วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2558

บรรยากาศที่ตลาดน้ำอัมพวา คึกคัก! นักท่องเที่ยวร่วมฉลองปีใหม่แน่นพื้นที่


รายงานบรรยากาศงานเคาท์ดาวน์ จากบริเวณตลาดน้ำอัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม เป็นตลาดริมคลอง ตั้งอยู่ใกล้วัดอัมพวันเจติยาราม อีกหนึ่งพื้นที่หนึ่งที่ผู้คนให้ความสนใจมาเฉลิมฉลองกันเป็นจำนวนมาก โดยบรรยากาศเริ่มคึกคักตั้งแต่ช่วงเย็น มีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีสดสวยงามมากันเป็นครอบครัว ขณะที่ภายในงานมีการประดับประดาด้วยแสงไฟ พร้อมมีกิจกรรมบริเวณซุ้มสำหรับถ่ายภาพความประทับใจ และกิจกรรมการละเล่นต่างๆ อีกมากมาย พร้อมทั้งร้านอาหารหลากหลาย

ดูภาพถ่ายเพิ่มเติม ได้ที่ https://twitter.com/Warintra_TV24

















“นรวิชญ์”สับ“ไก่อู”ไม่เข้าใจ แนะสวดเอาบุญ คดีจำนำข้าว

นรวิชญ์ “ชี้” ไก่อูยังไม่เข้าใจคำว่า “อำนวยความยุติธรรม” การอำนวยความยุติธรรมไม่ใช่เรื่องที่รัฐบาลต้องระอาใจ
 

นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความส่วนตัวของอดีตนายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

วันนี้ (31 ธันวาคม 2558) ทนายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความส่วนตัวของ อดีตนายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กล่าวถึง กรณีที่ พล.ตรี สรรเสริญฯ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาเปิดเผย ว่า รัฐบาลรู้สึกอ่อนระอาใจกับการขอเพิ่มพยาน จำนวน 18 ปากของอดีตนายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ฯ ในการดำเนินคดีความรับผิดทางละเมิดโครงการรับจำนำข้าว นั้น

ทนายนรวิชญ์ กล่าวว่า การที่โฆษกรัฐบาลออกมาให้ข่าวเช่นนี้ แสดงให้เห็นถึงความไม่เข้าใจของ รัฐบาล และการทำหน้าที่ของโฆษกรัฐบาล “ในการอำนวยความยุติธรรม” ความจริงผลงานรัฐบาลก็แถลงไปแล้วจึงไม่มีอะไรที่ต้องรีบเร่งอีก

ทนายนรวิชญ์ กล่าวอีกว่า ในการทำหน้าที่ของโฆษกรัฐบาล ท่านยังไม่เข้าใจหลายเรื่อง เช่น

1. การอำนวยความยุติธรรม เป็นสิทธิขั้นพื้นฐานที่รัฐธรรมนูญทุกฉบับ แม้แต่รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว ก็ได้รับรอง และคุ้มครองไว้

2. เรื่องดำเนินคดีความรับผิดทางละเมิดโครงการรับจำนำข้าว ท่านอดีตนายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้เคยเรียกร้องต่อรัฐบาลแล้ว หากเกิดความเสียหาย ก็ให้ไปดำเนินการฟ้องร้องที่ศาล ซึ่งถือว่าเป็นคนกลางให้เป็นผู้พิจารณา ไม่ใช่รัฐบาลที่เป็นผู้มีส่วนได้เสียมาดำเนินการสอบสวนและตัดสินเอง แต่อย่างไรก็ตามเมื่อรัฐบาลเลือกที่จะสอบสวนและตัดสินเอง รัฐบาลก็ไม่ควรมาพูด ว่า “ระอาใจ” ในการอำนวยความยุติธรรม

3. พยานที่เพิ่มจำนวน 18 ปากล้วนแต่เป็นพยานที่ศาลท่านได้รับไว้เป็นพยานเกือบทั้งสิ้น การที่โฆษกรัฐบาล กล่าวว่า “พยานบางท่านมองแทบไม่ออกว่าเกี่ยวข้องอย่างไร..” นั้น จึงเป็นการ “มโน” เองทั้งสิ้น อันเป็นการขัดต่อหลักการรับฟังข้อเท็จจริงอย่างยิ่ง

4. การที่โฆษกรัฐบาลออกมากล่าว เช่นนี้ อาจจะถูกมมองว่า รัฐบาลกำลังเร่งรีบไปหรือไม่ ทั้งที่มีพยานอีกหลายปากที่เกี่ยวข้อง และเกี่ยวเนื่องกับโครงการับจำนำข้าว ก็ยังไม่ได้สอบสวน

5. รัฐบาลจะเร่งรีบจะปิดสำนวนการสอบสวนไปหรือไม่ ทั้งที่คดีหมดอายุความในเดือนกุมภาพันธ์ 2560 แต่หากการเร่งรีบปิดสำนวน เป็นเพียงเพราะต้องการสำนวนคดีแพ่งไปประกอบการเบิกความเป็นพยานของประธานการสอบสวนฯ ที่จะไปเบิกความในคดีอาญาในวันที่ 15 มกราคม 2559 นี้แล้ว หากเป็นเช่นนั้นจริง แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลกำลังละเลยการอำนวยความยุติธรรมหรือไม่?

ทนายนรวิชญ์ ยังกล่าวอีกว่า ที่ผ่านมา ท่านอดีตนายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้ให้ความร่วมมือในการสอบสวนด้วยดีมาตลอด และพยานที่อ้างเป็นพยานทั้งหลาย ล้วนแต่เป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง และรู้เห็นในการดำเนินโครงการรับจำนำข้าว ทั้งสิ้น

ทนายนรวิชญ์ จึงขอฝากถึง "โฆษกรัฐบาล" ในปีใหม่นี้ ให้ท่านไปนั่งสวดมนต์ข้ามปีกับเขาบ้าง จะได้เป็นบุญกุศลต่อท่านบ้าง...

“พานทองแท้” FB ปริศนา ประชาธิปไตยจะกลับมาปีหน้า


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

ของขวัญส่งท้ายปีเก่า จาก ป.ป.ช.รักษาการฯ ในขณะที่กำลังรอชุดใหม่เข้ารับตำแหน่ง แด่พี่น้องประชาชนไทย.....!!

คือการสั่งไม่ฟ้องรัฐบาลประชาธิปัตย์ ในคดีสลายการชุมนุมเมื่อปี 53 ที่มีพี่น้องประชาชน ถูกฆ่าตายกลางเมืองหลวงของประเทศไทย เกือบร้อยศพ ครับ..!!

ของขวัญชิ้นนี้ คงจะทำให้คนส่วนน้อยของประเทศ ที่นิยมชมชอบในพรรคประชาธิปัตย์ ยินดีปรีดากันถ้วนหน้า แต่สำหรับคนส่วนใหญ่ของประเทศ ที่รักความยุติธรรม และไม่เคยเลื่อมใส-ไม่เคยเลือกพรรคฯนี้ ย่อมผิดหวังและไม่พอใจเป็นธรรมดา

เมื่อเปรียบเทียบกับอีกเหตุการณ์หนึ่ง ซึ่งเป็นการสลายการชุมนุมเช่นกัน แตกต่างกันเพียงเป็นของอีกรัฐบาลหนึ่ง และมีคนตายเพียงหยิบมือ จากการขับรถบรรทุกระเบิดด้วยตัวเองมั่ง ระเบิดในกระเป๋าถือของตัวเองเกิดระเบิดมั่ง ความรุนแรงน้อยกว่ากันเยอะ แต่พฤติกรรมของป.ป.ช. กลับแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว เพราะสั่งฟ้องตั้งแต่ก่อนไก่โห่ เช่นเดียวกับอีกหลายๆคดี ที่ฝั่งหนึ่งเร่งรัดดำเนินการ ส่วนอีกฝั่งหนึ่งปล่อยหมดอายุความบ้าง เอกสารหายบ้าง แล้วแต่จะหาเหตุผลมาแอบอ้างฯ

