วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2561

"วัฒนา" สวนกลับ "ประยุทธ์" จำกัดสิทธิเสรีภาพ


นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

การที่พลเอกประยุทธ์พูดในรายการคืนวันศุกร์ว่า คสช. ไม่เคยไปจำกัดสิทธิและเสรีภาพมากเกินไป มีการโจมตีเร่งรัดโรดแมป กดดันมากไปหรือไม่หรือมีเจตนาอื่นแอบแฝงหรือไม่ ทำให้ผมจำเป็นต้องชี้แจงกับประชาชน

พลเอกประยุทธ์ยึดอำนาจประชาชนมาเกือบ 4 ปี ทั้งยังแสดงท่าทีว่าจะถ่วงเวลาการเลือกตั้ง นั่นคือสาเหตุที่ทำให้ประชาชนต้องออกมาเรียกร้องให้จัดการเลือกตั้งจึงถือเป็นความชอบธรรมทุกประการ แต่การที่ คสช. มาแจ้งความดำเนินคดีกับประชาชนต่างหากที่มีเจตนาอื่นแอบแฝงเพราะเป็นการลุแก่อำนาจและจำกัดเสรีภาพของประชาชน ส่วนที่พาดพิงถึงพรรคการเมืองใหม่ว่าต้องไม่ล้มล้างจารีตประเพณีและวัฒนธรรมไทยนั้น ผมยังไม่เห็นมีพรรคการเมืองแนวทางประชาธิปไตยมีแนวทางแบบที่ท่านว่า ที่คิดจะล้มล้างคือระบอบเผด็จการและเอาเผด็จการเข้าคุกหลังจากประชาชนได้อำนาจคืนแล้วซึ่งผมเห็นด้วย

"ปลอดประสพ" เบื่อรัฐจ้อปราบคอร์รัปชั่น-ห่วงทุจริตยุค คสช.


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี อดีตรองนายกรัฐมนตรี และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

กรรมของประเทศและคนไทย

เรียนเพื่อนพ้องน้องพี่และออเจ้านายแฟนคลับทั้งหลาย ผมหายไปเพราะเดินทางไปต่างประเทศ เปิดหูเปิดตาดูความเจริญ ความศิวิไลซ์ เพื่อประเทืองความรู้ เพราะต้องหดหู่ทู่ซี้ จมปลักกับความโง่เขลาเบาปัญญา(บางเรื่อง บางคน)ในสยามประเทศมานานพอสมควรแล้ว

ผมไม่ทราบว่าคุณประวิตร ณ นาฬิกา มีไอคิวเท่าไหร่ แกถึงใช้เวลาเป็นเดือนเพียงเพื่อหาคำพูดอธิบายว่า “ยืมจากเพื่อนคนเดียวทั้ง25เรือน” และก็ไม่อาจหยั่งรู้ไอคิวของ ป.ป.ช. ทั้งคณะได้ว่าฉลาดหรือโง่มากน้อยเท่าใด จึงสามารถเข้าใจโดยพลันว่า ยังมีคนพันธุ์มากยืมจริงๆในโลกกะลาครอบใบนี้

เพียงชั่วเดือนที่ไม่อยู่ในประเทศ ไม่น่าเชื่อเลยว่า จะพบการโกงกินเกือบครบทุกกระทรวง (เข้าใจว่ายังเหลือเพียงต่างประเทศและวิทยาศาสตร์เท่านั้น) ยุคคสช. เป็นไปได้ถึงขนาดนี้แล้วหรือ หัวไม่กระดิก หางไม่มีทางส่ายหรอกครับ อย่ามาพูดเรื่องปราบคอร์รัปชั่นให้เหม็นขี้ฟันอีกต่อไปเป็นอันขาด

ผมไป Washington, D.C. แอบมองรัฐสภาสหรัฐฯ และหวนกลับมาดูสมาชิกสนช. ณ ทหารแต่งตั้ง กฎหมาย ส.ส. และ ส.ว. ระหว่างร่างคนเขาก็ให้ฮาป่า ว่านี่มันกฎหมายหรือกดหัว พวกท่านก็นั่งยันนอนยันว่าเจ๋งเป้งดีแท้แน่นอน ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญฉบับครึ่งใบเถา มาวันนี้ลมเปลี่ยนเสียแล้ว ชักแกล้งไม่แน่ใจตนเอง ส่งไปให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ อย่างนี้ต้องเรียกเงินเดือนคืน จ้างมาเสียข้าวสุกเปล่าๆ

สุดท้าย ออแฟนคลับทั้งแสน ที่เคยเป็นสมาชิกอยู่พรรคเดียวกับผม กรุณาหาเวลาไปยืนยันความเป็นสมาชิกพรรคหน่อยเถอะครับ ไม่งั้นมันปล้นปลดทรัพย์ความเป็นสมาชิกของออท่านทั้งหลายเป็นแน่ ทำให้ทันภายใน 30 เมษายนนี้ นะครับ

