วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

“เยาวเรศ”คืนถิ่นเมืองเหนือ นำสมาคมชาวเหนือ บริจาคผ้าห่ม-อุปกรณ์การเรียน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางเยาวเรศ ชินวัตร นายกสมาคมชาวเหนือ พร้อมคณะรวม 30 คน เดินทางถึงท่าอากาศยานแม่ฮ่องสอน โดยมีนายจักรพงษ์ ชื่นดวง กรรมการสมาคมชาวเหนือให้การต้อนรับ ก่อนที่คณะจะเดินทางไปรับประทานอาหารที่ร้านไข่มุก และออกเดินทางไปมอบเครื่องนุ่งห่มกันหนาว, อุปกรณ์การเรียน, อุปกรณ์การกีฬา และเครื่องครัว ให้กับเด็กนักเรียนและครอบครัวประชาชนที่วัดสบป่อง ต.สบป่อง อ.ปางมะผ้าแบ่งเป็นผ้าห่มจำนวน 1,000 ผืน, อุปกรณ์การเรียน 500 ชุด, อุปกรณ์การกีฬา 10 ชุด และ เครื่องครัว 1 ชุด

การจัดกิจกรรมดังกล่าว นับเป็นครั้งที่ 13 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับผู้ประสบภัยธรรมชาติ และสนับสนุนให้เยาวชน ได้รับสื่อการเรียนการสอนในการพัฒนาทักษะการเรียนรู้ที่เป็นประโยชน์และทันสมัยยิ่งขึ้น นอกจากนั้นยังเป็นการส่งเสริมความมีน้ำใจของพี่น้องชาวไทยภาคเหนือรู้รักและร่วมแบ่งปัน ปลุกจิตสำนึกให้รักและคิดถึงบ้านเกิด

ถัดมา นางเยาวเรศ ชินวัตร ในฐานะนายกสมาคมชาวเหนือ นายกสมาคมสตรีดีเด่นแห่งประเทศไทย, ดร. อัญมณี วงศ์กายสิทธิ อุปนายกสมาคมชาวเหนือ และ นางสาวชยิกา วงศ์นภาจันทร์ ในฐานะกรรมการมูลนิธิพัฒนาวิชาชีพสตรี ไ้ด้เดินสายแจกผ้าห่มส่งมอบความอบอุ่นให้พี่น้องชาว อ. ปัว จ.น่าน โดยตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นการทำกิจกรรมเพื่อสังคมในโครงการคืนถิ่นเมืองเหนือ ครั้งที่ 13 ประจำปี 2558 โดยมีการเดินทางไปทำกิจกรรมที่ จ.ลำพูน และ จ.พะเยา เป็นลำดับถัดไป



































"แซนด์-ชยิกา" ขอประชาชนเข้าใจ "สหรัฐฯ" เรียกร้องประชาธิปไตยไทย


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า "แซนด์-ชยิกา วงศ์นภาจันทร์" (บุตรสาว นางเยาวเรศ ชินวัตร) ในฐานะ คณะทำงานด้านต่างประเทศ พรรคเพื่อไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ Facebook : Sand Wongnapachant โดยมีเนื้อหาดังนี้

คณะทำงานต่างประเทศเพื่อไทย ขอประชาชนเข้าใจมิตรประเทศ กรณีสหรัฐเรียกร้องไทยกลับคืนสู่ประชาธิปไตย

การที่สหรัฐอเมริกา มีความห่วงใยเกี่ยวกับประชาธิปไตยในประเทศไทยและได้ออกมาแสดงความคิดเห็นและเรียกร้องที่อยากจะให้ประเทศไทยกลับคืนสู่วิถีทางประชาธิปไตยโดยเร็วและให้มีการเลือกตั้งขึ้นโดยประชาชนนั้น ถือได้ว่าเป็นเรื่องปกติที่สหรัฐอเมริกาให้ความห่วงใยกับมิตรประเทศซึ่งการที่จะไปกล่าวหาว่าสหรัฐเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในหรือมาก้าวก่ายไทยนั้นคงไม่ใช่ ในเมื่อเขาเห็นว่ามีอะไรที่ไม่ได้เป็นไปตามขบวนการประชาธิปไตยหรือเขาเห็นว่าจะส่งผลกระทบกับสิทธิเสรีภาพของประชาชนโดยทั่วๆไป เขาก็ออกมาแสดงความคิดเห็น โดยมิได้มาสั่งการให้รัฐบาลไทยต้องทำตาม จึงขอให้เราได้เข้าใจมิตรประเทศอย่างสหรัฐอเมริกาและให้กำลังใจท่านทูตอเมริกาที่มาทำหน้าที่เพื่อประสานความสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับสหรัฐ

ชยิกา วงศ์นภาจันทร์ 
คณะทำงานด้านต่างประเทศ
พรรคเพื่อไทย

วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

“บุญทรง” แนะรัฐระงับประมูลข้าวเสีย ติงมีข้าวดีปนมาก-หวังสร้างภาพข้าวเสียเยอะ


นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดเชียงใหม่ สังกัดพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

"การที่สมาคมเซอร์เวย์เยอร์ออกมาทักท้วงกระทรวงพาณิชย์ในการเปิดประมูลข้าวเสีย อ้างว่ามีข้าวคุณภาพดีปะปนอยู่ด้วยเกินกว่าห้าสิบเปอร์เซ็นต์ การตรวจสอบคุณภาพข้าวไม่ได้แยกข้าวดีออกจากข้าวเสีย เพื่อสร้างภาพว่ามีข้าวเน่าเสียจำนวนมาก และนำออกไปขายในราคาถูกโดยการประมูลขายให้ภาคอุตสาหกรรม 

การที่บริษัทเซอร์เวย์เยอร์ต้องออกมาทักท้วงนั้นก็เพราะหากเอาข้าวดีๆไปขายปะปนกับข้าวเสียข้าวเสื่อมสภาพก็จะทำให้ได้เงินน้อย มากๆและส่วนต่างของความเสียหายนั้น ตามสัญญาจ้าง เฃอร์เวย์เยอร์อาจจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบ เขาจึงได้ออกมาทักท้วงรัฐให้ระงับและตรวจสอบข้อเท็จจริงเสียก่อน แต่ดูเหมือนว่ากระทรวงพาณิชย์จะไม่ฟังข้อท้วงติงนี้ ซึ่งก็คงเป็นเพราะข้าราชการมีคำสั่งคสช มาตรา44 มาเป็นเกราะป้องกันตนเองอยู่ และถ้ามีข้าวดีแอบปะปนไปขายถูกๆรวมไปกับข้าวเสื่อมสภาพใครจะได้ประโยชน์

พฤติกรรมแบบนี้เรียกว่าเป็นการทุจริตฉ้อราษฎรบังหลวงหรือไม่? และทำให้อดสงสัยอีกไม่ได้ว่าถ้าระบายข้าวโดยวิธีการเช่นนี้ รัฐจะได้เงินน้อยอย่างแน่นอน ในที่สุดก็จะโยนความเสียหายมาให้โครงการรับจำนำข้าว แบบเหมารวมยกเข่งเพื่อกล่าวหารัฐบาลท่านยิ่งลักษณ์ใช่หรือไม่แล้วแบบนี้ความยุติธรรมจะหาได้จากที่ไหน การทุจริตแอบเอาข้าวดีๆไปปนขายก็จะเกิดขึ้นได้ โดยที่เจ้าหน้าที่หรือข้าราชการไม่ต้องเกรงกลัวหรือรับผิดชอบใดๆต่อการระบาย เพราะมีมาตรา44 คุ้มหัวอยู่

