบบ และผ่านการฟังความเห็นประชาชนที่กำหนดเวลาไว้ตามระเบียบ กกต.แล้วถึงจะแก้ตัวอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้น เพราะเป็นการแบ่งเขตแบบพิสดาร เพิ่มแบบที่ 4 เข้ามาโดยประชาชนไม่มีส่วนร่วม ที่สำคัญ ไปฟังเสียงเฉพาะผู้ร้อง แต่ไม่ฟังเสียงประชาชนส่วนใหญ่ที่ กกต.ได้ประชาพิจารณ์เขตเลือกตั้งทั้ง 3 รูปแบบไปแล้ว สังคมจึงเชื่อไปแล้วว่า คสช. ส่อเข้าไปก้าวก่าย แทรกแซง งานของ กกต.ซึ่งเป็นองค์กรกลางที่มีหน้าที่ในการจัดการเลือกตั้งโดยตรง
           
2. เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน 2561 ซึ่งเป็นวันราชการ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ได้เดินทางไปพบชาวนาที่อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี โดยอ้างว่าไปตรวจติดตามมติ ครม. ซึ่งมีมาตรการช่วยเหลือชาวนาในเรื่องค่าเกี่ยวข้าวและค่าปรับปรุงคุณภาพข้าว  ซึ่งหน้าที่ดังกล่าวควรเป็นหน้าที่ของปลัดกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งเป็นข้าราชการประจำ
            
นายชวลิต กล่าวในที่สุดว่า ขณะนี้สังคมโลกโฟกัสมาที่การเลือกตั้งทั่วไปในประเทศไทยที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 ว่าจะเป็นไปด้วยความเรียบร้อย บริสุทธิ์ ยุติธรรม หรือไม่? เพราะเป็นการเลือกตั้งหลังการรัฐประหาร และคณะ คสช.ได้บริหารประเทศมาอย่างยาวนานถึง 5 ปี ทั้งมีพฤติการณ์ส่อว่าจะสืบทอดอำนาจต่อ
          

ดังนั้น ถ้าจะให้ชาวโลกและคนไทยเชื่อว่าการเลือกตั้งจะบริสุทธิ์ ยุติธรรม ท่านนายกรัฐมนตรีจะต้องวางตนเป็นกลางอย่างเคร่งครัดด้วยการเก็บ .44 ใส่ลิ้นชัก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นประเทศ และรัฐมนตรีทั้ง 4 คน ที่ไปเป็นผู้บริหารพรรคการเมืองหนึ่งจะต้องไม่เอาเปรียบพรรคการเมืองอื่น โดยควรลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีตั้งแต่มาเป็นผู้บริหารพรรคการเมืองแล้ว โปรดช่วยกันรักษาหน้าตาคนไทย หน้าตาประเทศ อย่างน้อยภายใต้กติกาพิสดาร ท่านก็เป็นผู้นำฝ่ายบริหารของประเทศไทยอยู่ในขณะนี้

“ทษช.” ประกาศจุดยืน ยับยั้งประยุทธ์สืบทอดอำนาจ


ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช หัวหน้าพรรคไทยรักษาชาติ(ทษช.) พร้อมด้วยนายจาตุรนต์ ฉายเเสง ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค ร่วมกันแถลงข่าว โดย ร.ท.ปรีชาพล กล่าวว่า "ส่วนการแบ่งเขตที่จังหวัดสุโขทัย เป็นเรื่องน่าเศร้าของประชาชนที่เขตใหม่ไม่มีถนนติดต่อ ต้องเดินทางโดยใช้เส้นทางธรรมชาติ แสดงให้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากล ไม่น่าเชื่อจะแบ่งเขตแบบนี้ออกมาได้ แต่ถึงแม้จะมีกติกาที่เอาเปรียบพรรคก็พร้อมสู้ในทุกสถานการณ์” ขณะที่ นายจาตุรนต์ กล่าวว่า “พรรคนี้มีนโยบายที่ประชาชนทั้งประเทศคุ้นเคย  บริหารประเทศแล้วคนมีเงินในกระเป๋า วัฒนธรรมการคิดนโยบายจะเกิดขึ้นที่นี่ด้วย บวกกับบุคคลากรที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีความสามารถจะขับเคลื่อนความต้องการเป็นพรรคที่ตอบโจทย์ของประชาชนได้ พรรคไม่ขอเป็นพรรคอันดับหนึ่งของฝั่งประชาธิปไตย แต่ขอเป็นเรืออีกลำขนาดกลาง เป็นเรือที่มีส่วนร่วมขับเคลื่อนประเทศไปสู่ประชาธิปไตย เพื่อยับยั้งพล.อ.ประยุทธ์ไม่ให้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก”

“หมวดเจี๊ยบ” แนะประยุทธ์บอกความจริงคนไทย หลังเจอนายกฯเยอรมนี


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2561 ร้อยโทหญิง สุณิสา ทิวากรดำรง สมาชิกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา พูดไม่ตรงกับความจริงเรื่องที่ไปอ้างกับ นางอังเกลา แมร์เคล นายกรัฐมนตรีสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ว่ารัฐบาล คสช. ไม่เคยปิดกั้นเสรีภาพ นักการเมืองไทย 

ซึ่งเป็นคำพูดที่สวนทางกับการกระทำ เพราะในความเป็นจริง พรรคการเมืองไทยไม่ได้มีเสรีภาพ โดยเฉพาะนักการเมืองที่ไม่ได้สังกัดพรรคทหารนั้น ถูกทหารประกบทุกฝีก้าว โดยหากมีความเคลื่อนไหวทางการเมือง หรือวิจารณ์การทำงานของรัฐบาล ก็อาจมีกำลังทหารบุกไปคุกคามที่บ้าน ดังนั้น คำพูดของพลเอกประยุทธ์ จึงไม่ตรงกับความจริง 

ขณะนี้ มีกิจกรรมสำคัญหลายอย่างที่พรรคการเมืองไม่สามารถทำได้ เพราะยังไม่มีการปลดล็อกทางการเมืองอย่างแท้จริง และติดคำสั่ง คสช. ทำให้นักการเมืองไม่สามารถสื่อสารกับประชาชนได้อย่างเต็มที่ ขนาดอยู่ด้วยกันเกิน 5 คน ก็ยังทำไม่ได้เลย แล้วจะถือว่ามีเสรีภาพตรงไหน ทางที่ดีท่านต้องรีบปลดล็อกทางการเมือง 100% ไปเลย เพราะใกล้จะเลือกตั้งแล้ว เขตเลือกตั้งก็ประกาศแล้ว ที่สำคัญพลเอกประยุทธ์ ได้ประกาศต่อหน้านายกรัฐมนตรีเยอรมนีแล้ว ว่าจะทำให้การเลือกตั้งมีความเป็นธรรมและโปร่งใส ก็ควรทำให้ได้อย่างที่พูด ไม่อย่างนั้นความน่าเชื่อถือของท่านในสายตาคนทั้งโลกจะลดต่ำลง เพราะทุกครั้งที่สื่อต่างประเทศเขียนข่าวถึงพลเอกประยุทธ์ ก็จะเขียนกำกับไว้ด้วยเสมอว่า พลเอกประยุทธ์ ชอบหาข้ออ้างเลื่อนเลือกตั้งไปเรื่อย 

ซึ่งเป็นเรื่องที่ทำให้คนไทยและประเทศไทยขาดความน่าเชื่อถือ จากการที่ไม่รักษาคำพูด แล้วทำไม พลเอกประยุทธ์ ไม่บอกคนไทยด้วยล่ะว่า นายกรัฐมนตรีเยอรมนี เรียกร้องให้ไทยกลับคืนสู่หนทางประชาธิปไตย อันที่จริง แค่จัดให้มีการเลือกตั้งตาม Roadmap ก็ยังไม่เพียงพอ แต่ประชาคมโลกและคนไทยกำลังจับตาดูว่า พลเอกประยุทธ์ จะทำให้การเลือกตั้งโปร่งใสและเป็นธรรมจริงหรือไม่? หรือใช้อำนาจรัฐและงบประมาณแผ่นดินในการหาเสียงเพื่อสืบทอดอำนาจหรือไม่?

