วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

"ชัชชาติ" ห่วง พรบ.ไซเบอร์ เสี่ยงละเมิดสิทธิประชาชน กระทบความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2562 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) มีมติ 133 ต่อ 0 เห็นชอบให้ ร่าง พ.ร.บ.ความมั่นคงไซเบอร์ ประกาศใช้เป็นกฎหมายอย่างเป็นทางการ ว่า กฎหมายนี้มีความสำคัญกับประชาชนทุกคน ที่ขณะนี้คนจำนวนมากอยู่ในโลกไซเบอร์  โดยเป็นกฎหมายที่มีกฎระเบียบที่ค่อนข้างมาก มีคณะกรรมการหลายชุดและโครงสร้างที่ซับซ้อน รวมไปถึงกำหนดความรุนแรงจากวิกฤติต่างๆ แต่ที่สำคัญก็คือการที่สามารถเข้าถึงข้อมูลของบุคคลธรรมดาได้ และบางครั้งสามารถเข้าถึงได้ก่อนที่จะมีคำสั่งศาล ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อน จึงควรที่จะพิจารณาให้รอบคอบ โดยเฉพาะเรื่องสิทธิเสรีภาพประชาชน ที่อาจกระทบไปถึงความมั่นใจของผู้ประกอบการ ซึ่งจะส่งผลต่อการลงทุนและการขยายตัวของธุรกิจต่างๆ ด้วย กรณีนี้น่าตกใจเป็นอย่างยิ่งคือการที่ สนช. ลงมติผ่านแบบ 133 ต่อ 0 ซึ่งมีใครคัดค้านเลย จึงไม่แน่ใจว่าได้พิจารณากันละเอียดถี่ถ้วนมากน้อยแค่ไหน ซึ่งก็เป็นหน้าที่ของประชาชนที่จะต้องมาช่วยกันวิเคราะห์และจับตา



"ชัชชาติ" ลงพื้นที่ชลบุรี ชาวบ้านร้องเศรษฐกิจไม่ดี – สารพัดปัญหา ทำอาชีพประมงสะดุด


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2562 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรคเพื่อไทย ลงพื้นที่จังหวัดชลบุรี เพื่อช่วย นายจำโนทย์ ปล้องอุดม ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 เบอร์ 10 นายสรายุทธ วงษ์แสงทอง ผู้สมัคร ส.ส.เขต 2 เบอร์ 4 นางสาวรินทิรา วัฒนวงษ์ภิญโญ เขต 3 เบอร์ 3 และนายจิรวุฒิ สิงห์โตทอง เขต 4 เบอร์ 12 โดยนายชัชชาติ ได้ลงพื้นที่พบปะประชาชนบริเวณตลาดประมงพื้นบ้านอ่างศิลา มีพ่อค้าแม่ค้าและประชาชนที่มาจับจ่ายใช้สอยให้การต้อนรับจำนวนมาก ซึ่งพ่อค้าส่วนหนึ่งได้สะท้อนถึงปัญหาแรงงานที่ใช้ในกิจการประมงขาดแคลนจากปัญหาต่างๆ รวมไปถึงขั้นตอนที่ยุ่งยากในการขออนุญาตและขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าว 

นายชัชชาติ กล่าวว่า "จากการลงพื้นที่คุยกับพี่น้องประชาชนพบว่า ปัญหาปากท้องยังเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากเศรษฐกิจไม่ดี โดยได้มีโอกาสคุยกับชาวบ้านคนหนึ่งบอกว่าเคยทำอาชีพประมงแต่ต้องจำใจขายเรือไป เพราะได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจ รวมไปถึงปัญหาด้านแรงงานที่การจัดหาแรงงานยากมากขึ้น แต่ก็พบว่าประชาชนยังมีความเชื่อมั่นในพรรคเพื่อไทยที่จะมาแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจ"















วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

"ทักษิณ" แนะ เปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรอยู่ที่วิธีคิด

ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้


การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรทั้งหลายหรือการปรับเปลี่ยนวิธีคิดของคน ผมอยากจะย้ำว่าวิธีคิดที่สำคัญคือ ต้องคิดเป็นวิทยาศาสตร์ ต้องมีคำตอบทางวิทยาศาสตร์ นั่นคือจะต้องแสวงหาคำตอบที่เป็นวิทยาศาสตร์ตลอดเวลานะครับ เค้าเรียกว่า “need scientific answer”