ความรับผิดชอบความเสียหายก็คือบริษัทเซอร์เวย์เยอร์ และบวกใส่ความเสียหายให้แก่รัฐบาลในอดีตว่าทำความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าวเป็นแสนล้าน แต่กลับจะมีพวกเสวยสุขและมีขบวนการทุจริตได้ประโยชน์จากการระบายแอบแฝงอยู่เบื้องหลัง การขายข้าวให้ภาคอุตสาหกรรม ที่มิใช่การผลิตอาหารคนหรือสัตว์จะเปิดช่องให้มีการล๊อกสเปคและฮั้วประมูล จึงอยากจะเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้โดยด่วน อย่าปล่อยให้มีขบวนการเช่นนี้เกิดขึ้นได้ และควรยกเลิกคำสั่งตามมาตรา44เสียโดยเร็ว มิฉะนั้นท่านอาจถูกกล่าวหาว่าละเว้นปฏิบัติหน้าที่ได้"

บุญทรง เตริยาภิรมย์
27 พฤศจิกายน 2558

"เพื่อไทย" ออกแถลงการณ์ฉบับที่4 แนะ "อุดมเดช" ลาออก รับผิดชอบ "ราชภักดิ์"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พรรคเพื่อไทย ได้เผยแพร่เนื้อหา แถลงการณ์พรรคเพื่อไทย เรื่อง โครงการอุทยานราชภักดิ์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

แถลงการณ์พรรคเพื่อไทย
เรื่อง โครงการอุทยานราชภักดิ์

ตามที่พรรคเพื่อไทยได้มีแถลงการณ์ ฉบับลงวันที่ 13 พฤศจิกายน 2558, 19 พฤศจิกายน 2558 และ 24 พฤศจิกายน 2558  เรียกร้องให้รัฐบาลแถลงรายละเอียดและมาตรการดำเนินการต่างๆ กรณีมีการทุจริตในโครงการอุทยานราชภักดิ์ เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งรับรู้และสนับสนุนโครงการอุทยานฯ มาตั้งแต่ต้น แสดงความรับผิดชอบและดำเนินการตรวจสอบหาผู้รับผิดชอบ ด้วยความโปร่งใส ไม่เห็นแก่ผู้ใดนั้น ต่อมารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ได้มีคำสั่งให้ปลัดกระทรวงกลาโหม (พลเอกปรีชา จันทร์โอชา) แต่งตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีโครงการอุทยานฯ ทั้งๆ ที่ได้ปฏิเสธและยืนยันต่อสาธารณะมาโดยตลอดว่า โครงการอุทยานฯ ไม่เกี่ยวข้องกับทางราชการและดำเนินการโดยโปร่งใส

ณ บัดนี้ ได้ปรากฏข้อเท็จจริงสู่สาธารณะเพิ่มเติมขึ้นจากเดิม พรรคเพื่อไทยจึงเห็นเป็นความจำเป็นที่จะต้องแถลงข้อเท็จจริงต่อสาธารณะ รวมทั้งเสนอข้อเรียกร้องต่อผู้รับผิดชอบดังกล่าว คือ

1.  ปรากฏข้อเท็จจริงกรณี นายชัยสิทธิ์  ตราชูธรรม ประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) เปิดเผยว่า เงินที่ใช้ในโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ มีส่วนหนึ่งมาจากงบกลาง จำนวน 63.57 ล้านบาท  โดยผู้ที่รับผิดชอบในการสั่งจ่ายเงินคือ แผนกสั่งจ่ายงบประมาณ สำนักงานปลัดบัญชีกองทัพบก จึงเห็นได้ว่าโครงการอุทยานฯ ได้ใช้เงินงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งขัดแย้งกับคำชี้แจงของนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ว่าโครงการอุทยานฯ ไม่ได้ใช้เงินงบประมาณแผ่นดินแต่อย่างใด

2.  ปรากฏข้อเท็จจริงว่า งบประมาณที่ได้รับการจัดสรรและดำเนินการก่อสร้าง มีราคาสูงผิดปกติ เช่น งานสร้างป้ายทางเข้า (ป้ายชื่อ) ใช้งบประมาณถึง 5,031,700 บาท งบประมาณสร้างอาคารรักษาความปลอดภัย 2,254,300 บาท งานก่อสร้างรั้วรอบบริเวณภายในอุทยานราชภักดิ์ ใช้งบประมาณถึง 9,343,500 บาท เป็นต้น