“ลดาวัลลิ์” แนะรัฐเร่งปลดล็อกการเมือง ประชาชนรอฟังนโยบาย


นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่าเมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต.ได้ประกาศการแบ่งเขตเลือกตั้งในราชกิจจานุเบกษาแล้วนั้น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติหรือ คสช.ควรรีบปลดล็อกให้พรรคการเมืองลงพื้นที่ เพื่อไปรับฟังปัญหาจากพี่น้องประชาชนเพื่อ มาทำนโยบาย และจากกรณีการแบ่งเขตเลือกตั้งมีหลายเขตได้แบ่งตำบลและอำเภอแตกต่างไปจากเดิมมาก มีทั้งโยกให้ข้ามอำเภออย่างที่ไม่ควรทำก็มี และการประกาศเขตเลือกตั้งล่าช้ามากเช่นนี้เปรียบเสมือนการมัดมือชกเพราะถ้าจะร้องเรียนขอความเป็นธรรมจากศาลปกครองก็คงต้องใช้เวลานานกว่าจะได้ข้อยุติ ดังนั้นคสช.จะต้องให้โอกาสนักการเมืองทุกคนที่ได้รับผลกระทบจากการแบ่งเขตเลือกตั้งชนิดที่เกินความคาดหมายเช่นนี้ได้ลงพื้นที่ไปทำความเข้าใจแก่ประชาชนเรื่องเขตเลือกตั้งที่แบ่งใหม่ด้วยตนเองให้ครบทุกหมู่บ้านทุกตำบลและทุกอำเภอโดยเร็ว จะรอให้ กกต.ดำเนินการฝ่ายเดียวคงเป็นไปไม่ได้เนื่องจาก กกต.ก็คงไม่มีเจ้าหน้าที่ครบทุกหมู่บ้าน และเขตใดที่มีพื้นที่เพิ่มเข้ามาใหม่ ว่าที่ผู้สมัครฯก็จะได้พบปะ ทำความรู้จักกับประชาชนได้อย่างทั่วถึง จะรอให้ลงพื้นที่หาเสียงเพียงแค่ 40 วันมันน้อยเกินไปควรจะเพิ่มวันให้มากกว่านี้ พลเอกประยุทธ์ ต้องแสดงความใจกว้าง และให้ความเป็นธรรมแก่นักการเมืองทุกคนทุกพรรค เพื่อพิสูจน์ว่าท่านมีความจริงใจที่จะจัดการเลือกตั้งอย่างโปร่งใส บริสุทธิ์ยุติธรรม และอย่าใช้ .44 เพื่อเอาเปรียบนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามเหมือนที่ท่านกำลังถูกกล่าวหาอีกเลย

“รุ่นใหม่เพื่อไทย” ติงรัฐแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ถูกวิธี แนะเร่งเลือกตั้งฟื้นความเชื่อมั่น


ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีสภาพัฒน์แถลงว่าภาวะหนี้สินครัวเรือนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยมีหนี้สินคงค้าง 12.34 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.7% นอกจากนั้นดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยรายภูมิภาคลดลงเกือบทุกภูมิภาค โดยเฉพาะภาคใต้ที่ดัชนีต่ำสุดในประเทศ ราคาสินค้าเกษตร ทั้งปาล์ม และยางพารา ยังคงเป็นปัญหาสำคัญและยังไม่ได้การดูแลแก้ไข นอกจากนั้นยังมีปัญหาการตกงานในภาคการท่องเที่ยวนั้น

อยากให้รัฐตระหนักถึงความสำคัญการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนอกจากจะเปราะบางมากหากมีปัจจัยแทรกซ้อนแล้ว ยังจะกระทบต่อการบริโภคภาคเอกชนและทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงในระยะยาว และยังเป็นตัวถ่วงที่สำคัญในการทำให้นโยบายการใช้จ่ายภาครัฐไม่ได้ผลทำที่ควร บัตรสวัสดิการแห่งรัฐบางส่วนก็เป็นเพียงการปลอบประโลมระยะสั้น ที่ไม่ได้เป็นการลดรายจ่ายเพิ่มรายได้ในระยะยาวและถาวร และการทุ่มใช้งบประมาณดังกล่าวในภาวะที่มีหนี้ครัวเรือนสูง อาจเปรียบเสมือนการให้รองเท้าวิ่งกับคนป่วยเจ็บขาเท่านั้น 

ดัชนีความเชื่อมั่นบ่งบอกถึงความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อสภาพเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งการที่ดัชนี้ดังกล่าวตกต่ำ จึงตั้งข้อสังเกตว่าแสดงถึงประชาชนไม่เชื่อมั่นในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาล หรือเห็นว่าแนวทางของรัฐบาลปัจจุบันไม่ถูกวิธีหรือไม่? ซึ่งการฟื้นฟูความเชื่อมั่นและสภาวะเศรษฐกิจให้ดีขึ้นจะทำได้ก็ต่อเมื่อมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง โดยผ่านการเลือกตั้งที่เสรี บริสุทธิ์ ยุติธรรม และเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย

“เพื่อไทย” เตือนพลังประชารัฐ หยุดใส่ร้าย


นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด คณะทำงานสื่อสารการเมืองพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ประธานคณะกรรมการรณรงค์การหาเสียงเลือกตั้งพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดศูนย์ประสานงานพรรคพลังประชารัฐ .แพร่ ระบุ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ไม่สามารถกลับประเทศได้ หากกลับมาคงเกิดสงครามกลางเมือง ว่า พรรคพลังประชารัฐ พยายามชูจุดขายก้าวข้ามความขัดแย้ง แต่สิ่งที่ทำสวนทางกับสิ่งที่พูดหรือไม่? ไปจังหวัดแพร่มีเรื่องให้พูดมากมาย จะแก้ไขปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างไร? จะพูดอะไรก็พูดไปไม่เห็นจะต้องมาแขวะ หรือพูดจาในลักษณะเย้ยหยัน ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นนายเก่าของนายสมศักดิ์เอง คนไม่ชอบดร.ทักษิณ ก็อาจมี แต่คนรักก็มีไม่น้อย ดังนั้นควรให้เกียรติกันจะดีกว่า พรรคพลังประชารัฐจะชนะการเลือกตั้งหรือไม่? ขึ้นอยู่กับนโยบายและผู้สมัคร การปลุกผีทักษิณ ว่าจะเกิดสงครามการเมือง เป็นการพูดที่นำไปสู่ความขัดแย้งโดยไม่จำเป็น และขอเรียกร้องให้ลดวาทกรรมสร้างความเกลียดชัง พรรคเพื่อไทยหลีกเลี่ยงการพาดพิงพรรคอื่น มุ่งมั่นคิดนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนอย่างสร้างสรรค์ และทุกฝ่ายควรเคารพประชาชน อย่าสร้างความเบื่อหน่ายโดยการโจมตีใส่ร้ายกัน

วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

"จาตุรนต์" ติงปัญหาแบ่งเขตเลือกตั้ง ไม่ชอบธรรม


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี และแกนนำพรรคไทยรักษาชาติ โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

วันก่อนได้ยินมาว่าการแบ่งเขตล่าสุดเป็นไปตามข้อเสนอของผู้สมัครหลายคนแบบขอยังไงได้ยังงั้น ทั้งๆที่ไม่มีฐานจากความคิดเห็นของประชาชนชนเลย ผมก็เลยขอให้ความเห็นต่อสิ่งที่เกิดขึ้นสักหน่อยครับ

การแบ่งเขตเลือกตั้งก่อนหน้านี้มีการรับฟังความเห็นประชาชนให้ใครมาเสนอความเห็นได้เต็มที่จนได้ข้อสรุปไปแล้ว แต่การแบ่งเขตครั้งสุดท้ายคนทั่วไปไม่รับรู้ด้วย คนไม่กี่คนเสนอผ่านช่องทางพิเศษกันมาและก็ได้ผลตามนั้นอย่างน่าอัศจรรย์ เรียกว่าเอาเปรียบกันจนนาทีสุดท้าย

