วันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

"อนุสรณ์" สอนประยุทธ์ ควรพูด ผมพอแล้ว!

"อนุสรณ์" ชี้ พปชร.เอาความมั่นใจจากไหนเดินสายส่งเทียบเชิญพรรคเข้าร่วมรัฐบาล


นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด คณะทำงานสื่อสารการเมืองพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุ พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เคารพคะแนนเสียงของทุกพรรคและความต้องการของประชาชนว่า ความจริงประชาชนได้ให้คำตอบอย่างชัดเจนผ่านการเลือกตั้งไปแล้วว่า ต่อต้านการสืบทอดอำนาจถึง17 ล้านเสียง มีเสียงสนับสนุนการสืบทอดอำนาจเพียง8 ล้านเสียง ถ้าพลเอกประยุทธ์เคารพเสียงของประชาชนจริง ก็ควรจะรู้จักกล่าวคำว่า "ผมพอแล้ว" นายอุตตม สาวนายน นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ แกนนำพรรคพลังประชารัฐ ไปเอาความมั่นใจมาจากไหนมาทาบทามพรรคการเมืองอื่นจัดตั้งรัฐบาลทั้งที่มีเสียงต่อต้านมากขนาดนั้น จำนวน ส.ส.ก็มาเพียงที่ 2 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน บอกรัฐธรรมนูญดีไซน์มาเพื่อพวกเรานายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ บอก 250 ส.ว. ที่พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ประธานคณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) สรรหามา จะมาช่วยโหวตพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง เป็นคำสารภาพคำโตว่ามีความพยายามเอาเปรียบพรรคการเมืองอื่นตลอดเวลาหรือไม่ พรรคการเมืองขนาดกลางที่กำลังเล่นเก้าอี้ดนตรีถือชามข้าวต่อรองผลประโยชน์ให้พรรคพวกตัวเอง ทำแบบนี้ถือว่าเคารพและฟังเสียงประชาชนหรือไม่? ผลงานของทีมเศรษฐกิจฝ่ายสืบทอดอำนาจที่อยู่มา5 ปี ทำเศรษฐกิจไทยเติบโตเกือบต่ำสุดของอาเซียน การส่งออกตกต่ำ ประชาชนชักหน้าไม่ถึงหลัง ยาง 4 โลร้อย ข้าวเกวียนละ 6,000 บาททั้งที่รัฐบาลมีมาตรา44 และไม่มีฝ่ายค้านแม้แต่คนเดียว ผลงานสวนทางกับความต้องการที่จะฮุบกระทรวงเศรษฐกิจไว้กับตัวเอง มีอะไรเป็นหลักประกันว่าจะนำพาประเทศชาติและประชาชนผ่านพ้นวิกฤตเศรษฐกิจในครั้งนี้ไปได้ ประชาชนน่าเห็นใจที่ผ่านการเลือกตั้งมา2 เดือนยังไม่รู้ว่าใครจะได้เป็นรัฐบาล ถ้าเคารพเสียงประชาชนจริง ก็หัดรู้จักเกรงใจประชาชนบ้าง

วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

"ทนายชุมสาย" มอง รัฐบาลใหม่สุดยุ่งเหยิง-พรรคร่วมแย่งกระทรวง


ทนายชุมสาย​ ศรียาภัย​ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญตามที่พรรคประชาธิปัตย์ อ้างเป็นอำนาจต่อรอง กับพรรคพลังประชารัฐหากเข้าร่วมรัฐบาลนั้น ในความเป็นจริง เป็นเรื่องที่ยากมาก ซึ่งแทบเป็นไปไม่ได้เลย​ ซึ่งจากสภาพความเป็นจริงของการเมืองในขณะนี้ประกอบกับข้อจำกัดในรัฐธรรมนูญ​มาตรา​ 256 ที่​ กรธ.ของรัฐบาล​ คสช.ได้จัดทำไว้ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ ย่อมทราบดีอยู่แล้ว ดังนั้น การดึงเวลา หรือดึงเกมในการต่อรองกับพรรค​ พปรช. น่าจะเป็นเพียงเพื่อ ผลประโยชน์ทางการเมืองของพรรค​เท่านั้น ทั้งนี้​ โดยยอมแลกกับการละทิ้งสัจจะวาจา ที่อดีตหัวหน้าพรรค เคยให้สัญญาประชาคมไว้กับประชาชน ตอนหาเสียงเลือกตั้ง ดังนั้นการตัดสินใจและการกระทำครั้งนี้ของพรรค​ ปชป.​ ทำให้ประชาชนรู้จักพรรค​ ปชป.เด่นชัดขึ้น ประกอบกับ ความเชี่ยวชาญในเกมสภาที่เหนือชั้นกว่า ทำให้พรรคปชป.ได้ตำแหน่งประธานสภาไป​ และบางกระทรวง ยังยื้อแย่งกันอยู่โดยตกลงกันไม่ได้ กรณีนี้จึงมองเห็นว่าหลังจากมีรัฐบาล อาจมีความยุ่งเหยิงในการบริหารราชการแผ่นดิน ในพรรคร่วมได้ และ มีการตั้งคำถามกันว่า พรรคที่ได้เคยให้คำมั่นสัญญากับประชาชนไว้จะโกหกประชาชนอีกกี่ครั้ง นายชุมสายฯ​ กล่าว

"อนุดิษฐ์" เฉลย Animal Farm คือ หนังสือด่าเผด็จการ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากที่ พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แนะนำให้อ่านหนังสือ Animal Farm ฉบับภาษาไทย ซึ่งเป็นหนังสือน่าอ่านที่ให้ข้อคิดเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตได้เป็นอย่างดี นั้น ล่าสุด น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

ลุงตู่บอกว่าให้อ่านหนังสือเล่มนี้ครับ #AnimalFarm
ระหว่างรอประชุม ผมอ่านมาถึงหน้าที่ #44 พอดี
แหม๋! ช่างประจวบเหมาะเสียจริงๆ
เนื้อหาตามนี้ครับ....
นโปเลียน
“หมูซึ่งสถาปนาตนเองเป็นผู้นำสูงสุดของแอนนิมอลฟาร์ม ภายหลังการปฏิวัติลุกฮือของสัตว์ทั้งหมด ยึดแมนเนอร์ฟาร์มจากนายโจนส์
นโปเลียนแอบเอาลูกหมาไปฝึกให้มี นิสัยดุร้าย เพื่อมาเป็นกองกำลังส่วนตัวค้ำจุนอำนาจ
หลังจากใช้สังหารสโนว์บอลที่เสนอแผนการสร้างโรงไฟฟ้ากังหันลมมาช่วงชิงความนิยมในหมู่สัตว์ ก็ใช้ข่มขู่สัตว์อื่นๆ ให้หวาดกลัว
หลังจากนั้นก็ #รวบอำนาจเบ็ดเสร็จมาอยู่ในมือ บริหารฟาร์มด้วย #อำนาจเผด็จการโหดร้าย
ความเจ้าเล่ห์คดโกงและเป็นนักฉวยโอกาสของมันตั้งแต่เริ่มต้นถือได้ว่าเป็นการทรยศต่อสัตว์ทั้งปวง
นโปเลียนไม่ได้เสี่ยงตายเพื่อ “ลัทธิสัตว์” ไม่มีส่วนร่วมในการลุกฮือปฏิวัติ ไม่เคยต่อสู้แบบเสี่ยงตาย
ไม่สนใจทำแอนนิมอลฟาร์มให้เจริญรุ่งเรือง
สนใจเพียงแต่การมีอำนาจแบบเบ็ดเสร็จ
และใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในแอนนิมอลฟาร์ม
อ่านจบที่หน้า 44 (จริงๆ)
อดคิดไม่ได้ว่า... แหม๋ ทำไมหมูนโปเลียนถึงได้ละม้ายคล้ายผู้มีอำนาจบางคนเสียจริงๆ

"ฐิติมา" นำคณะลงพื้นที่ เร่งแก้ปัญหาน้ำเสียคลองบางไผ่


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางฐิติมา ฉายแสง อดีต ส.ส.ฉะเชิงเทรา พร้อมด้วย นายประเทือง อยู่เกษม นายอำเภอเมืองฉะเชิงเทรา นายชาติพงษ์ รัตโนภาส ผอ.แขวงการทางฉะเชิงเทรา ผู้แทนชลประทานจังหวัด ลงพื้นที่บริเวณประตูระบายน้ำด้านหลังวัดทดบางไผ่ ตรวจสอบข้อเท็จจริงหลังชาวบ้านร้องเรียนน้ำในคลองบางไผ่เกิดการเน่าเสีย ส่งผลกระทบและสร้างความเดือดร้อนให้ชาวบ้านในตำบลบางไผ่ และตำบลคลองนา มาเป็นเวลานาน โดยมี นายณรงค์ศักดิ์ หริมเจริญ กำนันตำบลบางไผ่ นายภัลลพ ชูสว่าง นายก อบต.คลองนา พร้อมด้วยผู้ใหญ่บ้าน และชาวบ้าน รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมตรวจสอบพบว่า น้ำในคลองบางไผ่เกิดการเน่าเสียจริง จากนั้นได้ร่วมประชุมเพื่อหาแนวทางแก้ไข ที่ศาลาการเปรียญวัดทดราษฎร์เจริญมณีฤทธิ์
                   
ในที่ประชุม นายณรงค์ศักดิ์ หริมเจริญ กำนันตำบลบางไผ่ นายภัลลพ ชูสว่าง นายก อบต.คลองนา และตัวแทนจากชาวบ้านทั้งสองตำบลให้ข้อมูลตรงกันว่า สภาพน้ำในคลองบางไผ่ เกิดการเน่าเสียจริง ซึ่งเกิดมาจากการไม่ไหลเวียนของน้ำ เนื่องจากกรมชลประทานได้ปิดบานประตูน้ำเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำเค็มจากแม่น้ำบางปะกงเข้าไปสู้ชั้นในได้ แต่สภาพการณ์ปัจจุบัน พื้นที่ที่เกิดการเน่าเสียของน้ำนั้น ชาวบ้านก็ไม่ได้นำน้ำไปใช้เพื่อการเกษตร หรือการอุปโภคบริโภคอยู่แล้ว  แต่ยังสร้างผลกระทบกับวิถีชีวิตและความเดือดร้อนให้ชาวบ้านในสองตำบล  จึงมีความต้องการที่จะให้เปิดประตูระบายน้ำตามปกติ เพื่อให้น้ำเค็มไหลเข้าชั้นในเพื่อเจือจางน้ำที่เน่าเสีย แล้วไหลออกจากคลองบางไผ่ สู่แม่น้ำบางปะกง ซึ่งเชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบกับแม่น้ำบางปะกง เพราะน้ำที่เน่าเสียเกิดจากวัชพืชต่างๆเช่น ผักบุ้ง ทำให้น้ำมีสีดำ เขียวคล้ำ  โดยจะปล่อยน้ำเค็มให้ไหลเข้าคลองบางไผ่ไปจนถึงคลองลอยของชลประทาน จะเกิดประโยชน์กับพื้นที่หมู่ที่ 7 / 8 /10  ตำบลบางไผ่และหมู่ที่ 5 ตำบลคลองนา
                       
ด้านนางฐิติมา ฉายแสง อดีต ส.ส.เชิงเทรา กล่าวว่า เป็นปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้านที่เกิดขึ้น จึงประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและชาวบ้านลงพื้นที่ตรวจสอบร่วมกัน  ในแนวทางของชาวบ้านที่ต้องการเปิดประตูระบายน้ำรับน้ำเค็มให้เข้าไปเจือจาง ทางชลประทานก็ยืนยันว่าสามารถทำได้  เพราะจากข้อมูลของชาวบ้านไม่ได้ส่งผลกระทบแต่อย่างใด ยังดีกว่าจะปล่อยให้น้ำเน่าเสียคาคลองอยู่อย่างนั้น ซึ่งชลประทานจะดำเนินการตามที่ชาวบ้านร้องขอ เชื่อว่าคงใช้เวลาไม่นาน น้ำก็จะไหลเข้าออกเจือจางความเน่าเสียของน้ำที่เป็นอยู่ และอีกไม่นานซึ่งจะเข้าสู่ฤดูฝน น้ำในคลองบางไผ่ ก็จะรับน้ำฝนลงมาเจือจางได้อีกทางหนึ่งและจะทำให้น้ำในคลองนี้ เข้าสู่คืนภาวะปกติได้ในอีกไม่นาน
                     
