วันเสาร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เดินทางตรวจเยี่ยมศูนย์พัฒนาพฤตินิสัยปัตตานี ให้กำลังใจผู้เข้าร่วมโครงการ DRIP MODEL ค่ายสานพลังใจ ละเลิกยาเสพติด

ผู้สื่อข่าวรายงานจาก ศูนย์พัฒนาพฤตินิสัยปัตตานี กรมคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม ต.บ่อทอง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ว่า เมื่อเวลา 14.45 น. พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และคณะ เดินทางมาตรวจเยี่ยม และติดตามการพัฒนาศักยภาพ ผู้เข้าร่วมโครงการ DRIP MODEL "ค่ายสานพลังใจ" โปรแกรมการแก้ไขฟื้นฟูผู้เสพยาเสพติดในรูปแบบค่ายปรับเปลี่ยนพฤติกรรมระยะยาว 60 วัน พร้อมพบปะพูดคุยให้กำลังใจแก่ผู้ถูกคุมความประพฤติ โดยมี นายยู่สิน จินตภากร ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พลตำรวจโท พัฒนวุธ อังคะนาวิน ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นางธาริณี แสงสว่าง รองอธิบดีกรมคุมประพฤติ และคณะ ให้การต้อนรับ 

พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า "มนุษย์ทุกคนมีคุณค่ามีความสำคัญ การจะพัฒนาคนต้องพัฒนาตามศักยภาพ ภาษากายที่ทุกคนแสดงออกมาบ่งบอกถึงความจริงใจและบ่งบอกถึงพลัง โครงการนี้เกิดขึ้นจากคนที่หวังดี ไม่หวังผลตอบแทน แต่มีความหวังเพียงอย่างเดียว คือ ขอให้พวกเราผู้เข้าร่วมโครงการฯ มีชีวิตที่ดี โดยชีวิตที่ดีนั้น ประกอบด้วย 1) พวกเราออกไปต้องมีอาหารกินและต้องไม่ยากจน 2) ต้องมีอาชีพที่ดีสุจริต 3) มีสุขภาพอนามัยที่ดี โดยข้อนี้เป็นสิ่งสำคัญตอนนี้เพราะพวกเราขณะนี้เหมือนได้รักษาสุขภาพจากการก้าวพลาดไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ต้องขอให้คิดเสมอว่ายาเสพติดเป็นอันตราย พวกเราทุกคนต้องใจแข็ง และ 4) ต้องมีโอกาส โดยในวันนี้ทุกคนทั้ง 104 คน มีโอกาสจากการได้รับการศึกษาและเข้าร่วมโครงการฯ นี้ ผู้จัดโครงการฯ พยายามหาโอกาสให้กับทุกคน และสิ่งหนึ่งที่เป็นโอกาสที่สำคัญ คือ โอกาสกับตัวเราและครอบครัว ครอบครัวจะได้รับสิ่งที่ครอบครัวฝันกลับคืนสู่ครอบครัว พร้อมทั้งขอให้กำลังใจ และขอขอบคุณโครงการที่ดี มีคุณค่า และได้ให้ความสำคัญแก้ไขฟื้นฟูเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้ถูกคุมความประพฤติในคดียาเสพติด และขอฝากกับทุกคนว่า เราต้องรับผิดชอบต่อสังคม โดยการนำประสบการณ์ที่ได้รับมาเจอ มาบอกเล่า และมาให้คำแนะนำกับรุ่นน้อง ท้ายสุดนี้ ขอให้ทุกคนคิดว่า ในเวลาที่เราถูกตราหน้าว่าคุมประพฤติหรือคนราชทัณฑ์ที่เป็นดินแดนของคนต้องห้ามนั้น พวกเราต้องเปลี่ยนความคิดว่าเป็นดินแดนของการสร้างคน เพื่อให้คนไปสร้างชาติ และขอให้สันติสุขบังเกิดแก่ทุกคน"