ป.ป.ช.เป็นองค์กรอิสระ ที่อยู่ต้นน้ำของกระบวนการยุติธรรมครับ หากมีพฤติกรรม 2 มาตรฐาน แบบไม่อายสายตาประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คอยแต่จะตัดตอนเรื่องของฝ่ายหนึ่ง ไม่ให้ขึ้นสู่กระบวนการพิจารณาคดีของศาลยุติธรรม โดยขัดต่อความรู้สึกของคนส่วนใหญ่อยู่ตลอดเวลา กระบวนการยุติธรรมโดยรวมของไทย ย่อมสั่นคลอนและขาดความน่าเชื่อถือ

ท่าทีของผู้ที่ถืออำนาจรัฐอื่นๆก็เช่นเดียวกันครับ ท่ามกลางสถานการณ์ที่บ้านเมืองแตกแยกเช่นนี้ ปากพูดว่าทำเพื่อประเทศชาติ แต่การกระทำกลับเห็นได้ชัดเจนว่ามีพฤติกรรม 2 มาตรฐานอยู่ตลอดเวลา จะเป็นเผด็จการฯอีกกี่ปี จะรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญอีกกี่ครั้ง บ้านเมืองก็ไม่มีวันดีขึ้นได้ ยิ่งใช้อำนาจเผด็จการไปอีกนานเท่าไหร่ บ้านเมืองก็ยิ่งถอยหลังลงไป เท่านั้น

ปีใหม่นี้ พวกที่ชอบเรียกตัวเองว่าคนดี ควรหยุดคิดได้แล้วว่า ถ้าปล่อยประเทศไทยให้เป็นไปไปตามครรลองประชาธิปไตย แบบประเทศอื่นแล้ว ประเทศไทยจะล่มสลาย มีแต่พวกกูตัวกูเท่านั้นที่รักชาติ ไม่โกงชาติ ดังนั้นจะทำอะไรก็ไม่ผิด ส่วนอีกฝ่ายเป็นคนเลว ทำอะไรก็ต้องผิดไปเสียหมด มัวแต่คิดแบบนี้ ความปรองดองของคนในชาติ ไม่มีวันเกิดขึ้นได้ครับ

ปีใหม่ฟ้าใหม่ ทำใจให้สดใส ปรับทัศนคติตัวเองให้ดี ไม่ต้องไปปรับใครที่ไหนให้เสียเวลา ประเทศชาติจะดีขึ้นเองครับ..!!

วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2558

“ปลอดประสพ” FB อโหสิ เตือนปีหน้าอย่าข่มเหง-ความอดทนมีจำกัด


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า "ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี" อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์โดยมีเนื้อหาดังนี้

ขอบ่นส่งท้ายปีเก่า

ปีเก่า 2558 กำลังจะผ่านไปอย่างเฉาๆ และปีใหม่ 2559 ก็กำลังผ่านเข้ามาอย่างสะลึมสะลือ

การเจริญเติมโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยขยายตัวเพียงร้อยละ 2 (ต่ำสุดในภูมิภาคนี้)

สำหรับในปีหน้าไม่ว่าจะโม้อย่างไรก็ตามก็จะไม่ดีไปกว่านี้แน่นอน (หากจะท้าพนันรถเบนซ์กับผมก็ยินดี)

ภาคเกษตรที่เป็นรายได้หลักของคนประมาณ ร้อยละ 30-40 ขณะนี้กำลังเข้าสู่วัฏจักรขาลงในตลาดโลก ในขณะที่สินค้าที่เราส่งออกก็ไม่สามารถแข่งขันได้เพราะเป็นสินค้าที่โลกไม่นิยมแล้วอย่างนี้เรียกว่าหลับยาวตื่นยาก โทษใครเล่าครับ (อย่าโทษรัฐบาลที่แล้วเพราะท่านบริหารมา 2 ปีแล้ว)

ท่านประกาศยึดมั่นในเศรษฐกิจพอเพียงซึ่งแปลว่าทุกคนต้องประหยัดการใช้จ่ายในช่วงที่มีรายได้น้อย แต่ท่านกลับกระตุ้นยุยงให้มีการใช้จ่ายโดยใช้ภาษีล่อ ทีพวกผมกับเรื่องคืนภาษีรถคันแรกท่านก็ตำหนิว่าเป็นการสร้างดีมานเทียม เป็นการสิ้นเปลือง

พวกผมกู้เงินภายในประเทศมาแก้ปัญหาเรื่องน้ำท่วมน้ำแล้งและพัฒนาระบบรถไฟของประเทศ ซึ่งล้าหลังเต็มทีท่านก็ตำหนิ ก่นด่าว่าเป็นการก่อหนี้สร้างความฉิบหาย สร้างหนี้สินให้ประเทศ

แต่ตอนนี้ท่านกำลังจะกู้เงินจากจีนด้วยดอกเบี้ยสูงลิ่ว แถมไม่มีคู่แข่งเสียอีกด้วย

ผมทำโครงการน้ำค่าออกแบบไม่ได้เสียเงินสักบาท (ทุ่นไปประมาณ 20,000 ล้านบาท) แต่ท่านหาว่าทุจริตเพราะไม่มีราคากลาง

แล้วโครงการรถไฟของท่านซึ่งแพงกว่าพวกผมสองเท่าน่ะ ราคากลางอยู่ที่ไหน แถมยังทำเท่ห์ไปวางศิลาฤกษ์เสียอีกทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ทำสัญญาอะไรกันเลย (อย่างนี้มันโปร่งใสใช่หรือไม่ครับ)

โครงการจำนำข้าวเรื่องราวกำลังอยู่ในศาล ท่านก็สรุปทุกวันว่าทุจริตผิดแล้วแน่นอน พอเรื่องราชภักดิ์ทั้งๆ ที่คนทำเขาบอกว่ามีการโกงกันแน่นอน ท่านกลับบอกสุจริตเพราะตั้งใจดีมาแต่ต้น (มันเป็นอย่างนี้แล้วจะให้เคารพเชื่อถือกันได้อย่างไร)

มนุษย์ห่มผ้าเหลืองบ้าบออะไรนั้น พาคนร่วม 200 เดินขบวน ไปประท้วงสหรัฐท่านกลับเฉย แต่พอจ่านิวและพรรคพวกขึ้นรถไฟไปดูโครงการราชภักดิ์ ท่านก็รี่เข้าจับกุมหาว่าเป็นการชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน

อดีต ส.ส.พรรคผมให้ สัมภาษณ์ว่าจำนำข้าวมันดีท่านก็เรียกไปอบรม ปรับทัศนคติ แต่พอพวกท่านพูดว่าจำนำข้าวมันเลว ท่านก็ว่าเป็นการพูดความจริงน่าสรรเสริญ (คือมองต่างมุมกันแบบนรกกับสรรค์ทีเดียว)

ท่านร่างรัฐธรรมนูญหน้าตาอัปลักษณ์ พิกลพิการท่านก็ว่ามันสวยแบบไทยๆ (คือแบบจมูกแฟบๆ) นายกคนนอกได้ สว.ก็ลากตั้ง ท่านก็ว่ามันเหมาะแบบไทยๆ อีก (เขาเรียกแบบอุปถัมภ์ครับ)

ท่านปฏิวัติยึดอำนาจ ท่านก็บ่นว่าไม่อยากทำมายัดเยียดให้ท่านเอง ตอนนี้อยากจะออกใจจะขาดแต่กลับยืดโรดแมปเป็นเลือกตั้งปี 2560

ทั้งหมดนี้เป็นการบ่นเพื่อส่งท้ายปีเก่าแล้วก็ภาวนาขอให้อย่าได้เจอะเจออะไรแบบนี้อีก เอาว่าที่ผ่านมาก็ขอให้ผ่านไป จะพยายามลืม พยายามอโหสิ แต่ขอข้างหน้าอย่าทำอีกได้ไหม เพราะหากยังฝืนข่มเหงกันต่อไป ความอดทนก็มีจำกัดเหมือนกันนะครับ

“ขัตติยา” FB สวัสดีปีใหม่ เชื่อประชาชนจะกลับมาเข้มแข็ง แก้ไขความไม่ยุติธรรม


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า "เดียร์-ขัตติยา สวัสดิผล" อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่าน เครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