นางฐิติมา ฉายแสง กล่าวว่า ในที่ประชุมยังได้เสนอให้มีการจัดทำแผนระยะยาวด้วยการขุดลอกคลองบางไผ่ กำจัดวัชพืช สิ่งปฏิกูล และวัสดุอื่นที่ทับถม เพื่อให้คลองบางไผ่ มีความสะอาดมากขึ้น เบื้องต้น นายอำเภอเมืองฉะเชิงเทรา จะประสานกับสำนักเครื่องจักรกล กรมชลประทาน  มาเร่งดำเนินการกำจัดวัชพืช ผักบุ้งและอื่นๆ ที่เป็นสาเหตุการเน่าเสียของน้ำออก ในอนาคตต่อไป กรมชลประทาน จะตั้งงบประมาณ มาดำเนินการขุดลอกคลองบางไผ่เพื่อเปิดทางน้ำให้สามารถรับน้ำจากแม่น้ำบางปะกง  ในช่วงน้ำจืดได้สะดวกมากยิ่งขึ้น







"สุดารัตน์" ลงพื้นที่สำรวจความเสียหาย หนอนระบาดไร่ข้าวโพด

คุณหญิงสุดารัตน์พร้อมคณะเพื่อไทย ลงพื้นที่เร่งแก้ปัญหาความเดือดให้ชาวบ้าน อ.ปากช่อง หลังเผชิญความเสียหายไร่ข้าวโพดถูกหนอนระบาดกัดกินทั่วอำเภอ ขณะที่ถนนเชื่อมระหว่างอำเภอได้รับความเสียหายหนัก สั่งทีมเพื่อไทยเร่งประสานช่วยเหลือ



ที่วัดมนต์มาวาส (วัดป่านางเหริญ) ต.เกษมทรัพย์ อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย นายประเสริฐ จันทรรวงทอง นายสุชาติ ภิญโญ นายศิรสิทธิ์ เลิศด้วยลาภ ส.ส.นคราชสีมา พรรคเพื่อไทย และอดีตผู้สมัคร ส.ส. เข้ากราบนมัสการพระครูภัทรธรรมมากรเจ้าอาวาสวัดมนต์มาวาส โดยเจ้าอาวาสวัดมนต์มาวาส ได้ให้พรกับคุณหญิงสุดารัตน์ว่า ถ้าได้เป็นรัฐบาลเมื่อไรขอให้นำเงินปูแผ่นดิน พร้อมขอให้คุณหญิงสุดารัตน์เป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้คณะคุณหญิงสุดารัตน์ ร่วมถวายภัตตาหารเพลแด่พระครูภัทรธรรมมากร

โดยเจ้าอาวาสวัดมนต์มาวาส ระบุกับผู้สื่อข่าวว่าอยากเจอนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ตอนนี้นายธนาธรเป็นนักมวยวัยรุ่น ถ้าได้เป็น ส.ส.ต้องเน้นการทำประโยชน์ แต่รู้สึก เสียดายนายธนาธรที่จะไม่ได้เข้าสภา เป็นเรื่องที่ไม่สนุกทั้งที่ควรได้เป็นนายกฯ ส่วนคุณหญิงสุดารัตน์ก็ไม่ได้เป็น ส.ส. เพราะรัฐธรรมนูญออกแบบไว้ จึงอยากให้ฝ่ายเสรีประชาธิปไตยนิ่งไว้ก่อนรอมี ส.ส.เป็นจำนวนมากแล้วค่อยดำเนินการตามที่บอกไว้กับประชาชน

จากนั้น คุณหญิงสุดารัตน์ พร้อมคณะเดินทางมายังฟาร์มชุมชนแหล่งเรียนรู้ศึกษาดูงานเพื่อประโยชน์ของ ต.เมืองปัก อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา  โดยฟาร์มชุมชนแห่งนี้มีพื้นที่ 28 ไร่ ไม่มีไฟฟ้าใช้ ได้รับงบประมาณจากราชการเพียง 650,000 บาท และต้องอาศัยเงินบริจาคจากชาวบ้านด้วย โดยชาวบ้านสะท้อนเสียงให้คุณหญิงสุดารัตน์ ว่าอยากให้มีการปลูกผักปลอดสารพิษหรือผักออแกนิก พร้อมขอให้คุณหญิงสุดารัตน์ช่วยสนับสนุนงบประมาณในการพัฒนาฟาร์มชุมนุมแห่งนี้ด้วย

หลังจากนั้น คุณหญิงสุดารัตน์ เดินทางมายังบ้านวังกะทะ ต.วังกะทะ อ.ปากช่อง เพื่อดูปัญหาหนอนระบาดกัดกินไร่ข้าวโพด จนสร้างความเสียหายให้กับพืชผลการเกษตรของชาวบ้านที่ อ.ปากช่อง โดยก่อนเดินทางมาถึงคณะคุณหญิงสุดารัตน์ได้สัญจรตามเส้นทางถนนที่เชื่อมกันระหว่าง อ.ปากช่อง อ.วังน้ำเขียว จนเข้าสู่ ต.วังกะทะ ซึ่งเป็นเส้นทางคมนาคมที่มีการขนส่งพืชผลทางเกษตรด้วยรถบรรทุกจนทำให้ถนนได้รับความเสียหายเป็นหลุมเป็นบ่อหลายกิโลเมตรทำให้การคมนาคมเป็นไปอย่างลำบาก

คุณหญิงสุดารัตน์ ระบุกับชาวบ้านที่มาสะท้อนปัญหาว่า คณะของพรรคเพื่อไทย มาให้กำลังใจและขอบคุณคะแนนเสียงที่เลือกพรรคเพื่ไทย แม้พรรคเพื่อไทยจะไม่ได้ ส.ส.ในเขตนี้ ล่าสุดตนประสานกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แล้ว กรณีไร่ข้าวโพดเสียหายจากหนอนกัดกินนั้น สามารถประกาศเป็นภัยพิบัติเพื่อรับเป็นเงินค่าชดเชยได้ โดยจะให้ทีมงานพรรคเพื่อไทยทำหนังสือไปยังกระทรวง

คุณหญิงสุดารัตน์ ระบุด้วยว่า ขณะนี้หนอนลงไร่ข้าวโพด 30,000 ไร่ใน อ.ปากช่อง ส่วน อ.วังน้ำเขียว หนอนระบาดหลายหมื่นไร่ ต.วังกะทะ 5,000 ไร่ โดยลงยาฆ่าแมลงแล้วแต่หนอนไม่ตาย จึงต้องประกาศเป็นพื้นที่ภัยพิบัติ โดยความเสียหายต่อไร่จะอยู่ที่ 6,000 บาท ตอนนี้ประสบปัญหาหลายพันครัวเรือน จึงอยากภาครัฐให้มีการประกาศภัยพิบัติที่มีพืชผลการเกษตรได้รับความเสียหายทั้งอำเภอ ยืนยันพรรคเพื่อไทยจะช่วยประสานกับภาครัฐให้อย่างเร่งด่วน ส่วนตัวเห็นใจชาวบ้านที่ประสบความเดือดร้อนจากราคาพืชผลเกษตรตกต่ำและยังมาเจอปัญหาหนอนกินไร่ข้าวโพดอีก

ส่วนถนนที่มีความเสียหายไม่ได้รับงบประมาณซ่อมแซมจะให้ทีมงานไปดูรายละเอียดเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านในพื้นที่ต่อไป










"ภูมิธรรม" เรียกร้องทุกพรรค ผนึกกำลังแก้รัฐธรรมนูญ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการ พรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้


มาถึงวันนี้ผมเชื่อว่าทุกฝ่ายคงได้ประจักษ์ถึงความบิดเบี้ยวที่พิสดารของรัฐธรรมนูญปี 2560 ซึ่งเป็นผลงานของ คสช. และพวกที่ออกแบบมาเพื่อหวังการสืบทอดอำนาจ

ประเด็นที่สำคัญที่สุดคือการกำหนดให้ สว.ที่มาจากการแต่งตั้งมีสิทธิ์โหวตเลือกนายกรัฐมนตรี

วันนี้เราจึงได้เห็นลีลาทางการเมืองของพรรคฝ่ายที่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจซึ่งมีพลังประชารัฐเป็นแกนนำพยายามจะจัดตั้งรัฐบาลซึ่งยังจัดสรรผลประโยชน์ไม่ลงตัวและดูเหมือนว่าการเจรจาในการจัดตั้งรัฐบาลนั้นหนทางที่จะร่วมมือกันดูจะริบหรี่ลงเรื่อยๆ ทั้งนี้หากจัดตั้งรัฐบาลได้ก็จะเป็นรัฐบาลที่ขาดเสถียรภาพเนื่องจากเสียงในสภาที่สนับสนุนนั้นอยู่ในสภาพ”ปริ่มน้ำ”

แต่ที่เลวร้ายกว่านั้นวันนี้มีข่าวว่าหากการร่วมจัดตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จอย่างที่ผู้มีอำนาจตั้งความหวังไว้ถึงขั้นมีการกล่าวอ้างว่าอาจจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยแล้วจะยุบสภา

สภาพดังกล่าว ได้สะท้อนให้เห็นว่า
“การต่อรองทางการเมือง นับวันจะเป็นปัญหาที่ไม่มีวันจบสิ้นลงง่ายๆ”

จากนี้ไป……ปัญหาของประเทศ และความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนจะยิ่งได้รับการเหลียวแลลดน้อยลงอย่างมีนัยยะสำคัญและจะยิ่งยากลำบากในการแสวงหาหนทางในการคลี่คลายปัญหา ……

การเมืองภายใต้กลุ่มผู้มีอำนาจกลุ่มเดิมนี้ ทำให้ปัญหาของประเทศและประชาชนที่เดือดร้อนที่กำลังต้องการการแก้ไข กลับต้องสะดุดเพราะความพยายามของพลังประชารัฐที่จะให้ อดีตนายกทำหน้าที่ต่อ……

“ประชาชนอยู่ตรงไหน” ท่ามกลางการแย่งชิงอำนาจและจัดสรรผลประโยชน์ของกันและกัน

หากดูผลการเลือกตั้งล่าสุด ที่เชียงใหม่ เขต 8…ซึ่งพรรคฟากฝั่งประชาธิปไตยได้คะแนนอย่างท่วมท้นถือเป็นการยืนยัน “เจตนารมณ์ของ ประชาชนที่ต้องการหลุดพ้นจากการบริหารแบบเดิมๆของพล.อ.ประยุทธและ คณะฯ”

แต่ผลการคำนวณคะแนนสัดส่วน สส ปาร์ตี้ลิสต์ จากการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้เป็นรูปธรรมที่ชี้ชัดว่า…
“ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ และกฏกติกาพิสดารทั้งหลาย ที่สร้างความสับสนให้ประเทศ”

ผมยังอยากเรียกร้องให้พรรคการเมืองทุกพรรคที่เคยได้รับผลกระทบจากกติกาของผู้มีอำนาจมาร่วมผนึกกำลังกันเพื่อต่อรองผลประโยชน์ให้กับประชาชน…ถึงวันนี้ก็ยังไม่สาย

การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่พิสดาร และการแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน พรรคการเมืองที่ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยต้องร่วมมือกัน เพื่อช่วยกันหาทางออกให้กับประเทศ จนถึงวันนี้ หากพรรคใดจะเปลี่ยนใจก็ยังไม่สายเกินไปนะครับ....