ทั้งนี้ โครงการค่ายปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ระยะยาว เป็นการเปลี่ยนจากโทษจำคุกไปเป็นการคุมความประพฤติ ซึ่งเป็นไปตามประมวลกฎหมายยาเสพติด โดยใช้โปรแกรมการแก้ไขฟื้นฟูเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้ถูกคุมความประพฤติในคดียาเสพติด ผ่านกระบวนการเข้าค่ายปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ระยะ 60 วัน มีผู้เข้าร่วมครั้งนี้ จำนวน 104 คน มุ่งเน้นพัฒนาและปรับเปลี่ยนพฤติกรรม 6 ด้าน ได้แก่ 1) การพัฒนาความคิด 2) ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม 3) ควบคุมและจัดการอารมณ์ 4) การพัฒนาจิตวิญญาณ 5) การพัฒนาอาชีพและการศึกษา และ 6) การพัฒนาทักษะการดำรงชีวิต โดยใช้วิธีการสร้างแรงจูงใจในการเลิกยาเสพติด การใช้กระบวนการกลุ่ม ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และการสร้างงานสร้างอาชีพ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กระทรวงยุติธรรม ภายใต้การดำเนินงานของกรมคุมประพฤติ มีกระบวนการติดตามผ่านการให้คำปรึกษา ช่วยเหลือสงเคราะห์ เฝ้าระวังโดยการตรวจหาสารเสพติด/ความเจ็บป่วยโดย พนักงานคุมประพฤติ อาสาสมัครคุมประพฤติ ครอบครัว และชุมชน โดยออกเยี่ยมเยียนสอดส่อง พูดคุย ติดตามผ่านผู้นำชุมชน ในระยะเวลา 3 เดือนหลังออกจากค่าย ติดตามทุก 5 วัน จากนั้นติดตามจนพ้นคุมความประพฤติเดือนละ 1 ครั้ง และติดตาม 1 ปี หลังพ้นคุมความประพฤติ จำนวน 7 ครั้ง

โครงการดังกล่าวสนับสนุนให้ผู้ถูกคุมความประพฤติสามารถปรับตัวเข้าสู่ครอบครัว ชุมชน และมีอาชีพผ่านการพัฒนาทักษะฝีมือ ให้มีงานทำ มีรายได้ สามารถพึ่งพาตัวเองได้ และนำไปสู่การเลิกเกี่ยวข้องกับยาเสพติดและสามารถกลับไปอยู่ในสังคมได้ โดยไม่กลับไปกระทำผิดซ้ำอีก

ทั้งนี้ พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้มอบนโยบายเรื่องยาเสพติด ซึ่งถือเป็นวาระแห่งชาติ โดยรัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน ได้ให้ความสำคัญและเน้นย้ำขอให้ ทุกภาคส่วน เอาจริงเอาจัง ในการช่วยเหลือลูกหลาน ให้พ้นจากยาเสพติดให้ได้ โดยต้องดำเนินการอย่างจริงจังและเด็ดขาด การจัดการยาเสพติด ต้องเริ่มที่แหล่งต้นตอ ซึ่งมีการลักลอบนำเข้าตามแนวชายแดน การจับกุมยึดทรัพย์เครือข่ายกลุ่มนักค้า การจัดการเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง การแก้ไขปัญหาด้านจิตเวชจากยาเสพติด และการจัดการแหล่ง แพร่ระบาดในหมู่บ้าน/ชุมชน การเปลี่ยนผู้เสพเป็นผู้ป่วย ให้เข้ารับการบำบัดรักษา และการป้องกันในกลุ่มต่าง ๆ ทุกระดับ






วันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) อย่างเป็นทางการ ยกระดับความร่วมมือ การสกัดกั้นยาเสพติด สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ในภูมิภาค

ผู้สื่อข่าวรายงานจาก นครหลวงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ว่า เมื่อเวลา 13.05 น. ที่ผ่านมา พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และคณะ ประกอบด้วย นายนิยม เติมศรีสุข ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (เลขาธิการ ป.ป.ส.) และคณะผู้บริหารระดับสูง ป.ป.ส. เดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวอย่างเป็นทางการ โดยเดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติวัดไต นครหลวงเวียงจันทน์ สายการบินไทย เที่ยวบินที่ TG570 ก่อนรับฟังการบรรยายสรุปสถานการณ์ยาเสพติดของ และการดำเนินการศูนย์บำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติดของ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ณ ศูนย์ประสานงานแม่น้ำโขงปลอดภัยของ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ทั้งนี้ นางสาวมรกต ศรีสวัสดิ์ เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งราชอาณาจักรไทยประจำ สปป. ลาว ได้ร่วมให้การต้อนรับด้วย