อยู่ดีๆ เมื่อวานเดียร์และใครอีกหลายคนก็ได้รับของขวัญปีใหม่หน้าตาอัปลักษณ์จากปปช. เป็นมติ 7 ต่อ 0 ให้ตีตกคำร้องขอให้ถอดถอนและคำกล่าวหานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ สั่งใช้กำลังทหาร ตำรวจ และข้าราชการพลเรือนเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มนปช. ในวันที่ 10 เมษายน 2553 จนถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก โดยปปช.ให้เหตุผลว่า...จากการไต่สวนยังรับฟังไม่ได้ว่าทั้งสามคนนี้ (อภิสิทธิ์/สุเทพ/อนุพงษ์ ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนหลักใน ศอฉ.และมีอำนาจสั่งการในทุกด้านและทุกหน่วยงานในขณะนั้น) ได้ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยมีเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายกับประชาชนผู้บริสุทธิ์ หรือเป็นผู้ก่อหรือใช้ให้มีการฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาเล็งเห็นผลแต่อย่างใด และโยนให้เป็นความรับผิดชอบเฉพาะตัวแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ (ง่ายๆ ก็คือพวกทหารและตำรวจ) ที่จะต้องพิสูจน์ว่าการใช้อาวุธในแต่ละกรณีนั้นสุจริต เลือกปฏิบัติ และเกินสมควรแก่เหตุหรือไม่ ซึ่งดีเอสไอจะต้องเป็นผู้สืบสวนหาความจริงในเรื่องนี้ต่อไป

ฟังดูเหมือนปปช. ได้ล้างความผิดให้กับผู้ชายทั้งสามคนนี้ไปเรียบร้อยแล้ว แต่ที่ยังอยู่ก็คือหลักการ ความเชื่อ และความรู้สึกของญาติคนตายที่ทำใจยอมรับไม่ได้ว่า...ผู้ชายทั้งสามคนนี้ไม่ได้มีส่วนร่วมหรือเจตนาให้มีความตายเกิดขึ้น เพราะการออกคำสั่งอนุญาตให้เจ้าหน้าที่นำอาวุธสงครามออกมาใช้เพื่อสลายการชุมนุม ผู้สั่งการย่อมมีเจตนาเล็งเห็นผลได้ว่าการกระทำนั้นจะเกิดอันตรายขึ้นแก่ผู้อื่น

ทหารและตำรวจถูกสอนและฝึกฝนมาว่าต้องฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชาและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด น่าเห็นใจเจ้าหน้าที่ที่รับคำสั่งให้เข้าไปปฏิบัติการสลายการชุมนุมและลงมือฆ่าผู้ชุมนุม ที่คงไม่ทันได้คิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำลงไปตามคำสั่งในขณะนั้น ในอนาคตมันจะกลายเป็นความผิดเฉพาะตัวที่ผู้บังคับบัญชาสูงสุดหรือผู้สั่งการได้หนีเอาตัวรอดเพื่อให้ตัวเองพ้นผิดไปอย่างง่ายดาย ทิ้งให้แต่เจ้าหน้าที่ต้องมาพิสูจน์การกระทำของตัวเองว่าสุจริตหรือเกินสมควรแก่เหตุหรือไม่ เท่ากับว่านอกจากคนตายที่ตกเป็นเหยื่อของความขัดแย้งแล้ว...เจ้าหน้าที่ก็กลายเป็นเหยื่อของนักการเมืองหรือผู้บังคับบัญชาของตนเองในขณะนั้นเหมือนกัน

แต่ที่น่าสงสารกว่า ก็คือผู้ตายและญาติที่ต้องสูญเสียผู้เป็นที่รัก เพราะโอกาสที่จะหาว่าเจ้าหน้าที่คนไหนเป็นคนฆ่าดูจะริบหรี่มาก และดูเหมือนจะไม่มีความหวังว่าจะหาตัวคนฆ่าบุพพการีหรือญาติพี่น้องของตัวเองได้ แถมคนที่ควรจะได้ชื่อว่าเป็นผู้สั่งการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุนให้มีการตาย ก็ดูเหมือนจะลอยนวลหลุดพ้นความผิดไปแล้ว

สิ่งที่ต้องจับตามองและเป็นสิ่งที่เดียร์กังวลมาตลอดว่ามันจะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต คือการใช้ทฤษฎีสมคบคิดและการทำงานอย่างเป็นระบบของผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้อง ที่อาจจะโยนความผิดในเรื่องนี้กลับมาใส่คนตายที่ไม่สามารถฟื้นขึ้นมาพิสูจน์ความจริงได้ และเป็นแพะรับบาปได้ดีที่สุด เพื่อทำให้ผู้สั่งการและผู้ปฏิบัติพ้นผิดกันไปแบบตัวลอยและไม่บาดหมางกันเอง

น่าเสียใจที่ลำพังคนที่ตายต้องมาจบชีวิตไปทั้งๆที่ไม่มีอาวุธอยู่ในมือมันก็น่าอนาถกับสังคมไทยมากพอแล้ว ถ้าจะต้องเอาความผิดมาแปะไว้บนศพคนตายอีก กระบวนการยุติธรรมในประเทศไทยก็คงไม่ได้มีไว้ให้พึ่งพา แต่คงตราหน้าไว้ได้ว่าเป็นเพียงเครื่องมือทางการเมือง

สุดท้ายนี้ ท่ามกลางสิ่งที่คนไทยต้องเผชิญในภาวะตกต่ำของสิทธิมนุษยชนไทย เดียร์ยังเชื่อว่าซักวันหนึ่งเมื่อประชาชนกลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง เราจะสามารถแก้ไขความไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้นในอดีต และทำให้มันถูกต้องเสียที

เดียร์ขอสวัสดีปีใหม่ทุกท่านและขออวยพรให้ทุกท่านเข็มแข็ง สุขภาพดี และมีความสุขตลอดปี 2559 ค่ะ

“ยิ่งลักษณ์” เยือนพัทยา เยี่ยมร้านอาหาร “ฮีโร่เตะระเบิด”


นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี รับประทานอาหารที่ร้าน “J&JUNE Sweet Corner” ร้านอาหารยอดนิยมบริเวณหน้า มหาวิทยาลัยบูรพา ต.แสนสุข อ.เมือง มหาวิทยาลัยบูรพา จังหวัดชลบุรี ของครอบครัว ร.ต.ท.ธีรเดช เล็กภู่ หรือที่รู้จักกันในชื่อ "ฮีโร่เตะระเบิด" ทั้งนี้ ร.ต.ท.ธีรเดช เล็กภู่ ได้รับบาดเจ็บสาหัสที่ขาทั้งสองข้าง หลังเตะระเบิดที่ถูกโยนเข้าใส่กลุ่มเพื่อนตำรวจ โดยมีทิศทางการโยนระเบิดดังกล่าวมาจากกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส. บริเวณสะพานผ่านฟ้า โดย ร.ต.ท.ธีรเดช เล็กภู่ เผยว่า "ที่วิ่งไปเตะระเบิดก็เป็นเพราะห่วงเพื่อนตำรวจด้วยกัน" ซึ่งขณะนี้ ทางการไทย ยังไม่สามารถจับคนร้ายที่ขว้างระเบิดมาลงโทษได้ แต่การเสียสละของ ร.ต.ท.ธีรเดช ในการเข้าช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ขณะนั้น ได้รับการกล่าวถึงจากสังคมของผู้ที่รักความยุติธรรม และ มีประชาชนแสดงความยกย่อง และยอมรับนับถือในความเสียสละของ ร.ต.ท.ธีรเดช เล็กภู่ เป็นจำนวนมาก

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางมาเที่ยวพักผ่อนกับครอบครัวที่พัทยาช่วงเทศกาลปีใหม่ตั้งแต่เมื่อวานนี้ โดยนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังได้ถ่ายภาพความประทับใจระหว่างที่ เด็กชายศุภเสกข์ อมรฉัตร หรือ น้องไปป์ บุตรชาย เที่ยวพักผ่อนที่ชายหาดพัทยาด้วย















“วัฒนา” ชี้บ้านเมืองยังวิกฤต แนะรัฐเคารพเสียงประชาชนเป็นของขวัญปีใหม่


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

"ของขวัญปีใหม่ของคนไทย"