สวัสดีครับพี่น้องที่เคารพรักครับ วันนี้พบกันอีกครั้งหนึ่ง วันนี้ผมอยากจะพูดเรื่อง วิธีคิด เพราะวิธีคิดมันเป็นหัวใจสำคัญของเราที่จะทำให้เราก้าวหน้าหรือผิดพลาดแล้วมันไม่ได้เกิดเฉพาะตัวเรา มันจะมีผลต่อครอบครัวเราด้วย เพราะฉะนั้นก็เลยอยากพูดเรื่องวิธีคิด แต่ก่อนพูดถึงวิธีคิดก็เริ่มต้นด้วยวัฒนธรรมองค์กร
วัฒนธรรมองค์กรมันเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนองค์กรให้สำเร็จหรือไม่สำเร็จ ถ้าวัฒนธรรมนั้นถูกต้องต่อยุคสมัย ต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น ก็จะทำให้องค์กรนั้นขับเคลื่อน ไปได้ดี แต่ถ้าหากว่าวัฒนธรรมองค์กรนั้นมันไม่ตรงไม่ผิดมันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง  กับยุคสมัยก็ต้องเปลี่ยนแปลง อย่างเช่น วัฒนธรรมขององค์กรที่ชอบเปลี่ยนแปลงตามยุคตามสมัยให้ทันต่อเทคโนโลยีก็จะไม่ตกโลก ก็จะสามารถที่จะพัฒนาตัวเองได้ตลอดเวลา บางองค์กรมีวัฒนธรรมที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงก็จะทำให้ล้าหลัง ถดถอยนะครับ วัฒนธรรมองค์กรมักจะถ่ายทอดโดยคนเป็นผู้นำองค์กรเป็นหลัก ถ้าผู้นำองค์กรถ่ายทอดสิ่งที่ดีให้กับองค์กร สิ่งเหล่านั้นมันก็จะติดอยู่ อย่างสมัยผมตั้งตัวใหม่ๆ บริษัทผมชินคอร์ปตอนนั้น ตอนนี้ขายไปแล้ว แล้วก็เปลี่ยนชื่อเป็นอินทัชแล้วนะครับไม่เกี่ยวกับผมแล้ว แต่ว่าวัฒนธรรมที่ผมเคยทิ้งไว้เนี่ยยังอยู่ยกตัวอย่างเช่น ผมเนี่ยชอบพาผู้บริหารไปดูนิทรรศการเพื่อจะได้เพิ่มพูนความรู้และทันสมัยในวิชาชีพของเราเอง ในสิ่งที่เราทำมาหากินเองว่างั้นเถอะ ผมจะไปดูนิทรรศการเกี่ยวกับ Telecom ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นเจนีวา สิงคโปร์ ฮ่องกง เยอรมันหรือบาร์เซโลน่า ผมไปหมด เพื่ออยากจะรู้ว่าอะไรไปถึงไหนแล้ว แนวโน้มมันจะเป็นยังไง เขาจะเอาของใหม่ๆ มาโชว์ ทำให้เรารู้ว่า Concept ใหม่ๆ กำลังจะเกิดขึ้นอะไรขึ้น แล้วเราจะไปตามเขาไหม หรือว่าเราคิดว่าเราไม่ไป เราจะไป อีกทางนึง เราจะได้เห็นชัด อันนี้ก็เป็นวัฒนธรรมอันนึงที่เราพยายามทำไว้
อีกอันนึงเวลาผมไปเดินทางไปเนี่ย ผมไปเมืองนอกกลับมาตอนเช้ามืด กลับจากยุโรปตีห้ากว่า 6 โมงเช้า ผมเข้าที่ทำงานอาบน้ำทำงานเลย ทำงานทั้งวันเลยตอนนี้ผู้บริหารทุกคนก็เป็นอย่างนั้นครับ เพราะว่าเมื่อผมเนี่ยเป็นทั้งเจ้าของ เป็นทั้งผู้บริหาร ยังขยันอย่างนั้นทุกคนก็เลยต้องขยันตาม ก็เป็นวัฒนธรรมที่ผมเชื่อว่าวันนี้ทุกคนก็ยังทำอย่างนั้น
วัฒนธรรมองค์กรเนี่ยถ้ามันไม่ดีเนี่ยต้องเปลี่ยนครับ ถ้าไม่เปลี่ยนมันตามไม่ทันเหมือนที่ Jack Welch ที่เคยเป็นประธานของบริษัท GE ซึ่งตอนนั้นรุ่งเรืองมาก แต่ตอนนี้ GE เจ๊งไปหลายตัวแล้วเหลือนิดหน่อย ตอนนั้น Jack Welch เนี่ยก็สอนตลอดเวลาว่า คุณต้องเปลี่ยนก่อนที่จะถูกบังคับให้เปลี่ยน ถ้าเราเปลี่ยนแปลงช้ามันก็หมายความว่าเหมือนกับคลื่นมันมาแล้วเนี่ย เรายังไม่เตรียมตัวที่จะว่ายไป   ตามคลื่นให้ได้เนี่ย คลื่นมันก็พัดเราตกทะเลจมน้ำไปนะครับ เพราะฉะนั้นเนี่ยถ้าเราสามารถเปลี่ยนแปลง เราสามารถรู้ว่าจะเปลี่ยนยังไงเนี่ย เราวางแผนการเปลี่ยนแปลงได้ แต่ถ้าเราไม่ทันได้เปลี่ยน แต่เหตุการณ์มันบังคับให้เราเปลี่ยนยกตัวอย่างที่เกิดขึ้นในปี 1997 ต้นต้มยำกุ้งเรานี่แหละ คือเราไม่ยอมปรับค่าเงิน  ให้มันเป็นความเป็นจริง เรายืนค่าเงินแข็งอยู่ ผลสุดท้ายถูกโจมตี พังเลยตอนนั้น เป็นหนี้เป็นสินต้องไปกู้หนี้ IMF มาเป็นหลายแสนล้านบาท นั่นคือสิ่งที่เขาเรียกว่าต้องเปลี่ยนก่อนถูกบังคับให้เปลี่ยน ถ้าเราไม่ได้เปลี่ยนก็ถูกเขากระแทกต้องเปลี่ยนเนี่ยพังเลย นี่คือสิ่งที่อยากจะบอกว่านักธุรกิจทุกคนที่ตั้งบริษัทใหม่ๆ ขึ้นมาเนี่ย ต้องเริ่มสร้างวัฒนธรรมที่ถูกต้อง วัฒนธรรมที่ถูกต้องก็คือวัฒนธรรมของการใฝ่รู้นะครับขยันที่จะเรียนรู้ แล้วก็ปรับปรุงตัวเองตลอดเวลา แล้วก็ต้องให้ทุกคน    มีความสามัคคีปรองดองกัน ช่วยกันทำงานเป็นทีมให้ได้ นั่นคือสิ่งที่ต้องเริ่มตั้งแต่บริษัทยังเล็กๆ ถ้าบริษัทใหญ่แล้วเนี่ยมันแก้ยากแล้ว ต้องพยายามเริ่มสร้างโดยเฉพาะเถ้าแก่ใหม่ทั้งหลายเนี่ย ต้องเริ่มสร้างวัฒนธรรมที่ดีไว้ เพราะว่าลูกน้องจะได้เลียนแบบ ทำตาม แล้วก็จะกลายเป็นองค์กรที่มีวัฒนธรรมที่ดีงามและพร้อมปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลานะครับ
การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรทั้งหลายเนี่ย หรือการปรับเปลี่ยนวิธีคิดของคนเนี่ย ผมอยากจะย้ำว่าวิธีคิดที่สำคัญคือ ต้องคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์ ต้องมีคำตอบทางวิทยาศาสตร์ นั่นก็คือจะต้องแสวงหาคำตอบที่เป็นวิทยาศาสตร์ตลอดเวลา นะครับ เค้าเรียกว่าเรา need scientific answer การแสวงหาคำตอบที่เป็นวิทยาศาสตร์เนี่ยก็เกิดจากอะไรบ้าง 1.เกิดจากการที่เราอ่านตำราที่ถูกต้อง แล้วก็ดูผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่เราทำ หรือทำวิจัยซะเองเลย อย่างตอนนั้น   ผมเนี่ยลงทุนทำธุรกิจมีคนมาเสนอผม ธุรกิจผมอันนี้ดีมากนะครับมาลงทุนเถอะครับ ผมสงสัยไม่แน่ใจว่ะ ผมยอมเสียตังค์นะล้านห้าแสนบาทเนี่ยไปจ้างทำ Research เลยว่าถ้าธุรกิจเป็นอย่างนี้ สินค้าเป็นอย่างนี้เนี่ย มีประชาชนสนใจจะ  ซื้อไหม แล้วกำลังซื้อในราคาขนาดนี้เป็นเท่าไหร่ๆ ก็จ้างบริษัทมืออาชีพทำ     หมดไปล้าน 5 ล้าน 5 นี้ผมอาจจะทิ้งน้ำเลยก็ได้ถ้าผมไม่ลงทุน แต่ถ้าผมลงทุน  ผมมั่นใจได้เลยว่ามันไปได้ มันกำไร ไม่ขาดทุนแน่นอน เพราะฉะนั้นผมก็ยอมจ่ายล้าน 5 ไป แล้วผลสุดท้ายออกมา โอ้วมันดีเกินคาด ผมก็เลยลงทุน เนี่ยคือหลัก   วิธีคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์ อย่าไปคิดว่าชอบหรือไม่ชอบไม่ได้เลยนะครับ เดี๋ยวผมจะปิดท้ายว่า ถ้าบอกชอบไม่ชอบ แล้วมันมีผลยังไงนะครับ