ประชาชนรอพิสูจน์คำสัญญาที่ทุกพรรคการเมืองได้เคยประกาศไว้

อย่าให้ประชาชนผิดหวังนะครับ

วันพุธที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

"สุดารัตน์" ยืนยันไม่เสียสัจจะ-ไม่รับตำแหน่งใดๆ

‘สุดารัตน์’ ลั่นเป็นนักรบพูดแล้วไม่คืนคำไม่รับตำแหน่งนายกฯ ให้เป็นมติ 7 พรรคเสนอชื่อชิงนายกฯ โหวตเอกภาพแน่ เผยอย่าเพิ่งสรุปเสนอ ‘ชัชชาติ’ นั่งนายกฯ ยันไม่รอพรรคนักต่อรองเก้าอี้ รมต.ร่วมต้านเผด็จการแล้ว เคยชวนแล้วแต่ถูกเมิน



เวลา 18.00 น. ที่อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย ระบุถึงความชัดเจนของพรรคเพื่อไทยในการเสนอแคนดิเดตนายกฯ ว่า เรารวมกัน 7 พรรค 246 เสียงจะต้องหารือก่อนใน7 พรรค โดยหลักการจะโหวตแคนดิเดตนายกฯ เพียงคนเดียวกันใน 7 พรรค ดังนั้นการเลือกตั้งครั้งนี้ต้องก่อร่างสร้างประชาธิปไตยก่อน ไม่ใช่เป็นแสวงหาอำนาจ และยังต้องเร่งแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชนก่อน เมื่อเลือกตั้งทำให้พรรคฝ่ายประชาธิปไตยเจออภินิหารไม่สามารถมีเสียงข้าม 250 เสียงได้ ดังนั้น ตนได้พูดไปแล้วจะไม่รับตำแหน่งใดๆและขอเชิญชวนทุกพรรคมาร่วมต่อต้านการสืบทอดอำนาจและพรรคที่จะไม่ร่วมกับพรรคเพื่อไทยนั้น ทางพรรคเพื่อไทยก็ประกาศแล้วจะไม่รับตำแหน่งใดๆเลยขอให้มาร่วมยุติสืบทอดอำนาจ สร้างประชาธิปไตย

“ดิฉันเคยพูดมาแล้วในฐานะนักการเมืองเรื่องคำมั่นสัญญาเป็นเรื่องสำคัญ ดิฉันจะไม่เสียสัจจะที่เคยพูดไปแล้ว แม้ตอนนั้นจะเชิญชวนทุกพรรคให้มาร่วมกับพรรคเพื่อไทยแต่เขาก็ตั้งเงื่อนไข ดิฉันถือคำพูดสำคัญสัจจะที่ให้ไว้คงไม่รับตำแหน่งใดๆได้ แต่อยากให้ฝั่งประชาธิปไตยเดินหน้ายุติการสืบทอดอำนาจให้ได้” คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าว

คุณหญิงสุดารัตน์ ยืนยันว่า ยังพูดไม่ได้ว่าล่าสุดมีการเสนอชื่อนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เป็นผู้เสนอชื่อให้เป็นนายกรัฐมนตรีในที่ประชุมรัฐสภาเพราะจะเข้าใจผิดใน7 พรรค ดังนั้นต้องหารือกันใน7 พรรคก่อนถึงวันโหวตนายกฯ  ตนจะพูดก่อนไม่ได้แต่จะพูดในนามส่วนตัวเท่านั้น และ 7 พรรคการเมืองก็จะไม่รอพรรคการเมืองใดแล้วแต่ต้องดูเหตุการณ์ก่อนแล้วถึงจะประชุมกัน 7 พรรคเพื่อดูว่าจะเสนอใครเป็นนายกฯ ในทิศทางเดียวกัน ซึ่งขณะนี้เหลือแคนดิเดตนายกฯ 4คน ใน7พรรคตอนนี้เหลือ3 คนไม่นับตัวเอง เพราะตนเป็นนักรบตนไม่คืนคำ คือ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ นายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกฯจากพรรคเพื่อไทยและนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งเสนอได้ตามกฎหมายกำหนด

“ดิฉันเป็นแม่ทัพเป็นนักรบในวันที่ยากได้การมีส่วนร่วมของคนอื่นพรรคอื่นเพราะเสียงเราไม่ข้าม 250 เสียงแต่วันนี้เป็รเรื่องต่อรองกระทรวงไม่มีใครพูดถึงคำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้ ดิฉันไปตอบแทนพรรคการเมืองอื่นไม่ได้เพราะวันนี้ข่าวต่อรองกระทรวง ในส่วนพรรคประชาธิปไตยจะจับมือเดินหน้าไม่รอการต่อรองกระทรวงอะไร เพราะตอนนี้ชาวบ้านเดือดร้อน”


"อนุสรณ์" ชี้ ตั้งรัฐบาลล่ม-ยุบสภา ไม่เหนือความคาดหมาย


นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด คณะทำงานสื่อสารการเมืองพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีกระแสข่าวการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลล่ม จนพรรคพลังประชารัฐขู่ยุบสภา ว่า ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย เป็นอีกครั้งที่ชี้ให้ประชาชนเห็นชัดๆว่า เป็นบ้านเมืองที่มีปัญหา หรือ ความพยายามสืบทอดอำนาจสร้างปัญหา ก่อนหน้านี้ตกลงผลประโยชน์กันไม่ลงตัว ก็พยายามจะเลื่อนเลือกตั้งประธานสภา เจรจาแบ่งโควต้ารัฐมนตรีกันไม่ลงตัว ก็พาลจะไปยุบสภา ทั้งที่เพิ่งผ่านการเลือกตั้งมาแค่ 2 เดือน ใช้งบประมาณการเลือกตั้งไปเกือบ 6 พันล้านบาท ประชาชนตัดสินใจได้ว่าปัญหาอยู่ตรงไหน ใครคือตัวปัญหา ผ่านการประชุมสภามาไม่กี่ครั้ง ประชาชนเห็นชัดถึงคุณภาพของนักการเมือง พรรคการเมือง หากปล่อยให้ส.ส.ได้ทำงาน ยิ่งจะได้เห็นคุณภาพของคนที่พี่น้องประชาชนเลือกมาว่าเป็นอย่างไร ประชาชนอยากเห็นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ลุกขึ้นยืนในสภาแล้วขานชื่อโหวตให้ พล.อ.ประยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี ก่อนหน้านี้นายอภิสิทธิ์ประกาศชัดว่าไม่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจ เพราะทำให้เกิดความขัดแย้ง อยากเห็นนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่พูดถึงประชาธิปไตยวิปริต 250 ส.ว.โหวตนายกฯ จะกลับลำมาหนุนพลเอกประยุทธ์อย่างไร? เทคโนโลยีทำให้นักการเมืองกลืนน้ำลายตัวเองยากขึ้น เพราะใคร พูดอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ ประชาชนสามารถสืบค้นมายืนยันหักล้างได้ทั้งหมด โดยส่วนตัวมองว่าการเจรจาตั้งรัฐบาลรอบนี้ไม่ง่าย ตราบที่ยังเป็นการเมืองระบบโควต้าอัตราส่วน ที่ยึดผลประโยชน์ของตัวเองมาต่อรอง แล้วละทิ้งผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน เป็นสถานการณ์ที่ฝ่ายสืบทอดอำนาจต้องเรียนรู้กันเอง พลเอกประยุทธ์ ก็จะได้ทราบว่าการเป็นนายกรัฐมนตรีเสียงปริ่มน้ำกับเครือข่ายพรรคการเมืองที่แสวงหาผลประโยชน์ไม่หยุดหย่อนเป็นปัญหาอย่างไร ฝ่ายการเมืองที่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจ ก็จะได้เรียนรู้ว่าการสนับสนุนทหารสืบทอดอำนาจ ในยุคที่ประชาชนตื่นรู้ ไม่ง่ายเช่นกัน และเมื่อเดินเข้าไปร่วมรัฐบาลพลเอกประยุทธ์สภาพอาจไม่ต่างจากพลทหาร ที่คอยรับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาและปฏิบัติตามในข้อสั่งการอย่างเคร่งครัด

วันอังคารที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

"หมวดเจี๊ยบ" เผย ประชาชนสุดทน แบ่งพรรคเทพ-พรรคมาร


ร.ท.หญิง สุณิสา ทิวากรดำรง รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่าทำไมพรรคประชาธิปัตย์กล้าพูดว่ายังไม่ตัดสินใจร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ ในเมื่อเห็น ๆ กันอยู่ว่าโดนเจาะไข่แดงไปเรียบร้อยแล้ว ยังอ้างว่ารอเขายกขันหมากมาขออีกเหรอ ไหน นาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เคยพูดก่อนเลือกตั้งว่ายังไงก็ไม่เอา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา อย่างนี้ไม่ให้เรียกตระบัดสัตย์ อย่างที่ คุณหญิง สุดารัตน์ เกยุราพันธ์ุ วิจารณ์ แล้วจะให้เรียกว่าอะไร ทั้งนี้ นาย อภิสิทธิ์ ไม่ได้พูดแค่ครั้งสองครั้ง ว่าไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ แต่เดินสายออกรายการทีวีดัง ๆ ทั่วไปหมด ช่วงหาเสียงโค้งสุดท้าย โดยจงใจเปิดเทปเสียง นาย อภิสิทธิ์ พูดซ้ำไปซ้ำมา ประชาชนก็เลยจำแม่นว่า นาย อภิสิทธิ์ พูดอะไรไว้ หรือนั่นเป็นแค่เทคนิคหาเสียงเลือกตั้งแบบศรีธนญชัย ทำไมไม่ตรงไปตรงมากับประชาชน

และอย่ามาอ้างว่า นาย อภิสิทธิ์ ไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรคแล้ว เพราะนั่นอาจเป็นแค่การหาทางลงสวย ๆ เพื่อจูบปากกับเผด็จการเท่านั้น เลยต้องเล่นไพ่หลาย ๆ หน้า ส่วนที่ปล่อยข่าวว่าจะเป็นฝ่ายค้านอิสระก็คงเพราะช่วงนั้น จะมีการเลือกตั้งซ่อมบางหน่วยใช่ไหม เลยเขียนบทให้คนรุ่นใหม่ออกมาพูดว่าไม่เอาเผด็จการเพื่อให้ดูดีมีหลักการ แต่พอเลือกตั้งจบ ทำไมกลืนน้ำลายตัวเองแล้วไปเจรจาต่อรองเก้าอี้กับพรรคที่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจเผด็จการล่ะ จุดยืนมีบ้างไหม

ตอนประชุมสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ก็ผลัดกันโยนผลัดกันเสิร์ฟกับพรรคพลังประชารัฐ ทั้งในการโหวตเก้าอี้ประธานและรองประธานสภาฯ และตอนช่วยกันหาเรื่องเลื่อนการลงมติโหวตเลือกประธานสภาฯ ทั้ง ๆ ที่องค์ประชุมก็ครบและมีความพร้อม ไม่มีความจำเป็นต้องเลื่อน ถ้าไม่ศรัทธาระบบรัฐสภาอย่างจริงใจ ก็ไม่คารลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. แต่น่าจะยื่นใบสมัครกับ คสช. ไปเลย

ทุกวันนี้ จนชาวบ้านถึงกับแบ่ง ส.ส. ออกเป็นฝ่ายพรรคเทพกับพรรคมาร หากอยากรู้ว่าประชาชนมองว่าใครเป็นเทพหรือเป็นมาร ก็ดูได้จากผลการเลือกตั้งซ่อม ที่จังหวัดเชียงใหม่ จะเห็นว่าประชาชนตื่นตัวออกมาใช้สิทธิ์สูงถึง 88 เปอร์เซ็นต์ หรือ 144,371 คน แม้ว่ากระแสการประชาสัมพันธ์จะน้อยก็ตาม แสดงว่าประชาชนต้องการส่งสัญญาณว่าไม่เอาเผด็จการและอยากสั่งสอนพรรคการเมืองที่หักหลังประชาชน เพราะคิดว่าเมื่อได้อำนาจไปแล้วจะใช้อำนาจนั้นอย่างไรก็ได้โดยไม่แคร์ความรู้สึกประชาชน

"พลภูมิ" สวนกลับพลังประชารัฐ-แนะส่องกระจกพรรคตนเองก่อน

"พลภูมิ" โต้ พรรคพลังประชารัฐ ส่องกระจกดูตัวเองก่อนวิจารณ์พรรคอื่น ประชุมสภาครั้งแรกก็ขอเลื่อนแล้ว ท้ามาแข่งกันทำงานให้ประชาชนดีกว่า


ดร.พลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคเพื่อไทย แสดงความคิดเห็นต่อกรณีที่ นายธนกร วังบุญคงชนะ รองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าไม่สบายใจที่ส.ส.ยังมีการใช้คำว่าฝ่ายประชาธิปไตย และฝ่ายสืบทอดอำนาจ รวมถึงอยากเห็นส.ส.ทำหน้าที่ตามที่ประชาชนคาดหวัง ในฐานะผู้แทนราษฎร เราก็ต้องทำหน้าที่สะท้อนความคิดเห็นของชาวบ้าน มาสู่สภา สู่สาธารณะ ติดตามข่าวหรือลงไปพบชาวบ้านดูบ้าง ก็คงรู้ได้ว่าที่ไม่สบายใจที่สุดก็คือประชาชน เพราะเขารู้สึกว่าอยู่กับฝ่ายเผด็จการสืบทอดอำนาจมา 5 ปีเต็มแล้ว ตนกล้าพูดว่าฝ่ายประชาธิปไตย เพราะทั้งชีวิตเป็นผู้แทนประชาชน ที่มาจากประชาชน ภูมิใจมากที่สุด ส่วนใครเลือกอยู่ตรงไหนข้อเท็จจริง และความจริง ไม่มีวันปิดหูปิดตาประชาชนที่มีใจรักประชาธิปไตยได้

นายพลภูมิกล่าวอีกว่า เรื่องการทำหน้าที่ให้ประชาชน อย่ามาแนะนำ สั่งสอนพวกตน เอาเวลาไปเตือนสติส.ส.ในพรรคตัวเอง ประชุมสภาแค่ 2 วันที่ผ่านมา มีแต่เกมการเมือง เราอยากให้มีประมุขฝ่ายนิติบัญญัติโดยไว เพื่อสภาจะได้เดินหน้าต่อเนื่อง พรรคท่านเองเป็นคนเสนอเลื่อน เสนอปิดอภิปราย หวังยื้อเวลาเพื่ออะไรคนเขาดูออก ภาษีประชาชนจ่ายมาเป็นเงินเดือน เป็นค่าห้องประชุม และอื่นๆอีกมากมาย ไม่ใช่คิดแค่ประโยชน์ เพื่อต่อรองทางการเมือง
.
“ผมหวังว่าท่านรองโฆษกฯจะได้เป็นปากเสียง ไปบอกผู้แทนฯพรรคท่าน ว่างๆก็ลองดูกระแสในโซเชียล หรือเปิดทีวีดูย้อนหลัง เนื่องจากน่าจะมีเวลาอยู่บ้าง ก็จะได้เห็นประจักษ์ตาตัวเอง มาแข่งกันทำงานให้ประชาชนดีกว่าครับ อันนี้ผมขอท้า”