คำสั่งคสช.เรื่องการแบ่งเขต ต้องการให้คุณให้โทษกับผู้สมัคร โดยเฉพาะผู้ที่ร้องผ่านรัฐบาลและคสช.ย่อมได้ประโยชน์ ใครเป็นคู่แข่งก็ต้องเสียเปรียบ แต่จะขยับขยายก็ไม่ได้แล้ว การเอาเปรียบกันนี้เมื่อ กกต.ทำให้ แม้ไม่ชอบธรรมแต่ก็ไม่ผิดกฎหมายใดๆเพราะคำสั่งคสช.บอกว่าทำอะไรก็ชอบด้วยกฎหมายไปหมด

“นพดล” ท้วงรัฐ อยากเห็นผลการเยือนต่างประเทศเป็นรูปธรรม


นพดล อยากเห็นความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมจากการเยือนต่างประเทศของนายกฯ ย้ำมีรัฐบาลใหม่เมื่อไหร่การเจรจาการค้าเสรีกับอียูเริ่มได้ทันที

นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงการเดินทางเยือนประเทศเยอรมันนีของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชาว่า ปกติการไปเยือนต่างประเทศมักจะเกิดขึ้นตอนเข้าเป็นนายกฯใหม่ๆเพื่อแนะนำตัวเองและเพื่อสานความร่วมมือระหว่างกัน แต่คงพึ่งมีการชิญ และเป็นการเยือนช่วงปลายรัฐบาล และไทยกำลังจะมีการเลือกตั้งและมีรัฐบาลใหม่จากการเลือกตั้ง การเยือนในครั้งนี้คนคงอยากทราบว่ามีความสำเร็จอะไรเป็นรูปธรรมบ้าง   นอกจากบอกว่ามีนักธุรกิจสนใจจะมาลงทุน  นอกจากนั้น ทราบว่านายกฯเยอรมันแสดงท่าทีชัดเจนว่าต้องการเห็นประเทศไทยกลับสู่ประชาธิปไตยหลังจากหลายปีที่ยุ่งยากภายในประเทศ ซึ่งสะท้อนว่าแม้แต่ผู้นำต่างชาติก็ห่วงใยอยากเห็นประชาธิปไตยในประเทศไทย นอกจากนั้นเยอรมันเป็นสมาชิกสำคัญของสหภาพยุโรปซึ่งยังมีท่าทีชัดเจนว่าจะไม่ลงนามข้อตกลงการค้าเสรีกับไทยจนกว่าจะมีการเลือกตั้งและมีรัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้ง ซึ่งท่าทีนี้ยังไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้นคนไทยต้องรอราว 5 ปี จึงจะเริ่มการเจรจาและลงนามเรื่องข้อตกลงการค้าเสรีกับสหภาพยุโรปซึ่งถ้าลงนามสำเร็จ จะเพิ่มโอกาสให้คนไทยและสินค้าไทยที่จะส่งออกไปสหภาพยุโรปในเรื่องสิทธิประโยชน์ทางภาษีอย่างมาก

“พิชัย” ติงช้อปช่วยชาติเอื้อนายทุนห้าง


นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน คณะทำงานด้านเศรษฐกิจพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลได้นำนโยบายช้อปช่วยชาติกลับมาใช้อีกครั้ง ทั้งๆที่เคยยกเลิกไป โดยสื่อมวลชนรวมถึงนักวิชาการได้วิเคราะห์แล้วว่านโยบายช้อปช่วยชาติที่เคยทำมา ไม่ได้ช่วยประชาชนมากนัก แต่ไปช่วยนายทุนเจ้าของห้างสรรพสินค้ามากกว่า เพราะประโยชน์ของโครงการตกกับห้างร้านใหญ่ๆเท่านั้นซึ่งมีผลประกอบการดีอยู่แล้วไม่จำเป็นที่รัฐบาลต้องเข้าไปช่วย ซึ่งจะทำให้รัฐบาลขาดรายได้จากการหักภาษีไปโดยเปล่าประโยชน์ ซึ่งน่าจะนำภาษีดังกล่าวไปใช้พัฒนาประเทศเพื่อสร้างรายได้อย่างมั่นคงให้กับประชาชนจะมีประโยชน์มากกว่า หรือ ควรจะนำไปช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างมากจนขาดทุนกันถ้วนหน้า  และ นโยบายช้อปช่วยชาติครั้งนี้ ยิ่งแปลกประหลาดเข้าไปอีกที่รัฐบาลกำหนดให้ซื้อสินค้าได้เพียง 3 ประเภทเท่านั้น คือ ยางรถยนต์ หนังสือ และ สินค้าโอทอป ซึ่งยิ่งไม่ช่วยอะไรเลย เพราะยางรถยนต์ต้องเปลี่ยนตามระยะเวลาอยู่แล้ว อีกทั้งปริมาณการซื้อยางรถยนต์จะไม่ได้ช่วยให้ราคายางพาราสูงขึ้นแต่อย่างใด และสินค้าโอทอปที่ขายได้จะเป็นสินค้าโอทอปที่ขึ้นห้างเท่านั้น โดยจะไม่ได้มีการกระจายของรายได้อย่างทั่วถึง การดำเนินการเป็นเหมือนแค่การหาเสียง ทั้งนี้ รัฐบาลพึ่งจะอนุมัติแจกเงินก้อนใหญ่กว่า 80,000 ล้านบาทแล้ว และยังต้องมาขาดรายได้จากการหักภาษีในนโยบายช้อปช่วยชาติอีก ซึ่งผลของการดำเนินนโยบาย ทั้งการแจกเงินและช้อปช่วยชาตินี้ ไม่ได้เพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศแต่อย่างใด เป็นแค่เครื่องมือหาเสียงเท่านั้น จึงอยากให้รัฐบาลได้พิจารณาให้ดีก่อนออกมาตราการต่อไปและต้องตอบให้ได้ว่า ดำเนินการไปแล้ว ประเทศจะพัฒนาอย่างไร ไม่ใช่ทำเพื่อซื้อความนิยมเท่านั้น 

ไม่หวั่นพลังดูด! “ภูมิธรรม” เตือนอยู่ผิดข้าง ระวังไม่ได้เข้าสภาฯ


เมื่อเวลา 10.00 น. ที่พรรคเพื่อไทย นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงตัวเลขสมาชิกพรรคที่ออกจากพรรคเพื่อไทยว่า อดีต ส.ส.ปี 2554 ระบบเขตเลือกตั้งที่ออกจากพรรคเพื่อไทยไปยังพรรคต่างๆ ไม่นับรวมที่ไปพรรคไทยรักษาชาติ อยู่ที่ 28 คน ส่วน ส.ส.บัญชีรายชื่อก็มีอีกบางส่วน แต่คิดว่าสิ่งสำคัญอยู่ที่พรรคการเมืองหากเป็นที่ไว้วางใจของประชาชนจะเป็นตัวแปรสำคัญที่จะทำให้เขาเลือก การที่ ส.ส.ไหลออกไปไม่ใช่เรื่องน่ากังวลใจ เพราะเท่าที่ฟังพรรคของผู้มีอำนาจดูดอดีต ส.ส.ไปจากพรรคต่างๆประมาณ 50 คน แต่การเลือกตั้งทุกครั้งจะมีตัวเลข 20-30% ที่อดีต ส.ส.ไม่สามารถกลับเข้าสภาได้ ตรงนี้ต้องมาพิสูจน์กันว่าช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ที่ประชาชนได้เผชิญกับสถานการณ์ต่างๆ เขาอยากได้คณะรัฐบาลที่ตอบสนองการแก้ปัญหาแบบไหน ผู้แทนราษฎรเองต่อให้เป็นคนเก่าคนแก่ แต่หากเลือกอยู่ผิดข้างไม่สามารถเป็นข้างที่ให้ความหวังตอบสนองการแก้ปัญหาให้ประชาชนได้โอกาสกลับคืนเข้าสภาฯ ก็มีไม่มาก