นับตั้งแต่ คสช ได้ยึดอำนาจการปกครองโดยมีข้ออ้างตามประกาศ คสช ฉบับที่ 1/2557 ว่า "เพื่อให้ประเทศเข้าสู่สภาวะปกติโดยเร็ว ประชาชนในชาติเกิดความรักความสามัคคี ตลอดจนเพื่อการปฏิรูปโครงสร้างทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และอื่นๆ เพื่อให้เกิดความชอบธรรมกับทุกพวกทุกฝ่าย" นั้น บัดนี้เป็นเวลา 19 เดือนเศษแล้ว ผมยังมองไม่เห็นวี่แววความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาแต่กลับเห็นว่าประเทศกำลังเผชิญวิกฤตอย่างรุนแรงที่เกิดจากผู้นำและองคาพยพที่ คสช ได้ตั้งขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาของประเทศ ที่ไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่น ความไว้วางใจและความศรัทธาให้เกิดแก่ประชาชนได้

เริ่มจากการสร้างความไม่น่าเชื่อถือต่อคำพูดของนายกรัฐมนตรี ที่ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวระหว่างการเยือนญี่ปุ่นว่า "ไทยกำลังเดินหน้าสู่ระบอบประชาธิปไตยตามโรดแมปที่วางไว้ คาดว่าจะจัดให้มีการเลือกตั้งได้ในช่วงต้นปี 2559" ต่อมาโรดแมปของท่านก็ขยายเป็นกลางปี 2560 และล่าสุดจากการให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนโรดแมปของท่านคือ "จะให้มีเลือกตั้งหรือไม่มีเลยมันก็เรื่องของผม รัฐธรรมนูญไม่ผ่านแล้วผมจะทำอย่างไรก็เรื่องของผม" ยังไม่รวมวาทกรรมทางการเมืองอื่นๆ อีก เช่น ให้ชาวสวนยาง "นำยางไปขายที่ดาวอังคาร" หรือ "แต่งบิกีนี่ที่ประเทศไทยจะรอดมั้ย เว้นแต่จะไม่สวย" เมื่อคราวเกิดเหตุฆาตรกรรมนักท่องเที่ยวที่เกาะเต่าจนเกิดการประท้วงจากต่างชาติ หรือการที่ท่านเห็นนักการเมืองเป็น "ขยะมนุษย์ที่ต้องเอาออกจากประเทศให้หมด" แม้กระทั่งผู้สื่อข่าวก็ยังโดนวาทะว่า "เดี๋ยวทุ่มด้วยโพเดี้ยม" ส่วนที่ลือลั่นที่สุดน่าจะเป็นคำพูดที่ว่าจะ "ปิดประเทศ" เป็นต้น เหล่านี้ล้วนเป็นเหตุแห่งความเสื่อมที่เกิดจากคำพูดของท่านเองที่เรียกว่า "โอษฐภัย" หรือภัยอันเกิดจากคำพูดทั้งสิ้น

เรายังเผชิญวิกฤตในด้านการสร้างความปรองดอง ที่เกิดจากรัฐบาลทำตัวเป็นคู่กรณีแห่งความขัดแย้งและเลือกข้างทางการเมืองเสียเองทำให้ประชาชนไม่เชื่อในความยุติธรรม ดังเช่นการที่รัฐบาลดำเนินคดีกับผู้ที่ติดตามตรวจสอบการทุจริตในโครงการอุทยานราชภักดิ์โดยอ้างว่าเป็นการชุมนุมทางการเมือง แต่กลับไม่ดำเนินคดีกับกลุ่มบุคคลกว่า 200 คนที่ไปประท้วงที่สถานทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย รัฐบาลยังล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ การส่งออกที่เป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจไทยทั้งปีคาดว่าจะติดลบไม่น้อยกว่า 5.5% จากเดิมที่คาดว่าจะติดลบที่ 3% การบริโภคภายในตกอย่างต่อเนื่อง การลงทุนใหม่ๆ ไม่เกิดขึ้น ส่วนการลงทุนภาครัฐไม่ทำให้นักลงทุนมั่นใจ ประเทศคู่ค้าสำคัญยังใช้มาตรการกีดกันทางการค้ากดดันให้รีบคืนอำนาจให้ประชาชน และที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2559 คือชาวนาจะปลูกข้าวไม่ได้อันเกิดจากภัยแล้ง

เรายังเผชิญวิกฤตศรัทธาจากคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ที่มีนายมีชัย ฤชุพันธ์ เป็นประธานที่ไม่เคยสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนได้ว่าเรากำลังจะมีรัฐธรรมนูญอันเป็นกติกาการเมืองของประเทศที่มีความเป็นสากลและอยู่บนหลักนิติธรรม กรธ. มีหน้าที่สำคัญคือการนิรโทษกรรมให้กับ คสช. และรัฐบาลที่เกิดขึ้นจากการบริหารราชการภายหลังการยึดอำนาจ ทั้งที่ได้มีการนิรโทษกรรมให้กับการยึดอำนาจไปครั้งหนึ่งก่อนหน้าแล้ว โดยมีประธาน คสช ออกมาปกป้องการทำหน้าที่ของนายมีชัยด้วยการให้สัมภาษณ์ว่า "จะโดนตำหนิทุกวันอย่างนี้ไม่ได้" ที่กล่าวมาทั้งหมดจึงเป็นวิกฤตของประเทศที่ทำให้ประชาชนขาดศรัทธา หมดความเชื่อถือและไม่เชื่อมั่นว่า คสช และคณะจะแก้ปัญหาให้กับประเทศได้

ปัญหาเร่งด่วนที่สุดที่ต้องเร่งแก้ไขคือปัญหาเศรษฐกิจซึ่งเห็นแล้วว่าไม่มีทางแก้ไขได้ เพราะกลุ่มประเทศที่เป็นคู่ค้ารังเกียจและไม่คุยกับรัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจ ยิ่งอยู่นานขึ้นเท่าไรปัญหาก็จะมากและแก้ไขได้ยากขึ้นเท่านั้น นี่คือข้อจำกัดอันเป็นเหตุให้นานาชาติกดดันไม่ได้เกิดมาจากใครคนใดคนหนึ่ง ผมเชื่อว่าทุกคนหวังดีต่อชาติบ้านเมืองแต่สิ่งที่ประเทศนี้ต้องการมากกว่าความหวังดีคือ "การเสียสละ" ทำได้ด้วยการรีบคืนอำนาจให้ประชาชนเพื่อให้ไปเลือกรัฐบาลมาแก้ปัญหาของประเทศ เลิกอ้างเสียทีว่าหากเลือกตั้งแล้วคนไทยจะตีกัน ทุกคนควรเคารพดุลพินิจของประชาชนว่าสามารถจะตัดสินอนาคตของตนเองได้ พวกท่านไม่คิดจะเสียสละให้เป็นของขวัญแก่คนไทยในโอกาสปีใหม่ 2559 บ้างหรือ?

วัฒนา เมืองสุข
30 ธันวาคม 2558

วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2558

“พานทองแท้” ติงมาตรการคืนภาษี อุ้มคนรวย-ไม่ช่วยคนจน ไม่มีวันชนะประชานิยม


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

มวยคู่เอกระหว่าง "การคืนภาษี จากค่ายประชารัฐ" กับ "30บาทรักษาทุกโรค จากค่าย ประชานิยม" มาดูกันว่าอย่างไหน จะถูกใจคนรวย-คนจน ครับ

โครงการคืนภาษี เป็นการคืนเงินให้กับประชาชน จากยอดใช้จ่ายไม่เกิน15,000บาท (ไม่ใช่คืนเงิน 15,000 บาท นะครับ คืนตั้งแต่ 0 บาท จนถึง 5พันกว่าบาท คนรวยมากได้เงินคืนมาก คนจนมาก จ่ายเต็ม ไม่คืนเงินให้ครับ) ซึ่งผู้เกี่ยวข้อง ออกมายืนยันแล้วว่า ไปเที่ยวอาบอบนวด ก็ลดหย่อนภาษีได้ ตามกฏเกณฑ์นี้ครับ

1. คนจนที่ฐานรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ต้องเสียภาษี จะไม่ได้ประโยชน์จากโครงการนี้เลยแม้แต่บาทเดียว
2. คนที่มีเงินเดือนน้อย แต่อยู่ในเกณฑ์ต้องเสียภาษี(5%) สามารถลดหย่อนได้ .05 x 15,000 =750บาท
3. คนรวยสุดๆ ประเภทได้รับเงินเดือน เดือนละ 3-4แสนบาท จะได้รับการลดหย่อนถึง 5,250บาท