"ทนายชุมสาย"​ แนะจับตา 2 พรรค พลิกลิ้น

เพื่อไทย​ ชี้​ ผู้ที่จะเข้าสู่อำนาจมีปัญหาเรื่องความชอบธรรมและฝ่าฝืนสัญญาประชาคม


ทนายชุมสาย​ ศรียาภัย​ รองโฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าวว่า การเมืองในวันนี้ไม่มีความถูกต้องชอบธรรมและได้ฝ่าฝืนสัญญาประชาคมโดยชัดแจ้ง​ กล่าวคือ
   
1. ความชอบธรรม ในเรื่องวิธีการในการเข้าสู่อำนาจของพรรค​การเมืองและสมาชิกพรรคบางพรรค ซึ่งมีข้อกล่าวหาหลายคดีอยู่ที่​ กกต.​ บวกกับ การเป็นพรรคที่ไม่ได้ เสียงข้างมากในสภาแต่เป็นผู้รวบรวมพรรคอื่นจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งขัดต่อประเพณีและธรรมเนียมปฏิบัติ​ที่มีกันมา ตามครรลองประชาธิปไตย
   
2. ความชอบธรรมของ พล.อ.​ประยุทธ์​ จันทร์โอชา​ นายกรัฐมนตรี ในเรื่องสถานะความเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือไม่​และปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนกับ​สว.250 คนหากถูกโหวตเป็นนายก
   
3. ความชอบธรรมของ กกต.ในการบังคับใช้กฎหมาย​ การจัดการเลือกตั้ง​ ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย
   
4. ความชอบธรรมของพรรคร่วมรัฐบาลในเรื่องสัญญาประชาคม ซึ่งเป็นปัญหาของพรรคการเมืองอย่างน้อย 2 พรรค ที่หัวหน้าพรรคได้ให้สัญญาประชาคมกับประชาชนไว้แล้ว ว่าไม่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจของเผด็จการ แต่ในที่สุดได้พลิกลิ้นตระบัดสัตย์โดยอ้างว่า ทำเพื่อประชาชนและแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ แต่ในความเป็นจริงเป็นที่ทราบกันว่าได้ทำไปเพื่อประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง​และต่อรองเก้าอี้เป็นที่ตั้ง ที่สุดจึงเข้าร่วมขบวนการการสืบทอดอำนาจของเผด็จการโดยไม่คำนึงถึงสัญญาประชาคม​และสัจจะวาจาที่ได้ให้ไว้กับประชาชน จึงเป็นพฤติกรรมที่ต้องจดจำและร่วมกันประนาม และต้องให้บทเรียน นักการเมืองเหล่านี้ เมื่อถึงเวลา นายชุมสาย​ กล่าวทิ้งท้าย

"พานทองแท้" สอนประชาธิปัตย์ อย่าเสียสัจจะร่วมสืบทอดอำนาจ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

คนโบราณ ที่อยากจะให้ลูกหลาน
มี #สามัญสำนึก ที่ดี
ตามที่บรรพบุรุษมุ่งมั่นตั้งใจไว้
มักจะใช้ “กุศโลบาย” ในการตั้งชื่อ
มีทั้งตั้งชื่อเป็น “สิริมงคล”
และ ตั้งชื่อเพื่อ ”แก้เคล็ด”
เราจึงมักได้ยินชื่อ..
นายรวย แต่ยากจน
นายมี พึ่งขัดสน
นายบุญ ใฝ่บาป
นายมานะ เกียจคร้าน
อยู่เสมอๆ
คนยังมีชื่อ ไม่ตรงกับ สันดานตัวเองได้
แล้วพรรคที่นิยามตัวเองมา 70 กว่าปี
ว่าตัวมี “อุดมการณ์” ประชาธิปไตย
และ มีอุดมการณ์ในการก่อตั้งพรรคฯ
จะกระทำขัดอุดมการณ์ของตัวเองได้หรือไม่?
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนก่อน พูดไว้ชัดเจนว่า “การไม่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์ และการไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคการเมืองที่สืบทอดอำนาจ คืออุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์”
และพูดต่อไปอีกว่า “ไม่มีมติของพรรคการเมืองใด ขัดต่ออุดมการณ์ของพรรคตัวเอง” พูดปั๊บพอเลือกตั้งเสร็จก็ลาออกเหมือนเลือกตั้งครั้งก่อน แต่ครั้งนี้ออกแล้วออกเลย ไม่ยอมสมัครกลับมาเป็นหัวหน้าเหมือนเคย
พรรคประชาธิปัตย์ กำลังจะมีมติออกมาว่า
จะเข้าร่วมรัฐบาลพลเอกประยุทธ์หรือไม่? อาจเป็นเสียงสะท้อนได้ว่า พรรคเก่าแก่กว่า 70 ปี จะยิ่งแก่ก็ยิ่งขลังในบทบาทประชาธิปไตย หรือการสู้เพื่อประชาธิปไตย ได้เลือนหายตายจากพรรคการเมืองนี้ไปแล้ว
มติในครั้งนี้ อาจเป็นคำตอบว่า...
ชื่อ “พรรคประชาธิปัตย์” คือ ชื่อที่เป็น ”สิริมงคล” ต่อระบอบประชาธิปไตยของไทย
หรือ เป็นเพียงวิสัยทัศน์ที่ “บรรพบุรุษ” พรรคฯ คิดชื่อพรรคขึ้นมา เพื่อ “แก้เคล็ด” ให้กับสมาชิกพรรคฯใน 70 ปีข้างหน้า จะได้มีสามัญสำนึกถึง ”ประชาธิปไตย” กันบ้าง

"จาตุรนต์" ชี้ รัฐบาลงูเห่า-ประยุทธ์อยู่ยาก เทียบสุจินดา 37 วัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายจาตุรนต์ ฉายแสง โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้


มีเหตุการณ์ทางการเมือง 3 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเดือนพฤษภาคมเหมือนกัน แต่ห่างกันหลายปีคือเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 การสลายการชุมนุมของประชาชนที่เรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภาเมื่อปี 2553 และการรัฐประหารครั้งล่าสุดเมื่อปี 2557

ไม่นับการเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎรที่เพิ่งผ่านไปและอาจจะมีการเลือกนายกรัฐมนตรีกันในเดือนนี้ด้วยนะครับ

เหตุการณ์พฤษภาทมิฬเป็นเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์เหตุการณ์หนึ่ง ผมเองก็ไปร่วมรำลึกเหตุการณ์นี้มาหลายครั้ง ทั้งในฐานะตัวแทนรัฐบาล ตัวแทนพรรคการเมืองและไปเป็นส่วนตัว ระยะหลังๆไม่ค่อยได้ไป บอกกันตรงๆก็เป็นเพราะเห็นว่าผู้ที่เคยร่วมต่อสู้ในเหตุการณ์นี้ด้วยกันมาหลายคนกลายเป็นผู้สนับสนุนการรัฐประหารหรือสนับสนุนนายกฯคนนอก แล้วก็ยังมาเป็นตัวตั้งตัวตีในการจัดงานหรือมาร่วมงานกันอย่างหน้าชื่นตาบานกันอยู่

แต่ผมก็ยังเห็นว่าเหตุการณ์พฤษภา 35 นี้มีความหมายทางประวัติศาสตร์ที่ควรรำลึกจดจำและศึกษาหาบทเรียนสำหรับสังคมไทยอยู่นะครับ

เหตุการณ์พฤษภา 35 เกิดขึ้นหลังจากที่ประชาชนไทยว่างเว้นจากการต่อสู้ทางการเมืองอย่างเข้มข้นมานานถึง 15-16 ปี ประชาชนไทยในขณะนั้นปฏิเสธการสืบทอดอำนาจเผด็จการของผู้ที่ทำรัฐประหาร 1 ปีก่อนหน้านั้น มีประเด็นที่ชูกันขึ้นมาในการต่อสู้คือต้องแก้รัฐธรรมนูญ ไม่เอานายกฯคนนอกและต่อมามีเรื่องการตระบัดสัตย์ของผู้นำรัฐประหารที่มาเป็นนายกฯบวกเข้ามาด้วย

ก่อนหน้านั้น ประเทศไทยเพิ่งผ่านช่วงของเผด็จการเต็มขั้นและต่อด้วยประชาธิปไตยครึ่งใบรวมๆกันนานถึง 10กว่าปี เพิ่งมีรัฐบาลจากพรรคการเมืองบริหารได้เพียงสั้นๆ แต่สังคมไทยก็กลับเข้าใจได้ว่าการปกครองแบบเผด็จการนั้นไม่ใช่เรื่องดีและต้องการให้เป็นประชาธิปไตยยิ่งกว่าก่อนการรัฐประหารเสียอีก

พูดแบบไม่ใช่มองโลกสวยหรูเกินไปก็คงต้องยอมรับว่าสาเหตุหนึ่งที่มีหลายฝ่ายร่วมกันต่อต้านการสืบทอดอำนาจเผด็จการในครั้งนั้นอย่างกว้างขวางก็เป็นเพราะถึงแม้คณะทหารที่ทำการรัฐประหารครั้งนั้นมีอำนาจมากก็จริง แต่จำกัดตนเองอยู่ในรุ่นของตนเองพวกของตนเองอย่างคับแคบ ทำให้หลายฝ่ายแม้แต่ชนชั้นนำด้วยกันเองจำนวนมากก็ไม่พอใจหรืออาจถึงขั้นกลัวว่านายทหารกลุ่มนี้จะนำพาประเทศไปโดยไม่ฟังชนชั้นนำเลยก็ได้ พลังฝ่ายประชาธิปไตยจึงมีหลายฝ่ายเป็นพวก

ปรากฏการณ์อย่างหนึ่งในเหตุการณ์เดือนพฤษภา 35 ที่มักพูดถึงกันคือเหตุการณ์นี้มักถูกเรียกว่าเป็น "ม็อบมือถือ” (ซึ่งยังไม่เป็นสมาร์ทโฟน) ผู้ที่เข้าร่วมการชุมนุมจำนวนมากอย่างเห็นได้ชัดเป็นคนวัยทำงานที่ติดต่อสื่อสารกันได้เร็วกว่าสมัยก่อนหน้านั้นด้วยโทรศัพท์มือถือซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายไม่กี่ปีก่อนหน้านั้น

การชุมนุมต่อต้านการสืบทอดอำนาจเกิดขึ้นหลังจากเริ่มมีความชัดเจนว่าจะมีการสืบทอดอำนาจแน่แล้ว รัฐบาลพลเอกสุจินดามีพรรคการเมืองที่มีคณะรัฐประหารบงการให้ตั้งขึ้นเป็นแกน มีพรรคการเมืองอีกจำนวนหนึ่งสนับสนุน

หลังจากเหตุการณ์พฤษภา 35 พรรคการเมืองที่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจถูกเรียกว่า “พรรคมาร” ส่วนพรรคฝ่ายค้านถูกเรียกว่า “พรรคเทพ”

รัฐบาลพลเอกสุจินดาอยู่ในตำแน่งได้เพียง 37 วันเท่านั้น

27 ปีต่อมา มีการเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎรไปแล้วและพรรคการเมืองที่มีคณะรัฐประหารอยู่เบื้องหลังกำลังเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลเพื่อสืบทอดอำนาจเผด็จการต่อไป ตามระบบที่วางไว้ระบบเผด็จการที่อยู่มาแล้ว 5 ปี อาจอยู่ยาวนานต่อไปอีก 8 ปีหรือ 20 ปี

เทียบกับรสช.ในอดีตแล้ว คสช.สามารถผนึกกำลังกับชนชั้นนำด้วยกันกว้างขวางกว่ามาก วางระบบได้แยบยลซับซ้อนกว่าและมีเงื่อนไขสำคัญที่ทำให้พวกเขามาถึงจุดนี้ได้คือเรื่องความไม่สงบที่ผู้มีอำนาจได้ร่วมกันอยู่เบื้องหลังสร้างสถานการณ์ขึ้นจนทำให้คนจำนวนมากเข็ดขยาดไม่อยากเจออีก ยอมที่จะอยู่ใต้ระบอบเผด็จการเพื่อแลกกับความสงบที่จอมปลอม