เรื่องการพิสูจน์ความจริงเนี่ย มันมีตั้งแต่สมัยโบราณหลายร้อยปีพันปีแล้ว สมัยนักปราชญ์สมัยโบราณเขาก็บอกว่า อย่างสมมติแม้กระทั่งว่า เราจะกล่าวหาใครผิดไม่ผิดทางอาญาเนี่ย เขาใช้คำว่า Proof Beyond a Reasonable Doubt หมายถึงว่า ต้องพิสูจน์จนสิ้นกระแสความนั้น จนสิ้นสุด คือไม่มีความสงสัยแล้ว หมดความสงสัยแล้ว ถึงจะมาพิจารณาว่าผิดหรือไม่ผิดนะครับ เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่สามารถพิสูจน์ได้เนี่ย ก็ยังไม่ตัดสินใจ นั่นคือสิ่งที่หลักสมัยโบราณยังไม่มีวิทยาศาสตร์    แต่วันนี้วิทยาศาสตร์ชัดเจน ทำวิจัยก็ดีอะไรก็ดี เขาก็บอกว่าขอให้พิสูจน์แบบชนิดที่สิ้นกระแสความ หรือว่าเราจะวิทยาศาสตร์มาตอบ ก็ตอบให้ชัดเจนว่ามันเป็นอย่างนี้ๆๆ ตอนสมัยผมทำการเมืองก็เหมือนกัน ผมทำโพลทุกรอบ เพราะฉะนั้นผมจะไม่เดาว่า เห้ย..ถ้าเราไปถึงเนี่ย คนก็จะเชียร์ๆๆ เราก็นึกว่าดีหรือเปล่า เราไม่รู้ แต่ที่รู้แน่ๆ ก็ต้องทำโพลหรือทำวิจัยนะครับ อันนี้คือหลักที่ผมคิดมาตลอดว่า      ทุกอย่างต้องคำตอบทางวิทยาศาสตร์เท่านั้นนะครับ
อย่างแม้กระทั่ง Bill Gates เศรษฐีใหญ่เขายังชอบอ่านหนังสือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผมคิดว่าเขาเองเนี่ยเป็นต้นแบบอันหนึ่งที่ผมเองชอบในการเอาวิธีคิดของเขา เขามีหนังสือเล่มหนึ่งที่เค้าเขียนเองนะครับ Business@the Speed of Thought  เป็นหนังสือเก่าล่ะ คือเขาบอกว่ามันต้องมีระบบเครือข่ายทางดิจิตัล เพื่อให้คน    ในองค์กรได้ใส่ข้อมูล ในสมัยก่อนยังไม่มี Cloud Computing นะครับ เค้าก็ใช้วิธีการเก็บข้อมูลใน Server ก็ทุกบริษัทเขาก็แนะนำว่าต้องมีระบบเครือข่ายทาง Digital เพื่อให้ผู้ที่ทำงานสามารถที่จะสื่อสารข้อมูลถึงกันได้ แล้วก็ล้วงข้อมูลกลางของบริษัทในการตัดสินใจได้ เพื่อจะทำให้เราตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว คือด้วยความเร็ว คือคิดได้ปุ๊บก็กดปั๊บ ตัดสินใจได้ปั๊บเลย เพราะว่ามันมีข้อมูลพร้อม เพราะฉะนั้นการตัดสินใจทุกอย่างเนี่ยก็ต้องอาศัยระบบข้อมูลที่มีจำนวนถูกต้องมากพอ และรวดเร็วนะครับ นี่คือวิธีที่เขาสอน แล้ว Bill Gates ก็แนะนำหนังสือ    30 กว่าเล่ม แต่มีเล่มนึงนะครับ เป็นเล่มที่เขียนโดย Daniel Kahneman เป็นคนที่ได้รับรางวัล Nobel Prize หนังสือเก่านะครับ 2011 แต่ว่า Nobel Prize สาขาเศรษฐศาสตร์ เขาก็พูดถึงเรื่อง Thinking fast and slow หนังสือชื่อ Thinking fast and slow คือเขาก็จะบอกวิธีคิดแนวคิดว่า เวลาคิดเร็วเป็นยังไง คิดช้าเป็นยังไง และคิดโดยไม่มีอคติ คิดโดยวิเคราะห์วิจัยเป็นยังไง ก็เพื่อจะให้จิตวิทยา     ในการหัดคิดของคนนะครับ
อีกคนนึงที่เขียนหนังสือในเรื่องความคิดเนี่ย ก็มีคนแก่คนนึงนะครับเคยเจอผมตอนผมเป็นนายก Dr.Edward de Bono, Edward de Bono เนี่ยเขียนหนังสือเกี่ยวกับคิดทั้งนั้นเลย หนังสือเล่มแรกๆ ของเขาคือ Teach Yourself to Think คือสอนตัวเองให้หัดคิด คือบางทีเนี่ยเราไม่คิดไง เราอยู่กับเรื่องง่ายๆ เพราะฉะนั้นบางทีบางครั้งเนี่ย การเรียนรู้วิธีคิดเป็นเรื่องสำคัญ แม้กระทั่งอีกเล่มหนึ่งเค้าเขียนหนังสือเรื่อง Six Thinking Hats ก็คือว่า สมมุติว่าเราใส่หมวกสีฟ้าบ้าง สีขาวบ้างสีแดงบ้าง สีดำบ้าง สีเหลืองบ้าง สีเขียวบ้าง เพื่อเตือนให้ว่า direction เราคิดยังไง สมมุติว่าคิดเป็น creative ก็สมมติใส่สีเขียว บังคับให้เราคิดในเชิงสร้างสรรค์อย่างเดียว ใส่หมวกสีเหลือง ก็ลองคิดว่ามองโลกในแง่ดีอย่างเดียว ใส่หมวกนี้    ให้คิดในแง่ร้ายไว้ก่อน เราจะได้รู้ว่าคำตอบจริงๆ คืออะไร ถ้าคิดทุกอย่างออกมาในแง่ร้าย ในแง่ดี คิดในเชิงสร้างสรรค์ หรือว่าคิดในเชิงที่มีข้อมูล คิดในเชิงที่เป็นอารมณ์ อะไรพวกนี้ เขาก็จะสอนวิธีคิด พวกนี้มันเล็กๆ น้อยๆ มันทำให้เราได้พัฒนาวิธีคิดของเรานะครับ
ก็ตอนสมัยผมเป็นนายก ผมอ่านหนังสือเล่มนึง ชื่อ Blink ที่เขียนโดย Malcolm Gladwell นานแล้ว หนังสือเก่าแล้ว Blink เค้าบอกว่า คิดโดยไม่ต้องคิด Blink  แปลว่า กระพริบตาเนี่ย คิดโดยไม่ต้องคิด คือว่า มีอะไรเข้ามา ตัดสินใจได้ทันที แต่ว่าสิ่งเหล่านี้เกิดจากการสั่งสมประสบการณ์ ข้อมูล ความผิดถูก ล้มเหลว ความสำเร็จมานาน จนสามารถที่จะคิดอย่างนั้นได้ เช่นว่า คนที่จัดงานแต่งงานพวก Wedding planner ทั้งหลายเนี่ย เขาเห็นคู่บ่าวสาวมาร่วมงานกับเขาเนี่ย เช่นว่า มาเตรียมถ่ายพรีเวดดิ้งบ้าง ถ่ายรูปบ้าง มาเตรียม มาปรึกษาเรื่องงานตรงนั้นตรงนี้บ้าง เขาสามารถเดาได้เลยว่าคู่นี้จะไปรอดหรือไม่รอด เพราะประสบการณ์ที่เขาเห็นมาเยอะ เห็นมาแล้วว่าทะเลาะกัน มาถึงก็ทะเลาะกัน  ถ้าจะไปไม่รอด อะไรทำนองนี้ หรือไม่ก็นักเล่นของเก่า ไปเห็นของเก่าติดราคาหลายร้อยล้านบาท แต่เค้าเห็นปั๊บ เค้าบอกอันนี้ปลอม เขาบอกอย่างนั้นได้ยังไง ก็แสดงว่าต้องสั่งสมประสบการณ์และความรู้มาเยอะ เหมือนกับอดีตนายกของสิงคโปร์ชื่อท่านลีกวนยู ท่านอายุมากกว่าผม ท่านมาเยี่ยมผมตอนผมเป็นนายก ผมถามท่านว่า ทำไมท่านอายุเยอะแล้ว ท่านยังคมมาก ความรู้ยังแน่นอยู่เลย    ท่านอ่านหนังสือเยอะเหรอ ท่านบอกว่า หนังสืออ่านไม่ไหวหรอกมันเยอะ ท่านก็อาศัยว่าพูดคุยกับคน แต่หนังสือเนี่ยอ่านอยู่ แต่พูดคุยกับคน คนแต่ละคนที่มาหาเราเนี่ย เขามีประสบการณ์ในชีวิต ลองผิดลองถูกกับชีวิตเขามาเป็นสิบๆ ปี เพราะฉะนั้นเวลาเขาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเราเนี่ย ทำให้เราเรียนรู้ได้ บางมุมเราอาจจะมองไม่เห็น เค้ามองเห็น เช่นว่าเรามองว่าสถานการณ์บ้านเมืองของโลกตอนนี้เป็นอย่างนี้ ท่านมองยังไง เขาก็วิเคราะห์ในมุมของเค้า เราก็จะได้เข้าใจว่า เอ้อ..บางมุมเราไม่มี นะครับ สิ่งเหล่านี้มันเกิดประโยชน์
เราไปดูสิ่งที่มันเป็นสารคดี มันเป็นเรื่องนิยายที่เป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งมันเอาอนาคตมาเล่าให้ฟัง และสิ่งเหล่านี้มันเป็นจริงในอีก 10 ปีต่อมาก็เป็นจริงไปเรื่อยๆอย่างนี้น่าจะได้ประโยชน์กว่า นะครับ
เพราะฉะนั้นก็ ผมคิดว่าวิธีคิดหรือการพัฒนาวิธีคิดของคนไทยเราเนี่ยสำคัญ เพราะไม่งั้นจะเสียเปรียบนะครับ ถ้าคนไทยเราคิดเป็น เพราะระบบการเรียนการสอนเราเนี่ยมันสอนให้ท่องจำมานานเกินไป สุดท้ายมันไม่สร้างวิธีคิดให้กับเรา เพราะฉะนั้นวันนี้ถ้าอยากจะให้ลูกหลานเก่งในอนาคตข้างหน้า หรือลูกหลานปัจจุบันเนี่ยมันไม่สายเกินไปหรอกครับ อ่านหนังสือ มีเหตุมีผลกับวิทยาศาสตร์แล้วเราจะได้เชื่อในสิ่งที่มันเป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่เชื่อเพราะเขาบอกมา เหมือนที่พระพุทธเจ้า ปิดท้ายพระพุทธเจ้าบอกว่า กาลามสูตร 10 นะครับ กาลามสูตร 10 ของพระพุทธเจ้าเนี่ย ท่านสอนไว้ว่า อย่าเชื่อเพราะว่าคนที่พูดเป็นครูบาอาจารย์ เรา คือฟังได้ทุกคน แต่ว่าอย่าเพิ่งเชื่อจนกว่าเราได้คำตอบที่เป็นวิทยาศาสตร์       มีเหตุมีผลถึงค่อยเชื่อ อย่างนั้นเราจะได้ฝึกวิธีคิดเรา