สำหรับภาพรวมของสถานการณ์ยาเสพติดของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ตลอดทั้ง ปี 2566 ที่ผ่านมา มีการจับกุมได้ทั้งหมด 4,663 คดี ยึดสารตั้งต้นสำหรับใช้ในการผลิตยาเสพติดได้ 260 ตัน โดยได้มีการทำลายสารดังกล่าวเรื่อยมาโดยตลอด มีการจับกุมผู้ค้ามากมาย อาทิ นายอ่อง กิม วาห์ นักค้ายาเสพติดรายสำคัญในสามเหลี่มทองคำ



ทั้งนี้ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) เป็นสมาชิก ภาคีต่อต้านยาเสพติด จำนวน 3 ภาคี และได้มีการร่วมมือกับประเทศในกลุ่ม CLMVT (กลุ่มประเทศ กัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนามและไทย) มากมาย โดยเฉพาะกับทางการไทย โดย สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) มีผู้อยู่ระหว่างการบำบัดยาเสพติดประมาณ 1,400 คน ทั่วประเทศ มีสถานบำบัด รวม 13 ศูนย์ และมีศูนย์ให้คำปรึกษาด้วย



พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้แทนรัฐบาลไทย ระบุว่า ภายใต้การนำของรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน มี คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ที่มี นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาของภูมิภาค ซึ่งเราต้องร่วมกันแก้ปัญหานี้ เพราะยาเสพติดไม่มีพรมแดน แต่ละประเทศล้วนมีกฎหมายต่อต้านยาเสพติด แต่ในรายละเอียดอาจไม่เหมือนกัน ผู้ค้ายาเสพติดส่วนมากมักไม่อยู่ในประเทศที่ค้า เช่น ผู้ค้าลาวอาจจะอยู่ที่ไทยก็ได้ รัฐบาลไทยยกปัญหายาเสพติดให้เป็นวาระแห่งชาติ และเห็นควรยกเป็นวาระระดับภูมิภาคด้วย ส่วนการร่วมมือกันในวันนี้ ควรเอาสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงมาบูรณาการร่วมกัน และสนับสนุนที่จะมีการกำหนด Timeline ในการต่อสู้กับยาเสพติดให้ชัดเจน เช่น ใน 1 ปี ให้เห็นผลทั้งระดับภูมิภาค

พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ระบุเพิ่มเติมว่า อาชญากรรมยาเสพติด มีรายได้อันดับ 1 ของโลก เมื่อเทียบกับอาชญากรรมประเภทอื่น หากเราได้ปฎิบัติการด้านการต้านการฟอกเงินได้ น่าจะลดปัญหายาเสพติดได้ในระดับหนึ่งด้วย โดยขอเน้นการปฎิบัติการเชิงรุก และยกปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาระดับภูมิภาคด้วย

พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (เลขาธิการ ป.ป.ส.) กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมา ทางการไทย และ สปป.ลาว ได้มีการจับกุมผู้ค้าได้เป็นจำนวนมาก ขณะนี้ ยังมีหมายจับ เพิ่มเติมจำนวน 48 ใบ อยากจะขอรับการสนับสนุนจาก สปป.ลาว ในการช่วยสนับสนุนในการจับกุมด้วย โดยจะเพิ่มความเข้มข้นในการควบคุมชายแดน โดยมีกองทัพ ภาค 2 และ 3 ในการสนับสนุนการปฏิบัติการ โดยอาจจะขยายเขตการควบคุมในอนาคต และจะขอแลกเปลี่ยนข้อมูลกับสปป.ลาว เพิ่มเติม โดยในเดือนที่ผ่านมา มีการเชิญ เจ้าหน้าที่ ของ สปป.ลาว จำนวน 30 ท่าน มาแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน และขอขอบคุณความร่วมมืออันดีที่ผ่านมา รวมถึงอาจจะมีการนำเทคโนโลยีมาสนับสนุนการจับกุมผู้ค้า และอาจจะถึงผู้เสพ/ผู้ค้ารายย่อย ซึ่งเป็นเหมือนเส้นเลือดของยาเสพติด โดยอาจจะมีการเริ่มชุดปฎิบัติการร่วมกันด้วย