แต่เทียบกับเมื่อ 27 ปีก่อนสังคมไทยก็เปิดมากขึ้น ต้องพึ่งพาอาศัยโลกมากขึ้น ผู้คนเรียนรู้ข้อมูลข่าวสารมากขึ้น คนรุ่นใหม่ตื่นตัวและเข้าร่วมทางการเมืองมากขึ้น ในเรื่องของเทคโนโลยีการสื่อสาร สมาร์ทโฟนและอินเตอร์เน็ตก็ก้าวหน้ากว่ามือถือในสมัยโน้นแบบเทียบกันไม่ได้เลย

ผู้นำเผด็จการอยู่มาแล้ว 5 ปี และกำลังจะสืบทอดอำนาจโดยผ่านกระบวนการที่ไม่ชอบธรรมสารพัด ตั้งแต่การเขียนกติกาต่างๆมาจนถึงการนับคะแนนประธานสภา การตระบัดสัตย์ก็กำลังจะเกิดขึ้นโดยไม่ต้องนัดกัน ไม่นับว่าจะมีงูเห่าผลุบๆโผล่ๆแบบซ้ำซากตลอดอายุของรัฐบาลด้วย

รัฐบาลสุจินดาอยู่ได้ 37 วัน รัฐบาลประยุทธ์จะอยู่ 8 ปี 20 ปี คงไม่ง่ายนักหรอกครับ

วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

"สุดารัตน์" อัดกติกาเลือกตั้งไทย ชนะเยอะกลับยิ่งแพ้

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

#เลือกตั้ง62
‪เพื่อไทยโดนใบแดง‬
‪สส.ฝ่าย ปชต.หายไป 1คน‬
‪ฝ่าย ปชต.ได้ สส. เขตคืนมา 1คน‬
‪แต่..‬
‪ฝ่ายสืบทอดอำนาจกลับได้‬
‪สส.บัญชีรายชื่อเพิ่มขึ้น 2คน!!‬
#ชนะเยอะกลับยิ่งแพ้
‪เราต้องอยู่กับ #กติกาบิดเบี้ยว
‪แบบนี้ ไปอีกนานแค่ไหนคะ?‬


"ภูมิธรรม" สอนพรรคการเมือง ต้องซื่อสัตย์กับประชาชน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้


สิ่งที่นักการเมืองพูดไว้กับประชาชน เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด การที่ได้แสดงเจตนารมณ์และประกาศอะไรไปต้องยึดมั่นในสิ่งเหล่านั้น

แต่ละพรรคต้องกลับไปดูว่าการตัดสินใจในครั้งนี้ มีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะสะท้อนให้ประชาชนเห็นว่าเราเป็นนักการเมืองที่ซื่อสัตย์กับประชาชนหรือไม่ จริงใจในสิ่งที่ได้พูด ได้แสดงออกหรือไม่

เราต้องเคารพในสิ่งที่ได้พูดไว้กับประชาชน และเชื่อว่าทุกพรรคการเมืองจะต้องนำสิ่งเหล่านี้ไปคิด
ใครก็ตามที่ไม่สามารถทำตามที่ได้ยืนยันกับพี่น้องประชาชนไว้ หรือทรยศกับสิ่งที่ตัวเองพูดไว้

ประชาชนจะตัดสินใจและจัดการกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

-ภูมิธรรม เวชยชัย-
เลขาธิการพรรคเพื่อไทย
27 พ.ค.2562

"ปรีชาพล" แนะนักการเมือง ขอตายอย่างเสือ-ไม่ทรยศประชาชน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

คุณสมบัติสำคัญของการเป็นนักการเมืองที่ดี คือมีคุณธรรมและรักษาสัจจะ ช่างหายากเหลือเกินในบ้านเมืองยุคนี้ เมื่อผลประโยชน์อยู่เหนืออุดมการณ์ การสร้างเหตุผลเพื่ออธิบายในการกระทำนั้น สามารถทำได้ไม่ผิด แต่คนฟังจะเชื่อหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่อง ไม่ผิดเช่นกัน

จดจำวันนี้ไว้ ไม่ใช่การโกรธแค้นแต่พร้อมเปลี่ยนเป็นพลัง เมื่อมีจังหวะหรือโอกาสที่เหมาะสมจงมอบบทเรียนให้นักการเมืองเหล่านี้ได้รับผลจากการกระทำ ที่เป็นการทรยศหักหลัง หลอกลวง เหยียบย่ำหัวใจประชาชนครับ

นักการเมืองตอนไปหาเสียง เป็นฝ่ายไปขอโอกาสและคะแนนจากประชาชน เมื่อเลือกตั้งเสร็จ ได้เป็น ส.ส. จะคิดหรือทำอะไรก็อยากให้ท่านนึกถึงประชาชนให้มากๆ เพราะประชาชนฝากอนาคตและชีวิตไว้กับพวกท่านนะครับ

บางคนอาจจะคิดว่าเป็นสมัยนี้สมัยเดียวหรือสมัยสุดท้าย ไม่ต้องสนใจอะไรมาก แต่ชื่อเสียงเรียงนามจะปรากฎและจารึกในความทรงจำของประชาชนตลอดไป ถ้าหัวใจคือประชาชน เราจะไม่ทรยศต่อจิตวิญญาณและจิตสำนึกที่มีต่อประเทศชาติและพี่น้องประชาชนไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม ขอเป็นกำลังใจสำหรับผู้ที่มีจิตใจแน่วแน่มั่นคงและอยู่เคียงข้างประชาชนครับ

ผลประโยชน์ เงินทอง สิ่งของล่อตาล่อใจเป็นใครก็อยากได้ แต่จะให้ขายจิตวิญญาณและอุดมการณ์ ขอตายอย่างเสือดีกว่า

วันเสาร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

"หมวดเจี๊ยบ" ฉะ เกมยื้อเลือกประธานสภาฯ


ร้อยโทหญิงสุณิสา ทิวากรดำรง หรือ “หมวดเจี๊ยบ” รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การอภิปรายของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคต่าง ๆ ในการเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฏรนัดแรก สะท้อนให้เห็นคุณภาพของ ส.ส เอื้ออาทร หรือ ส.ส จากการปัดเศษ ที่ขอเลื่อนการพิจารณาประธานสภาฯ เช่นกันโดยอ้างว่ายังตกลงกันภายในพรรคไม่เรียบร้อย ซึ่งเป็นข้ออ้างที่เห็นแก่ตัว เอาผลประโยชน์ของพรรคตัวเองมาอยู่เหนือผลประโยชน์ของประเทศชาติ เพราะหากสภาฯไม่มีประธาน กลไกของรัฐสภาก็จะเดินหน้าไม่ได้

การอ้างว่ายังตกลงกันภายในพรรคไม่เรียบร้อย ซึ่งเป็นข้ออ้างที่เห็นแก่ตัว เอาผลประโยชน์ของพรรคตัวเองมาอยู่เหนือผลประโยชน์ของประเทศชาติ เพราะหากสภาฯไม่มีประธาน กลไกของรัฐสภาก็จะเดินหน้าไม่ได้ แสดงว่าตอนที่แปะข้อความบนป้ายหาเสียงว่าขอเข้าสภาฯ เพื่อใช้เวทีสภาฯในการแก้ปัญหาของประเทศ เพื่อก้าวข้ามความขัดแย้งและยุติการเมืองบนท้องถนนนั้น เป็นเพียงการหลอกประชาชนเท่านั้น เพราะเมื่อได้เข้าสภาฯจริงๆ กลับเล่นเกมส์ยื้ออำนาจเพื่อให้สภาฯเกิดภาพความวุ่นวาย แสดงว่าไม่ได้เห็นเวทีสภาฯเป็นเวทีในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ของประเทศ อย่างที่ปากพูด

เมื่อประชาชนเห็นพฤติกรรมของนักการเมืองเหล่านี้ คงเห็นแล้วว่า ส.ส. เอื้ออาทร และ ส.ส จากพรรคการเมืองที่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจของเผด็จการเหล่านี้เหาะเข้าสภาฯเพื่อรับใช้ใคร?

ในส่วนของ ส.ส ของพรรคเพื่อไทยนั้น พรรคได้กำชับและสนับสนุนการเตรียมการของ ส.ส อย่างเต็มที่ เพื่อให้สามารถทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนได้ทันที เพื่อไม่ให้เสียเวลาของสภาฯ ให้สมกับที่ได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชน ซึ่งสมาชิกพรรคทุกคนก็ได้ทำการบ้านมาเป็นอย่างดี ซึ่งพรรคก็มีความพอใจในบทบาท ส.ส. ของเรา.

วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

"สุดารัตน์" อัดพรรคไม่ประกาศท่าทีทางการเมือง ดึงเกมต่อรองตำแหน่ง

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้


ครบรอบ 5 ปี รัฐประหาร
ร่วมหยุดการสืบทอดอำนาจปีที่ 6 ของ คสช. ไปด้วยกัน

จากพรรคไทยรักไทย ถึงพรรคเพื่อไทย เราเผชิญวิกฤติการเมืองมามากมาย ทั้งการยุบพรรค ตัดสิทธิ์ทางการเมือง และการทำรัฐประหาร ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่ได้เห็น ได้สัมผัสกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ทางการเมือง เกือบสองทศวรรษที่ผ่านมา ทั้งในช่วงที่ประเทศมีประชาธิปไตย และในช่วงที่ไม่มีประชาธิปไตย

ความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ทำให้ดิฉันได้เรียนรู้ถึงความหมายของการชนะที่แท้จริง ซึ่งได้แก่การ ”ชนะใจประชาชน” และความหมายของของการชนะจอมปลอม นั่นคือ การชนะโดยการยึดอำนาจไปจากมือของประชาชน โดยทำให้การเลือกตั้งเป็นเพียง ”พิธีกรรมชุบตัว” ด้วยการเขียนกติกาที่บิดเบี้ยว เอาเปรียบทุกประตู ทั้ง #สสเอื้ออาทร #สวเอื้อพวกพ้อง 250 คน ที่คสช. เลือก มีอำนาจมากกว่าสส.ที่ประชาชนเลือก เพราะสามารถ เลือกนายกรัฐมนตรีได้ 2 สมัย

ตามด้วยแผนยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อคุมประเทศต่อไปอีกยาวนาน 20 ปี

วันนี้ครบรอบ 5 ปี รัฐประหาร คสช.ตลกร้ายก็คือ หน้านิวฟีดของดิฉัน เต็มไปด้วยข่าวไม่กี่ข่าว นั่นคือ ข่าวโผของคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ซึ่งเต็มไปด้วยนายพลหน้าเดิมที่ทำรัฐประหารเมื่อ 5 ปีก่อน และอีกข่าวคือการต่อรองเก้าอี้ของพรรคการเมืองแทงกั๊กอย่างคึกโครม

ในระหว่างการต่อรองผลประโยชน์ทางการเมือง
ในทุกความพยายามเพื่อยึดอำนาจไปจากมือของประชาชน
ความทุกข์ของพี่น้องประชาชน กำลังดำเนินไปอย่างสาหัส

ในการเลือกตั้งครั้งนี้ เราลงพื้นที่ครอบคลุมทุกจังหวัด เราถามคำถามกับพี่น้องประชาชนว่า “อะไรคือความทุกข์ใจของพี่น้องประชาชน ที่ต้องการให้แก้ไขตลอดระยะเวลา 4 ปีนับตั้งแต่การรัฐประหาร”

59 % ของประชาชนบอกกับเราว่า ปัญหาใหญ่วันนี้คือปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง รวยกระจุก จนกระจาย หนี้สินท่วมหัว ค่าครองชีพสูง รายได้ไม่พอรายจ่าย สิ้นหวังอย่างหนัก เพราะประเทศทั้งล้าหลัง ถดถอย แข่งขันกับความเปลี่ยนแปลงของโลกไม่ได้

14 % ของประชาชนบอกกับเราว่า ปัญหายาเสพติดกำลังระบาดหนัก ทำลายอนาคตของเยาวชน ทำลายโอกาสในการหาเลี้ยงครอบครัว

และ 13% ของประชาชนบอกกับเราว่า ปัญหาคอรัปชั่นกลับหนักยิ่งขึ้นในยุคที่ไม่มี “นักการเมือง” การรีดไถสินบนลุกลามบานปลายไม่สิ้นสุด จนประชาชนทำมาหากินไม่ได้

พี่น้องประชาชนทั้งประเทศ มองการเลือกครั้งนี้เป็นความหวังในการเดินออกจากความทุกข์ แต่ความหวังนั้นก็พังทลาย เพราะขณะนี้เกิดคำถามดังๆ ในสังคมไทยว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ได้เป็นไปอย่างสุจริต เที่ยงธรรมจริงหรือไม่ ? หรือเป็นเพียงพิธีกรรมในการขุบตัวแปลงร่างเพื่อสืบทอดอำนาจต่อ

จุดยืนของดิฉัน และพรรคเพื่อไทย มั่นคงและชัดเจนค่ะ เราเห็นโอกาสของประชาธิปไตยที่จะได้กลับมาลงหลักปักฐานให้มั่นคง เป็นภารกิจที่สำคัญยิ่งกว่าการแสวงหาอำนาจทางการเมือง

พรรคเพื่อไทยยอมเสียสละ เพื่อไม่ให้เป็นเงื่อนไขในการต่อรองทางการเมืองใดๆ ขอเพียงประเทศเดินหน้าสู่การเป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ก็ถือว่าเราได้ทำภารกิจสำเร็จแล้วค่ะ

ดังนั้นหากนักการเมืองจากพรรค ที่ยังไม่ประกาศท่าทีทางการเมือง ร่วมกันยืนหยัดเคียงข้างประชาชน อย่างที่ได้เคยพูดสัญญาไว้ตอนหาเสียง ด้วยการไม่ทรยศต่อความหวังของประชาชน และสำนึกอยู่เสมอว่าเรามาจากประชาชน นักการเมืองเหล่านี้ ก็จะสามารถสร้างคุณูปการต่อประชาชน ยุติบทบาท คสช.​ได้แล้วค่ะ

อีก 2 วันก็ทราบแล้วค่ะว่า พรรคเหล่านี้จะเลือกอยู่เคียงข้างประชาชน หรือ ที่ดึงเกมกันอยู่ ก็เพื่อแค่เอาคะเเนนเสียงที่ประชาชนมอบให้ ไปต่อรองตำแหน่ง และผลประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น

ประชาชนความจำดีนะคะ!!