นายภูมิธรรม กล่าวว่า เราให้ความไว้วางใจนักการเมืองของเราทุกคน แต่ก็มีเสียงลือเรื่องการย้ายพรรคมาก เราเฝ้าระวังเรื่องนี้อยู่ กรรมการที่เกี่ยวข้องดูแลอยู่ การย้ายออกของอดีต ส.ส.ยืนยันไม่มีปัญหาเพราะเรามีบุคลากรที่มีคุณภาพให้ประชาชนเลือกใช้งานมากกว่าจำนวนเขตที่มีอยู่ มั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยมีเครดิตเพียงพอที่ประชาชนจะฝากไว้วางใจกับเรา ส่วนจะส่งผู้สมัครครอบ 350 เขตหรือไม่นั้น เราจะส่งให้มากที่สุดเท่าที่มากได้ แต่ก็ขึ้นกับเงื่อนไขหลายๆ อย่าง เมื่อถามว่ามีกระแสข่าวว่า มีเจตนาลาออกช่วงสุดท้ายให้หาตัวผู้สมัครไม่ทัน นายภูมิธรรม กล่าวว่า เป็นเรื่องที่เข้าใจได้นักการเมืองหลายคนที่ออกไปยังมีความหวั่นเกรง การตัดสินใจย้ายออกจากพรรคเพื่อไทยไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะคะแนนนิยมที่มีต่อพรรคเพื่อไทย

เมื่อถามถึงกรณีอัยการจะนัดสั่งคดีที่แกนนำพรรคเพื่อไทยแถลงข่าวโจมตีผลงาน 4 ปี คสช. จะส่งผลให้ถูกยุบพรรคหรือไม่? นายภูมิธรรม กล่าวว่า เราไม่เคยกังวลในเรื่องนี้ แม้จะมีการสะท้อนให้สมาชิกเราหวั่นไหวบ้างแต่ไม่กระทบความหวั่นไหวของสมาชิกพรรค ช่วง 3 วันสุดท้ายก่อนวันที่ 26 พ.ย. มีการปล่อยข่าวเข้ามาว่ากระบวนการนี้จะรวดเร็วเพื่อยุบพรรค ก่อให้เกิดความสับสนในหมู่นักการเมือง แต่คดีความต่างๆ ไม่ได้ไปไกลแค่จะส่งฟ้องเข้าสู่กระบวนการธรรมดา

เมื่อถามว่า นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่สมัครเป็นสมาชิกพรรค มีโอกาสนำทีมหาเสียงทุกพื้นที่มากน้อยแค่ไหน? นายภูมิธรรม กล่าวว่า นายพานทองแท้เป็นสมาชิกพรรค โดยหลักการสมาชิกพรรคทุกคนมีสิทธิร่วมหาเสียง ถึงเวลาเราก็เรียกร้องขอความร่วมมือกับสมาชิกทุกคนอยู่แล้ว เพราะสิ่งสำคัญที่สุดของพรรคเพื่อไทยคือฐานสมาชิกที่มีความสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง ส่วนใครจะมีเวลาช่วยพรรคได้มากแค่ไหนก็เป็นเงื่อนไขของแต่ละคน ส่วนลูกของนายทักษิณอีกสองคนนั้นยังไม่เห็นว่าสมัครเข้ามาเป็นสมาชิก เมื่อถามว่า นายสมชาย วงษ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ ยังอยู่กับพรรคเพื่อไทยหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า นายสมชายยังเป็นสมาชิกอยู่

เมื่อถามถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้า คสช. ระบุไม่จำเป็นต้องสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมือง นายภูมิธรรม กล่าวว่า ตนไม่เป็นห่วงเรื่องข้อกฎหมาย แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือความสง่างามในการอาสามาเป็นผู้นำ สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ ควรทำคืออาสาตัวเองเข้ามายืนหน้าสปอร์ตไลท์ให้ประชาชนเห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้นำที่ทำหน้าที่มาให้ประชาชนตัดสินใจให้ทำงานต่อไปหรือไม่ ให้เหมือนนักการเมืองทั่วไป การกลับเข้าสู่อำนาจหากเกิดขึ้นจริงก็จะสง่างาม ดีกว่ายืนอยู่ห่างๆ ให้ตัวเองได้เรียบทุกอย่างแบบนั้นไม่สง่างาม ส่วนที่ คสช.จะให้เวลาหาเสียง 60 วัน ถือว่าน้อยไปหรือไม่นั้น ไม่ใช่เรื่องน้อยหรือมาก แต่ผิดวิสัยที่ประเทศประชาธิปไตยเขาทำกัน เพราะปกติพรรคการเมืองกับประชาชนสามารถสื่อสารกันได้ตลอดเวลา จนถึงวันสุดท้ายที่จะก่อให้เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบให้คนเป็นกลางเข้ามาดูแล แต่นี้ควบคุมตลอดเวลา ทุกคนเห็นอยู่แล้วว่ารัฐบาลใช้ทุกช่องทางชิงความได้เปรียบในการเลือกตั้งแต่ทุกพรรคการเมืองพร้อมสู้ในกระบวนการ เพราะเชื่อว่าทุกสิ่งที่รัฐบาลทำอยู่ในสายตาประชาชนตลอด

“รุ่นใหม่เพื่อไทย” แนะรัฐเร่งแก้ไขปัญหารถวิ่งบนทางเท้า


ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ สุรนาทยุทธ์ นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่มีคนขับขี่มอเตอร์ไซค์บนทางเท้าและได้ชนนักเรียนได้รับบาดเจ็บนั้น  ทาง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เผยว่าเตรียมดำเนินคดีกับผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ ตาม พ.ร.บ.ทางบก ซึ่งมีอัตราโทษปรับไม่เกิน 1 พันบาท และ พ.ร.บ.เกี่ยวกับทางเท้า อัตราโทษปรับไม่เกิน 5 พันบาท  โดย สตช.แถลงการณ์ยอมรับในเรื่องข้อจำกัดของกำลังพลในชั่วโมงเร่งด่วน ที่จำนวนตำรวจมีกำลังไม่เพียงพอดูแล แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทางสังคมยอมรับได้ยาก เพราะเหตุการณ์เหล่านี้ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง จากการที่ สตช.มีกำลังพลกว่า 250,000 นาย และกล้อง CCTV จำนวนมาก จึงอยากวอนขอให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรง หายุทธวิธีแก้ไขเรื่องนี้อย่างเร่งด่วนและจริงจัง เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีก

ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ กล่าวต่ออีกว่า จากรายงานองค์การอนามัยโลก (WHO) ด้านความปลอดภัยทางถนน ระบุว่าในปี 2558 ประเทศไทยมีคนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนมากเป็นอันดับ 2 ของโลก และสถิติคดีอุบัติเหตุ ของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ในปีเดียวกันก็พบว่าคนเดินเท้ามีคดีที่เกิดอุบัติเหตุจากการจราจรทางบกเฉลี่ยปีละ 2,085 คดี หรือเท่ากับ 6 คดีต่อหนึ่งวัน ซึ่งนอกเหนือจากการเดินทางเท้าในประเทศไทยที่เต็มไปด้วยอันตรายแล้วยังมีเส้นทางจักรยานเมืองกรุงอีก 48 เส้นทางที่กำลังประสบปัญหาจำนวนมากเพราะมีมอเตอร์ไซค์เข้ามาขับบนลู่จักรยาน และชาวบ้านจอดรถยนต์ทับเส้นทางพร้อมทั้งยังนำสิ่งของมาจับจองพื่นที่เพื่อจอดรถยนต์อีก ดังนั้น หากทาง สตช. ให้ความสำคัญกับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน โดยการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง นอกจะทำให้เหตุการณ์เหล่านั้นไม่เกิดขึ้น แล้วยังทำให้อุบัติเหตลดลงอีก  ซึ่ง มิสเตอร์อับราฮัม ลินคอล์น อดีตประธานาธิบดี คนที่ 16 ของสหรัฐอเมริกา ได้เคยกล่าวไว้ว่า “หากกฎหมายไม่มีการบังคับใช้ก็เป็นเพียงแค่คำแนะนำที่ดีเท่านั้น”

วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

"พานทองแท้" เผยที่มาร้านก๋วยเตี๋ยว "ทักษิณ" ต่างชาติชื่นชม-นำชื่อไปใช้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้


มีคนถามมาว่า คุณพ่อผมได้ให้ใครใช้ชื่อ “Thaksin” ไปเปิดร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อแบบไทยๆ ในต่างประเทศบ้างหรือเปล่า คำตอบคือ “เปล่าเลย” นะครับ

ด้วยความสงสัยเพื่อนผมจึงได้ไปสืบมา ทราบว่ามีร้านก๋วยเตี๋ยวชื่อทักษิณจริงๆ ด้วยครับ อยู่ที่กรุงจาการ์ต้า อินโดนีเซีย ใช้ชื่อร้านว่า "Thaksin Beef Noddle(ต๋า-ซิ่น-หนิว-โร่ว-เมี่ยน 達信牛肉麵)”