3.  ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ศาลทหารได้ออกหมายจับที่ 33/2558 และ 35/2558 ลงวันที่ 9 พฤศจิกายน 2558และที่47/2558 ลงวันที่ 25 พฤศจิกายน 2558 ให้จับกุมดำเนินคดีกับพันเอกคชาชาติ บุญดีและพลตรีสุชาติ  พรมใหม่ สำหรับพลตรีสุชาตินั้นเป็นกรรมการและเลขานุการมูลนิธิราชภักดิ์ ซึ่งมีพลเอกอุดมเดช สีตบุตร เป็นประธานมูลนิธิฯ  อีกทั้งเคยทำหน้าที่นายทหารฝ่ายเสนาธิการของพลเอกอุดมเดชมาตั้งแต่ครั้งเป็นแม่ทัพกองทัพภาคที่ 1 จากนั้นได้รับการแต่งตั้งเป็น ผบ.ร.11 รอ.พล1 ซึ่งเป็นตำแหน่งทางการทหารคุมหน่วยรบที่สำคัญยิ่งของกองทัพบกและครั้นเมื่อพลเอกอุดมเดชกำลังจะเกษียณอายุ ก็ได้เลื่อนตำแหน่งให้กับพันเอกสุชาติ พรมใหม่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ อัตราพลตรี

สำหรับพันเอกคชาชาติ บุญดีนั้น พลเอกอุดมเดชได้แต่งตั้งให้เป็น ผบ.กรมทหารพรานที่ 36 ทภ.3 และจากนั้นได้ย้ายให้มาดำรงตำแหน่ง ผบ.ป.11 รอ.ทภ.1 ซึ่งเป็นตำแหน่งทางการทหารที่มีความสำคัญในกองทัพบกเช่นกัน และสุดท้ายเมื่อพลเอกอุดมเดชใกล้เกษียณอายุ ก็ได้ออกคำสั่งเลื่อนพันเอกคชาชาติเป็นรองผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 11 แต่เมื่อพลเอกธีรชัย นาควานิช มาดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ.ได้ยกเลิกคำสั่งพร้อมส่งตัวพันเอกคชาชาติ บุญดี กลับกองทัพภาคที่ 3 โดยเหตุนี้ทั้งพลตรีสุชาติ พรมใหม่และพันเอกคชาชาติ บุญดี จึงเป็นนายทหารที่มีความใกล้ชิดกับพลเอกอุดมเดช ทำหน้าที่ประหนึ่งนายทหารคนสนิท และได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่พิเศษต่างๆ มากมายนอกเหนือจากตำแหน่งทางทหารที่ดำรงตำแหน่งอยู่ เช่น โครงการอุทยานราชภักดิ์ที่พลตรีสุชาติถูกแต่งตั้งให้เป็นกรรมการและเลขานุการมูลนิธิราชภักดิ์

พรรคเพื่อไทยเห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ปรากฏต่อสาธารณะเพิ่มเติมดังที่กล่าวมาในข้อ 1 ถึงข้อ 3 ชี้ให้เห็นว่าโครงการอุทยานฯ ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของทางราชการ มีการทุจริตเกิดขึ้นอย่างชัดเจน การปฏิเสธความรับผิดชอบของผู้บังคับบัญชาในระดับชั้นต่างๆ โดยลำดับมา  จึงเป็นความบกพร่องและไม่รับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้น