ปิดท้ายด้วยคำสอนของท่านพระพุทธทาสท่านบอกว่า โลภ โกรธ หลง ทำให้เป็นม่านบังตา หรือทำให้โง่ ก็คือว่าถ้าเมื่อไหร่เราต้องตัดสินใจบนพื้นฐานของความโลภ ความโกรธ และความหลง มันจะทำให้เราเนี่ยตัดสินใจผิดพลาดได้ เพราะ   มันเป็นม่านบังตาให้เราขาดความคิดอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ เพราะฉะนั้นขอให้คิดอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ แล้วเราจะได้คำตอบที่ถูกต้อง เป็นทางเดินของชีวิตเรา ที่ถูกต้อง เราคิดถูกเราสำเร็จ แล้วคนรอบตัวเราก็จะมีความสุขและสำเร็จไปด้วย ถ้าเราคิดผิดคนรอบตัวเราก็จะทุกข์และก็ลำบากไปด้วยครับ ขอบคุณครับ สวัสดีครับ แล้วพบกันใหม่ครับ

วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

"พานทองแท้" เผย ประชาชนส่งสัญญาณเลือกตั้ง-อบอุ่นทุกครั้งที่ลงพื้นที่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้


“อบอุ่นทุกครั้ง” ที่ได้ออกร่วมขบวนหาเสียงทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดทุกภาคทั่วไทยครับ

สุดสัปดาห์นี้ ได้มีโอกาสร่วมขบวนหาเสียงของพรรคเพื่อไทย ออกไปพบปะพ่อแม่พี่น้องทางภาคอีสานตอนบน ได้แก่ จ.อุดรธานี จ.เลย และจ.หนองคาย หลายเขตเลือกตั้งด้วยกัน

ความรู้สึกที่ได้รับขณะที่เจอพี่น้องประชาชน บอกได้เลยว่าฟินกับกระแสตอบรับมากที่สุด..!! ตั้งแต่ผมติดตามคุณพ่อ สมัยพรรคไทยรักไทยปี 43 จนมาถึงการลงพื้นที่ในปี 62 นี้

มีบางสื่อพยายามจินตนาการว่า การลงพื้นที่ของพานทองแท้ เป็นการแก้เกมส์ทางการเมือง คนละเรื่องกันเลยครับบอกเลย ผมว่างเมื่อไหร่ ผมก็ไปของผมอย่างนี้ในการเลือกตั้งทุกครั้ง

ทุกๆคนที่มาหาเสียงด้วยกันในคราวนี้ ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เลือกตั้งครั้งนี้พี่น้องประชาชนค่อนข้างจะตื่นตัวมาก และรู้สึกอึดอัดกับสภาพการปกครองที่ไม่เป็นประชาธิปไตยมายาวนานเกือบจะ 5 ปี และคงเตรียมที่จะส่งสัญญาณบางอย่างผ่านบัตรเลือกตั้ง ตามวิถีทางประชาธิปไตย

เลือกตั้งครั้งนี้ นอกจากมีผู้สมัครส.ส. เยอะมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมาเป็นเท่าตัวแล้ว ผมเชื่อว่าผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งจะออกมามากกว่าทุกๆครั้ง ไม่เพียงแต่จำนวนที่มากขึ้น แต่สัดส่วน % ของผู้มาใช้สิทธิ์จะมากที่สุดเป็นประวัติการณ์

สปริงที่โดนแรงกดเอาไว้ โดยไม่สามารถขยับหรือคลายตัวได้เป็นระยะเวลานานเกือบ 5 ปี จะเกิดปรากฏการณ์ 2 อย่าง

ถ้าไม่หดงอจนเสื่อมสภาพไปเลย ก็จะดีดกลับสวนทางกับ “แรงกด” อย่างแรงจนคาดไม่ถึง..!!