ปรากฏว่า เจ้าของร้านเป็นชาวสิงคโปร์ ชื่อนาย Jaesen Ng ซึ่งได้เปิดสาขาร้านทักษิณที่สิงคโปร์มากว่าสิบสาขาแล้ว เพิ่งจะมาขยายไปที่อินโดนีเซีย เมื่อไม่นานมานี้

Jaesen Ng เล่าว่าเขาชอบทานก๋วยเตี๋ยวเนื้อแบบไทยมาก เลยลงทุนไปเรียนที่กรุงเทพฯ เพื่อที่จะนำสูตรก๋วยเตี๋ยวกลับมาเปิดร้านที่สิงคโปร์ และสาเหตุที่ใช้ชื่อนี้ เพราะส่วนตัวชื่นชอบ อดีตนายกรัฐมนตรีไทยที่ชื่อ “ทักษิณ” เป็นการส่วนตัว และได้ติดตามการทำงานในช่วงที่เป็นนายกฯ มาโดยตลอด ชอบที่ทักษิณ พัฒนาประเทศไทยให้เจริญ และที่ชอบที่สุดคือ ทักษิณเป็นผู้ริเริ่มโครงการสามสิบบาทรักษาทุกโรค และอยากให้สิงคโปร์เอาอย่างบ้าง เพราะค่ารักษาพยาบาลที่สิงค์โปร์แพงมาก

เล่าให้คุณพ่อผมฟัง หัวเราะชอบใจใหญ่ บอกว่ามีโอกาสเมื่อไหร่จะแวะไปลองชิมดู และไม่สงวนลิขสิทธิ์ที่เขายืมชื่อไปใช้ คุณพ่อบอกว่าคนขยันทำมาหากิน เราควรจะสนับสนุน แถมด้วยว่าถ้าเขาจะขอถ่ายรูปแปะหน้าร้าน ก็จะอนุญาตให้ถ่ายด้วย

อยู่ประเทศที่มีอิสระเสรี  ถ่ายรูปด้วยก็ไม่ต้องกลัวใครมาเอาผิดเรื่องครอบงำร้านก๋วยเตี๋ยว แบบนี้สบายใจดีครับ

“จิรายุ” แนะประชาชน จับตา สนช. วิ่งนั่ง ส.ว.


นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึง การรับสมัคร สว. ของคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือกกต.ว่า  เหตุที่มีคนไปสมัครน้อย คงมาจากการที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการสรรหาที่มีมูลค่าแพงที่สุดในโลก ถึงคนละเกือบ26ล้านบาท จากงบประมาณ1,300ล้านบาทในกระบวนการนี้
     
ซึ่งวันนี้มีผู้สมัครบางตาคงเพราะว่า ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความรู้ความสามารถเป็นปราชญ์ในทุกๆด้านแต่อาจไม่ได้เดินเฉียดใกล้กับ ผู้มีอำนาจ และคงรู้ว่าสมัครไปก็เท่านั้นเสียเวลาเปล่าถึงเวลาก็อาจมีผู้มีอำนาจมาจิ้มรายชื่อเลือกกันเองก็เป็นได้
      
วันนี้สังคมต่างคาดหวังว่าสมาชิกวุฒิสภาจำนวน 250 คนคงจะมาจากคนที่มีคุณวุฒิ และปลอดการเมืองแท้ๆเพื่อจะได้เข้ามาเพื่อเป็นพี่เลี้ยง ให้กับรัฐสภาในการนำพาประเทศไทยไปสู่แสงสว่างและความเจริญให้ทัดเทียมนานาอารยะประเทศหลังจากเสียเวลากันมานานหลายปีไม่ใช่มาเพื่อเป็นบันไดให้ใครขึ้นไปถึงฝั่งฝันเพราะสังคมรู้ดีแล้วว่า 250สว.ในรัฐธรรมนูญนี้มีสิทธิ์โหวตเลือกนายกรัฐมนตรีได้
       
ดังนั้นสมาชิกวุซิสภาจำนวน 250 คน ในยุค คสช.ก็ไม่ควรจะมีรายชื่อ ของคนที่มาจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)ที่ คสช.ทำคลอดมาเมื่อปี2557 เพราะรัฐบาลชุดนี้ หรือพลเอกประยุทธ์ หัวหน้า คสช.อาจถูกครหาได้ว่าล็อกสเปกมาเพื่อปูทางขึ้นสู่อำนาจหรือไม่
       
ดังนั้นตนจึงขอแนะนำให้กับพี่น้องประชาชนได้จดชื่อสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สนช.ในยุคนี้ไว้ ว่าเมื่อมีการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา (..)ชุดใหม่แล้วจะมี สนช.ที่เคยถูกแต่งตั้งจากคสช. มาเป็นจำนวนเท่าไหร่? และมีกลุ่มอดีต ..ที่ได้ดีจากการปฏิวัติรัฐประหารกี่คน เพราะวันนี้ประชาชนคาดหวังว่าสมาชิกวุฒิสภาที่กำลังคัดสรรอยู่ในขณะนี้จะเข้ามาเป็นผู้ที่จะช่วยเหลือนำพาประเทศไทยกลับเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยที่ทั่วโลกยอมรับอันหมายถึงการเจริญก้าวหน้าทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคมให้ประเทศไทยเป็นที่ยอมรับกับนานาอารยะประเทศ นายจิรายุ กล่าว

      

"สุดารัตน์" ชูโมเดลจำหน่ายข้าวออนไลน์ พลิกผืนแผ่นดินอีสาน สร้างรายได้ประเทศ

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้


“พลิกผืนดินอีสาน สร้างรายได้ให้ประเทศ”
.
ไปขอนแก่นวันก่อน ๆ หน่อยไปเยี่ยม “แม่กลม” ประธานกลุ่มข้าวกล้องลานทองอีกครั้ง กลุ่มข้าวอินทรีย์ของแม่กลมมีความเข้มแข็งมาก
.
เริ่มต้นจากสิบกว่าปีก่อน แม่กลมเคยป่วยหนักเพราะใช้สารเคมีในการทำสวนมะม่วง จนต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลอยู่นานถึง 5 ปี สุดท้าย คุณหมอบอกแม่กลมว่า ให้กลับไปรักษาที่บ้าน ทั้งที่อาการยังไม่ดีขึ้น และแนะนำแม่กลมให้ลองทานข้าวกล้องดู


หลังเริ่มทานข้าวกล้อง ร่างกายแม่กลมก็เริ่มปรับตัวได้ดีขึ้นกลับมามีแรง เดินเหินได้เป็นปกติ เหมือนได้ชีวิตใหม่ แม่กลมบอกกับตัวเองว่า จากนี้ไป “จะกินข้าวเป็นยา” ที่จะทำให้ตัวเองแข็งแรง จึงหันมาเริ่มปลูกข้าวอินทรีย์
.
จากแค่ 2 ไร่ ตั้งใจปลูกไว้กินเอง ผ่านมาสิบกว่าปี เฉพาะที่นาตัวเองตอนนี้ปลูกข้าวอินทรีย์ไปแล้วกว่า 40 ไร่ จากทำคนเดียวเป็นชวนเพื่อนในชุมชนมาปลูกด้วยกัน ปี2556 รวมตัวกันเป็น “กลุ่มวิสาหกิจชุมชนข้าวกล้องปลอดสารพิษ แม่บ้านเกษตรพัฒนา ตำบลบ้านค้อ” ใช้ชื่อว่า “ข้าวลานทอง” ปัจจุบันมีสมาชิก 36 คน พื้นที่รวมกว่า 400 ไร่