"ยุทธพงศ์" นำชาวมหาสารคาม เปิดงานประเพณี "สรงกู่สันตรัตน์" สืบสานตำนานเมืองนครจัมปาศรี


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดมหาสารคาม พรรคเพื่อไทย เดินทางมายังโบราณสถานกู่สันตรัตน์ ต.กู่สันตรัตน์ อ.นาดูน จ.มหาสารคาม เพื่อเป็นประธานในพิธีเปิด งานประเพณี "สรงกู่สันตรัตน์" สืบสานตำนานเมืองนครจัมปาศรี ประจำปี 2561 พร้อมขบวนแห่และพิธีทำบุญตักบาตรถวายผ้าป่า พิธีเสี่ยงทาย เสี่ยงวา จุดบั้งไฟเสี่ยงทาย สรงน้ำกู่สันตรัตน์ กู่น้อยและสรงน้ำเจ้าพ่อโฮงแดง โดยมีประชาชนในพื้นที่มาร่วมงานกว่า 2,000 คน


นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร กล่าวเปิดงานว่า "เรียน ท่านรักษาการนายกองค์การบริหารส่วนตําบลกู่สันตรัตน์ คุณบําเพ็ญ บุตรวิเศษ ท่านกํานัน หัวหน้าส่วนราชการ ตลอดจนแขกผู้มีเกียรติ และพี่น้องประชาชนทุกท่าน จากที่ได้รับรายงาน ของประธานคณะกรรมการ จัดงานประเพณีสรงกู่สันตรัตน์สืบสานตํานานเมืองนครจัมปาศรีประจําปี 2561 ประเพณีสรงกู่สันตรัตน์สืบสานเมืองนครจัมปาศรีจะจัดในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 ของทุกปี สําหรับในปีนี้ ตรงกับวันที่ 30 – 31 มีนาคม 2561"

"ประเพณีสรงกู่สันตรัตน์สืบสานตํานานเมืองนครจัมปาศรี ได้จัดขึ้นและสืบ ทอดมาหลายชั่วอายุคน กระทําขึ้นเพื่อเป็นการขอขมาแด่ดวงวิญญาณบรรพบุรุษ คือพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และพระนางยศรัศมี ผู้ที่สร้างเมืองนครจัมปาศรี จะ เห็นได้จากโบราณสถานกู่สันตรัตน์ พระเทวรูปหลายๆ องค์ที่ขุดพบได้ที่นี้ และ ยังมีความเชื่อในการประกอบพิธีกรรมเสี่ยงทาย เสี่ยงวา จุดบั้งไฟบ้านบั้งไฟนา แห่กับแก้กลับโกน เป็นการขอฝนให้ตกต้องตามฤดูกาล"

"การจัดงานประเพณี สรงกู่สันตรัตน์สืบสานตํานานเมืองนครจัมปาศรี ในปีนี้ ผมขอชื่นชม คณะกรรมการจัดงาน ที่แสดงให้เห็นถึงการประสานความร่วมมือ ร่วมใจ ระหว่างภาครัฐ กับชุมชนเป็นอย่างดี ขอให้การจัดงานประเพณีสรงกู่สันตรัตน์ สืบสานตํานานเมืองนครจัมปาศรี ของพี่น้องชาวอําเภอนาดูน โดยเฉพาะพี่น้อง ตําบลกู่สันตรัตน์ได้ปฏิบัติสืบต่อไป"









"ธีรรัตน์" หนุนฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดร.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร พรรคเพื่อไทย ได้รับการแจ้งจากประชาชนในพื้นที่เขตลาดกระบัง ในการประสานวางมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของพิษสุนัขบ้าในพื้นที่ โดยได้มีการประสานกรมปศุสัตว์ เข้าบริการฉีดวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้าให้แก่พี่น้องประชาชนในพื้นที่ชุมชนมาเรียลัย ชุมชนวัดพลมานีย์ วัดพลมานีย์ โดยมีประชาชนนำสัตว์เลี้ยง สุนัข แมว เข้ารับบริการการฉีดวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้าเป็นจำนวนมาก


ดร. ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ กล่าวว่า "สัตว์เลี้ยงที่นำมารับการฉีดวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้านั้น ต้องมีอายุ 3 เดือนขึ้นไป และชี้แจงให้ประชาชนดูแลสัตว์เลี้ยงของตนอย่างใกล้ชิด เพราะบางครั้งโรคพิษสุนัขบ้าอาจเกิดจากสัตว์เลี้ยงไปสัมผัสกับสัตว์อื่นที่มีเชื้อพิษสุนัขบ้าก็อาจทำให้สัตว์เลี้ยงติดเชื้อได้"


ทางด้าน นายสัตวแพทย์ธีราสิทธิ์ โฉมเฉลา เจ้าหน้าที่ปศุสัตว์อำเภอ กล่าวว่า "สัตว์เลี้ยงที่สามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้านอกจากสุนัขและแมวแล้ว กระต่าย กระรอก หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิด เจ้าของควรนำมาฉีดวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า เพราะสัตว์เหล่านี้มีโอกาสนำเชื้อโรคพิษสุนัขบ้าได้"





วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2561

“จาตุรนต์” ห่วงปัญหาแรงงานต่างด้าว แนะต้องรื้อทั้งระบบ


นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และแกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

"ปัญหาแรงงานต่างด้าว ต้องรื้อทั้งระบบ"                                     

ผมเคยแสดงความเห็นเกี่ยวกับปัญหาแรงงานต่างด้าวมาบ้างแล้ว และก็ยังติดตามเรื่องนี้อยู่บ้าง 2-3 วันมานี้เห็นเรื่องแรงงานต่างด้าวเป็นข่าวขึ้นมาอีก ก็อยากจะแสดงความเห็นอีกสักหน่อย แต่ก่อนอื่นจะขอเริ่มด้วยการเล่าประสบการณ์ที่ได้ยินได้ฟังหรือได้พบเห็นเกี่ยวกับปัญหาแรงงานต่างด้าวสักหน่อย

ร้านอาหารร้านหนึ่งในแปดริ้ว เป็นร้านขายดี เพราะคนชอบรสชาติและราคาไม่แพง สะดวกและค่อนข้างเร็วดี เมื่อประมาณ 1 เดือนก่อนหน้านี้ เจ้าของร้านมีธุระต้องหยุดพัก พอดีกับลูกจ้างซึ่งเป็นแรงงานต่างด้าวขอลากลับบ้าน ผมลองสอบถามว่าจะเปิดร้านอีกเมื่อไหร่ ทีแรกก็ตอบว่า 1 เดือน เมื่อเร็วๆนี้ถามใหม่ เขาบอกว่าคงต้องอีกอย่างน้อย 2 เดือนและไม่แน่ด้วยว่าจะเปิดร้านได้ เพราะลูกจ้างชุดเดิมนั้นคงไม่กลับมาแล้ว จะหาลูกจ้างใหม่ก็หาไม่ได้

ผมคุยกับนักธุรกิจในกรุงเทพคนหนึ่ง เขาเล่าให้ฟังว่า เขาย้ายโรงงานของเขาไปอยู่แถวชายแดนในจังหวัดกาญจนบุรีมาระยะหนึ่งแล้ว เพราะสะดวกในเรื่องแรงงานต่างด้าว ส่วนกิจการในกรุงเทพนั้นเหลือเพียงกิจการเล็กๆ มีแรงงานต่างด้าวอยู่ 3-4 คน ซึ่งหายากมาก จะต่ออายุแต่ละครั้งก็ยุ่งยากและสิ้นเปลืองมาก

คุยกับเพื่อนคนหนึ่ง ที่จ้างแรงงานต่างด้าวมาทำงานบ้าน เขาจัดการขออนุญาตให้แม่บ้านด้วยตนเอง เขาบอกว่าต้องใช้เวลานานและยุ่งยากมาก ใช้ค่าใช้จ่ายไปประมาณ 20,000 บาทโดยไม่เกี่ยวกับค่าจ้าง เวลานี้จะต้องทำเรื่องต่ออายุ เขาตัดเสินใจเลือกให้เอเย่นต์เป็นคนทำให้ มีค่าบริการที่จ่ายให้เอเย่นต์ 8,500 บาท ไม่นับค่าใช้จ่ายอื่น

เพื่อนอีกคนมีกิจการก่อสร้าง เล่าให้ฟังว่า เวลาจ้างแรงงานต่างด้าว ต้องทำผ่านเอเย่นต์ จ้างมาเป็นชุด เวลาครบอายุก็ไปเป็นชุด เอเย่นต์ก็บอกว่าต้องหาชุดใหม่ ก็เลยต้องเริ่มใหม่หมดเสียค่าใช้จ่ายแพงกว่าต่ออายุ แต่ไม่รู้จะทำยังไงก็ต้องสุดแล้วแต่เอเย่นต์ จะหาเองก็ยุ่งยากถึงขั้นเป็นไปไม่ได้เลย พลาดขึ้นมาก็จะถูกลงโทษร้ายแรง ธุรกิจคงล้มไปเลย

สองวันก่อน เห็นข่าวกรมการจัดหางานกำลังเร่งให้นายจ้างมาทำทะเบียนประวัติ-ขอใบอนุญาตทำงานแรงงานต่างด้าวกัมพูชา-เมียนมา-ลาวให้แล้วเสร็จ ภายใน 31 มี..นี้ โดยมั่นใจว่าจะไม่ขยายเวลาแล้ว มีการชี้แจงด้วยว่าหากไม่มาดำเนินการ  แรงงานต่างด้าวจะมีความผิดตาม ...บริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว ..2560 ทำงาน โดยไม่มีใบอนุญาต โทษปรับ 5,000-50,000 บาท ส่วนนายจ้างที่รับคนต่างด้าวเข้าทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน มีโทษปรับตั้งแต่ 10,000-100,000 บาทต่อคนต่างด้าวที่จ้าง 1 คน 