หลักการคนละเรื่องกับ "โครงการขวัญใจคนจน 30บาทรักษาทุกโรค" เลยครับ โครงการ30บาท เป็นการใช้เงินภาษีที่เก็บได้ มาลงเป็นกองกลาง สำหรับการรักษาพยาบาล คนจนไม่มีรายได้พอที่จะเสียภาษี ก็สามารถใช้บริการได้ และที่ผ่านมาคนยากคนจนนี้แหละ ที่มาใช้บริการ 30 บาทเยอะที่สุด

ก่อนหน้าที่จะมีโครงการ 30 บาท คนยากคนจนที่ไม่มีสตางค์เพียงพอ ที่จะเข้าถึงการรักษา พ่อแก่แม่เฒ่าเป็นโรคหัวใจ, ความดัน, เส้นเลือดอุดตัน ฯลฯ สมัยก่อนไม่มีเงินเป็นหมื่นเป็นแสนไปรักษา ก็ต้องปล่อยไปตามยถากรรม ได้โครงการประชานิยมนี่แหละ ที่ทำให้อยู่กับลูกหลานได้ยาวนานขึ้น

ส่วนคนรวยที่มีรายได้ 4-5 ล้านต่อปี มีเงินล้นฟ้า เขาไม่มาใช้สิทธิ์ในโครงการนี้หรอกครับ มีเงินรักษาโรงพยาบาลเอกชนอยู่แล้ว ไม่มาเบียดเบียนโครงการช่วยเหลือคนจน เป็นการกระจายความสุข แบ่งเบาความทุกข์ ที่เหมาะสมคลาสสิคที่สุด ตามแบบฉบับสังคมไทย

ผมก็ไม่รู้ว่าคนรวยหน้าไหน ที่ไปเสนอหน้าหลอกท่านผู้นำฯ ให้ทำโครงการประเภท ลงอ่างยกเว้นภาษีแบบนี้นะครับ..!! คนรวยได้ประโยชน์ เที่ยวอาบอบนวดถูกลง คนยิ่งจนก็ยิ่งได้ประโยชน์น้อยลงเรื่อยๆ ส่วนคนจนมากไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ยิ่งทำรัฐบาลก็ยิ่งเสียครับแบบนี้

เป็นเผด็จการฯอยากทำอะไร ประชาชนเขาไม่กล้าว่าครับ อยากจะบอกว่าตัวเองได้รับความนิยม 99.5% ประชาชนก็ยอมเป็นคน 0.5%ครับ ไม่มีใครกล้าเถียง ดังนั้นอยากทำอะไร ก็เอาที่ท่านสบายใจละกัน
อีกกี่ปีจะเลือกตั้งเขาก็จะรอ เลือกคนที่รัก-เลือกพรรคฯที่ชอบครับ ประชาธิปไตยกลับมาเมื่อไหร่ นโยบายอุ้มคนรวย-ไม่ช่วยคนจน ไม่มีวันชนะ โครงการประชานิยมได้หรอกครับ ประวัติศาสตร์มีให้เห็นกันอยู่แล้ว บอกไว้ตั้งแต่วันนี้เลย

วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2558

“พานทองแท้” เทียบสึนามิ-รัฐประหาร ถามกลับรัฐยึดโยงประชาชนแค่ไหน?


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

วันนี้เมื่อ 11 ปีที่แล้ว เกิดเหตุคลื่นยักษ์ สึนามิ ถล่มฝั่งทะเลอันดามัน ทางภาคใต้ของไทยครับ
วิกฤติที่เกิดขึ้นในครั้งนั้น ยังมีปรากฏการณ์ที่ดีงาม เกิดขึ้นเพื่อถ่วงดุลกัน นั่นก็คือความสมัครสมานสามัคคีของคนในชาติ ซึ่ง ณ เวลานั้น ธารน้ำใจของพี่น้องไทยจากทั่วทุกสารทิศ ต่างก็หลั่งไหลมาช่วยพี่น้องผู้ประสบภัยในภาคใต้ จนประเทศชาติสามารถผ่านพ้นวิกฤติ กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ได้ในเร็ววัน

ขณะนั้นเรามีรัฐบาล ที่ยึดโยงกับประชาชนครับ มีรัฐบาลที่ทำงานโดยมีประชาชนเป็นจุดศูนย์กลาง แล้วรัฐคอยสนับสนุนและดูแลประชาชนอยู่รอบด้าน ดูแลในทุกๆเรื่อง สร้างความนิยมชมชอบ ให้กับพี่น้องประชาชน จนเกิดเป็นคำกล่าวขานในเรื่องต่างๆเหล่านี้ว่า เป็น"ประชานิยม"

เมื่อคนเราอยู่ร่วมกันได้อย่างสุขกายสุขใจ มีความสมัครสมานสามัคคีกัน เมื่อมีวิกฤติการณ์เกิดขึ้น คนที่ไม่เดือดร้อน ย่อมมีความพร้อม และอยากที่จะช่วมเหลือคนอื่น ที่ตกทุกข์ได้ยาก ให้พ้นทุกข์เช่นเดียวกับตน

ในขณะเดียวกัน ถ้าสังคมแตกแยก ประชาชนต้องทนทุกข์ระทม ข้าวยากหมากแพง อย่าว่าแต่มีวิกฤติเกิดขึ้นเลย ในภาวะปกติยังแทบจะเอาตัวกันไม่รอด

รัฐบาลปัจจุบันนี้ จะยึดโยงกับประชาชนแค่ไหน? จะทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริงหรือไม่? ทุกโครงการมีแต่ความโปร่งใสไร้มลทิน..ใช่หรือ? นโยบาย"ประชารัฐ" จะเป็นที่ศรัทธามากกว่า "ประชานิยม"จริงหรือไม่? ความนิยมในผลงานของรัฐบาล จะสูงถึง 99.5% อย่างที่ประโคมข่าวกันจริงหรือ? เวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์..!!

สึนามิปรากฏการณ์ที่เป็นภัยธรรมชาติ ยังคงมีความสมัครสมานสามัคคีของคนในชาติ เป็นตัวถ่วงดุลเยียวยา

รัฐประหารที่เป็นภัยต่อประชาธิปไตยของประเทศชาติ เป็นการกระทำของมนุษย์ล้วนๆ100% จะมีข้อดีหลงเหลืออยู่บ้างหรือไม่?

ผมไม่อยากเป็นเสียงส่วนใหญ่ 0.5% ของประเทศครับ..!!

"ภูมิธรรม" ติงไก่อูพลิกลิ้น อัดรัฐยกเลิกโครงการ 30บาท ทำประชาชนทั้งประเทศเดือดร้อน


นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ @phumtham กล่าวถึง กรณีที่มีข่าวว่า รัฐบาลเตรียมยกเลิกโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ 30 บาทรักษาทุกโรค ซึ่งเป็นประเด็นร้อนในสังคม โดยมีเนื้อหาระบุว่า พล.ต.สรรเสริญ..คนนี้? ที่มีระเบิดลงสี่แยกราชประสงค์แล้วยังไม่ทันไต่สวน ก็ โยนความผิดไปให้กลุ่มการเมืองทันที โดยไม่มีการไต่สวน?...กลับไปทำงานในหน้าที่โดยตรงของท่าน ในหน่วยเดิมที่ท่านสังกัดดีกว่ามั้ย เพราะหน้าที่โฆษกที่กำลังทำอยู่ทำลายความนิยมของรัฐบาลลงทุกวัน

นายภูมิธรรม ระบุว่า 30บาทรักษาทุกโรค จะยกเลิกหรือจะเปลี่ยนแปลงเพราะรัฐบาลแบกภาระไม่ไหว ล้วนเป็นคำพูดที่ออกจากปากผู้นำและรัฐมนตรีในรัฐบาลทั้งสิ้น ไม่น่าเชื่อว่า เพียงชั่วข้ามคืน พลิกกลับเป็น ไม่ได้พูด...แล้วยังจะเหลืออะไร ให้มีความน่าเชื่อถือ/น่ารับฟัง หลงเหลืออยู่อีกเล่าครับ?