จากนั้น ในเวลา 16.00 น. พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และคณะ มีกำหนดการเข้าเยี่ยมคารวะ และหารือข้อราชการกับ พลเอก วิไล หล้าคำฟอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีกระทรวงป้องกันความสงบแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ณ ห้องรับรอง กระทรวงป้องกันความสงบแห่ง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) นครหลวงเวียงจันทน์ โดย พลเอก วิไล หล้าคำฟอง มีข้อเสนอในการร่วมกันป้องกัน ปราบปราม สกัดกั้นยาเสพติด และยกระดับการสกัดกั้น สารตั้งต้นและเคมีภัณฑ์ ยกระดับความร่วมมือด้านการจับกุม ความร่วมมือทางด้านวิชาการ การฝึกอบรม การวิจัย และการพัฒนาบุคลากรด้านการแก้ไขปัญหายาเสพติด รวมถึงความร่วมมือด้านการเผาทำลายยาเสพติดและความร่วมมือด้านการพัฒนาสารทางเลือกทดแทนด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ในเวลา 17.30 น. พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และคณะ มีกำหนดการร่วมงานเลี้ยงรับประทานอาหารค่ำ กับพลตรี คำกิ่ง ผุยหล้ามะนีวง รองรัฐมนตรีกระทรวงป้องกันความสงบ และหัวหน้ากรมใหญ่ตำรวจแห่ง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ณ ภัตตาคาร MAY YUAN โรงแรมลาวพลาซ่า ก่อนออกเดินทางจากท่าอากาศยานนานาชาติวัดไต นครหลวงเวียงจันทน์ เดินทางกลับท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยสายการบินไทย เที่ยวบินที่ TG575








พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นำร่องเรือนจำพิเศษมีนบุรี แยกการควบคุมผู้ต้องขังระหว่างพิจารณาคดี และผู้ต้องขังเด็ดขาด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 08.00 น. ที่ผ่านมา พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เดินทางไปยังเรือนจำพิเศษมีนบุรี เพื่อเป็นประธานในพิธีเปิด “เรือนจำศูนย์ระหว่างการพิจารณาคดี” ที่เรือนจำพิเศษมีนบุรี ซึ่งจะเป็นศูนย์แยกการควบคุมผู้ต้องขังระหว่างพิจารณาคดี และผู้ต้องขังเด็ดขาดของกลุ่มเรือนจำในกรุงเทพมหานคร โดยมี นายสหการณ์ เพ็ชรนริทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์นายนนทรัตน์ หอมศรีประเสริฐ ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษมีนบุรี ผู้แทนจากสำนักอนุญาโตตุลาการ ศาลยุติธรรม, สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย(องค์การมหาชน) หรือ ทีไอเจ และหัวหน้าหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ร่วมให้การต้อนรับ 


พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะเป็นประธานได้กล่าวเปิดงาน โดยระบุว่า ศักดิ์ศรีของทุกคนเป็นสิ่งที่ต้องได้รับการคุ้มครองโดยเฉพาะ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แม้หลายอย่างในชีวิตไม่สามารถเลือกได้ เช่น เชื้อชาติ สถานที่เกิด ฯลฯ รวมถึงอดีตที่ผ่านไปแล้ว ไม่สามารถเลือกและไม่สามารถแก้ไข แต่ขอให้ถือเป็นบทเรียนหรือบางครั้งที่มีอดีตในขั้นวิกฤติให้ถือเป็นโอกาสในชีวิต