พรรคเพื่อไทยจึงมีข้อเรียกร้องดังต่อไปนี้

1)  พลเอกอุดมเดช สีตบุตร ควรพิจารณาตัวเองด้วยการลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ทั้งนี้เนื่องจากเมื่อพลตรีสุชาติและพันเอกคชาชาติถูกกล่าวหาว่ามีความผิดตามมาตรา 112 และ 113 ตลอดจนความผิดทางอาญาอื่นๆ พลเอกอุดมเดชจึงมีความมัวหมองอย่างยิ่งที่อาจจะถูกมองว่าเกี่ยวพันกับเรื่องต่างๆ ที่กำลังถูกกล่าวหาอยู่  พลเอกอุดมเดชในฐานะที่เคยดำรงตำแหน่ง ผบ.ร.21 และ ผบ.ทบ. และการเป็นราชองครักษ์ จึงย่อมรู้อยู่แก่ใจว่าเพื่อความสง่างาม เพื่อดำรงศักดิ์ศรีของกองทัพบกและเพื่อรักษาไว้ซึ่งพระบรมเดชานุภาพ  พลเอกอุดมเดชไม่อาจดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมได้อีกต่อไปแม้แต่น้อย พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและอดีต ผบ.ทบ., พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ  รองนายกรัฐมนตรี  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและอดีต ผบ.ทบ.และพลเอกอุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมและอดีต ผบ.ทบ. จะต้องร่วมกันตัดสินใจเพื่อดำรงไว้ซึ่งความจงรักภักดีของกองทัพบก ที่มีต่อสถาบัน อย่างหาที่สุดมิได้ ให้จนได้

2)  เมื่อปรากฏว่ามีการใช้งบกลางของรัฐบาล และรัฐบาลมีมติ ครม.มอบหมายให้กองทัพบกเป็นหน่วยงานรับผิดชอบ จึงมีความชัดเจนว่าโครงการอุทยานฯ อยู่ในความรับรู้เห็นชอบของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลมาตั้งแต่ต้น อีกทั้งยังมีข่าวภาพทางสื่อบ่งบอกว่า นายกรัฐมนตรีมีความสนิทสนมกับเซียนพระผู้รับจ้างถึงขนาดไปแสดงความยินดีเมื่อบุคคลนั้นได้รับเลือกตั้งเป็นนายก อบต.ในขณะที่ตนเองดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ.  สิ่งที่นายกรัฐมนตรีแสดงออกมาโดยตลอดเกี่ยวกับโครงการอุทยานราชภักดิ์ จึงสวนทางกับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น มีพฤติกรรมปกปิด ปฏิเสธความรับผิดชอบ ในฐานะที่นายกรัฐมนตรีดำรงตำแหน่งประธานกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติของ คสช.เช่นเดียวกับรัฐมนตรีว่าการและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม พรรคเพื่อไทยจึงเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีรับผิดชอบกับกรณีดังกล่าว ในฐานะที่รัฐบาลมีนโยบายสำคัญที่แถลงต่อสาธารณะว่า จะปกป้องสถาบันฯ และจะป้องกันปราบปรามการทุจริต

นอกจากนั้น รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งปวง จะต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อการกระทำที่เกิดขึ้น

3)  เมื่อมีพฤติการณ์ว่ามีการทำผิดกฎหมายเกิดขึ้น มีการแสวงหาประโยชน์จากโครงการ ย่อมเป็นอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช. , ส.ต.ง. , ส.ต.ช. , กรมสอบสวนคดีพิเศษ , ป.ป.ง. ที่จะต้องเข้ามาตรวจสอบโดยพลัน ทั้งนี้การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้มีคำสั่งให้ปลัดกระทรวงกลาโหม (พลเอกปรีชา จันทร์โอชา) แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ย่อมมีปัญหาในทางหลักการว่าจะเป็นการสอบสวนด้วยความโปร่งใส บริสุทธิ์ ยุติธรรม ปราศจากการแทรกแซงใดๆ และจะเป็นที่ยอมรับของสังคมหรือไม่ ที่ถูกต้องควรมอบหมายหน่วยงานที่มีหน้าที่และความรับผิดชอบโดยตรงให้เข้ามาตรวจสอบ จึงจะมีความถูกต้องและเป็นที่ยอมรับได้มากกว่า

พรรคเพื่อไทย
27 พฤศจิกายน 2558

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

“วัฒนา” ท้วงรัฐคดี “ยิ่งลักษณ์” ยิ่งไม่เที่ยงธรรม-ยิ่งสร้างความขัดแย้ง


นาย วัฒนา เมืองสุข  อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์  เขียนจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี  เรื่อง ความรับผิดทางละเมิด คดีโครงการรับจำนำข้าว โดยมีเนื้อหาดังนี้

จดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี
เรื่อง ความรับผิดทางละเมิด

ตามที่นายกรัฐมนตรีได้ลงนามในคำสั่งกระทรวงการคลัง ที่ 448/2558 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด ลงวันที่ 3 เมษายน 2558 เนื่องจาก ป.ป.ช. ได้ส่งความเห็นให้กระทรวงการคลังดำเนินการให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรีและประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการรับจำนำข้าว นั้น ผมมีความเห็นว่ารัฐบาลไม่มีอำนาจที่จะเรียกร้องให้นายกยิ่งลักษณ์ชดใช้ค่าเสียหาย ดังนี้

1. การรับจำนำข้าวอันเป็นโครงการเพื่อประโยชน์สาธารณะตามมาตรา 84 (8) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 ดำเนินการในรูปแบบของคณะบุคคล (collective body) แต่งตั้งโดยคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 153/2554 ลงวันที่ 8 กันยายน 2554 เรียกชื่อว่า "คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ" เรียกโดยย่อว่า "กขช." ประกอบด้วยกรรมการจำนวน 24 คนโดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับ การเสนอกรอบ นโยบาย การอนุมัติแผนงาน โครงการและมาตรการเกี่ยวกับการการผลิตและการตลาด รวมถึงการติดตาม กำกับดูแลการปฏิบัติตามนโยบาย มาตรการและโครงการที่อนุมัติ นอกจากนี้ กขช. ยังได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการ จำนวน 2 ชุด รับผิดชอบงานด้านปฏิบัติการประกอบด้วย (1) คณะอนุกรรมการกำกับดูแลการจำนำข้าว และ (2) คณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว ตามคำสั่ง กขช. ที่ 4 และ 5/2554 ลงวันที่ 12 กันยายน 2554 ทั้งสองฉบับ

2. โครงการรับจำนำข้าวดำเนินการโดยผ่านการประเมินความคุ้มค่าของของโครงการตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ. 2546 และแถลงเป็นนโยบายต่อรัฐสภาแล้ว ทั้งไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหายตามที่หลายฝ่ายพยายามกล่าวหา กล่าวคือ

(2.1) การรับจำนำข้าวเปลือก ธกส. ได้จ่ายเงินให้กับชาวนาโดยวิธีโอนเงินเข้าบัญชีโดยตรง จำนวน 878,209 ล้านบาท ส่วนการระบายผลิตผลที่ ป.ป.ช. กล่าวหาว่ามีการทุจริต นั้น อยู่ในความรับผิดชอบของ "คณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว" โดยมี "คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ" ทำหน้าที่ติดตาม กำกับดูแลการปฏิบัติตามนโยบาย มาตรการและโครงการที่อนุมัติอันเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบร่วมกันในรูปของคณะกรรมการ (collective responsibility) นายกรัฐมนตรีและประธาน กขช. โดยลำพังไม่ได้มีอำนาจหน้าที่ดังกล่าว

(2.2) ปริมาณสินค้าคงเหลือจำนวน 18.96 ล้านตัน ที่คณะอนุกรรมการปิดบัญชีประเมินว่ามีมูลค่าสินค้าคงเหลือสุทธิจำนวน 224,346 ล้านบาท ใช้วิธีคิดโดยการหักค่าเสื่อมสภาพของสินค้าจากนั้นนำมาหักออกจากจำนวนเงินที่รัฐจ่ายให้กับชาวนาแล้วสรุปเป็นความเสียหายของโครงการซึ่งไม่ถูกต้อง หากถือตามวิธีการที่ ป.ป.ช. และคณะอนุกรรมการปิดบัญชีคิดดังกล่าว รัฐบาลที่เข้ามาบริหารราชการแผ่นดินใหม่จะต้องเรียกร้องให้หัวหน้ารัฐบาลเดิมที่เพิ่งพ้นตำแหน่ง ชดใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากการเสื่อมราคาของทรัพย์สินที่รัฐบาลเดิมได้ซื้อมาซึ่งไม่ถูกต้องและไม่เคยมีการปฏิบัติมาก่อน ดังนั้น ปริมาณสินค้าคงเหลือจำนวน 18.96 ล้านตันที่รัฐได้จ่ายเงินให้กับชาวนาไปโดยไม่มีการทุจริตจึงไม่ถือเป็นความเสียหายของโครงการอย่างที่พยายามบิดเบือนกัน