แม่กลมขายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ชูสโลแกนขายว่า “กินข้าวเป็นยา” ขายตระกูลข้าวอินทรีย์ทั้งหมด ทั้งข้าวกล้อง ข้างฮางงอก ข้าวไรซ์เบอรี่ ข้าวลืมผัว ข้าวหอมใบเตย ข้าวมันปู ข้าวกล้องมะลิ 105
.
หน่อยเคยขอแม่กลมให้พาไปดูที่แปลงนาว่าแม่กลมปลูกข้าวแบบไหน ถึงได้ข้าวคุณภาพสูง ทำให้ราคาดี แม่กลมยังบอกว่า “ขายออนไลน์ ยิ่งได้เงินดี” ทำให้รายได้ของกลุ่มเพิ่มขึ้นด้วย
.
แม่กลมบอกหน่อยว่า “ขอบคุณที่ช่วยหาตลาดขายข้าวให้แม่" เพราะปีก่อนหน่อยสัญญากับแม่กลมไว้ว่า “จะช่วยหาตลาดใหม่ๆให้ จะช่วยเหลือชาวนาให้ได้ และจะชวนชาวนาอีกหลายๆกลุ่มมาปลูกข้าวอินทรีย์ด้วยกัน ทำเรื่องนี้ให้ยั่งยืน”​
.
ปีนี้ แม่กลมอายุ 63 แล้ว แม่บอกว่า 20 กว่าปีที่ผ่านมาไม่ได้เข้าโรงพยาบาลอีกเลย

แม่กลม คือตัวอย่างของ "คนตัวเล็ก" ที่ช่วยสร้างเศรษฐกิจให้ไทยเข้มแข็ง โดยการเปิดโอกาสของตลาดการขายสินค้าใหม่ๆในต่างประเทศ ด้วยสินค้า Organic และการใช้เทคโนโลยที่เชื่อมท้องถิ่นเข้ากับโลก
.
สมัยก่อนผู้คนมักมองว่าแผ่นดินอีสานว่าเป็นภาระของการพัฒนาประเทศ แต่ถึงเวลาแล้วที่เราจะพลิกแผ่นดินอีสานให้เป็นเงินเป็นทอง เป็นพื้นที่สร้างรายได้ให้กับประเทศ
.
และคนอย่างแม่กลม ที่มีทั้งพลังและความตั้งใจนี่แหละค่ะ ที่จะเป็นโมเดลของการขับเคลื่อนแผ่นดินอีสานที่เป็นสินทรัพย์ที่สำคัญของประเทศนี้ ให้ไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้





สองพี่น้อง "จันทรสุรินทร์" ยืนยันสังกัดพรรคเพื่อไทย ไม่ย้ายไปพลังประชารัฐ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากมีข่าวลือว่า สองพี่น้อง "จันทรสุรินทร์" อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรลำปาง พรรคเพื่อไทย ย้ายพรรคไปสังกัดพรรคพลังประชารัฐ นั้น ล่าสุด นายอิทธิรัตน์ จันทรสุรินทร์ และ นายจรัสฤทธิ์ จันทรสุรินทร์ ออกมายืนยันผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ว่า ไม่เป็นความจริง และยังสังกัดพรรคเพื่อไทยเช่นเดิม โดยนายอิทธิรัตน์ จันทรสุรินทร์ ระบุว่า "ตามที่ปรากฏข่าวว่า...กระผม. อิทธิรัตน์และน้องชาย..จรัสฤทธิ์ จันทรสุรินทร์ ได้ย้ายเข้าสังกัดพรรคพลังประชารัฐนั้น... ผมและน้องชายขอเรียนยืนยันว่าไม่เป็นความจริง! ยังยึดมั่น ยืนหยัดต่อสู้ร่วมอุดมการณ์กับพรรคเพื่อไทย และพี่น้องประชาชนครับ..."


ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า นายอิทธิรัตน์ จันทรสุรินทร์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรลำปาง เขต 4 ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกในปี พ.ศ. 2544 ในสังกัดพรรคไทยรักไทย ปัจจุบันสังกัดพรรคเพื่อไทย โดยได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาแล้ว 4 สมัย ในอดีตเคยรับราชการกรมการปกครอง และสำนักข่าวกรองแห่งชาติ


ขณะที่ นายจรัสฤทธิ์ จันทรสุรินทร์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรลำปาง เขต 3 ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกในปี พ.ศ. 2550 ในสังกัดพรรคพลังประชาชน ปัจจุบันสังกัดพรรคเพื่อไทย ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาแล้ว 4 สมัย ตั้งแต่ พ.ศ. 2544 เป็นต้นมา ในอดีตเคยเป็น ส.จ. และรองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดลำปาง มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 กระทั่งปี พ.ศ. 2550 นายพินิจ จันทรสุรินทร์ บิดา ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองพร้อมกับบ้านเลขที่ 111 นายจรัสฤทธิ์จึงลงสมัครรับเลือกตั้งแทนบิดา

วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

"อนุสรณ์" อัด พลังดูดคือรอยด่างการเมืองไทย


นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด คณะทำงานสื่อสารการเมืองพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนักการเมืองแห่สมัครและย้ายพรรคเพื่อให้ทันตามกำหนดเวลาการลงสมัครรับเลือกตั้ง จนทำให้บางพรรคมีสมาชิกเพิ่มและลดลงอย่างชัดเจน ว่า หลังรัฐประหารปี 2534 เกิดพรรคสามัคคีธรรม หลังรัฐประหารปี 2549 เกิดพรรคเพื่อแผ่นดิน หลังรัฐประหารปี 2557 ก็มีพรรคลักษณะเดียวกันนี้เกิดขึ้น ภาพการกวาดต้อนนักการเมืองที่ทำกันอุตลุด จนถึงเที่ยงคืนของวันที่ 26 พ.ย. 2561 เป็นรูปแบบการดูดและการกวาดต้อนที่น่าตกใจ ล้วนถูกหยิบยกขึ้นมาใช้ทุกกระบวนท่าเพื่อกวาดต้อนอดีต ส.ส.ให้ได้มากที่สุด น่าจะเป็นการดูดครั้งมโหฬาร จนเป็นรอยด่างการเมืองไทย

"จึงตั้งคำถามว่า นี่หรือคือการปฏิรูปการเมืองแบบไทยแลนด์ 4.0 ที่จะให้กับคนไทย ซึ่งหากทุกฝ่ายรับฟังเสียงประชาชน จะทราบว่าการปฏิรูปการเมืองที่ประชาชนต้องการ คือการเมืองที่สุจริต มีประสิทธิภาพ พรรคการเมืองที่ลงทุนดูดอย่างมหาศาล มีหรือที่หว่านพืชไม่หวังผล แล้วต้องเข้าไปถอนทุนคืนอีกเท่าไหร่ เมื่อการดูดสำเร็จแล้ว ก็ควรปลดปลดล็อกให้พรรคการเมือง สามารถแข่งขันกันนำเสนอนโยบาย รณรงค์การเลือกตั้ง สื่อสารนโยบายกันได้อย่างเต็มที่ แล้วรอฟังคำตอบจากประชาชนในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 ว่าประชาชนเห็นด้วยกับพรรคพลังดูดหรือไม่? เมื่อผลการตัดสินใจของประชาชนผ่านการเลือกตั้งออกมาเป็นอย่างไร ขอให้ทุกฝ่ายยอมรับและเคารพต่อการตัดสินใจของประชาชนด้วย" นายอนุสรณ์ กล่าว

"หมวดเจี๊ยบ" สอน "ประยุทธ์" ไม่ต้องหงุดหงิด หลัง "สุดารัตน์" มีคะแนนนำ


ร้อยโทหญิงสุณิสา ทิวากรดำรง หรือ “หมวดเจี๊ยบ” อดีตรองโฆษกพรรคเพื่อไทย  โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

สงสัย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คงจ้างคนทำโพลเชียร์ตัวเองบ่อยหรือไง จึงรู้ดีนักว่าโพลสามารถบิดเบือนกันได้

ทำไมต้องหงุดหงิดที่ คุณหญิง สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ มีคะแนนนิยมเหนือตัวเอง สงสัยต้องเป็นโพลที่เชียร์ พล.อ.ประยุทธ์ เท่านั้นใช่ไหมถึงจะเชื่อถือได้ในสายตา พล.อ.ประยุทธ์

ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ คงผิดหวังที่อุตส่าห์ทุ่มแจกนโยบายประชานิยมไปเยอะ แต่ประชาชนส่วนใหญ่กลับอยากเห็นคนอื่นเป็นนายกฯ

ซึ่งเหตุที่ผลโพลเป็นแบบนี้ คงเพราะนโยบายแจกเงินแหลกของรัฐบาล ไม่ได้แก้ปัญหาปากท้องให้ชาวบ้านได้จริง เป็นเพียงการแจกแหลกเพื่อหวังผลชนะเลือกตั้งเท่านั้น