วันอังคารที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

“พานทองแท้” แนะทุกพรรคเชื่อมั่นเสียงประชาชน-แก้ปัญหาการเมือง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้


ปัญหาการเมืองไทยแก้ไม่ยาก หากทุกพรรคมีความเชื่อมั่นในเสียงของประชาชนครับ

การเลือกตั้ง 24 มีนาคมที่ผ่านมา คนไทยทั้งประเทศอุตส่าห์ตั้งตารอมาเกือบจะครบ 5 ปี ผลลัพธ์เป็นอย่างไรมาดูกัน

พรรคที่ประกาศตัวสืบทอดอำนาจลุงฯ ได้ ส.ส.รวมกันเพียง 120 กว่าคน แต่ตั้งธงไว้ว่าจะต้องเป็นรัฐบาล และลุงตู่ต้องอยู่ต่อให้ได้

ส่วนพรรคที่ประกาศตัวไม่สนับสนุนลุงตู่ โดนดูดก็แล้ว โดนขู่ก็แล้ว โดนเขียนรัฐธรรมนูญให้ยิ่งได้ ส.ส.เขตมากเท่าไหร่ พรรคยิ่งเล็กลงเท่านั้น โดนบัตรเขย่ง โดนนับคะแนนแจกพรรคเล็ก โดนสารพัดจะโดน ยังได้ส.ส.ถึง 245 คน มากกว่าพรรคฝ่ายสืบทอดอำนาจให้ลุงเกิน 2 เท่าตัว

ตัวแปรจึงมาตกอยู่กับพรรคที่อยู่ตรงกลาง ที่มี ส.ส.รวมกันร้อยคนเศษ หากจะไปรวมกับขั้วสืบทอดอำนาจให้ลุง ก็จะได้รัฐบาลปริ่มน้ำที่ไม่มีเสถียรภาพ และต้องพึ่งความหวังจากน้ำบ่อหน้า จากการยุบพรรคอีกฝ่าย เพื่อซื้อตัวส.ส.ที่กระจัดกระจายมาช่วยเสริมทัพ และต้องหาซื้องูเห่ามาเลี้ยง ซึ่งเท่ากับเป็นการสนับสนุนให้การเมืองไทยเน่าเหม็นย้อนยุคไปอีกหลายสิบปี

หากตัวแปร 100 กว่าเสียงนี้ เข้าร่วมกับขั้วประชาธิปไตยที่ไม่สนับสนุนลุง จะทำให้ได้รัฐบาลร่วม 350 เสียง ซึ่งในภาวะปกติถือว่าเป็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพสูงมาก #ประชาธิปไตยไปต่อ ได้อย่างสบาย และการจัดตั้งรัฐบาลน่าจะลงตัวไปนานแล้ว แต่ในยุคที่ลุงเป็นใหญ่ ประชาธิปไตยอาจไปได้ยากหน่อย

ที่สำคัญพรรคตัวแปรนี้มี 2 พรรคใหญ่ ได้แก่พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคภูมิใจไทย ซึ่งได้ให้สัญญากับพี่น้องประชาชนไว้ก่อนการเลือกตั้ง ดังนี้

พรรคประชาธิปัตย์ ได้ให้สัญญาเอาไว้ชัดเจนว่า

 1. พรรคจะไม่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ (เน้นย้ำชัดเจนว่า “ไม่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์เป็นนายก” ไม่ได้ใช้สรรพนามอื่น)

 2. พรรคจะไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคที่สืบทอดอำนาจ (ก็หมายถึงการสืบทอดอำนาจของพลเอกประยุทธ์อีกแหละ)

 3. แถมยังปิดประตูการบิดพริ้วในอนาคต ด้วยการยืนยันว่า 2 ข้อข้างต้นคือ “อุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์” และย้ำว่าไม่มีพรรคการเมืองใด ลงมติสวนทางอุดมการณ์ของพรรค..!!

ตามลิ๊งค์ด้านล่างนี้
https://www.facebook.com/17171146143/posts/10156657524736144?s=570054635&v=e&sfns=mo

ซึ่งถ้าเรานับเสียงส.ส.ของทุกพรรคที่ประกาศว่า “ไม่เอาลุง” รวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์ด้วย จะมี ส.ส.รวมกันถึง 297 เสียง ชนะพรรคที่จะเอาลุงอย่างขาดลอยทีเดียว
————————

ส่วนพรรคภูมิใจไทย ก็สัญญาไว้หนักแน่นว่า พรรคจะร่วมรัฐบาลกับขั้วการเมืองที่ได้ส.ส.ในสภาเยอะที่สุด เพื่อให้ได้รัฐบาลที่มีเสถียรภาพสูงสุด ทำให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ และจะไม่ยอมให้ส.ว. 250 เสียง มากำหนดอนาคตประเทศ สวนทางจากฉันทานุมัติของประชาชน

ซึ่งตัวเลข 245 : 120 ก็ชัดเจนว่าพรรคภูมิใจไทยนำพรรคมาร่วมกับฝั่งไหน การเมืองจึงจะมีเสถียรภาพในสภามากกว่ากัน และถ้า 2 พรรคนี้มาร่วมรัฐบาล เราจะมีเสียงในสภาถึง 348 เสียงจาก 498 เสียง เราจะได้รัฐบาลที่มีเสถียรภาพแน่นปึ๊ก ประชาธิปไตยไปต่อได้สบาย

ตามลิ๊งค์ด้านล่างนี้
https://thestandard.co/thailandelection2562-bhumjaithai-standpoint/
———————-

เผด็จการคือการใช้อำนาจอยู่เหนือประชาชน ส่วนประชาธิปไตยคือระบบที่ประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน

แต่ฉันทานุมัติของประชาชน จำต้องส่งผ่านไปยังนักการเมือง ให้ไปยกมือโหวตให้ในสภา การที่นักการเมืองไม่รักษาคำพูด และยกมือสวนทางกับที่สัญญาไว้ คือการเปิดโอกาสให้เผด็จการเข้ามาสวมหัวโขนเป็นประชาธิปไตยได้สะดวก ขัดต่อฉันทามติของคนส่วนใหญ่ของประเทศ

ประชาธิปไตยของไทยจะไปในทิศทางใด จะเริ่มต้นศักราชใหม่หลังจากอึมครึมมา 5 ปี หรือจะยังคงสืบทอดอำนาจให้อยู่กับลุงตู่คนเดิมต่อไป ขึ้นอยู่กับความเชื่อของ 2 พรรคหลักที่ยังอยู่ตรงกลาง

“ถ้าคิดว่าอำนาจเป็นของประชาชน (ไม่ใช่ของลุง) #ประชาธิปไตยจะชนะ และ #เราจะชนะไปด้วยกัน”

ถ้าคิดจะเกรงกลัวเผด็จการฯ  ก็ไม่ควรมีการเลือกตั้งที่ใช้งบประมาณไปกว่า 5 พันล้าน เพราะเสียงของประชาชนที่มากกว่าเกิน 2 เท่า ก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ และประเทศไทยจะได้รัฐบาลที่ปวกเปียกปริ่มน้ำมาบริหารประเทศแบบ 5 ปีที่ผ่านมา

ประชาชนออกไปเลือกตั้ง เพราะหวังจะได้การปกครอง “ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ที่แท้จริง มิได้ต้องการให้การเลือกตั้งเป็นเพียงการ #ชุบตัวเผด็จการให้ดูเป็นประชาธิปไตย

อนาคตประเทศไทยอยู่ภายใต้การตัดสินใจของ  2 พรรคการเมืองที่ชื่อ...
“พรรคประชาธิปัตย์ และ พรรคภูมิใจไทย” ครับ

วันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

"อนุสรณ์" แนะฝ่ายการเมือง รักษาจุดยืนมากกว่าตำแหน่ง

"อนุสรณ์" แนะทุกฝ่ายเห็นแก่ประโยชน์ประชาชนมากกว่าโควต้ารัฐมนตรีที่แต่ละพรรคจะได้รับ


นายอนุสรณ์  เอี่ยมสะอาด คณะทำงานสื่อสารการเมืองพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีพรรคขนาดกลางอยู่ระหว่างการตัดสินใจทางการเมืองเกี่ยวกับการจับขั้วจัดตั้งรัฐบาลว่า ออสเตรเลียผ่านการเลือกตั้งวันเดียวมีความชัดเจนเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล แต่ประเทศไทยผ่านการเลือกตั้งมาจะครบ 2 เดือนแล้วยังไม่มีความชัดเจนว่าใครจะได้เป็นรัฐบาล ทำให้ประชาชนเสียโอกาสที่จะได้รัฐบาลที่มีประสิทธิภาพมาแก้ปัญหาประเทศ ยิ่งฟอร์มรัฐบาลช้าประชาชนรู้ดีว่าใครได้ประโยชน์ ภารกิจสำคัญของรัฐบาลใหม่ไม่ใช่เพียงแค่การแก้ปัญหาด้านเศรษฐกิจสังคมการเมืองเท่านั้น แต่ภารกิจนำพาประเทศให้หลุดพ้นจากกับดักการสืบทอดอำนาจนั้นสำคัญกว่า ใครจะเป็นรัฐบาลก็ตามขอบันทึกข้อเท็จจริงการเมืองไทยว่า

1.พรรคที่ไม่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจมีคะแนนเสียงที่ประชาชนสนับสนุนถึง16 ล้านเสียงในขณะที่พรรคสนับสนุนการสืบทอดอำนาจได้รับคะแนนเสียงเพียง8 ล้านเสียงก็เป็นสิ่งบ่งชี้ที่ยืนยันชัดเจนว่าประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศสนับสนุนแนวทางต่อต้านการสืบทอดอำนาจและปฏิเสธการเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีของพล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชาหลังการเลือกตั้งพรรคการเมืองต้องเคารพเสียงประชาชนไม่มีประโยชน์ที่จะดันทุรังซึ่งการฝืนเจตนารมย์ของประชาชนมีแต่จะนำไปสู่ความขัดแย้งรอบใหม่

2.ต้องยอมรับว่า 5 ปีของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์  การส่งออกตกต่ำประชาชนชักหน้าไม่ถึงหลังยาง3 โลร้อยข้าวเกวียนละ 6,000 บาทไทยเติบโตเกือบต่ำสุดของอาเซียนทั้งที่รัฐบาลมีมาตรา44 และไม่มีฝ่ายค้านประชาชนตัดสินใจได้ถ้าจะเอาทีมเดิมโดยที่ไม่มีมาตรา44 ไม่มีความมั่นคงทางการเมืองเพราะเป็นรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำในขณะที่สงครามการค้าโลกรุนแรงสภาพรัฐบาลจะเป็นอย่างไรและจะไม่สามารถแก้ปัญหาหรือทำงานได้แล้วรัฐบาลทีมเดิมไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่าจะสามารถทำงานแก้ปัญหาได้

3.พรรคใดจะตัดสินใจทางการเมืองอย่างไรคงไม่ก้าวล่วง แต่จะปฏิรูปการเมืองได้อย่างไรถ้าไม่เคารพและฟังเสียงประชาชน? นักการเมืองคุณภาพพูดอย่างไรก็ต้องทำเช่นนั้น เช่น ถ้าบางพรรคประกาศจุดยืนประชาชนเป็นใหญ่ ประชาธิปไตยสุจริตไม่เอาการสืบทอดอำนาจ ประชาชนก็คาดหวังว่าต้องทำตามที่ประกาศจุดยืน ถ้าไม่ทำตามต้องไปตอบคำถามกับประชาชนเอง พรรคเพื่อไทยเห็นแก่ผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนมากกว่าประโยชน์ส่วนตนจึงขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเห็นแก่ผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนมากกว่าโควต้ารัฐมนตรีที่แต่ละพรรคจะได้รับ