เมื่อวานผมแค่ เริ่มต้นสะท้อนความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ของประเทศที่ยังมีภาวะความยากลำบากดำรงอยู่ ให้ รัฐบาลทราบว่า.....ถ้าเลิก"30บาท รักษาทุกโรค" คนส่วนใหญ่ของประเทศจะเดือดร้อนหนัก...ถ้ารัฐบาลไม่มีความสามารถจะบริหารได้ ก็ควรให้คนที่เขาทำได้มาทำแทน..ง่ายนิดเดียว เสนอความเห็นแค่นี้ รัฐบาลทนฟังไม่ได้ แล้วจะไปรับฟังความเห็นเรื่องใหญ่ๆที่จะไปแก้ปัญหาใหญ่ๆของประเทศได้อย่างไรครับท่านโฆษกฯ?

ถามหา"จริยธรรม"ผู้อื่น ลองเริ่มต้นหาจริยธรรมของตนก่อน ดีกว่าครับ...อยากรู้เหมือนกันว่ามีสักเท่าใด?..ถ้าทำอะไรไม่ได้มาก อยู่เฉยๆดีกว่าครับ

“กิตติรัตน์” แนะจับตาประมูลข้าว จัดหนักแถลงผลงานรัฐ-ไร้ยางอาย


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวง การคลัง โพสต์ข้อความผ่าน Facebook : Kittiratt Na-Ranong โดยมีเนื้อหาดังนี้

ในวันคริสต์มาสของผมปีนี้ไม่ชื่นมื่นหัวใจเอาเสียเลย เพราะเผลอไปฟังการ "กล่าวปิดแถลงสรุปผลการดำเนินงานของรัฐบาลในรอบหนึ่งปี" ที่นอกจากจะจับเนื้อหาของสุดยอดผลงานอันน่าภาคภูมิใจของรัฐบาล จนมีความนิยมจากประชาชนเกือบเต็มร้อย ไม่ค่อยจะได้แล้ว ยังได้ยินการพาดพิงถึงรัฐบาลก่อนในเรื่อง โครงการรับจำนำข้าวเปลือก เข้าไปเต็มหูสองข้าง ที่มีใจความสำคัญว่า (1) จะไม่ขยายเวลาดำเนินการสอบสวนเพื่อเอาผิดทางละเมิด เพื่อสั่งให้มีการชดใช้เป็นทรัพย์สิน และ (2) จะไม่ยอมรับผิดชอบใดๆ จากการขายข้าวทั้งสิ้น (ไม่ว่าจะกระทำดี หรือไม่ดีประการใด) และยังเป็นความชอบที่จะโยนความรับผิดไปให้รัฐบาลที่แล้วเสียอีก

ผมขอแสดงความรู้สึกอย่างกระชับที่สุดนะครับว่า "ลุแก่อำนาจ และไร้ยางอาย"

การให้โอกาสแก่ผู้เกี่ยวข้องได้ชี้แจง และให้ข้อมูลอย่างเพียงพอ เป็นสาระสำคัญของ พรบ.ความรับผิดทางละเมิด พ.ศ.2539 ที่เอามาใช้ และ ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีฯ ที่ใช้ประกอบ พรบ.ดังกล่าว ดังนั้นการกล่าวว่าจะไม่ขยายเวลาสอบข้อเท็จจริงจนครบถ้วนกระบวนความ ทั้งๆ ที่ผู้เกี่ยวข้องยังมีคำชี้แจง และข้อมูลที่จะแสดงต่อ คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงอยู่อีกมาก ย่อมตีความเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากจะสรุปได้ว่า ผู้มีอำนาจ ช่างใหญ่โตเสียจนอยู่ในภาวะ "ลุแก่อำนาจ" อย่างไม่คำนึงถึงกฎหมายของบ้านเมือง

ส่วนเรื่องการระบายข้าวด้วยวิธีการ และกระบวนการที่อาจไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการปิดโกดังไว้เนิ่นนานจนมีการเสื่อมสภาพเกินความสมควร จนถึงการระบายข้าวที่น่ากังขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประมูลข้าวที่กล่าวอ้างว่าเสื่อมสภาพ จำนวนกว่า 37,000 ตัน ที่กำลังถูกจับตา และทักท้วง ซึ่งแม้จะดูเหมือนมีประกาศตาม ม.44 มาคุ้มกันเอาไว้ ก็ชัดเจนในประกาศฯ ของตนเองว่า คุ้มครองแต่การดำเนินการที่ "สุจริต" เท่านั้น ผมเห็นว่าความพยายามที่จะปิดป้องตนเองให้พ้นผิด ทั้งๆที่อาจจะผิด พอเข้าใจได้อยู่หรอก แต่การที่คิดจะไปเที่ยวโยนอะไรต่อมิอะไรให้คนก่อน ที่ไม่ได้รู้เห็นการปฏิบัติอันอาจไม่สมควรของพวกท่านนั้น อยากถามดังๆว่า "ไม่มียางอาย" กันบ้างเลยหรือ

ผมเข้าใจว่าท่านผู้นำคงจะ เข้าใจผิดเรื่องค่าเสียหายชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะการขายข้าวราคาถูกกว่าคุณภาพที่ถูกต้องนั้น คนที่ต้องรับผิดชอบคือเซอร์เวเยอร์หรือเจ้าของโกดังไม่ใช่รัฐบาล แต่ถ้าขายราคาถูกกว่าราคาตลาดจนเกินสมควรนี้คนที่ได้ประโยชน์จากส่วนต่างราคา คือผู้ซื้อและคนที่ไม่สุจริต ซึ่งรัฐบาลควรรีบตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงโดยเร็วก่อนที่ปัญหาจะลุกลามเหมือนโครงการอุทยานราชภักดิ์

กิตติรัตน์ ณ ระนอง
27 ธันวาคม 2558

วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ทนาย “ยิ่งลักษณ์” แนะประยุทธ์ อย่าก้าวก่ายคดีจำนำข้าว


วันนี้ 26 ธันวาคม 2558 นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความส่วนตัวของอดีตนายกยิ่งลักษณ์ ฯ ได้กล่าวถึง การแถลงผลงานรัฐบาล กรณีที่ พลเอกประยุทธ์ พูดถึงเรื่องคดีจำนำข้าวว่า "เรื่องคดีจำนำข้าว คดีทั้งหมดไม่ผ่อนผันใดๆทั้งสิ้น" นั้น

ทนายนรวิชญ์ กล่าวว่า น่าแปลกใจ คดีเรื่องจำนำข้าว ถูกนำไปเป็นผลงานเด่นของรัฐบาล ที่จำต้องนำไปแถลงเป็นผลงานของรัฐบาลด้วย ทั้งที่คดีความทั้งหลายก็เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรมที่ต้องไปพิสูจน์กันในชั้นขบวนการของศาล

ทนายนรวิชญ์ ยังกล่าวอีกว่า ส่วนที่พลเอกประยุทธ์ กล่าวว่า “ในเรื่องคดีจำนำข้าว คดีทั้งหมดไม่ผ่อนผันใดๆทั้งสิ้น” นั้น ถือเป็นการก้าวก่ายคดี โดยเฉพาะในส่วนคดีความรับผิดในทางแพ่ง ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการไต่สวนชุดของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด ที่พลเอกประยุทธ์ฯ เป็นผู้ลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการดังกล่าว และยังมีพยานบุคคลอีกหลายปาก ที่ต้องไต่สวนข้อเท็จจริง

ทนายนรวิชญ์ กล่าวอีกว่า หากคณะกรรมการฯ ยึดตามระเบียบการไต่สวน ตาม ข้อ 15 ที่คณะกรรมการต้องให้โอกาสแก่ผู้เกี่ยวข้องได้ชี้แจงข้อเท็จจริง และโต้แย้งแสดงพยานหลักฐานของตนอย่างเพียงพอ และเป็นธรรม คณะกรรมการฯ ก็ต้องดำเนินการไต่สวนพยานบุคคลที่เหลือทั้งหลายให้เสร็จสิ้นก่อน ทั้งนี้เพื่อให้ความเป็นธรรมกับผู้เกี่ยวข้อง

แต่หากคณะกรรมการฯ ยึดตามคำพูดของพลเอกประยุทธ์ ก็คงไม่มีการไต่สวนพยานที่เหลืออีกต่อไป อันถือได้ว่าคณะกรรมการฯ เองไม่ได้ให้โอกาสแก่ผู้เกี่ยวข้องได้ชี้แจงข้อเท็จจริง และโต้แย้งแสดงพยานหลักฐานของตนอย่างเพียงพอ และเป็นธรรม ตามระเบียบ ข้อ 15

ทนายนรวิชญ์ จึงร้องขอไปยังพลเอกประยุทธ์ ฯ อย่าได้ก้าวก่ายการไต่สวนคดีของคณะกรรมการฯ ควรให้โอกาสผู้เกี่ยวข้องได้ชี้แจงข้อเท็จจริง และโต้แย้งแสดงพยานหลักฐานของตนอย่างเพียงพอ และเป็นธรรม ตามระเบียบ ข้อ 15

วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2558

"เพื่อไทย" ออกแถลงการณ์ อีก 1 ปี 6 เดือน ประเทศเผชิญชะตากรรมแบบใด?