24 มีนาคม จะมาถึงในเร็ววันนี้.....รอชมครับ

ผู้จัดทำ ทีมงานพานทองแท้ ชินวัตร
ผลิตเมื่อ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2562

วันเสาร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

"กิตติรัตน์" เผย เพื่อไทยเตรียมเปิดนโยบายเศรษฐกิจ โค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง

พรรคเพื่อไทยเผยเตรียมเปิดก๊อกนโยบายเศรษฐกิจสำคัญเพิ่มโค้งสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง หวั่นบางพรรครอลอก สอนพลเอกประยุทธ์ดีเบตกับแคนดิเดตนายกฯพรรคการเมืองอื่นหากอยากให้ประชาชนมอบคะแนนให้อย่างสบายใจ



นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ทีมเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่าช่วงโค้งสุดท้ายของการหาเสียงก่อนการเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทย จะเปิดนโยบายเศรษฐกิจที่สำคัญ อาทิปัญหาราคาพืชผลตกต่ำ//ปัญหาประมง ส่วนเหตุผลที่ก่อนหน้านี้พรรค ไม่ได้มีการเจาะลึกไปนโยบายใดนโยบายหนึ่ง เพราะ กลัวว่าหากเปิดนโยบายไปทั้งหมดจะมีบางพรรคการเมืองหรอกนโยบายของพรรคเพื่อไทย จึงขอให้อดใจรอพรรคเพื่อไทยจะประกาศนโยบาย ก่อนวันเลือกตั้งไม่กี่วันอย่างแน่นอน
   
ส่วนการเดินสายร่วมดีเบตกับพรรคการเมืองต่างๆที่ผ่านมาได้เห็นมุมมองและบางนโยบายที่บางพรรคการเมืองหยิบเอาผลงานของพรรคเพื่อไทยไปสานต่อ แต่ย้ำว่าพรรคเพื่อไทยไม่นิยมที่จะไปมีวิวาทะหรือขัดแย้งกับพรรคการเมืองใด จากการดีเบสแม้บางพรรคการเมือง จะอ้าง งานที่ปรากฏในช่วงที่ผ่านมา แต่พรรคเพื่อไทยได้ไปพูดคุยกับประชาชน และสามารถบอกต่อได้ว่าการจะแก้ปัญหาในแต่ละด้านจะต้องแก้ยังไง แต่เห็นใจบางพรรคที่พยายามจะอธิบายสิ่งที่เคยทำแต่ประชาชนกลับรู้สึกว่าไม่เป็นผลดี แต่บนระบบการเลือกตั้งแบบนี้ที่ทุกพรรคการเมืองกำลังขอคะแนนเสียงจากประชาชน การได้บอกสิ่งที่เคยทำก็สำคัญแต่การได้บอกว่าจะทำอะไรต่อในวันข้างหน้าสิ่งนั้นสำคัญกว่า ประชาชนจะเชื่อหรือไม่อยู่ที่การตัดสินใจของแต่ละคน

นายกิตติรัตน์ยังกล่าวถึงการเรียกร้องของหลายพรรคการเมืองที่ต้องการให้พลเอกประยุทธ์ซึ่งถือเป็นหนึ่งในแคนดิเดตนายกฯรัฐมนตรีมาดูเบต ร่วมกับแคนดิเดตนายกฯรัฐมนตรีพรรคการเมืองอื่นนั้น ถือเป็นสิทธิของพลเอกประยุทธ์ แต่เห็นว่า หากต้องการขอคะแนนจากประชาชนและประชาชนจะมีความสบายใจที่จะมอบคะแนนให้ได้สะท้อนถึงความตั้งใจที่จะทำงานให้กับประชาชนจริงๆ ก็จะทำให้คะแนนที่มอบให้เป็นคะแนนที่มาจากความจริงใจ พลเอกประยุทธ์อาจจะกลัวผลที่จะตามมาเหมือนการทำประชามติที่ ไม่ได้เปิดโอกาสให้ประชาชนได้ศึกษาหรือเห็นร่างประชามติ ด้วยข้ออ้างว่าหากล่าช้าจะทำให้การเลือกตั้งเลื่อนออกไป เช่นเดียวกับการกระโดดลงมาเล่นการเมืองและปฏิเสธร่วมเวทีดีเบต

วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

"ชัชชาติ" นำเพื่อไทย จัดเสวนา “เศรษฐกิจด้วยวิธีคิดแบบคนรุ่นใหม่”


พรรคเพื่อไทย จัดเสวนา “เศรษฐกิจด้วยวิธีคิดแบบคนรุ่นใหม่” โดย นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ แคนดิเดตนายกฯ ของพรรค ซึ่งมีนักศึกษาและประชาชนทั่วไปเข้าร่วมเสวนาจำนวนมาก ทั้งนี้ นายชัชชาติ ระบุว่า โจทย์ของเศรษฐกิจยุคใหม่ คือการมีเทคโนโลยีเข้ามาเป็นตัวเปลี่ยนแปลง เราในฐานะเยาวชนต้องปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ พรรคเพื่อไทย จะมุ่งส่งเสริมคนตัวเล็กตัวน้อยในสังคม โดยใช้เทคโนโลยีมาเสริมประสิทธิภาพในการผลิต และเอื้ออำนวยโอกาสใหม่ๆ ให้กับประชาชน เช่น การถ่ายโอนเทคโนโลยีโดยการเชื่อมทรัพยากรในประเทศกับความต้องการของโลก ไม่ว่าจะเป็นทักษะของแรงงาน สินค้าโอทอป ทุกวันนี้โลกไร้พรมแดนแล้ว การค้าขายในปัจจุบันจึงเปลี่ยนแปลงไป เราต้องให้โลกทั้งโลกเป็นตลาดของเรา









วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

"ดร.ทักษิณ" เผย คู่แข่งคือคู่ค้าในโลกยุคใหม่


ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

หลายคนกังวลว่าปลายปีนี้ไปถึงกลางปีหน้า เศรษฐกิจโลกน่าจะผันผวนหนัก คำถามต่อมาก็คือ…ถ้าเศรษฐกิจไม่ดีแล้วจะทำอะไรกินดี หรือถ้าคนที่ลงทุนในตลาดหุ้นจะว่ายังไง