การแยกการควบคุมผู้ต้องขังระหว่างพิจารณาคดี กับ ผู้ต้องขังเด็ดขาด มีเหตุผลเพื่อให้ผู้ต้องขังระหว่างพิจารณาคดี ได้สามารถเตรียมตัวพูดคุยกับทนายความ ที่นำไปสู่โอกาสเตรียมสำนวนเอาชนะคดีที่ตนในฐานะจำเลยที่ต้องถูกควบคุมตัวที่เรือนจำในช่วงเวลาระหว่างพิจารณาคดี ซึ่งจะเห็นได้ชัดว่า หลายครั้ง ฝ่ายโจทก์ มีโอกาสมากกว่า สามารถจ้างทนาย ขณะที่จำเลย ถูกควบคุมตัว เสียเปรียบกว่าในการเตรียมตัวทนาย 

“ภาพการแต่งกายในช่วงเวลาขึ้นศาล สะท้อนภาพชัด คือ ฝ่ายโจทก์สวมเสื้อผ้าภูมิฐาน แต่ฝ่ายจำเลยต้องสวมเสื้อสีกลีบบัวของเรือนจำ บางครั้งมีโซ่ตรวนพันธนาการ” พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ยกตัวอย่างพร้อมกล่าวฝากไปยังเรือนจำพิเศษมีนบุรี ในฐานะเป็นศูนย์แยกการควบคุมผู้ต้องขังระหว่างพิจารณาคดี และผู้ต้องขังเด็ดขาด นำไปพิจารณาสู่การปฏิบัติให้เป็นรูปธรรม 

ทั้งนี้ “เรือนจำศูนย์ระหว่างการพิจารณาคดี”  ที่เรือนจำพิเศษมีนบุรี เป็นหนึ่งในแนวทางปฏิบัติงานควบคุมผู้ต้องขังระหว่างพิจารณาคดีแยกการควบคุมจากผู้ต้องขังเด็ดขาด ตามข้อกำหนดของกรมราชทัณฑ์ ที่เริ่มจาก การจัดตั้งศูนย์แยกการควบคุมผู้ต้องขังระหว่างพิจารณาคดี และผู้ต้องขังเด็ดขาด ให้ทำหน้าที่เป็น Hub ให้กับเรือนจำที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ของจังหวัดเดียวกัน ซึ่งกรมราชทัณฑ์กำหนดไว้ 8 กลุ่มจังหวัดได้แก่ จังหวัดลำปาง, พิษณุโลก, พระนครศรีอยุธยา, ขอนแก่น, นครศรีธรรมราช, สงขลา, ปทุมธานี และกรุงเทพฯ 

“เรือนจำพิเศษมีนบุรี” ถือเป็นศูนย์กลางในการนำร่องเพื่อสร้างแนวทางการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดี ให้การควบคุมผู้ต้องขังกลุ่มดังกล่าวในเรือนจำกลุ่มกรุงเทพฯ เป็นไปตามหลักมาตรฐานสากล ซึ่งเริ่มปฏิบัติงานตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

สำหรับเรือนจำอื่นๆ ให้ดำเนินการแยกการควบคุมผู้ต้องขังฯ ตามความเหมาะสมของลักษณะกายภาพของเรือนจำแต่ละแห่ง เนื่องจากในบางเรือนจำมีพื้นที่แดนเดียว จึงต้องแบ่งแยก หรือ Block Zone กั้นพื้นที่อย่างน้อยต้องแยกห้องนอนผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดีกับนักโทษเด็ดขาด ออกจากกันชัดเจน พร้อมการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังให้เป็นไปตามมาตรฐาน ด้านการควบคุมตัว ตามระเบียบของราชการซึ่งมีการจัดจุดบริการ สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น ห้องสมุด ห้องพยาบาล การบริการเยี่ยมญาติ และการพบทนายความ รวมถึงกิจกรรมที่ผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดีจะได้รับ บนพื้นฐานของหลักสิทธิมนุษยชน

วันศุกร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ประชุมเชิงปฏิบัติการพัฒนาทางเลือกในการจัดการปัญหายาบ้าที่เกี่ยวข้องกับการบำบัด การผลิต และการพัฒนายาทดแทนยาบ้า โดยมีผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงาน และเภสัชกรเชี่ยวชาญร่วมหาแนวทางแก้ไขปัญหา