หากพบว่า ทำผิดซ้ำอีก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000-200,000 บาทต่อคนต่างด้าวที่จ้าง 1 คน และห้ามจ้างแรงงานต่างด้าวเป็นเวลา 3 ปี 

ยังมีการชี้แจงด้วยว่า หลังจากเปิดดำเนินการทั่วประเทศมาตั้งแต่วันที่ 5 ..2561 ในกลุ่มประมงทะเล แปรรูปสัตว์น้ำ กลุ่มผ่านการคัดกรองความสัมพันธ์นายจ้าง-ลูกจ้าง และกลุ่มบัตรสีชมพู มียอดมาดำเนินการกว่า 5 แสนคน แต่ตอนนี้ยังเหลือ 1.1 ล้านคน (อ่านข่าวต่อได้ที่: https://www.thairath.co.th/content/1232032)

วันนี้วันที่ 30 มีนาคมและเป็นวันทำงานวันสุดท้ายของเดือนนี้แล้ว อย่างไรเสียก็คงทำไม่ทันแน่ๆ จึงน่าสนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับแรงงานต่างด้าวที่จดทะเบียน-ขออนุญาตไม่ทัน

ที่น่าสนใจมากไปกว่านั้น ก็คือ จะเกิดอะไรขึ้นกับการอาศัยแรงงานต่างด้าวทั้งระบบ ซึ่งมีการดำเนินการมาระยะหนึ่งแล้วอย่างลุกลี้ลุกลนและสับสนอลหม่านมาตลอด เริ่มจากการออก  ... ซึ่งเป็นการออกกฎหมายอย่างเร่งด่วน ประกาศแล้วก็มีผลบังคับใช้ได้เลย ซึ่งน่าจะมีการเตรียมการล่วงหน้ามาอย่างดีแล้ว แต่ก็เปล่า พอประกาศ ...ออกมาก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่ไปหมด จนต้องมีการใช้คำสั่งคสช.ออกมาแก้พ...ในทางผ่อนผันกฎระเบียบมาครั้งหนึ่งแล้ว ต่อมาก็มีการแก้ไขอีก แต่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังพบปัญหาของระบบที่ใช้ดูแลแรงงานต่างด้าวอย่างมากมาตลอด 

ผมเคยเสนอความเห็นไว้แล้วว่า ระบบที่ใช้ในการดูแลแรงงานต่างด้าว ตามที่ได้มีการออกพ... มานั้นเป็นระบบที่มุ่งหากินเอากับแรงงานต่างด้าวและสร้างปัญหาแก่นายจ้างมากกว่าที่จะเอื้ออำนวยให้เกิดการอาศัยแรงงานต่างด้าวอย่างเป็นธรรมกับเขา และจะเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจหรือเศรษฐกิจของประเทศ หรือแม้แต่การช่วยแก้ปัญหาของครัวเรือนต่างๆ ระบบนี้ให้อำนาจกรมการจัดหางานอย่างล้นเหลือและเน้นบทบาทของบริษัทจัดหางานที่ทั้งสองส่วนนี้จะถ้อยทีถ้อยอาศัยกันในการหาประโยชน์จากการจ้างแรงงานต่างด้าว ประโยชน์ที่ได้นี้ โดยหลักๆจะตกกับ 3 ฝ่าย คือ รัฐ บริษัทจัดหางานและเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจใช้ดุลพินิจ

พูดอีกแบบ ก็คือ แทนที่จะวางระบบในการดูแลแรงงานต่างด้าวให้ธุรกิจเดินได้ เศรษฐกิจเติบโตและทุกฝ่ายได้รับประโยชน์อย่างเป็นธรรม แต่กลับทำกันเสียจนเดือดร้อนไปตามๆกัน ธุรกิจก็เดินไม่ได้และเศรษฐกิจของประเทศก็เสียหาย หยุดชะงัก

เมื่อระบบถูกวางไว้อย่างนี้แล้ว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่จะพบปัญหาความยุ่งยาก ล่าช้า และค่าใช้จ่ายที่สูง สิ้นเปลือง กับสภาพที่แรงงานต่างด้าวทยอยกลับประเทศของตนระลอกแล้วระลอกเล่า ทั้งๆที่ประเทศไทยก็ยังขาดแคลนและมีความจำเป็นต่องอาศัยแรงงานต่างด้าวอีกมาก

ขณะนี้ ผมไม่มีข้อเสนออะไรในรายละเอียด เพราะเข้าใจว่าเรื่องนี้ต้องรื้อใหม่ทั้งระบบครับ