วันนี้ผมเลยอยากมาชวนคุยเรื่องทำมาหากินทั่วๆ ไป และแชร์แนวคิดสำหรับพี่น้องนักธุรกิจไทยรุ่นใหม่ว่าทำยังไงเราถึงจะอยู่รอดในโลกการค้ายุคใหม่ภายใต้เศรษฐกิจที่ผันผวนกันครับ

สวัสดีครับท่านผู้ฟังพี่น้องชาวไทยที่เคารพรักครับ
ครั้งนี้เป็นการพบกันครั้งที่ 6 ของรายการ Good Monday นะครับ

วันนี้ผมจะพยายามเอาเป็นเรื่องทำธุรกิจทั่วไปเพราะว่าอยากจะกลับไปที่หลักของการทำธุรกิจทั่วไปว่า ทำอย่างไรให้เราเติบโตเข้มแข็ง

ก็จะเอาชีวิตเก่าๆมาเล่าให้ฟังแต่ก็หมายความว่าประกอบกับเรื่องราวที่เคยได้ยินได้ฟังในช่วงนี้จากการเดินทางไปต่างประเทศ ก็สิ่งที่เป็นห่วงก็คือว่า ยิ่งเจอนักธุรกิจจากจุดนั้นจุดนี้ มุมนั้นมุมนี้ของโลก ทุกคนกำลังบอกว่าปลายปี 2019 เนี่ยอันตรายนะจนถึงกลางปี 2020 ก็คือปี 2563

อาการเศรษฐกิจของโลกจะหนักเพราะว่ามันจะผันผวนมาก มันจะเกิดวิกฤต วิกฤติในตรงนั้นตรงนี้เพราะฉะนั้นเนี่ยเราต้องแข็งแรงไว้นะ นี่คือสิ่งที่นักธุรกิจก็เจอกันเตือนกัน ผมก็เลยอยากจะมาเล่าเรื่องการทำมาหากินทั้งหลายเพื่อที่เราจะได้รู้ว่าเราควรจะทำยังไง

วันนี้ทุกคนก็บอกแล้วจะทำอะไรกินดี ลงทุนในตลาดหุ้นจะว่าไง ผมก็อยากจะบอกว่า หุ้นจะผันผวนตั้งแต่กลางปี19 ไป การขึ้นลงจะหวือหวามาก ซึ่งภาษานักเล่นหุ้นก็บอกว่า ถ้ามันขึ้นลงแรงอย่างนี้ต้องไปหากินกับเดลต้า เดลต้าแปลว่าไง แปลว่าความแตกต่างระหว่างราคาที่มันขึ้นลงในระยะเวลาไม่ยาวนัก ก็คือว่าสมมุติว่าหุ้นตัวนึงเนี่ยเคยราคา 100 วันนี้ตกลงมาเหลือ 70 ก็ตกมาเยอะ ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทนี้ยังดีอยู่ Volume การซื้อขายแต่ละวันก็เยอะ การบริหารก็ดูยังดีอยู่ เราก็น่าจะเข้าไปซื้อที่ 70 แล้วพอถึงเวลาไม่ต้องรอให้กลับไปที่ 100 ใหม่ สัก 80 ก็ขายแล้วก็กลับมานั่งรอใหม่อย่างนี้เขาเรียกว่าหากินกับเดลต้า

ตรงนี้ช่วงตลาดผันผวนนักเล่นหุ้นมืออาชีพก็จะไปนั่งหากินไปเดลต้าคือผลต่างระหว่างการขึ้นลงที่ผันผวนอย่างรวดเร็ว แต่ต้องเลือกนะครับ เลือกบริษัทที่มันมีความมั่นคง บริษัทที่มีการบริหารจัดการที่ดี มีนักลงทุนซื้อหุ้นวันหนึ่งจำนวนมาก แล้วปัจจัยพื้นฐานของบริษัทนี้ยังดีอยู่นะครับ ถ้าอย่างนี้ไม่เสี่ยงแต่ก็ต้องเข้าไวออกไว้นะครับ

แล้วคนก็ถามว่าแล้วจะทำมาหากินอะไรดีนอกจากเล่นหุ้น ช่วงนี้ก็ต้องคิดว่าเทคโนโลยีกำลังมาแรง เพราะฉะนั้นเนี่ยการทำมาหากินเลยต้องพยายามอิงเทคโนโลยีไว้ ถึงแม้ว่าเราไม่ใช่เป็นบริษัทเกี่ยวกับเทคโนโลยีก็ต้องใช้เทคโนโลยีเพื่อให้เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันมากขึ้น ความแม่นยำในการทำนายความแม่นยำในการมีข้อมูลของตัวเองในการศึกษาข้อมูลของคนอื่นจึงเป็นเรื่องสำคัญ

พูดวกมาถึงเรื่องนี้เนี่ยผมก็เลยอยากจะบอกว่า คนไทยเรามีจุดอ่อนอย่างหนึ่งเราคิดว่าการแข่งขันกันต้องเป็นศัตรูกัน จริงๆแล้วเนี่ยมันไม่จำเป็นต้องเป็นศัตรูกัน อยากให้วิเคราะห์จากคำว่า Zero sum Game

Zero sum Game ในวงการธุรกิจนี้คือว่าถ้าคุณแพ้ผมคือชนะ ถ้าคุณชนะคือผมแพ้ มันไม่มีอะไรในโลกแบบนี้ล่ะครับว่า ชนะ 100% แพ้ 100% ภาษาทุนนิยมเศรษฐกิจทุนนิยมคือเขาบอกว่า If you can’t beat them, better join them คือถ้าเอาชนะเขาไม่ได้เป็นพวกเขาดีกว่า นั่นคือการค้าขายในเศรษฐกิจทุนนิยม เค้าถึงบอกว่าการค้าการขายเศรษฐกิจทุนนิยมมันต้อง Compete ต้องแข่งขัน แล้วก็ต้อง collaborate ต้องร่วมมือด้วยมันไม่สามารถแข่งขันอย่างเดียวหรือร่วมมืออย่างเดียวนะครับ แข่งขันอย่างเดียวไม่ร่วมมือกับใครเลยเนี่ยมันก็จะกลายเป็นว่าเราก็จะมีความรู้สึกว่ามันทำการค้าแบบเครียดครับ

อย่างจีนกับไทยเนี่ย เราไม่สามารถที่จะบอกว่า จีนคือคู่แข่งขันเรา100%ก็ไม่ใช่ จีนเป็นตลาดของเรา 100%ก็ไม่ใช่ เพราะเราก็เป็นตลาดของเขาเขาก็เป็นตลาดของเราแต่ตลาดเขาใหญ่กว่า การแข่งขันสินค้าเขาเข้ามาของเราเยอะกว่า สินค้าของเราไปหาเขาน้อยกว่า เราจะปรับตัวอย่างไร อันนี้คือสิ่งที่เป็นโลกยุคใหม่ที่ต้องคิดว่าการแข่งขันการค้านั้นต้องมีแต่ต้องมีความร่วมมือไปด้วย