ผู้สื่อข่าวรายงานจาก ห้องคริสตัล 1-2 โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค กรุงเทพมหานคร ว่า เมื่อเวลา 09.30 ที่ผ่านมา พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เดินทางมาเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อพัฒนาทางเลือกนโยบายการจัดการปัญหายาบ้าที่เกี่ยวข้องกับการบำบัด การผลิต และการพัฒนายาทดแทนยาบ้า เพื่อพัฒนาทางเลือกเชิงนโยบายสำหรับการจัดการปัญหายาบ้า พร้อมมี นายนิยม เติมศรีสุข ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม และผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานด้านการป้องกัน แก้ไข และปราบปรามปัญหายาเสพติด เข้าร่วมประชุมด้วย



พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวระหว่างการประชุมว่า การประชุมครั้งนี้ทางกระทรวงยุติธรรม ..ได้ร่วมหารือกับผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติงานด้านการป้องกันแก้ไขและปราบปรามปัญหายาเสพติด ในสองประเด็นหลัก คือการหาแนวทางให้ผู้ติดยาบ้าเข้าถึงการบำบัดรักษา และพัฒนาตัวยาที่มีประสิทธิผลในการรักษาผู้ติดยาบ้า ซึ่งขณะนี้ยังไม่มียารักษาโดยตรง และความเป็นไปได้ในการใช้นโยบายยาทดแทนยาบ้า ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ  เพื่อลดทอนความรุนแรงจากปัญหายาเสพติด ซึ่งคาดว่าผลการประชุมในครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ในการปรับปรุงแนวทางบำบัดรักษาผู้ป่วยที่ติดยาเสพติดให้มีความเหมาะสมตามแนวทางผู้เสพเป็นผู้ป่วยตามนโยบายของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม การพัฒนายาทดแทนยาบ้าเพื่อใช้ในการบำบัดผู้เสพยาเสพติด ยังคงต้องใช้ระยะเวลาในการวิจัย ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการใช้ยาเมทาโดนเพื่อรักษาผู้เสพติดเฮโรอีนมาก่อน  ซึ่งหากทำได้จะถือเป็นอีกก้าวหนึ่งในการแก้ปัญหายาเสพติด


พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันสถิติของผู้เสพยาเสพติดที่อยู่ในการดูแลของกระทรวงยุติธรรม ทั้งกรมราชทัณฑ์กรมคุมประพฤติกรมพินิจและคุ้มครองเด็กมีจำนวนสูงถึง 800,000 คน โดยในจำนวนนี้กว่า 300,000 คน ไม่ได้เข้ารับการบำบัดรักษาและอยู่ในชุมชน จึงยังต้องมีการให้ความรู้เรื่องยาและการบำบัดกับชุมชนให้เข้มแข็งมากพอที่จะช่วยดูแลผู้เสพที่เป็นผู้ป่วยได้ รวมถึงยังพบว่ากลุ่มผู้เสพยาเสพติดจำนวนมาก ยินยอมเข้าสู่กระบวนการบังคับใช้กฎหมายมากกว่าสมัครใจเข้ารับการบำบัด หรือคุณประพฤติ จึงได้มีการหารือกับหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม เช่น ศาล เพื่อหาแนวทางในการนำผู้ คิดถึงบังคับใช้กฎหมายจากเรื่องยาเสพติดให้เข้าสู่กระบวนการบำบัดให้ได้มากที่สุด