_________

วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2561

"นพดล" เสนอ ยกเลิกคำสั่ง คสช. ปลดล็อคพรรคการเมือง


นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และแกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า “ขณะนี้ทุกพรรคการเมืองได้เห็นปัญหาที่เกิดจากคำสั่ง คสช. ที่ 53/60 แล้ว ทั่วโลกคงประหลาดใจในเรื่องที่พรรคการเมืองไทยต้องมาถกเถียงและขอความชัดเจนในขั้นตอนการปฏิบัติทางธุรการต่างๆ ซึ่งไม่มีใครทราบแนวปฏิบัติที่ชัดเจน และถ้าปฏิบัติไม่ถูกต้อง อาจถูกยุบพรรคได้ ไม่ต่างอะไรกับหลุมทรายดูด เช่น คำถามว่ายืนยันสมาชิกออนไลน์ได้ไหม ทำไมต้องเอาสำเนาบัตรประชาชน แทนที่พรรคการเมืองจะไปใช้เวลาคิดค้นนโยบายมาแข่งขันกันเพื่อแก้ปัญหาให้ประชาชนและหาทางออกให้ประเทศ แต่ต้องเสียเวลาง่วนกับงานธุรการและเงื่อนไขต่างๆตามคำสั่ง 53/60 ซึ่งยากที่จะหาเหตุผลมาสนับสนุน บ้านเมืองเรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร? นี่หรือไทยแลนด์ 4.0”

นายนพดล กล่าวต่อไปว่า “ผมจึงเรียกร้องให้ผู้มีอำนาจได้ตระหนักถึงภาระความยุ่งยากที่ไม่ได้ช่วยให้ประเทศก้าวหน้า และหาทางแก้ไขพาประเทศออกจากสถานการณ์เช่นนี้ เมื่อกลัดกระดุมผิดเม็ดก็กลัดใหม่ได้ คนที่กล้าแก้ไขคือผู้ที่เข้มแข็ง ประเทศมีทางออกที่ดีกว่านี้ คนไทยมีปัญญาพอที่จะเห็นปัญหาและหาทางออกได้ ผมจึงเสนอให้ คสช. 1. ยกเลิกข้อห้ามพรรคการเมืองทำกิจกรรม และปลดล็อคทางการเมือง 2. ยกเลิกข้อห้ามการชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คน 3. ยกเลิกคำสั่ง คสช. ที่ 53/60 เช่น การยุบสาขาพรรค เงื่อนไขการให้สมาชิกพรรคการเมืองยืนยันความเป็นสมาชิก และเงื่อนไขหยุมหยิมต่างๆ เพราะพรรคการเมืองควรเอาเวลาไปทำอะไรที่สำคัญและเป็นประโยชน์ต่อประเทศ เช่น การทำนโยบาย การปฏิรูปพรรค มากกว่าจะมานั่งถ่ายเอกสารสำเนาบัตรประชาชนที่ต้องใช้ในการยืนยันสมาชิก”

สถาบันศึกษาการพัฒนาประชาธิปไตย-คอนราดฯ เสวนา: นโยบายในมุมมองคนรุ่นใหม่


สถาบันศึกษาการพัฒนาประชาธิปไตย (iDS) ร่วมกับ มูลนิธิคอนราด อาเดนาวร์ มูลนิธิจากสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ให้การสนับสนุนและความร่วมมือระหว่างประเทศทางด้านต่างๆ จัดเสวนาวิชาการ “The issues and paths to reformation: Young generation’s perspective” โดยมี ผศ. ร.ต.อ. ดร.วิเชียร ตันศิริคงคล เป็นผู้ดำเนินรายการ พร้อมด้วยนักวิชาการ นิสิต นักศึกษา และประชาชนที่สนใจเข้าร่วมงานเป็นจำนวนมาก ณ โรงแรม เดอะเซส บางแสน จังหวัดชลบุรี


ดร.ประเสริฐ พัฒนผลไพบูลย์ นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ ในฐานะ ตัวแทนสถาบันฯและมูลนิธิฯ กล่าวเปิดงานเสวนาวิชาการ ว่า

"นโยบายในมุมมองแนวคิดของคนรุ่นใหม่มีความสำคัญ ในฐานะที่จะช่วยขจัดข้อจำกัดหรืออุปสรรคต่างๆ ในการยกระดับมาตรฐานคุณภาพชีวิต และการเติบโตของคนรุ่นใหม่เอง ผมเชื่อว่าคนรุ่นใหม่ มีศักยภาพในการชี้ปัญหาว่าเราเจอปัญหาอะไรอยู่ จะแก้ไขอย่างไร แล้วเราอยากจะพัฒนาอะไร รวมถึงอยากจะให้ทิศทางของประเทศเป็นอย่างไร

อยากให้คนรุ่นใหม่ได้เสนอแนวคิดของตนเอง ซึ่งเป็นวิธีการที่เราจะแลกเปลี่ยนกันเพื่อให้แนวคิดมีความรอบด้านยิ่งขึ้น แนวคิดของคนรุ่นใหม่เป็นพลังที่จะทำให้ประเทศให้เจริญก้าวหน้าครับ"
