คู่แข่งของเรากลายเป็นตลาดของเราก็ได้ เหมือนตอนที่ผมเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศในปี 1994 ผมเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศผมก็ไปเยือนประเทศสิงคโปร์

รัฐมนตรีต่างประเทศที่เป็นคนสิงคโปร์ที่ต้อนรับผม พาไปพบนายกของเขาตาม protocol ระหว่างประเทศนะครับ ตอนนั้นนายกของเค้าก็คือ โก๊ะ จ๊กตง ไปถึงเห็นหน้าผมก็เข้ามาเช็คแฮนด์แล้วก็บอกว่า Thailand and Singapore are competitor but don’t worry the cake is getting bigger please sit down sit down

นั่นคือเป็นคำสนทนาที่ผมไม่คิดว่าผู้นำประเทศประเทศหนึ่งเนี่ยต้อนรับรัฐมนตรีต่างประเทศของประเทศหนึ่งแล้วคุยกันแบบนี้ แสดงให้เห็นว่าเขาทุกประเทศเนี่ยเขาเน้นเรื่องการบริหารเศรษฐกิจเพราะเศรษฐกิจนั้นเป็นปัจจัยสำคัญที่เราจะแข็งแรงไม่แข็งแรงประชาชนจะแข็งแรงไม่แข็งแรง เขาก็เลยต้องมาสนใจเรื่องเศรษฐกิจ เขาก็บอกว่าเขายอมรับว่าไทยกับสิงคโปร์เป็นคู่แข่งขันแต่เขาบอกว่าไม่ต้องห่วงหรอกเพราะว่าโลกมันเชื่อมโยงกันตลาดมันใหญ่ขึ้น เหมือนเค้กมันก้อนใหญ่ขึ้น เราจะแข่งกันยังไงเราก็อิ่มทั้งคู่ เราไม่มีการอดตายทั้งคู่นั่นคือสิ่งที่เป็นโลกยุคใหม่ที่ต้องคิดว่าเรามีเพื่อนธุรกิจที่อาจจะทำเหมือนกันบ้างคล้ายกันบ้างก็ไม่จำเป็นต้องไปกังวลว่า เราจะต้องคบกันแบบชนิดที่มันจำเป็นต้องเป็นศัตรูกัน ไม่เป็นเพื่อนกันมันเป็นเพื่อนกันได้นะครับ

ครั้งหนึ่งเนี่ยผมตอนผมทำธุรกิจอยู่ผมก็เชิญนักธุรกิจรุ่นหนุ่มหนุ่ม ซึ่งประสบความสำเร็จในวันนั้นมาประมาณ 10 คนมาตั้งเป็นก๊วนกันพบกันเดือนละครั้ง

ก็บางทีก็คนนั้นเลี้ยงคนนี้เลี้ยงตอนหลังมาแล้วบอกว่าเอางี้ดีกว่าเราลงขันเอาเงินไปใส่กันคนละไม่มากแล้วก็ไปให้เพื่อนคนหนึ่งในนั้นที่เก่งเรื่องหุ้นเก่งเรื่องการเงินไปเล่นหุ้น เรากำไรหุ้นนี่แหละมากินมาเที่ยวกันก็มีความสนิทสนมชิดเชื้อกันบางทีก็ร่วมมือกันทางธุรกิจบ้างแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเรื่องเศรษฐกิจบ้างอะไรบ้าง ก็ได้ประโยชน์ครับ บางคนก็ทำธุรกิจคล้ายคลึงกันแข่งขันกันแต่ก็ไม่ได้เอาเป็นเอาตายอะไรกันเพราะว่าเนื่องจากว่าตลาดมันใหญ่ขึ้นจริงๆ ยิ่งแข่งยิ่งตลาดเยอะ เพราะว่าต่างคนต่างโฆษณาต่างคนขยายขยายฐานลูกค้านะครับ

การทำธุรกิจเนี่ยต้องอย่าไปคิดว่าเราต้องเป็นศัตรูคนนั้นคนนี้สู้เราเป็นเพื่อนดีที่สุด อันนี้ก็อยากให้สังคมไทยคิดอย่างนี้เป็นอย่างนี้ผมเลยเล่าเรื่องการตั้งก๊วนของผมให้ฟังนะครับ

เมื่อก่อนนี้ก่อนนะผมจะเริ่มตั้งก๊วน ผมเป็นนักธุรกิจ ตอนนั้นเป็นเรื่องที่…ขอโทษ…โทษนะครับ ปากกัดตีนถีบ ยังไม่มีตังค์กู้แบงค์ แบงค์ก็ไม่ให้กู้เพราะไม่มีไม่มีอะไรไปจำนองจำนำแบงค์

ก็ใช้วิธีการเล่นแชร์ซึ่งคนจีนสมัยนั้นนักธุรกิจสมัยนั้นจะรวมตัวตั้งแชร์ ตอนนี้เหลือน้อยก็มีบ้างแต่น้อย เพราะว่าแหล่งกู้เงินมันมีมากกว่าเดิม เดิมมันไม่มีแหล่งกู้ก็ใช้เพื่อนฝูงรวมกัน ใครเปียให้ดอกเบี้ยสูงกว่านั้น เอาไปใช้ทุกคนก็มาลงขันกันทุกรอบใครเปียได้คนนั้นไปใช้แล้วก็ผลัดกันไปผลัดกันไป มันก็ผลัดกันเอาเงินกองกลางมาวางไว้นะครับ สมมุติว่าเดือนละแสนก็ 10 คนก็ 1 ล้านมาวางไว้ ใครเปียดอกเบี้ยสูงก็ไปกินเอาไปบริหารทำมาหากิน เดือนต่อไปอีกคนนึงเปียได้ แล้วคนที่เอาไปล้านนึงต้องเอามาใช้แสนนึงเค้าเรียกว่าเล่นแชร์

การเล่นแชร์กันในหมู่คนจีนเยอะพ่อค้าจีนเพราะว่าจะได้เอาเงินมาให้เหมือนกับมาลงกองทุนเพื่อให้เพื่อนผลัดกันเอาไปทำมาหากินกันเองนะครับ ก็เป็นเรื่องที่ทำให้เกิดการเกิดเป็นพันธมิตรทางการค้ากันเป็นเพื่อนฝูงกันคุยกันรู้เรื่องกู้ยืมเงินกันได้นั่นคือในอดีตซึ่งผมก็คิดว่าสมัยนี้มันมีน้อยไปหน่อย เลยคิดว่าโดยเฉพาะคนที่ไปเรียนในโครงการต่างๆเช่นไปเรียน RE บ้าง ไปเรียน Next tycoon บ้างอะไรบ้าง ก็มีเพื่อนมีก๊วนเนี่ยถ้าหากว่าจะคบกันติดต่อกันเป็นก๊วนกันในเชิงของธุรกิจก็จะทำให้คนทุกคนมีโอกาสทางธุรกิจ