ส่วนข้อเสนอของกระทรวงยุติธรรม และ ..เกี่ยวกับนโยบายกัญชาที่กระทรวงสาธารณสุข อยู่ระหว่างออกกฎหมายควบคุม นั้น พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เปิดเผยว่า หลังยกเลิกกัญชา และพืชกระท่อมออกจากยาเสพติดในปี2565 และขณะนี้ยังไม่มีมาตรการควบคุมกัญชา ทำให้เกิดผลกระทบกับผู้ใช้กัญชาและสร้างปัญหาอย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและเยาวชน พบว่ามีการใช้กัญชาเพิ่มถึง 10 เท่า ซึ่งทาง ..พรรคเพื่อไทย ได้เรียกร้องว่าขอให้นำกัญชากลับมาเป็นยาเสพติด ยังไม่มีกฎหมายควบคุมสารเสพติด ให้กลับไปใช้ประกาศของกระทรวงสาธารณสุขก่อน แต่เงื่อนไข คือ ต้องเสนอบอร์ด ...ให้ออกประกาศตามกฎหมายยาเสพติด ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงยุติธรรม และพรรคร่วมรัฐบาลต้องหารือกันก่อน



พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง กล่าวว่า เรื่องดอกและช่อต้นกัญชา ใน UN ยังจัดให้เป็นยาเสพติด และจากการที่ตนเองไปประชุมในเวทีแก้ปัญหายาเสพติดโลกนั้น ประเทศอื่น  ก็ไม่ยอมรับให้กัญชาออกจากยาเสพติด และไทยถูกซักถามในประเด็นดังกล่าวจากต่างประเทศมาก เพราะประเทศอื่น  กัญชายังเป็นยาเสพติด แต่เหตุใดไทยอนุญาตให้ใช้ กระทรวงยุติธรรม จึงมีความเห็นว่า กัญชาสามารถใช้ทางการแพทย์ และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ได้ แต่ห้ามใช้ในทางสันทนาการ ดังนั้นระหว่างที่ยังไม่มีกฎหมายควบคุมกัญชา ก็ให้ออกประกาศกำหนดให้ช่อดอกและสารสกัดจากพืชกัญชากลับไปเป็นยาเสพติดให้โทษตามประมวลกฎหมายยาเสพติด

วันอังคารที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม นำดีเอสไอ แถลงตรวจค้น-จับกุมเป้าหมายเครือข่ายโกฟุก เบื้องต้นพบเงินหมุนเวียนในระบบกว่า 1,000 ล้านบาท

ผู้สื่อข่าวรายงานจากอาคารกรมสอบสวนคดีพิเศษ ว่า พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เดินทางมายังกรมสอบสวนคดีพิเศษเพื่อรับทราบการรายงานผลการปฏิบัติ กรณีเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 กรมสอบสวนคดีพิเศษได้เปิดปฏิบัติการตรวจค้นเป้าหมายเครือข่าย “โกฟุก” จำนวน 27 จุด ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและหลายจังหวัด โดยมี พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ รักษาการอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมด้วยนายระวี อักษรศิริ ผู้อำนวยการกองคดีการฟอกเงินทางอาญา และนายสมบูรณ์ ม่วงกล่ำ ที่ปรึกษาฯ ในฐานะ โฆษกกระทรวงยุติธรรม ฝ่ายการเมือง ร่วมกันชี้แจงพร้อมนำตรวจดูตัวอย่างทรัพย์สินบางรายการที่มีการตรวจยึด โดย พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง กล่าวขอบคุณเจ้าหน้าที่ และได้กำชับการปฏิบัติให้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย


พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า “กรณีดังกล่าวนั้นได้รับการประสานจากทางสำนักงานอัยการสูงสุดให้อธิบดีดีเอสไอเข้าตรวจสอบและดำเนินการกับขบวนการสร้างหลักฐานการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงไปนอกประเทศ ที่เป็นเท็จแล้วนำมาขอคืนภาษี ทำให้รัฐทำให้รัฐสูญเสียภาษีนับ 10,000 ล้านบาท จึงได้มอบหมายให้ทางดีเอสไอเข้าไปดำเนินการสืบสวนสอบสวน ทั้งนี้ พบว่ากลุ่มดังกล่าวยังพบว่ามีการกระทำความผิดในเรื่องของหวยออนไลน์ ดีเอสไอจึงเข้าไปดำเนินการรวบรวมพยายหลักฐานนำไปสู่การออกหมายจับหมานค้นในคดีดังกล่าว ส่วนคดีสำแดงหลักฐานเท็จ การส่งออกน้ำมันเพื่อขอรับภาษีนั้นเป็นอีกคดีที่ดีเอสไอกำลังรวบรวมพยานหลักฐานโดยเบื้องต้นพบว่ามีการดำเนินการต่อเนื่องมากว่า 10 ปี ทำให้รัฐสูญเสียภาษีนับ 10,000 ล้านบาท”