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พรรคเพื่อไทย ได้เผยแพร่ แถลงการณ์ เรื่อง การแถลงผลงานครบรอบ 1 ปี ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยมีเนื้อหาดังนี้

แถลงการณ์พรรคเพื่อไทย
เรื่อง การแถลงผลงานครบรอบ 1 ปี ของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและคณะฯ ได้ร่วมกันแถลงผลงานของรัฐบาล  เนื่องในโอกาสบริหารงานครบ 1 ปี เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2558 นั้น พรรคเพื่อไทยเห็นว่าคำแถลงของนายกรัฐมนตรีในหลายส่วนสร้างความสับสน แบ่งแยกและสร้างความร้าวฉาน แตกแยกในสังคมไทย ยืนยันให้เห็นถึงความเป็นจริงตามแถลงการณ์ “ประมวลสถานการณ์ประเทศไทยปี 2558 ของพรรคเพื่อไทย” (22 ธันวาคม 2558) ที่กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาของประเทศไม่อาจประสบความสำเสร็จได้หากความเข้าใจ หรือการมองปัญหาไม่ถูกต้อง ไม่ตรงกับความเป็นจริง หรือมองปัญหาต่างๆ อย่างมีอคติ

1. คำกล่าวของนายกรัฐมนตรีที่ว่า “คนรายได้น้อยมาเลือก เพราะเขาต้องการเงินไปเลี้ยงครอบครัว.....” และ “คนมีรายได้ปานกลางไม่ออกมาเลือกตั้ง จะทำให้เสียงของคนที่อยากมีรายได้เพิ่มขึ้นมากกว่า.....”

คำพูดดังกล่าวของนายกรัฐมนตรี แสดงถึงความขาดความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตยและมีอคติต่อการเลือกตั้ง และดูจะไม่ต่างไปจากคำพูดในเวทีการชุมนุม shutdown ประเทศก่อนการรัฐประหาร คำพูดของผู้ปราศรัยบนเวทีที่อ้างว่า คนชนบทโง่ คนกรุงเทพฯ ฉลาดกว่า ดังนั้นเสียงต้องไม่เท่ากัน พรรคเพื่อไทยเห็นว่าในอดีตที่ผ่านมาได้พิสูจน์ในการเลือกตั้งหลายครั้งหลายหนแล้วว่า คนชนบท คนยากจน คนรากหญ้า มิได้มาเลือกตั้งเพราะเห็นแก่รายได้ หรืออามิสสินจ้าง ในทางตรงกันข้ามคนเหล่านั้นได้มาใช้สิทธิเลือกตั้งเพราะพอใจในนโยบายที่จับต้องได้ พึงพอใจในนโยบายที่ยกฐานะของคนเหล่านั้นให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ในทางทฤษฎีประชาธิปไตยและหลักสิทธิมนุษยชน คนทุกคนเท่าเทียมกัน มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เสมอเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นคนรวย คนชั้นกลางและชนชั้นรากหญ้า ย่อมเท่าเทียมกัน คำพูดใดๆ ที่แบ่งชนชั้นจึงเป็นคำพูดที่สะท้อนแนวคิดเพื่อรักษาหน้าตาและผลประโยชน์ของกลุ่มบุคคลที่มีฐานะดีเท่านั้น การมองการเลือกตั้งว่าขึ้นอยู่กับการใช้เงินซื้อเสียง สะท้อนให้เห็นภาวะที่ไม่ใช่นักประชาธิปไตยของ ผู้นำซึ่งนิยมระบบแต่งตั้งมากกว่า ดังนั้นจึงไม่แปลกใจว่าร่างรัฐธรรมนูญที่ร่างอยู่  จึงไม่ให้ความเคารพต่อการมีส่วนร่วมและการตัดสินใจของประชาชน เช่น การให้ ส.ว.มาจากการแต่งตั้ง สรรหา การตั้งองค์กรพิเศษเพื่อควบคุมรัฐบาลอีกชั้น การยกอำนาจของประชาชนไปให้องค์กรตรวจสอบและองค์กรตุลาการที่ไม่ได้เชื่อมโยงกับอำนาจประชาชน จนทำให้เสียสมดุลในระบบถ่วงดุลอำนาจ

2. นายกรัฐมนตรีได้เปรียบเปรยถึงโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคว่า “โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคของกระทรวงสาธารณสุข เป็นโครงการสุดยอด แต่รายได้ไม่มี”

ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่แสดงถึงความไม่เข้าใจ หรือมองปัญหาไม่ถูกต้อง เพราะโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคมีวัตถุประสงค์ที่จะช่วยคนยากจนที่ไร้โอกาส กลุ่มคนเหล่านี้ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ เป็นคนหาเช้ากินค่ำ เป็นชาวเกษตรกรผู้ยากไร้ ปราศจากที่ทำกิน เป็นกลุ่มคนที่มีรายได้น้อยไม่เพียงพอจะรองรับค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลที่เผชิญกับโรคที่เป็นอันตรายต่อชีวิตของเขา เพียงแค่ให้มีหลักประกันในชีวิต ให้คนมีสุขภาพดี เป็นพลังของสังคม ค่าใช้จ่ายที่มีต้นทุนที่ 30 บาทดังกล่าวนี้ ล้วนมีที่มาจากภาษีอากรของประชาชน ซึ่งเป็นของเพื่อนร่วมชาติของเขา เงินจำนวนนี้มีไว้เพื่อเกื้อกูลคนไทยด้วยกัน ไม่ใช่เพื่อค้ากำไรแต่อย่างใด เลขาธิการองค์การสหประชาชาติยังเคยหยิบยกโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ไปเป็นแบบอย่างให้แก่ประเทศที่ด้อยพัฒนาและประเทศที่กำลังพัฒนา และล่าสุดประเทศสหรัฐอเมริกายังมีนโยบายรักษาพยาบาลในแบบเดียวกับโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค เช่นเดียวกัน

3. คำกล่าวของ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ต่อหน้านายกรัฐมนตรีว่า “สิ่งที่ผมทำเมื่อ 10 ปีก่อน ไม่ใช่ประชานิยม และผมไม่สนใจว่าใครจะเรียกว่า ประชานิยม”

นับได้ว่าเป็นคำพูดที่ตรงไปตรงมา พิสูจน์ให้เห็นว่า ขณะนี้นายกรัฐมนตรีกำลังใช้โครงการที่ท่านดูถูกและกล่าวหารัฐบาลที่แล้วว่ามีนโยบายเป็นประชานิยม คำว่า “ประชานิยม” จึงเป็นเพียงคำพูดที่ต้องการทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลในอดีตเท่านั้น นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน โครงการตำบลละห้าล้าน ที่รัฐบาลชุดนี้นำมาใช้  ไม่ใช่ “ประชานิยม” แต่เป็น “ประชารัฐ”  จึงดูไม่ต่างจากการที่มีความพยายามจะเปลี่ยนชื่อโครงการของพรรคเพื่อไทยที่ประสบความสำเร็จในอดีตที่ผ่านมา

นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงเหตุผลในการยึดอำนาจปกครองประเทศเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ไว้ว่า เพื่อยุติความหวาดระแวง ฟื้นฟูความสงบเรียบร้อย ความรู้รักสามัคคีและความเป็นธรรม สร้างบรรยากาศแห่งความสงบเรียบร้อยและปรองดอง เพื่อนำความสุขที่สูญหายไปนานกลับคืนสู่ประชาชน

พรรคเพื่อไทยเห็นว่าตลอดระยะเวลา 1 ปี 6 เดือนกว่าที่ผ่านมา ไม่ได้มีรูปธรรมอันใดที่สะท้อนความเป็นจริงในการเสริมสร้างและแก้ไขปัญหาที่กล่าวมา สิ่งที่ปรากฏกลับกลายเป็นบุคคลกลุ่มหนึ่งถูกแจ้งข้อกล่าวหา ถูกปรับทัศนคติ คนอีกกลุ่มหนึ่งสามารถใช้เสรีภาพได้อย่างเต็มที่ นายกรัฐมนตรีกลายเป็นคู่ขัดแย้งกับคนอีกกลุ่มหนึ่งอย่างชัดเจน ในขณะที่แสดงความปรองดองสมานฉันท์กับคนอีกกลุ่มหนึ่งอย่างแนบแน่น

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาประเทศเสียเวลาเปล่าไปกับการใช้อำนาจอย่างไร้ขอบเขตจำกัด เสียเวลาไปกับวาทกรรมสวยหรูเรื่องความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติ  คำพูดของนายกรัฐมนตรีที่แสดงออกต่อสาธารณะในโอกาสบริหารงานครบรอบปีที่ผ่านมา ไม่ได้สอดคล้องกับเจตจำนงที่กล่าวไว้ในการยึดอำนาจปกครองประเทศ และน่าจะวิเคราะห์ได้ไม่ยากว่า อีก 1 ปี 6 เดือนข้างหน้า ประเทศชาติจะต้องเผชิญกับชะตากรรมแบบใด

พรรคเพื่อไทย
25 ธันวาคม 2558

“ยรรยง” แนะจับตารัฐบาล ตั้งข้อสังเกต ประมูลข้าว 37,412 ตัน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายยรรยง พวงราช อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้โพสต์ ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

ขายข้าวเสื่อมให้โรงงานผลิตไฟฟ้าและโรงงานปุ๋ยเป็นการเปิดช่องทุจริตและทำลายหลักฐานหรือไม่
ช่วงนี้มีกระแสข่าวลือสะพัดในวงการข้าวเกี่ยวกับความไม่ชอบมาพากลในการประมูลข้าวเสื่อมในสต็อกข้าวรัฐบาลจำนวน

37,412 ตัน ในทำนองว่าเป็นการเปิดช่องทุจริตและจะเป็นการทำลายหลักฐานหรือไม่
สาเหตุของข่าวลือน่าจะมาจากส่วนต่างของราคาที่ประมูลได้ตันละ 5,020-5,420 บาทกับราคาตลาดของข้าวที่มีลักษณะและคุณภาพเช่นเดียวกันซึ่งตกอยู่ประมาณตันละ 7,000-8,000 บาท จึงน่าจะทำให้มีผู้คาดเดาว่าจะมีเงินทอนตันละกว่า 3,000 บาทไปเข้ากระเป๋าใคร

นอกจากนี้ข้าวที่นำออกประมูลส่วนใหญ่หรือทั้งหมดน่าจะอยู่ระหว่างการฟ้องร้องดำเนินคดีกับเซอร์เวเยอร์และเจ้าของโกดัง

ดังนั้นการขายข้าวล็อตนี้ให้เฉพาะโรงงานไฟฟ้าและโรงงานปุ๋ยเท่านั้นน่าจะเป็นเหตุให้มีคนคาดเดาว่าน่าจะทำเพื่อใช้เป็นข้ออ้างว่าไม่สามารถตรวจสอบได้อีกเพราะได้เผาทำไฟฟ้าหรือหมักทำปุ๋ยไปแล้วแม้ตามความเป็นจริงจะมีการสับเปลี่ยนไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่นหรือส่งออกก็ตาม

ผมอยากให้เรื่องนี้เป็นเพียงข่าวลือ และดีใจที่เห็นมีตัวแทนรัฐบาลและเจ้าหน้าที่พาคณะสื่อมวลชนไปดูข้าวที่ประมูลขายล็อตนี้ที่โกดังบ่อตะกั่ว นครปฐม เมื่อวานนี้ (24 ธ.ค.) ซึ่งผมมีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะ
ดังนี้

1. ขอให้ทำการตรวจสอบคุณภาพข้าวโดยละเอียด(ไม่ใช่ใช้วิธีสุ่มตรวจ) ทั้ง 10 โกดังที่ขายล็อตนี้ โดยการเก็บตัวอย่างข้าวให้มากที่สุดในขณะส่งมอบข้าวขึ้นรถบรรทุกเพื่อขนส่งไปยังโรงงานผู้ซื้อ โดยให้เซอร์เวเยอร์หรือเจ้าของโกดังรับรู้ด้วยเพื่อป้องกันบุคคลดังกล่าวปฏิเสธว่าไม่ได้รับรู้การตรวจสอบเช่นที่ผ่านมา

ดังที่ปรากฎว่าแม้แต่สมาคมเซอร์เวเยอร์ก็ได้โต้แย้งวิธีการและผลการตรวจสอบของรัฐบาล และควรนำคณะสื่อมวลชนไปดูทุกครั้งด้วย

2. ควรมีคณะทำงานเฉพาะเพื่อทำการตรวจสอบว่ามีการใช้ข้าวสารที่ซื้อไปผลิตไฟฟ้าและปุ๋ยตามเงื่อนไขสัญญาจริงโดยละเอียดทุกครั้ง และควรนำคณะสื่อมวลชนไปดูด้วย

3. เพื่อป้องกันข้อครหาว่าการตรวจสอบคุณภาพข้าวไม่ละเอียดและไม่ได้มาตรฐานเป็นการเปิดช่องทุจริตและกดราคาข้าวให้ตกตํ่า รัฐบาลควรเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับบริษัทที่รัฐบาลจ้างให้ตรวจสอบ การแบ่งเกรดข้าวเป็นเกรดA เกรดB และเกรดC มีหลักเกณฑ์และมาตรฐานที่ยอมรับทั่วไปหรือไม่ และการตรวจสอบที่ผ่านมามีการเก็บตัวอย่างข้าวจำนวนเท่าใด

(มีข่าวว่าการตรวจสอบข้าวกว่า 18 ล้านตัน หรือกว่า 180 ล้านกระสอบ มีการเก็บตัวอย่างข้าวไปตรวจสอบเพียง 11,962 ตัวอย่าง คิดเป็นเพียงร้อยละ 0.0066 เท่านั้น)

4. ขอให้รัฐบาลเร่งรัดดำเนินการฟ้องร้องเซอร์เวเยอร์และเจ้าของโกดังที่ทำผิดฝ่าฝืนเงื่อนไขสัญญาให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่รัฐโดยเร็ว โดยจะต้องให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายอย่างเต็มที่รวมทั้งสิทธิในการต่อสู้คดีและคุ้มครองพยานหลักฐานด้วย ผมจึงยังคงยืนยันให้ยกเลิกคำสั่ง คสช.ที่ 39/2558 เพื่อให้ความเป็นธรรมและแสดงความบริสุทธิ์ใจของรัฐบาลนะครับ

ยรรยง พวงราช
25 ธันวาคม 2558

วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2558

"ยิ่งลักษณ์" นำทัพเพื่อไทย ศึกฟุตบอลกระชับมิตร เพื่อไทย-สื่อมวลชน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 17.00 น. ที่สนามฟุตบอลกรีนฟิลด์ รามอินทรา อดีตรัฐมนตรี อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย และสมาชิกพรรคเพื่อไทย อาทิ นายวราเทพ รัตนากร อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกฯ นายพงษ์เทพ เทพกาญจนา อดีตรองนายกฯ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. นายชวลิต วิชยสุทธิ์ รักษาการรองเลขาธิการพรรค นายสามารถ แก้วมีชัย อดีต ส.ส.เชียงราย ร่วมเตะฟุตบอลกับสื่อมวลชน ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก โดยเวลา 18.30 น. นางสาว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ เดินทางมาเชียร์ฟุตบอลในสนามด้วย