เอาเรื่องโบราณโบราณเรื่อง 1 สมัยพ่อผมเนี่ย

พ่อผมไปทำร้านกาแฟอยู่หัวมุมในตลาดที่จะเข้าตลาดสันกำแพงอยู่บ้านนอกเนี่ย ก็พ่อผมขายกาแฟตอนเช้าก็จะให้ร้านแขกขายโรตีมาทำโรตีขายอยู่หน้าบ้าน หน้าร้านกาแฟ อีกข้างนึงก็จะมีคนจีนทําปาท่องโก๋ขาย ปรากฎว่ากาแฟที่บ้านพ่อผมก็ขายดิบขายดีเพราะว่าคนอยากมากินปาท่องโก๋อยากมากินโรตีก็กิน ก็กินทั้งโรตีปาท่องโก๋ก็ขายกาแฟไป ช่วงนั้นเป็นร้านกาแฟร้านเดียวที่คนแน่นไปหมดนั่นก็คือว่ารู้จักทำ alliance หรือพันธมิตรทางธุรกิจ หรือเป็นการเสริมพลังกัน Synergy กัน

ผมไม่มีปาท่องโก๋ขาย แต่ผมมีกาแฟขายก็มาเสริมพลังกันเป็นทั้ง Synergy เป็น Business alliance เป็นธุรกิจที่เป็นพันธมิตรกัน

ตอนกลางวันพ่อผมก็ให้รถเข็นก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นเนื้อมาขาย จนทำให้ผมเนี่ยทุกวันนี้ชอบกินแต่ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้น เนื้อปาท่องโก๋ โรตีอยู่นั่นแหละเพราะมันกินตั้งแต่เด็กๆ

นั่นคือสิ่งที่เอาธุรกิจที่เก่าๆมาปรับประยุกต์กับธุรกิจที่วิธีคิดใหม่ๆ เทคโนโลยีก็ดีตลาดที่มันกว้างไกลกว่าเดิมก็ดีมันจะทำให้นักธุรกิจเราเนี่ยแข็งแรงขึ้นที่พูดอย่างนี้ก็เลยอยากจะแนะนำให้ทุกคนได้ว่า เราทำธุรกิจเราต้องสร้างมิตรมากกว่าสร้างศัตรูเราต้องคิดว่าในประเทศนี้เรามีเพื่อนเยอะๆรวมกันให้แข็งแรงแล้วตลาดมันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆตลาดต่างประเทศตลาดภูมิภาคมันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นการที่เรามีเพื่อนมี Connection เป็นเรื่องที่สำคัญ

แล้วนี่นะครับ know how สำคัญมากแต่ know who ยิ่งสำคัญกว่าเพราะฉะนั้นถ้ามีเพื่อน มี Connection มีเครือข่ายมีการประสานงานติดต่อข้ามประเทศอะไรบ้างเนี่ยก็จะทำให้ธุรกิจและแข็งแรง

เพราะฉะนั้นก็วันนี้ก็เลยอยากจะมาแนะนำว่าการทำธุรกิจยุคนี้อย่าไปคิดว่าคู่แข่งขันคือศัตรู เราต้องคิดว่าคู่แข่งขันคือผู้ที่จะต้องร่วมมือกันในการไปแข่งในพื้นที่อื่นบ้างหรือในการที่จะค้าขายร่วมกันบ้างนะครับ

ฝากแนะนำให้ท่านทั้งหลายว่าธุรกิจยุคนี้สร้างเพื่อนเถอะครับ สร้างเพื่อนเยอะๆแล้วเราจะแข็งแรงครับ
ขอให้โชคดีในปี 2019 ความผันผวนทางเศรษฐกิจ สาธุอย่าให้มี แต่ถ้ามีแล้วก็ขอให้นักธุรกิจไทยอยู่รอดปลอดภัยทุกคนครับ
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ

วันศุกร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

"บอร์ด ทษช." แถลงงดหาเสียง 7 วัน แก้ข้อกล่าวหาคดียุบพรรค


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.) ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน โดยมีเนื้อหาดังนี้

เนื่องด้วยศาลรัฐธรรมนูญ มีมติรับคำร้องให้พิจารณาวินิจฉัยยุบพรรคไทยรักษาชาติ ตามที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ยื่นคำร้องแล้วนั้น และทางพรรคก็ได้รับสำเนาคำร้องดังกล่าว เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2562 เวลา 16.00 น. ซึ่งกำหนดให้พรรคยื่นชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายใน 7 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับสำเนาคำร้อง

​​เนื่องจากคณะกรรมการบริหารพรรคจะต้องพิจารณารายละเอียดของคดีในเวลาที่เหลือ 7 วัน ในส่วนของคณะกรรมการบริหารพรรค จึงของดภารกิจในการหาเสียงและกิจกรรมทางการเมือง และขอสื่อสารไปยังสมาชิกพรรคทุกท่านทราบว่า คณะกรรมการบริหารพรรคไทยรักษาชาติ จะขอใช้เวลาในช่วงนี้เพื่อปรึกษาหารือในการทำคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลในทางกฎหมาย ตามกระบวนการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อป้องกันเหตุแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต และเป็นการยืนยันเจตนาอันบริสุทธิ์และความปรารถนาดีของคณะกรรมการบริหารพรรค ที่มีต่อประเทศชาติและพี่น้องประชาชนชาวไทยมา ณ ที่นี้ด้วย

มิตติ ติยะไพรัช
เลขาธิการพรรค
15 กุมภาพันธ์ 2562








"ทนายวิญญัติ" ยื่น กกต. ไต่สวนยุบพลังประชารัฐ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.00น. ที่ผ่านมา ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ อาคารบี ทนายวิญญัติ ชาติมนตรี เลขาธิการสมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิและเสรีภาพ (สกสส.) พร้อมคณะทำงาน ยื่นหนังสือกล่าวโทษ ขอให้ กกต.ไต่สวนยุบพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ต่อประธาน กกต. และเลขาธิการ กกต. ตามพฤติการณ์ที่ปรากฏหลายประเด็น คือ การครอบงำพรรค พปชร. ของพลเอกประยุทธ์ การที่มีเจ้าหน้าที่รัฐใช้ตำแหน่งเป็นคุณหรือเป็นโทษต่อผู้สมัครและพรรคการเมือง และยินยอมให้มีการใช้ทรัพยากรของรัฐ การสมคบใช้นโยบายของรัฐเพื่อเป็นนโยบายพรรคการเมืองเพื่อเอื้อประโยชน์ จูงใจในการหาเสียงเลือกตั้ง และ พรรค พปชร.กระทำการอันเป็นปฎิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย โดยการเสนอชื่อพลเอกประยุทธ์ เป็นนายกฯ อันเป็นการขัดเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ เนื่องจากพลเอกประยุทธ์ เป็นหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยการยึดอำนาจและบริหารประเทศ ซึ่งขัดกับหลักการระบอบประชาธิปไตย ประกอบกับพลเอกประยุทธ์ ยังเคยยอมรับว่าตนเองเป็นผู้นำมาจากการยึดอำนาจพร้อมแนบหลักฐานเอกสารที่เกี่ยวข้อง