และคงจะมีการทุ่มแจกอีกเรื่อยๆ จนกว่าจะเลือกตั้ง ซึ่งเป็นการหว่านพืชหวังผลที่ไม่เกิดประโยชน์กับระบบเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน เพราะแจกเงินเป็นครั้งคราว ใช้แล้วก็หมดไป ไม่ได้ทำให้เงินงอกเงยและไม่เกิดการต่อยอด ซึ่งไม่ต่างจากการซื้อเสียงโดยใช้พลังอำนาจทุกอย่างเอาเปรียบคู่แข่ง โดยไม่คำนึงถึงอนาคตของประเทศว่าจะเป็นเช่นไร

ไม่ทราบว่าพวกท่านจะลดแลกแจกแถมกันจนเงินหมดประเทศเลยหรือไม่

ที่สำคัญ ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ แจกเงินจนได้กลับมาเป็นนายกฯ อีกรอบ แล้วในอนาคตท่านจะขึ้นภาษีอีกกี่เท่า เพราะเอาเงินในอนาคตมาละเลงกันเป็นแสน ๆ ล้านขนาดนี้ แถมเงินที่เอามาแจกก็เป็นเงินภาษีของประชาชน แต่เอามาหาเสียงให้ตัวเอง

ถ้าท่านคิดได้เท่านี้ แสดงว่า เป็นนักการเมืองน้ำเน่า ทำเป็นแค่แจกเงิน แต่ไม่รู้วิธีสร้างงานสร้างรายได้ให้ประชาชน ทั้งยัง เอาเปรียบคู่แข่งทางการเมืองอย่างน่าเกลียด

ถ้าบ้านเมืองได้คนประเภทนี้กลับมาบริหารประเทศอีกครั้ง มีแต่จะพาประเทศชาติดิ่งลงเหว.

"วัฒนา" มองวิกฤตเป็นโอกาส ชี้ "เพื่อไทย" ยึดมั่นศรัทธาประชาชน


นายวัฒนา เมืองสุข อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

คงไม่มีคำพูดอะไรจะแทนใจพวกเราชาวเพื่อไทยได้มากกว่าคำว่า “ขอบคุณ” พี่น้องประชาชนทุกท่านที่ได้แสดงความห่วงใยและส่งกำลังใจมาให้พวกเรา

เหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นขณะนี้สะท้อนให้เห็นว่า เผด็จการกำลังเหิมเกริมในอำนาจจึงไม่เห็นหัวประชาชน เพราะข้ออ้างหนึ่งในการยึดอำนาจคือการปฏิรูปการเมือง เพื่อขจัดคนโกงออกจากการเมืองจึงเกิดรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง แต่ในที่สุดพรรคการเมืองที่ตั้งขึ้นมาเพื่อหนุนให้หัวหน้าเผด็จการได้สืบทอดอำนาจก็กระทำสิ่งที่สวนทางกับการปฏิรูป ถ้าอยากได้นักการเมืองแบบที่ดูดไปก็ไม่จำเป็นต้องยึดอำนาจให้บ้านเมืองเสียหาย

สำหรับอดีต ส.ส. ของพรรคเพื่อไทยที่ย้ายไปสังกัดพรรคอื่นประกอบด้วย พลังประชารัฐ 16 คน ชาติไทยพัฒนา 3 คน ภูมิใจไทย 3 คน และเพื่อชาติ 1 คน รวม 23 คน ส่วนอีกจำนวนหนึ่งไปสังกัดพรรคไทยรักษาชาติซึ่งมีแนวทางและอุดมการณ์เดียวกันกับพรรคเพื่อไทยทั้งหมดเป็นผลพวงมาจากการหลอกลวงประชาชนที่ต้องการเห็นการปฏิรูปการเมือง แต่ในที่สุดหัวหน้านกหวีดและทหารได้ฉวยโอกาสยึดอำนาจ จากนั้นปฏิรูปการเมืองด้วยการดูดอดีต ส.ส. มาเข้าคอกเพื่อหนุนการสืบทอดอำนาจต่อไป

หลายคนมองเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นวิกฤต แต่ผมเห็นเป็นโอกาสทำให้ผู้สมัครหน้าใหม่ได้มีโอกาสเสนอตัวให้ประชาชนได้เลือก การออกไปของอดีต ส.ส. ไม่ได้ทำให้พรรคกระเทือนหรือทำให้พวกเราเสียขวัญเพราะเราเคยผ่านเหตุการณ์แบบนี้มาหลายครั้งแล้ว เอาแค่สมัยที่มีการยุบพรรคพลังประชาชนเราต้องเสีย ส.ส. ที่ไปยกมือหนุนนายอภิสิทธิ์เป็นนายก แค่กลุ่มเพื่อนเนวินก็มีจำนวนถึง 37 คน ไม่นับรวมกลุ่มอื่นๆ แต่ครั้งนี้เสียไปเพียง 23 คนและเป็นเพียงอดีต ส.ส. ซึ่งยังไม่รู้ว่าประชาชนจะเลือกกลับเข้ามาหรือไม่?

ท่ามกลางพายุการเมืองที่เผด็จการใช้ทั้งอำนาจรัฐ อำนาจเงินและข้อต่อรองทุกรูปแบบ เพื่อให้ได้จำนวน ส.ส. มากที่สุดเข้าอยู่ในสังกัดเพื่อสนับสนุนการสืบทอดอำนาจเผด็จการ สิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยวเราให้อยู่กับพรรคต่อไปคือ “ศรัทธา” ที่พวกเรามีต่อประชาชน ที่จะเป็นกำแพงให้เราพิงและจะหนุนเราให้ก้าวไปข้างหน้าเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและแก้ปัญหาให้กับประชาชน

วัฒนา เมืองสุข
27 พฤศจิกายน 2561

“ภูมิธรรม” ขอบคุณทุกกำลังใจมอบให้เพื่อไทย ยืนหยัดเพื่อประชาธิปไตย


นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้ 

พรรคเพื่อไทยจะยืนหยัด รักษาความเชื่อมั่นที่ประชาชนมอบให้เรา

ในช่วงหลายวันมานี้  อดีต .. นักการเมืองของทุกพรรคการเมืองมีการแตกตัว เปลี่ยนย้ายไปอยู่พรรคต่างๆมากมาย ไม่เว้นแม้กระทั่งพรรคเพื่อไทย

ปรากฎการณ์ที่มากและสับสนเช่นในปัจจุบัน เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นหรือไม่ควรเกิดขึ้นมากนักหากประเทศเรามีระดับการพัฒนาทางการเมืองมากกว่านี้ 

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สภาพเช่นนี้เกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์ทางการเมืองที่ผู้มีอำนาจในปัจจุบันได้ใช้อำนาจพิเศษนอกระบบเข้ามาล้มล้างการปกครองโดยการยึดอำนาจไปจากรัฐบาลประชาธิปไตยที่ได้รับฉันทานุมัติมาจากการเลือกตั้งของประชาชนทั้งประเทศและอ้างว่าจะดำเนินการปฎิรูปประเทศและปฎิรูปการเมืองของประเทศอย่างเร่งด่วนและสัญญาว่า จะคืนอำนาจกลับมาให้ประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศโดยเร็วพลันเศร้ามาก ที่สิ่งนี้ คือผลิตผลของการปฎิรูปการเมือง ที่ได้มาด้วยการแลกกับ การล้มล้างระบบประชาธิปไตยไป เมื่อ4-5ปีก่อน

หลายคนที่เคยมีส่วนร่วมสนับสนุน ให้เกิดการล้มล้างระบอบประชาธิปไตยที่ผ่านมา และเคยมีความคาดหวังอยากเห็นการปฎิรูปการเมืองเกิดขึ้นในประเทศของตน คงนึกไม่ถึงว่าคณะบุคคลที่ยึดอำนาจจะมีส่วนทำให้ระดับการพัฒนาทางการเมืองของไทยตกต่ำลงมากถึงเพียงนี้