(2.3) สำหรับประเด็นการระบายว่ามีการทุจริต นั้น อัยการสูงสุดได้ฟ้องคดีผู้เกี่ยวข้องกับการระบายข้าวต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้ว สิ่งที่ผมโต้แย้งเป็นเพียงผมไม่เห็นด้วยกับข้อกล่าวหาของ ป.ป.ช. ที่อ้างว่านายกรัฐมนตรีและประธาน กขช. ปล่อยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว และเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ราชการตามอำนาจหน้าที่เนื่องจากเป็นอำนาจหน้าที่ของ กขช. ในรูปแบบคณะบุคคล ดังกล่าว

3. ดังนั้น ข้อกล่าวหาของ ป.ป.ช. ที่ว่านายกยิ่งลักษณ์ในฐานะนายกรัฐมนตรีและประธาน กขช. ปล่อยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวและเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ทางราชการตามอำนาจหน้าที่จึงเป็นข้อกล่าวหาที่ไม่ชอบ นอกจากนี้ คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการที่กล่าวถึง เป็นคณะบุคคลที่ถูกตั้งขึ้นโดยคำสั่งในทางบริหารเพื่อปฏิบัติภารกิจเป็นการเฉพาะ ไม่ใช่หน่วยงานหรือส่วนราชการตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 และพระราชบัญญัติปรับปรุง กระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 อันจะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายของนายกรัฐมนตรี ข้อกล่าวหาของ ป.ป.ช. จึงไม่ครบเป็นองค์ประกอบความผิดตามกฎหมาย

4. โครงการรับจำนำข้าวและนายกยิ่งลักษณ์คือเหยื่อทางการเมืองตามทฤษฎีสมคบคิด (conspiracy theory) มีการสร้างวาทกรรมทางการเมืองเพื่อใส่ร้ายโครงการ เช่น เป็นโครงการที่คิดขึ้นมาเพื่อโกงในทุกระดับ หรือ เป็นโครงการที่ขาดทุนหรือสร้างความเสียหายแก่รัฐอย่างมโหฬารกว่า 500,000 ล้านบาท หรือ เป็นโครงการที่บิดเบือนทำลายกลไกการตลาด เป็นต้น ซึ่งล้วนเป็นความเท็จโดยมีเป้าหมายทางการเมือง ทั้งที่ความเป็นจริงเป็นโครงการเพื่อประโยชน์สาธารณะที่มีรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศรองรับ ผ่านการประเมินความคุ้มค่าของโครงการและแถลงเป็นนโยบายต่อรัฐสภาและไม่ได้มีความเสียหายมากมายตามที่กล่าวอ้าง ที่น่าเศร้าที่สุดคือ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นองค์กรในกระบวนการยุติธรรมกลับเป็นตัวการสร้างวาทกรรมเหล่านั้นเสียเอง

จึงขอกราบเรียนท่านนายกด้วยความเคารพว่า กรุณาสั่งการให้เจ้าหน้าที่พิจารณาดำเนินการเรื่องนี้อย่างรอบคอบและเป็นธรรมเพราะการใช้อำนาจของรัฐที่ปราศจากความเที่ยงธรรมหรือมิได้เป็นไปตามหลักนิติธรรมจะนำมาซึ่งความขัดแย้งอย่างไม่รู้จบ การอำนวยความยุติธรรมเท่านั้นที่จะนำมาซึ่งการยอมรับและเกิดความปรองดองในที่สุด