วันพุธที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2561

“วัฒนา” ติงรัฐเลื่อนเลือกตั้ง กระทบความเชื่อมั่น


นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

แล้วเจอกัน

ผมสนับสนุนการเรียกร้องของกลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตย ที่เรียกร้องให้มีการเลือกตั้งภายในเดือนพฤศจิกายน 2561 ตามโรดแมปเดิมที่พลเอกประยุทธ์ได้สัญญากับประชาคมโลกไว้เพราะมีการเลื่อนมาแล้วหลายครั้ง อีกทั้งการดำรงอยู่ของรัฐบาล คสช. ยิ่งนานเท่าไรก็ยิ่งสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจและหลักนิติธรรมของประเทศมากขึ้นเท่านั้น ส่วนการเรียกร้องให้ยุบ คสช. เปลี่ยนเป็นรัฐบาลรักษาการ ก็เกิดจากพฤติกรรมของรัฐบาลและ คสช. ที่เคยทำไว้กับประชาชนในช่วงการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะเป็นการปิดกั้นฝ่ายที่เห็นต่างรวมถึงการใช้อำนาจจับกุมคุมขังคนที่คัดค้านร่างรัฐธรรมนูญ หากให้ คสช. อยู่ต่อย่อมไม่มีหลักประกันว่าจะไม่มีการใช้อำนาจแบบเดิมอันจะทำให้การเลือกตั้งไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม การเรียกร้องให้ยุบ คสช. จึงชอบด้วยเหตุผลทุกประการ

สำหรับข้ออ้างที่พลเอกประยุทธ์ใช้มาตลอดเพื่อถ่วงการเลือกตั้งคือความวุ่นวาย”  ก็เป็นวาทกรรมซ้ำซากแบบแผ่นเสียงตกร่อง เพราะการแสดงออกทางความคิดไม่ถือเป็นความวุ่นวายและความจริงก็ได้ปรากฏแล้วว่าความวุ่นวายที่เกิดขึ้นมาจากการไม่ยอมรับกติกาของคนบางกลุ่มบางพวก

วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2561

"เพื่อไทย" ชี้ปัจจัยความเชื่อมั่นลด "รัฐทุจริต-เลื่อนเลือกตั้ง-เศรษฐกิจแย่"


นายชวลิต วิชยสุทธิ์ อดีตรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ให้ความเห็นกรณี นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การให้ข่าวเรื่องการทุจริต คอรัปชั่น อย่างมากในขณะนี้จะส่งผลให้นักลงทุนหนีหมด นั้น

นายชวลิต กล่าวว่า ปัจจัยที่ทำให้ "ความเชื่อมั่น" ถดถอยนั้น มีหลายปัจจัย และเป็นประเด็นในรัฐบาลนี้มาอย่างต่อเนื่อง ได้แก่
     
1. "การทุจริต คอรัปชั่น" ต้องยอมรับความจริงกันว่า รัฐบาลที่ไม่ได้มาตามระบอบประชาธิปไตยตรวจสอบไม่ได้ หรือตรวจสอบได้ยาก เห็นได้จากเกือบ 4 ปีที่ผ่านมา  สนช.ไม่เคยตรวจสอบรัฐบาลเลย ล่าสุดงบประมาณเพิ่มเติมปี 61 ก็ผ่าน 3 วาระรวดในเวลาอันรวดเร็ว
       
นอกจากนี้การตรวจสอบการทุจริตในเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องกับฝ่ายบริหารในรัฐบาลนี้ไม่มีความคืบหน้า เช่น โครงการขุดลอกคู คลองของ อผศ.,การตรวจสอบปมนาฬิกาหรู,โครงการจัดซื้อเรือเหาะ, โครงการ GT 200 ไม้ล้างป่าช้าลวงโลก และกรณีหัวหน้าหน่วยนำงบหลวงโอนเข้าบัญชีคนใกล้ชิด  เป็นต้น
       
2. "การเลื่อนการเลือกตั้ง" หลายครั้ง จนประชาชนและชาวโลกไม่เชื่อถือคำพูด
       
3. "เศรษฐกิจฐานรากย่ำแย่" แม้จะทุ่มเทงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจมหาศาล ที่สำคัญในห้วงเวลาเกือบ 4 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้ตั้งงบขาดดุลสูงเป็นประวัติการณ์ เกือบ 2 ล้านล้านบาท แต่ผลลัพท์ที่กลับมาปรากฎว่า ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนยิ่งห่างมากขึ้น โดยเฉพาะเศรษฐกิจฐานรากย่ำแย่
       
4. "การเมือง การปกครองไม่ปกติ" โดยใช้เวลาในระยะเปลี่ยนผ่านนานเกินเหตุ ตลอดจนใช้อำนาจพิเศษจนความเชื่อมั่นถดถอย
       
ในปัจจัยทั้งหมดที่ทำให้ความเชื่อมั่นถดถอย นั้น ตนเห็นว่าปัจจัยที่สำคัญที่สุด คือ "การเมือง การปกครองที่ไม่ปกติ"
         