สถานการณ์การใช้เครื่องดูดที่มีพลังมหาศาลที่ได้รับการสนับสนุนจากกลไกต่างๆที่ผู้มีอำนาจมีอยู่ถูกยื่นเป็นข้อเสนอประกอบสารพัดเงื่อนไขไม่ว่าจะเป็นผลประโยชน์ในรูปแบบต่างๆทั้งสินทรัพย์ เงินทองรวมถึงประโยชน์ในการเอื้อประโยชน์เรื่องการแบ่งเขตเลือกตั้งรวมถึงการช่วยเหลือในทางคดีหรือการช่วยคลายปัญหา คลายทุกข์ให้เครือญาติพี่น้องที่ยอมรับเงื่อนไขการย้ายไปอยู่ร่วมกัน ล้วนเป็นเหตุผลในการใช้เป็นข้ออ้าง เพื่ออธิบายของบุคคลและคณะบุคคลที่มีการโยกย้าย เปลี่ยนแปลงพรรคในครั้งนี้ทั้งสิ้น จริงหรือไม่ยังต้องใช้เวลาพิสูจน์ แต่รูปการและลักษณะของผู้ที่ตัดสินใจโยกย้ายพรรคหลายคน ล้วนมีร่องรอยให้ข้อกล่าวอ้างต่างๆมีน้ำหนักมากพอที่จะทำให้ใครหลายคนเชื่อและคล้อยตาม

ผมเคารพในข้อจำกัดและการเลือกเส้นทางชีวิตทางการเมืองของแต่ละคน  แม้นพยายามจะเข้าใจ แต่ก็ยังอดเสียดายอดีตที่แต่ละคนได้มีส่วนทุ่มเทผลักดันสิ่งดีๆที่ผ่านมาไม่ได้

เส้นทางข้างหน้า ยังทอดยาวไปอีกไกล ปัญหา อุปสรรคที่ยืนขวางหน้าการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยเปรียบเสมือนคลื่นร่อนทราย ในช่วงเปลี่ยนผ่านของกาลเวลา ที่จะมีเพียงทรายเม็ดใหญ่ที่แข็งแรง หลงเหลืออยู่

ขออวยพรให้ทุกคน ยึดมั่นในสิ่งดีๆ  และมีชีวิตอยู่อย่างมีคุณค่าเพื่อคนที่ยังยากลำบากที่ยังมีอยู่อีกมากในสังคมไทย

อย่างที่ผมเคยกล่าว… ” รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ได้เขียนขึ้นมาเพื่อพวกเรา แต่เขียนมาเพื่อคนอีกกลุ่มหนึ่ง ที่ยึดถืออำนาจอยู่ในปัจจุบันเขาหวังให้เราต้องเจอกับสภาพนี้ และมันก็ได้เกิดขึ้นแล้ว
แต่ผมยังคงยืนยัน สภาพแค่นี้ ไม่มีวันทำลายอุดมการณ์และความเชื่อมั่นของพวกเรา ที่จะมุ่งเดินไปข้างหน้าเพื่อแก้ไชปัญหาให้ประชาชนและสร้างการเมืองที่มีคุณภาพและเป็นประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นในสังคมไทย

เราจะมุ่งเดินไปข้างหน้าต่อไป เรายังมีจุดยืนที่มั่นในอุดมการณ์ประชาธิปไตย ไม่หวั่นไหว

ผมยืนยันอีกครั้งว่า พรรคเพื่อไทยยังเป็นพรรคการเมืองที่ประชาชนยังตั้งความหวังและไว้วางใจเราได้

เราได้เตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่ผ่านมาและเรียนยืนยันว่า สถานการณ์แค่นี้ ไม่ระคายหรือไม่อาจทำลายเราได้แม้แต่น้อยเรายังมีบุคลากรที่มีคุณภาพทางการเมือง และมีบุคลากรที่เป็นที่ไว้วางใจของพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ต่างๆอีกจำนวนมาก และเราก็ยังจะเป็นพรรคการเมืองที่จะได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชนอย่างสูงสุด 

พรรคเพื่อไทยจะยืนหยัดทำงานเพื่อถนอมความหวังที่ประชาชนมอบให้ ให้สมกับที่พี่น้องประชาชนฝากความหวัง ฝากชีวิต ฝากอนาคตของพวกเขาไว้กับพรรคเพื่อไทย

สุดท้าย ขอขอบคุณและขอมอบกำลังใจ ให้สมาชิกพรรคเพื่อไทยทุกคน ที่ยังคงยึดมั่นในอุดมการณ์ที่พี่น้องประชาชนฝากความหวังไว้กับพวกเรา ผมเชื่อว่าเมื่อถึงวันที่อำนาจอยู่ในมือประชาชน ประชาชนจะตัดสินใจด้วยความเชื่อมั่นในตัวพวกเรา

เราเชื่อมั่นในพี่น้องประชาชน

ภูมิธรรม เวชยชัย 
เลขาธิการพรรคเพื่อไทย

27 .. 2561 

“สุดารัตน์” ประกาศนำประชาธิปไตยกลับสู่ประเทศ


คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย  โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

พรรคเพื่อไทย ได้ผ่านร้อนผ่านหนาว ฝ่าพายุมาหลายครั้งหลายครา ตั้งแต่พรรคไทยรักไทย แต่เราก็ยังยืนหยัดอยู่ได้เพราะเรายึดมั่นในประชาธิปไตย’​  และเรามีประชาชนอยู่ในหัวใจเสมอมา 
.
พวกเราคนเพื่อไทยทำงานกันอย่างหนักเพื่อให้ทุกข์ของประชาชนถูกแก้ไข เพราะเราถือว่าทุกข์ของคนไทยคือทุกข์ของพรรคเพื่อไทย
.
ระยะทางที่ยาวไกล และอุปสรรคที่ต้องฟันฝ่า ได้เป็นเสมือนด่านคัดกรอง  ความแข็งแกร่ง และความมุ่งมั่นในอุดมการณ์ ของคนเพื่อไทย ที่ร่วมทำงานกันมาถึงวันนี้
.
ขอขอบคุณและขอคารวะในความแข็งแกร่งของทุกท่านที่ได้ยืนหยัดรักษาอุดมการณ์ประชาธิปไตยร่วมกับพรรคเพื่อไทยอย่างมั่นคง
.
จากนี้เพื่อไทยเราพร้อมที่จะเดินหน้าทำงาน  เพื่อความมั่นคงของสถาบันชาติศาสนาพระมหากษัตริย์
.
เราจะทวงความสุขกลับมาสู่คนไทย
เราจะนำประชาธิปไตยกลับมาสู่ประเทศ 
เพื่อคว้าโอกาสในโลกยุคใหม่ใส่มือคนไทย
.
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์
ประธานยุทธศาสตร์
พรรคเพื่อไทย
.
#เลือดข้นคนเพื่อไทย 

#เพื่อไทยหัวใจคือประชาชน

“เพื่อไทย” ไม่หวั่นถูกพลังดูด เตือนทุกพรรคอย่าเอาเปรียบ


นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่อดีต .. พรรคเพื่อไทยย้ายไปสังกัดพรรคพลังประชารัฐว่า ในพรรคเพื่อไทยไม่มีความขัดแย้ง และเมื่อท่านตัดสินใจแล้ว ก็ขอให้ท่านโชคดี พรรคสามารถหาคนไปลงแทนในทุกเขตที่ย้ายออก เนื่องจากประชาชนในพื้นที่เหล่านั้นยังสนับสนุนพรรคเพื่อไทยอย่างเข้มแข็ง ส่วนกรณีคนย้ายพรรคสัมภาษณ์ว่าที่ออกจากพรรคเพื่อไทยไปร่วมกับพรรคพลังประชารัฐเพื่อก้าวข้ามความขัดแย้งนั้น ตนขอเรียนว่าพรรคเพื่อไทยมีจุดยืนและแนวทางที่ชัดเจนว่าเราต้องการเห็นความปรองดองสมานฉันท์เกิดขึ้นในชาติและทุกฝ่ายต้องก้าวข้ามความขัดแย้ง เพื่อให้ประเทศเดินหน้า และขอเชิญทุกพรรคให้ทำงานการเมืองอย่างสร้างสรรค์ ไม่เอาเปรียบพรรคอื่น แข่งกันนำเสนอนโยบายเพื่อแก้ปัญหาให้ประชาชน และประเทศชาติต่อไป