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีดังกล่าว สืบเนื่องจากกรมสอบสวนคดีพิเศษได้ทำการสืบสวน กรณีมีเบาะแสการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และที่แก้ไขเพิ่มเติม กรณีปรากฏเบาะแสว่ามีกลุ่มบุคคลภายใต้เครือข่าย “โกฟุก” นำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จในระบบคอมพิวเตอร์หลอกลวงให้ประชาชนเข้าซื้อรางวัลเลขท้ายของรางวัลที่ 1 และรางวัลเลขท้าย 2 ตัว ภายใต้เว็บไซต์หลายเว็บไซต์ เช่น ร่ำรวยร้อยล้าน นพเก้า นาคราช ชอบหวย ล๊อตโต้เอ็มเอ็ม ดีเอ็นเอ เยเย่ และอื่นๆ โดยอ้างอิงผลการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล ปรากฏข้อความในหน้าเพจหรือเว็บไซต์ว่า หวยรัฐบาลไทยที่ประกาศหรือโฆษณา การซื้อหวย ข้อความดังกล่าวไม่ใช่ข้อความของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล อันถือเป็นข้อมูลอันเป็นเท็จ รวมทั้งนำผลการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลของประเทศต่าง ๆ มาประกอบในการเชิญชวนให้มีการเล่นการพนัน เบื้องต้นพบเงินหมุนเวียนในระบบกว่า 1,000 ล้านบาท จึงรับไว้ทำการสอบสวนคดีพิเศษที่ 10/2567 ทางการสอบสวนมีการออกหมายจับผู้ต้องหาจำนวน 18 คน และนำไปสู่ปฏิบัติการตรวจค้นเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 เพื่อพบและจับกุมบุคคลตามหมายจับ รวมทั้งตรวจค้นหาพยานหลักฐานและทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ซึ่งในวันดังกล่าวสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 7 คน จาก 18 คน ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างหลบหนี ได้มอบหมายให้ศูนย์สืบสวนและสะกดรอย กรมสอบสวนคดีพิเศษ ติดตามจับกุมต่อไปและในการตรวจค้น สามารถยึดทรัพย์สินได้จำนวนมาก รวมกว่า 14 ประเภท มูลค่าหลายร้อยล้านบาท โดยทรัพย์สินที่สำคัญ เช่น เงินสด 55 ล้านบาท ทองคำ น้ำหนัก 350 บาท โฉนดที่ดิน-หนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุด 8 ฉบับ รถยนต์ 8 คัน พระเครื่อง 97 รายการ นาฬิกาหรู 47 เรือน อาวุธปืน 10 กระบอก กระเป๋า รองเท้า เสื้อผ้าแบรนด์เนม กว่า 400 รายการ 


ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ในวันนี้ พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เดินทางมารับฟังรายงานผลการปฏิบัติงาน โดยกล่าวชื่นชมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษทุกนายที่ร่วมปฏิบัติงานอย่างมุ่งมั่นเสียสละ พร้อมกำชับให้กรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินการสืบสวนและสอบสวนอย่างรอบคอบ รวมรวมพยานหลักฐานในทุกมิติเพื่อทำความจริงให้ปรากฏ ส่วนกรณีการสร้างหลักฐานการส่งออกน้ำมันเชื้อเพลิงไปนอกประเทศที่เป็นเท็จแล้วนำมาขอคืนภาษี โดยเบื้องต้นพบว่ามีการดำเนินการต่อเนื่องมากว่า 10 ปี ทำให้รัฐสูญเสียภาษีนับ 10,000 ล้านบาท และจะได้มีการสืบสวนขยายผลต่อไป ก่อนเดินทางกลับกระทรวงยุติธรรม ในเวลา 15.30 น.