"เผ่าภูมิ" แนะประชาธิปัตย์ ตัดสินใจทางการเมือง

“เพื่อไทย” เชื่อ ประชาธิปัตย์เอาหลักการที่ถูกต้องมาก่อนเงื่อนไขที่หอมหวน ชูหลักการ 4 ข้อ ช่วยตัดสินใจ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ได้เผยแพร่ทัศนะทางการเมือง ล่าสุด ดังนี้

ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ได้ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อยู่ระหว่างการตัดสินใจทางการเมืองเกี่ยวกับการจับขั้วจัดตั้งรัฐบาลว่า

ผมไม่เชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์จะยอมแลกอนาคตของพรรคเข้าร่วมกับฝ่ายสืบทอดอำนาจ เพียงเพราะเงื่อนไขที่หอมหวนในระยะสั้น แต่อาจส่งผลถึงอนาคตของพรรคที่มีอายุยืนยาวกว่า 70 ปี ที่อาจกลายเป็นพรรคที่สูญเสียความไว้เนื้อเชื่อใจของประชาชนโดยสิ้นเชิง

ผมมีหลักการง่ายๆ 4 ข้อ ที่อาจเป็นประโยชน์สำหรับพรรคที่กำลังตัดสินใจ ดังนี้

1. ฝ่ายประชาธิปไตยที่ประกาศตัวไม่เอาพลเอกประยุทธ์ปัจจุบันมีเสียง 245 เสียง ในขณะที่ฝ่ายสืบทอดอำนาจที่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์มีเพียง 130 กว่าเสียง คงไม่ผิดนักที่จะตีความว่าคนไทยส่วนใหญ่ไม่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ

2. หากจะเลือกฟังเสียงของประชาชน ความจริงในข้อ 1 ก็ชัดเจนว่าประชาชนต้องการอะไร ถ้าจะฟังเสียงของประชาชนจริง ก็ไม่ควรหันไปสนับสนุนพลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ

3. หากจะเลือกฟังสิ่งที่ได้พูดไว้กับประชาชน การบอกกับประชาชนชัดๆ ว่าไม่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ เป็นสิ่งที่ประชาชนไม่มีวันลืม และการเปลี่ยนหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค ไม่ได้เปลี่ยนคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับประชาชน

4. ปัจจุบันไม่ใช่การต่อสู้ของพรรคการเมือง ที่จะต้องมาตั้งแง่กันในเรื่องการเมือง แต่เป็นการต่อสู้ระหว่างฝ่ายการเมืองหรือฝ่ายประชาชน กับฝ่ายสืบทอดอำนาจที่ได้เคยยึดอำนาจจากประชาชนไป เป็นการต่อสู้ระหว่างฝ่ายที่ต้องการเข้าไปแก้ไขสิ่งไม่ถูกต้อง กับฝ่ายที่พยายามรักษาอำนาจจนอาจเกิดเป็นปัญหาที่ฝังรากลึกในสังคมไทย และจะเป็นปัญหาที่จะแก้ไขไม่ได้ในที่สุด

ทั้งนี้ ผมยังเชื่อมั่นว่าพรรค ปชป. จะยังดำรงความเป็นสถาบันทางการเมืองที่ประชาชนยังฝากความหวังได้ โดยการเอา “หลักการที่ถูกต้อง” มาก่อน “เงื่อนไขที่หอมหวน”

20 พ.ค. 2562

วันอาทิตย์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

"สุดารัตน์" แนะประชาธิปัตย์ กู้สถานการณ์-แนวทางประชาธิปไตย

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้


ถ้าเราต้องการได้ประชาธิปไตยกลับคืน

ถ้าเราต้องการหยุดการสืบทอดอำนาจ

เราต้องทวงคืนคะแนนจากบัตรเลือกตั้งของคนที่ #ไม่เอาลุงตู่ จากทุกพรรคฯการเมืองให้ได้ค่ะ

พรรคที่ประกาศนโยบายว่าจะสนับสนุนลุงตู่เป็นนายกฯ ได้คะแนนจากการเลือกตั้ง คิดเป็นจำนวน สส.รวมกันเพียง 120 กว่าคน

ในขณะที่ พรรคที่ประกาศนโยบายว่าจะ #ไม่เอาลุงตู่เป็นนายก ได้คะแนนคิดเป็น สส.รวมกันถึง 297 คน มากกว่าเกินหนึ่งเท่าตัว และในจำนวนนี้ มี 52 คน คือ สส.ของพรรคประชาธิปัตย์ รวมอยู่ด้วยค่ะ

297:121 คือคะแนนเสียงที่สะท้อนว่า คนส่วนใหญ่ของประเทศเห็นว่าลุงตู่ควรหยุดได้แล้ว และปล่อยให้ประชาธิปไตยได้ไปต่อ ตามมาตรฐานสากล เช่นเดียวกับประเทศที่พัฒนาแล้วทั่วโลก

ก่อนการเลือกตั้งไม่กี่วัน หัวหน้าประชาธิปัตย์ได้ประกาศคำมั่นสัญญากึกก้องว่า... “พรรคประชาธิปัตย์จะไม่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์เป็นนายกฯ และไม่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจ”

ปรากฏมีเสียงปรบมือจากกองเชียร์ดังสนั่น นั่นคือสิ่งที่ยืนยันว่า 3.9 ล้านคะแนนที่เลือกพรรคประชาธิปัตย์ คือเสียงของคนที่ไม่ต้องการให้ลุงตู่เป็นนายกฯต่อไป

หลังจากการประกาศแล้ว มีคนถามต่ออีกว่าคำพูดนี้ถือเป็นมติพรรคหรือไม่ เราได้ยินคำยืนยันจากปากหัวหน้าพรรคอีกครั้งว่า

“ยังไม่มีการประชุมเพื่อลงมติ แต่การไม่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์ ถือเป็นอุดมการณ์พรรคฯ”

และย้ำชัดอีกครั้งว่า
“คงไม่มีมติพรรคการเมืองใด ขัดต่ออุดมการณ์ของพรรคนั้น”

การที่พรรคการเมืองจะตัดสินใจร่วมรัฐบาลและสนับสนุนใครเป็นนายกฯ ถือเป็นเรื่องของพรรคการเมืองนั้น แต่คำพูดของหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ก่อนการเลือกตั้ง ทำให้คนที่รักประชาธิปไตย และคิดว่าประชาธิปัตย์จะไม่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์ ได้ตัดสินใจเลือกพรรคประชาธิปัตย์ไปแล้ว 3.9ล้านคน ค่ะ

การที่พรรคการเมืองได้รับฉันทานุมัติจากประชาชนอย่างหนึ่ง แล้วจะไปยกมือโหวตลงมติสวนทางกับฉันทานุมัตินั้น ถือเป็นสิ่งที่ผิดจรรยาบรรณทางการเมือง และขัดต่ออุดมการณ์ประชาธิปไตยเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งหน่อยเชื่อมั่นว่าการยึดมั่นใน #ประชาธิปไตยสุจริต ทุกคำพูดจะต้องตรงไปตรงมา อันจะทำให้พรรคการเมืองไม่มีวันที่จะสวนกระแส ในสิ่งที่หัวหน้าพรรคของตนได้ยืนยันกับพี่น้องประชาชนที่ไปลงคะแนนให้ค่ะ..!!

หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนปัจจุบัน ได้ประกาศเรียกประชุมเหล่า Avengers เพื่อมากอบกู้พรรคฯ ในสถานการณ์ที่ #ประชาธิปไตยไทยอ่อนแอยิ่งนัก

จะเป็นการกอบกู้ตามอุดมการณ์พรรคที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย จะเป็นเสาหลักให้ประชาธิปไตยไทยเดินหน้าต่อไปได้ โดยไม่ยอมก้มตัวเองลงเป็นสะพานให้เผด็จการข้ามฝั่งมาเป็นประชาธิปไตย และสืบทอดอำนาจต่อไปได้หรือไม่? เราคงจะได้คำตอบกันในเร็ววันนี้

ขอย้ำว่า 3.9 ล้านคะแนนเสียง ที่เลือกพรรคประชาธิปัตย์ โดยการประกาศว่าจะ #ไม่เอาลุงตู่เป็นนายก คืออัญมณีเม็ดสุดท้าย ที่จะต้องนำมารวมเป็น 297 เสียง เหล่าAvengers จากทุกพรรคฯ จึงจะสามารถหยุดยั้งลุงธานอสไว้ได้

การกอบกู้พรรคประชาธิปัตย์ในภาค Endgame นี้ จะปิดเกมของฝั่งไหน ปิดเกมของฝั่งเผด็จการสืบทอดอำนาจ หรือปิดเกมฝั่งประชาธิปไตย ขึ้นอยู่กับมติพรรคฯจะออกมาทางใด

ประชาธิปไตยของไทย จะเดินหน้าในทิศทางใด ขึ้นอยู่กับอัญมณีเม็ดสุดท้าย ที่อยู่ในมือหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่ชื่อ “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์”

หน่อยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านหัวหน้าพรรคคนใหม่ จะเลือกเดินในแนวทางประชาธิปไตยที่ถูกต้องค่ะ

"ภูมิธรรม" มั่นใจ ฝ่ายประชาธิปไตยยังมั่นคง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการ พรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้


พรรคการเมืองฝั่งประชาธิปไตยยังมั่นคง....เดินหน้า ร่วมเป็นแกนนำในการผ่าทางตันประเทศ

“หยุดการสืบทอดอำนาจ หยุดพล.อ.ประยุทธ ส่งคสช.กลับบ้าน มุ่งรักษาประชาธิปไตย ขอทุกฝ่ายเปิดใจกว้าง ทำหน้าที่เพื่อให้สังคมไทยกลับคืนสู่ความเป็นปกติโดยเร็ว”

วันนี้ กลุ่มอำนาจเดิม ยังพยายามใช้ทุกช่องทาง เพื่อผลักดันให้ตัวเอง สามารถสืบทอดอำนาจอยู่ต่อไป โดยไม่สนใจหลักการหรือแนวปฎิบัติที่ถูกต้องใดๆ

การกระทำเช่นนี้ กลับยิ่งเป็นการ”สร้างทางตัน”ให้กับการหาทางออกของประเทศ และมีผลต่อการ “ทำลายความเชื่อมั่น” ที่ฝ่ายต่างๆทั้งในและนอกประเทศตั้งความหวังไว้ รวมทั้งปิดทางในการพัฒนาเศรษฐกิจภายในประเทศ ส่งผลให้ความสุขและความอยู่ดีกินดีของประชาชนถูกเหยียบจมไว้ภายใต้การมุ่งเอาชนะเพื่อครอบครองอำนาจต่อไป

ปัญหาเรื่อง “ความชอบธรรม” ของรัฐบาลที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ เป็นปัญหาสำคัญของประเทศ
ความพยายามที่จะได้มาซึ่งอำนาจ ด้วยวิธีการนอกระบบ นอกหลักการ นอกกลไกทางการเมืองปกติ…ที่พยายามแฝงและแทรกเข้ามาในระบบเลือกตั้งปัจจุบัน ล้วนสร้างปัญหาที่ไม่รู้จบและยิ่งเกิดหน่อความขัดแย้งใหม่ๆในอนาคต ยากจะคลี่คลายลงได้ง่ายๆ

5 ปี ภายใต้การบริหารประเทศและความรับผิดชอบของกลุ่มผู้มีอำนาจปัจจุบัน ที่เต็มเปี่ยมด้วยกลไกคุมเข้มและครอบงำแบบเบ็ดเสร็จ เด็ดขาดนั้นได้พิสูจน์ให้ทุกฝ่ายเห็นแล้วว่าไม่สามารถตอบโจทย์และแก้ไขปัญหาของประเทศได้สำเร็จ

ทั้งนี้เพราะความเชื่อมั่นไม่เกิด การแก้ไขปัญหาทั้งปวงไม่สำเร็จ การเมืองยังคงเดินหน้าไปอย่างไร้เสถียรภาพ รัฐบาลที่จะเกิดขึ้นไม่มีวันทำงานได้อย่างมีเสถียรภาพ และไม่มีทางมีศักยภาพ ในการรับมือกับวิกฤติต่างๆ รวมทั้งวิกฤติโลกที่กำลังจะเกิดขึ้น ปัญหาวิกฤติที่กระหน่ำใส่ประชาชนทุกด้าน ยังไม่เห็นหนทางคลี่คลาย ทำให้ ……”สภาชุดนี้จะเป็นสภาที่อายุสั้นมาก”