วัฒนา เมืองสุข
26 พฤศจิกายน 2558

“เพื่อไทย” ประเมินทีม “สมคิด” เศรษฐกิจยังไม่ฟื้น-แนวโน้มแย่


นางสาวอนุตตมา อมรวิวัฒน์ รักษาการรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การส่งออกเดือนตุลาคมลดลงถึง 8.11% ซึ่งถือว่าทรุดลงหนักมาก และจากการทำงานครบ 3 เดือนของทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล คณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย เห็นว่ามีความพยายามอย่างเต็มที่ที่จะฟื้นเศรษฐกิจ แต่การดำเนินงานยังไม่เป็นผลเท่าที่ควร การขยายตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 ยังโตได้เพียง 2.9% ซึ่ง ไม่ต่างจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจในสมัย ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล เลย ทั้งๆที่ใช้จ่ายเงินทางภาครัฐมากกว่ามากโดยเพิ่มขึ้นถึง 15.9%  แต่การส่งออก กลับลดลงมากกว่าเดิมโดยลดลง 4.7%  แต่การนำเข้ากลับลดลงมากกว่า คือลด 14.5%  และการลงทุนจากต่างประเทศและในประเทศยังลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแสดงให้เห็นชัดเจนว่าเศรษฐกิจยังไม่ได้ฟื้นตัวแต่อย่างไร ที่รักษาระดับเดิมได้ก็เพราะรัฐบาลใช้จ่ายเงินเป็นจำนวนมาก และการน้ำเข้าลดลงกว่าการส่งออกมาก ซึ่งหมายรวมถึงการลดการนำเข้าสินค้าทุนที่จะก่อให้เกิดการผลิตในอนาคตด้วย

ดังนั้นจึงอยากให้ประชาชนได้เข้าใจว่าเศรษฐกิจยังอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่และยังคงที่จะแย่ต่อไป  เพราะการที่จะพึ่งแต่รัฐให้ใช้จ่ายมากเพื่อรักษาระดับการขยายตัวนั้น คงจะอยู่ได้ไม่นาน และส่งออกยังลดลงตลอด แนวโน้มอนาคตยังมืดมน ประกอบกับที่ทีมเศรษฐกิจรัฐบาลได้พูดเองว่าปัญหาของการไม่ใช่ประชาธิปไตยยังเป็นปัญหาใหญ่ในการฟื้น ของเศรษฐกิจเพราะอียูก็ไม่เจรจา เอฟทีเอด้วย การลงทุนทั้งในประเทศและจากต่างประเทศยังหดตัว ที่สำคัญ การไม่เข้าร่วมทีพีพี ก็เป็นปัญหาใหญ่ที่หน่วยงานในสหรัฐฯเองก็เป็นห่วงไทยอยู่ว่าไทยน่าที่จะตกขบวน อีกทั้งปัญหาเรื่องอุทยานราชภักดิ์ยิ่งทำให้ความเชื่อมั่นหายไป ดังนั้น จึงอยากให้รัฐบาลและประชาชนได้เข้าใจสภาวะเศรษฐกิจที่แท้จริงจะได้ปรับตัวได้ถูกต้อง

วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ชาวนนทบุรี สุดคึกคัก! "ยิ่งลักษณ์" ลอยกระทงท่าน้ำนนท์


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย ด.ช.ศุภเสกข์ อมรฉัตร บุตรชาย เดินทางไปลอยกระทงที่แม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณท่าน้ำนนท์ จังหวัดนนทบุรี เนื่องในเทศกาลลอยกระทง โดย นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส พร้อมทักทายประชาชนด้วยความเป็นกันเอง ขณะเดียวกันประชาชนในพื้นที่ ที่ทราบข่าวต่างมายืนรอต้อนรับและให้กำลังใจเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยังได้เข้าสักการะศาลเจ้าพ่อปึงเถ่ากงม่าเจ้าแม่ทับทิมด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางไปที่บ้านริมน้ำ “เพชรพยา” เพื่อร่วมงานเทศกาลลอยกระทง โดยมี ส.ส.พรรคเพื่อไทยและคนสนิทเข้าร่วมงานด้วยบรรยากาศคึกคัก และต่างแต่งกายด้วยชุดไทย