ตัวอย่างที่กระทบความเชื่อมั่นรุนแรงสูงสุด คือ หลังจากรัฐธรรมนูญมีผลบังคับใช้ เมื่อ 6 เม.ย. 2560 มีการใช้ ม.44 ทำให้ พรป. พรรคการเมือง ซึ่งเป็นกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญไม่สามารถเดินหน้าไปได้ ทั้ง ๆ ที่กฎหมายดังกล่าวผ่านกระบวนการจนประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว
         
ล่าสุดมีการใช้ ม.44 กับ กกต.ท่านหนึ่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งได้รับการวิพากษ์ วิจารณ์จากหลายภาคส่วน ทั้งนักวิชาการ นักกฎหมาย พรรคการเมือง และประชาชนทั่วไป เพราะ กกต.เป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ได้รับการสรรหามาตามรัฐธรรมนูญ ผ่านกระบวนการถูกต้องจนนำขึ้นทูลเกล้า ฯ และได้รับโปรดเกล้าแต่งตั้ง ประกาศในราชกิจจานุเบกษา การใช้อำนาจบริหารตาม ม.44 กับองค์กรอิสระซึ่งมีหน้าที่บริหารจัดการเลือกตั้ง จึงได้รับการวิพากษ์ วิจารณ์อย่างมากว่า การบริหารจัดการเลือกตั้งจะได้รับความเชื่อถือจากประชาชนและชาวโลกได้อย่างไรเมื่อรัฐบาลและ คสช.สามารถแทรกแซงองค์กรอิสระได้ หากเห็นว่าบุคคลในองค์กรอิสระกระทำผิดกฎหมาย หรือผิดจรรยาบรรณ ก็มีกระบวนการในการตรวจสอบได้ตามกฎหมายอยู่แล้ว
       
นอกจากนี้ จะเชื่อมั่นได้อย่างไรว่า องค์กรอิสระอื่น ๆ เช่น ปปช. จะไม่ถูกรัฐบาลหรือ คสช. แทรกแซง เพราะมีตัวอย่างให้เห็นจากการใช้ ม.44 ให้ กกต.หยุดปฏิบัติหน้าที่
       
นายชวลิต กล่าวในที่สุดว่า ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมาข้างต้นโดยสังเขป คือ ความไม่เชื่อมั่นที่มีต่อระบบการเมือง การปกครอง ที่ไม่ปกติ ซึ่งไม่ได้เกิดจากการกระทำของภาคส่วนอื่นเลย
       
อย่างไรก็ตาม ตนยังไม่เห็นว่าจะหาทางออกจากความไม่ปกติดังกล่าวได้อย่างไร เพราะยังมีการใช้ ม.44 เข้ามาแก้ไขกระบวนการปกติที่มีกฎหมายปกติบังคับใช้อยู่ นอกจากเกิดปรากฎการณ์ฟ้าผ่าโดยฝนไม่ได้ตั้งเค้าทำให้ คสช.และรัฐบาล คืนอำนาจให้กับประชาชน ลำพังถ้าปล่อยให้เหตุการณ์ผ่านไปเช่นนี้ประชาชนจะลำบากจนทุกข์เข็ญและประเทศชาติจะขาดความเชื่อมั่นไปเรื่อย ๆ จนติดลบ ซึ่งตนคิดว่าวิญญูชนทั่วไปหวังที่จะเห็นประเทศไทยกลับคืนสู่ปกติโดยเร็ว

"อนุสรณ์" ถาม ระหว่าง กกต.-คสช. ใครทำสังคมสับสน?


นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี การใช้อำนาจมาตรา 44 ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ปลดนายสมชัย ศรีสุทธิยากร พ้นจากกรรมการ กกต. ว่า ผลจากคำสั่งนี้ ทำให้รัฐบาลคสช.ถูกมองว่าใช้อำนาจเกินกว่าเหตุโดยไม่จำเป็นหรือไม่ เพราะกกต. ชุดปัจจุบันเป็นเพียงชุดรักษาการ ไม่จำเป็นต้องสั่งให้ยุติปฏิบัติหน้าที่ ก็มีอันต้องยุติในเร็วๆนี้อยู่แล้ว แม้สนช.จะลงมติคว่ำ 7 ว่าที่ กกต. ซึ่งผ่านการสรรหามาแล้ว แต่อีกไม่นานก็จะได้ว่าที่กกต.ชุดใหม่มาทำหน้าที่แทนชุดเก่าอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องไปรีบปลดนายสมชัยในเวลานี้ จนถูกมองว่าใช้อำนาจที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาดพร่ำเพรื่อเกินไปหรือไม่? ปมที่ว่านายสมชัย ทำให้เกิดความสับสนต่อโรดแมปเลือกตั้ง ประชาชนสงสัยว่าระหว่างนายสมชัย กับ รัฐบาลคสช.ใครพูดแล้วโรดแมปเลือกตั้งสับสนมากกว่ากัน? โดยเฉพาะฐานความคิดเรื่องกฎหมายระหว่างนายสมชัย กับทีมกฎหมายรัฐบาลคสช.ก็ถูกตั้งคำถามว่า ของใครวิพากษ์วิจารณ์อยู่บนพื้นฐานกฎหมายหรืออยู่บนอารมณ์ความรู้สึก รัฐบาลคสช.ต้องระมัดระวังการใช้อำนาจนี้ เพราะมาตรา 44 เป็นเหมือนอำนาจพิเศษของฝ่ายบริหาร แต่กลับไปปลดกรรมการในองค์กรอิสระได้ ไม่เช่นนั้น จะมีคำถามตามมาว่า องค์กรตรวจสอบที่เป็นองค์กรอิสระที่มีคำถามถึงมาตรฐานการตรวจสอบทุจริตคอรัปชั่น ล่าช้า 2 มาตรฐานหรือไม่นั้น รัฐบาลคสช.ต้องสั่งปลดด้วยหรือไม่? หรือทุกภาคส่วนต้องลดราวาศอกให้บางเรื่อง ดุดันแข็งกร้าวในบางเรื่องหรือไม่? รัฐบาล คสช. ควรนำปัญหานี้ไปทบทวนว่า ทำอย่างไรจะให้เกิดความเชื่อมั่นว่าองค์กรอิสระสามารถทำงานได้อย่างอิสระ ไร้ใบสั่ง ไร้การแทรกแซง ไม่มีการล้วงลูก ปล่อยให้กระบวนการและความเป็นมืออาชีพ ดำเนินไปตามกระบวนการ อย่างแท้จริง