ภายใต้ สถานการณ์ที่วิกฤตินี้ ทุกพรรคทุกฝ่าย ในสภาผู้แทนราษฎร โดยเฉพาะฝ่ายที่ยึดมั่นในประชาธิปไตย รวมทั้งประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยต้องมุ่งมั่นต่อสู้กับอำนาจอธรรมอย่างหนักแน่นและใจกว้าง พร้อมที่จะดึงความร่วมมือให้กว้างขวางที่สุด แสวงหาแนวทางที่หลากหลายเพื่อหาทางออกให้ประเทศ ขัดขวางการสืบทอดอำนาจ คสช. มุ่งรื้อระบบและกลไกอธรรมที่ทำร้ายใส่ไคล้กัน แสวงหามิตรภาพเพื่อร่วมมือกันเดินหน้าด้วยใจนิ่งและหนัก เพื่อการเดินทางที่ไปให้ไกลมากกว่าเดิม

วันนี้……กลุ่มพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย ยังไม่ได้หยุด ยังไม่จบการเดินทาง ทุกพรรคการเมืองยังมุ่งมั่นและเดินหน้าประสานแลกเปลี่ยน หามุมมองใหม่ๆ จากทุกฝ่าย

เราเห็นทางเลือกพร้อมความหวังในทุกการพูดคุย ตลอดเวลา ผมยืนยันว่าการทำงานร่วมกันยังคืบหน้าไปในทิศทางที่ดี……แม้ฝ่าย”กลุ่มผู้มีอำนาจเดิม” จะพยายามออกมาพูดว่า ทุกเรื่องคืบหน้าและจัดการเรียบร้อยแล้ว แต่ท่าทีเช่นนั้นยังคงเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้ทางจิตวิทยาเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับพวกตนว่า กำลังจะเป็นรัฐบาลเพียงเพื่อหวังการโฆษณา ชวนเชื่อและคิดว่าหากทุกฝ่ายเชื่อมั่นว่าพวกเขากระทำการเข้าสู่อำนาจได้สำเร็จ จะลดแรงเสียดทานและยุติการขัดขวางการสืบทอดอำนาจของพวกเขาได้

ผมยืนยัน ว่าพวกเรายังมีความมั่นคง มั่นใจเดินหน้าทำสิ่งที่เราเชื่อมั่นต่อไป และเรายังมีความหวัง ว่าเราจะชนะในเวทีของสภาผู้แทนราษฎรที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งผลแพ้ชนะจะรู้ชัดในวันที่เปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรที่จะมาถึงในวันที่ 25 พฤษภาคมนี้

พลังประชาธิปไตยและความเชื่อมั่นของประชาชนผู้รักประชาธิปไตย เป็นเป้าหมายที่เราเชื่อมั่นว่าจะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่าเดิมแน่นอน

“ถึงเวลา เคารพเสียงของประชาชน”

ภูมิธรรม เวชยชัย
เลขาธิการ พรรคเพื่อไทย
19 พฤษภาคม 2562

วันเสาร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

"สุดารัตน์" รำลึกพฤษภา'35 คารวะดวงวิญญาณนักสู้

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์การเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้


รูปนี้ เมื่อ 27 ปีที่แล้วค่ะ
ขอคารวะต่อดวงวิญญาณของนักสู้
ผู้องอาจทุกท่าน

เมื่อวานนี้ 17 พฤษภาคม ถือเป็นวันครบรอบ 27 ปีของเหตุการณ์พฤษภา35 ที่พลังประชาชนได้ออกมาขับไล่เผด็จการที่ยึดอำนาจจากประชาชน แล้วใช้การเลือกตั้งเป็นข้ออ้างชุบตัวเพื่อสืบทอดอำนาจต่อไป

ไม่น่าเชื่อว่าแม้จะผ่านมา 27 ปีแล้ว แต่เราก็ยังคงวนเวียนอยู่ที่เดิม ในวันนี้ พวกรัฐประหารยึดอำนาจจากประชาชน เขียนรัฐธรรมนูญใหม่เพื่อไปสู่การเลือกตั้ง โดยใส่กติกาที่เอื้อให้ตนเองสืบทอดอำนาจต่อ ยิ่งกว่านั้นยังเขียนกติกาให้ตัวเองมีอำนาจแต่งตั้ง สว. 250 คน เพื่อการันตีการสืบทอดอำนาจ.

และเหลือเชื่อว่าคนที่เป็นกำลังหลักในการทำการรัฐประหารเมื่อครั้งพฤษภา35 แทบจะเป็นกลุ่มเดียวกันกับรัฐประหารเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา

เวลาไม่ได้ทำให้ความคิดของคนเหล่านี้เปลี่ยนแม้แต่น้อย!! เพียงแต่ครั้งนั้นคนเหล่านี้ยังมียศน้อยจึงเป็นเพียงผู้ปฏิบัติการ แต่ครั้งนี้ได้เติบโตยิ่งใหญ่ จึงเป็นตัวการในการยึดอำนาจจากประชาชนเสียงเอง

ผิดกันแต่ ในครั้งนี้ พ.ศ.2562 เลวร้ายกว่า พ.ศ.2535 มาก ถือว่าไม่เห็นหัวประชาชนเลย ไม่สนใจว่าการกระทำต่างๆ จะขัดหลักการประชาธิปไตย หลักนิติธรรม และลิดรอนสิทธิของประชาชนเพียงใด

แม้จะอ้างได้ว่า รัฐธรรมนูญผ่านประชามติแล้ว แต่ก็ผ่านแบบปิดหู ปิดตา ปิดปากประชาชน ไม่มีการเผยแพร่ข้อมูลให้ประชาชนเข้าใจอย่างถ่องแท้ในทุกด้าน คนออกไปรณรงค์ออกเผยแพร่เนื้อหาในรัฐธรรมนูญที่แตกต่างจากผู้มีอำนาจกลับถูกจับติดคุกหลายคนโดยเฉพาะ ส.ส. พรรคเพื่อไทย ทั้งยังเขียนบทเฉพาะกาลให้การกระทำของคณะรัฐประหารทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต ชอบด้วยกฎหมาย และรัฐประหารทั้งสิ้น เป็นการนิรโทษกรรมแบบเหมาเข่งข้ามกาลเวลา

รวมทั้งการใช้อำนาจ ม.44 ปลด เปลี่ยน ตั้ง ต่ออายุกรรมการในองค์กรอิสระที่สำคัญ ทั้ง ป.ป.ช. ก.ก.ต. ศาลรัฐธรรมนูญโดยมีปัญหาว่าเป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญหรือไม่ หรือให้คนใกล้ชิดเข้าไปทำหน้าที่หรือไม่

เลื่อนการเลือกตั้งนับครั้งไม่ถ้วน แต่พอมีการเลือกตั้ง ก็มีปัญหาว่าได้เป็นไปอย่างสุจริต ยุติธรรม และเสรีจริงหรือไม่ มีการเสนอข่าวว่า มีการร้องว่ามีใช้อำนาจบีบบังคับนักการเมืองท้องถิ่น ให้เข้ามาช่วยสนับสนุนตน ข่มขู่คู่แข่งและผู้สนับสนุนโดยการใช้ทั้งอิทธิพลและคดีความ ใช้อำนาจรัฐทำโครงการประชานิยมแจกเงินสารพัด ทั้งที่อยู่มาเกือบ 5 ปี ไม่คิดจะทำจริงหรือไม่

ตลอดช่วงเวลาการเลือกตั้ง มีผู้สมัครหลายรายไปร้องเรียน ทั้งเรื่องการซื้อเสียงอย่างโจ่งครึ่ม การใช้อำนาจรัฐโกงการเลือกตั้งสารพัดมากมาย

ทำขนาดนี้แล้ว แต่ก็ยังแพ้พรรคเพื่อไทยที่ส่งเพียง 250 เขตเท่านั้น เมื่อแพ้จึงต้องใช้อภินิหารจากองค์กรอิสระต่างๆ

ผลจึงออกมาอย่างที่เห็น ไม่ว่าจะเป็น การนับคะแนน การประกาศผลคะแนน ที่ล้วนแปลกประหลาดและไม่สามารถอธิบายประชาชนได้ ทั้ง #บัตรเกิดใหม่ในหีบ #บัตรเขย่ง #บัตรที่ระลึก

โดยเฉพาะสูตรการคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อที่พรรคซึ่งได้คะแนนต่ำกว่าคะแนน ส.ส.พึงมี คือ 71,000 คะแนนก็ได้ 1 ที่นั่ง รวม 10 กว่าพรรคที่เขาเรียกกันว่า #สส_เอื้ออาทร ได้รวมตัวกันสนับสนุนนายกสืบทอดอำนาจ ยิ่งไปกว่านั้นคือ ส.ว. อีก 250 คน ส่วนใหญ่มาจาก #สว_วงศาคณาญาติ และเพื่อนพวกพ้อง

ทำถึงขนาดนี้ ยังได้เสียงเพียง 135 ที่นั่ง แต่จะเป็นนายกฯ ให้ได้ ด้วยเสียง ส.ว. ที่ประชาชนไม่ได้เลือก

#เอากันให้สบายใจค่ะ ขณะที่ผลการเลือกตั้งได้สะท้อนเจตนารมณ์ของพี่น้องประชาชนส่วนใหญ่ชัดเจนว่าต้องการการเปลี่ยนแปลง ไม่ต้องการเห็นการสืบทอดอำนาจ แต่เสียงของประชาชนกลับไม่มีความหมาย “การเลือกตั้งจึงเป็นเสมือนเพียงพิธีกรรมชุบตัวเผด็จการ”

ในสถานการณ์เช่นนี้นักการเมือง พรรคการเมืองฝั่งประชาธิปไตยต้องอดทนให้ได้นะคะ

พี่น้องคะ ดิฉันเคยประกาศเจตนารมณ์ตั้งแต่ก่อนเลือกตั้งที่ลานโพธิ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์แล้วว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ใช่การเข้าไปเพื่อแสวงหาอำนาจ หาตำแหน่งต่างๆ แต่จะต้องเข้าไปทำงานเพื่อให้ประชาธิปไตยได้กลับมาลงหลักปักฐานอีกครั้ง

เราพร้อมที่จะทำงานอย่างหนัก ด้วยความเสียสละ เพื่อขจัดอุปสรรคที่ขวางกั้นการพัฒนาประเทศ #เอาเผด็จการแปลงร่างออกไป และนำพาประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และหลักการบ้านเมืองที่ดีที่ถูกต้องกลับคืนมา เพื่อให้เศรษฐกิจปากท้องและสิทธิเสรีภาพของประชาชนดีขึ้น

พี่น้องคะ “โอกาสของประเทศ สำคัญมากกว่าโอกาสของเพื่อไทย”

โอกาสของประชาธิปไตยที่จะได้กลับมาลงหลักปักฐานให้มั่น คือภารกิจสำคัญยิ่งกว่าการแสวงหาอำนาจทางการเมือง

“เพื่อไทยยอมเสียสละ” เพื่อไม่ให้เป็น เงื่อนไขในการต่อรองทางการเมืองใดๆ ขอเพียงประเทศเดินหน้าได้อย่างถูกต้อง

ดิฉันขอประกาศว่า “จะไม่รับตำแหน่งใดๆ ทั้งสิ้น” และขอให้ทุกพรรคการเมืองที่เคยประกาศไม่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจเผด็จการมาร่วมกัน นำพาประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของเรากลับคืนมา นำความสุข และความหวังกลับคืนสู่ประชาชน

ขอเพียงพรรคขั้วที่ 3 ตัดสินใจเลือกข้างประชาชน อย่างที่เคยพูดไว้ตอนหาเสียง เราก็จะ #เอาเผด็จการแปลงร่างออกไป ด้วยเสียงผู้แทนราษฏรของเราได้แล้วค่ะ

ดิฉันขอกราบขอบพระคุณทุกกำลังใจ จากพี่น้องประชาชน ขอขอบพระคุณ ส.ส. และสมาชิกพรรคเพื่อไทย ที่พร้อมเสียสละเพื่อบ้านเมือง

ขอคารวะทุกดวงจิตที่มีอุดมการณ์อันแน่วแน่ ตั้งแต่ครั้งพฤษภา 35 จนถึงปัจจุบัน แม้หนทางข้างหน้ายังมีขวากหนามอีกมาก ดิฉันขอให้ทุกท่านเชื่อมั่นค่ะว่า การยืนอยู่บนหลักการที่ถูกต้องจะทำให้เรายืดอกได้อย่างภาคภูมิใจ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด และบ้านเมืองของเราจะก้าวหน้าไปได้อย่างมั่นคง ยั่งยืน สังคมมีความถูกต้อง ยุติธรรม แล้วสิ่งเหล่านี้จะทำให้ ประชาชน มีความสุข มีความมั่นใจในอนาคตของตนและลูกหลาน