"ณัฐวุฒิ" ขอมาตรฐานเดียว-เทียบคดี นปช.-กปปส.


นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ พร้อมด้วย นายณรงค์ศักดิ์ มณี นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท นายสมชาย ไพบูลย์ นายพายัพ ปั้นเกตุ และนายแพทย์เหวง โตจิราการ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. เดินทางมาที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เพื่อนำตัวส่งฟ้อง ต่อศาลหลังอัยการมีความเห็นสมควรสั่งฟ้อง 15 แกนนำ นปช. ในคดีการชุมนุมปี 2552 ที่บริเวณสะพานชมัยมรุเชฐ หน้าทำเนียบรัฐบาล โดยนายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ในวันนี้ไม่มีความกังวลใด ๆ กับการที่อัยการสั่งฟ้อง เพราะมั่นใจในความบริสุทธิ์ ข้อเท็จจริง และพยานหลักฐานที่มี ซึ่งการที่อัยการสั่งฟ้องในครั้งนี้เป็นเรื่องที่ตนสงสัย เนื่องจากตนถูกดำเนินคดีทั้งในกรุงเทพและพัทยาไปแล้วจากคดีการชุมชนุมในปี 2552 และได้ทำเรื่องขอความเป็นธรรม ไปยังอัยการสูงสุดว่าเป็นการฟ้องซ้ำซ้อนหรือไม่ ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ในกระบวนการพิจารณา และยังไม่มีข้อสรุปจากอัยการสูงสุด ส่วนในวันนี้ที่จะถูกสั่งฟ้องนั้น ตนและแกนนำได้เตรียมหลักทรัพย์เป็นเงินสดคนละ 2 แสนบาท เพื่อยื่นขอประกันตัว และต่อสู้ตามกระบวนการต่อไป และยืนยันว่าทุกคดีความ พร้อมที่ต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรมจนถึงที่สุด ขณะเดียวกันก็จะดำเนินการร้องขอความเป็นธรรมด้วย เพราะการฟ้องคดีซ้ำซ้อนเช่นนี้ เป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่?


ทั้งนี้ ตนอยากให้บรรทัดฐานของกรณีนี้ ใช้เทียบเคียงกับคดีอื่นๆ ของกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมือง เช่น กปปส. ที่ศาลชั้นต้นได้พิพากษาจำคุกจำเลยในคดีขัดขวางการเลือกตั้งที่ จ.พัทลุงไปแล้ว ก็อยากให้มีการดำเนินคดีกับแกนนำ หรือผู้ร่วมสนับสนุนในส่วนกลาง ที่มีการเชิญชวนปลุกระดมให้มีการขัดขวางการเลือกตั้งด้วย รวมไปถึงยังมีการก่อเหตุใช้อาวุธปืน และอาวุธสงคราม และปรากฎภาพใบหน้าชายฉกรรจ์ในกลุ่ม กปปส. ถืออาวุธอย่างชัดเจน แต่ยังไม่มีการดำเนินคดีใดๆ จึงอยากเห็นกระบวนการยุติธรรมที่มีมาตรฐานเดียวกัน ชัดเจน ตรงไปตรงมา และยืนยันว่าตนไม่ได้มีความคิดที่จะตามหาเรื่องหรือคิดพยาบาทใดๆ กับกลุ่มผู้ชุมนุมทางการเมืองอื่นๆ เพียงแต่อยากเห็นกระบวนการยุติธรรมไม่เลือกฝ่าย และเท่าเทียมกันในทุกๆคดี