น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเคือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้
ต้องขอโทษ ทีมอนาคตใหม่อย่างจริงใจ ต่อปัญหาการควบคุมเวลาการอภิปรายของพรรคเพื่อไทยครับ
เราเสียใจและเข้าใจความรู้สึกของน้องๆทุกท่าน ที่มีความตั้งใจและทุ่มเทอย่างหนัก เพื่อการอภิปรายครั้งนี้
ในส่วนของพรรคเพื่อไทย เรายอมรับความผิดพลาดเรื่องการไม่สามารถบริหารเวลาอภิปรายของสมาชิกบางท่าน และเราเห็นความสำคัญของปัญหาเรื่องนี้อย่างจริงจัง
เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น มันเป็นโจทย์ที่ฝ่ายรัฐบาลบีบเรา ด้วยการใช้เสียงข้างมาก เพื่อไม่ให้อภิปรายต่อ ทั้งๆที่สามารถขยายเวลาจาก 19:00 น.ไปได้ถึง 23:59 น.
เกือบ 5 ชั่วโมง
ดังนั้นเราจึงพยายามสู้กับฝ่ายรัฐบาลอย่างเต็มกำลังเพื่อขอต่อเวลาออกไป ซึ่งในประเพณีปฏิบัติของการอภิปรายไม่ไว้วางใจนั้น วิปทั้ง 2 ฝ่าย สามารถเจรจาผ่อนผัน ยืดหยุ่นกันได้ตามสมควรโดยยึดเอาผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนเป็นหลัก
แต่ในครั้งนี้กลับเกิดเหตุการณ์ที่วิปฝ่ายรัฐบาลยืนยันไม่ต่อเวลาให้ และพร้อมใช้เสียงส่วนมากโหวตปิดอภิปราย ซึ่งไม่เคยปรากฏเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน
พวกเราจึงประชุมหารือกันและตกลงใจไม่เข้าร่วมโหวต เพื่อเป็นการบอยคอตรัฐบาลไม่ให้ใช้วิธีพวกมากลากไป
เพราะเมื่อพิจารณาข้อดี-ข้อเสียกันรอบด้านแล้ว เราเห็นว่าหากรัฐบาลใช้วิธีพวกมากลากไป โดยการปิดอภิปรายทั้งๆที่ฝ่ายค้านยังอภิปรายรัฐมนตรีไม่ครบ ย่อมทำให้การอภิปรายครั้งนี้ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ จึงไม่สามารถอภิปรายสรุปได้ด้วย
ดังนั้นการที่รัฐบาลดึงดันลงมติครั้งนี้ จึงไม่ถูกต้อง เราจึงไม่เข้าไปร่วมลงมติด้วย
การลงมติวันนี้ เราอาจจะมีความเห็นในการใช้ยุทธวิธีที่แตกต่างกันบ้าง ซึ่งไม่มีใครถูกหรือผิด สำคัญตรงที่ยุทธศาสตร์ของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ควรจะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
เพราะพวกเรามีเป้าหมายเดียวกัน คือการไม่ยอมรับในอำนาจของเผด็จการฯ ครับ!!
ในนามของพรรคเพื่อไทย ขอยืนยันว่า ไม่มีทางเป็นไปได้เลย ที่เราจะไปช่วย #เผด็จการ บุคลากรของเราร่วมกันต่อสู้กับอำนาจเผด็จการ มาอย่างยาวนานโดยไม่เคยย่อท้อต่ออุปสรรคต่างๆที่ถาโถมเข้ามาตลอด
เราขอแสดงความเสียใจ และต้องขอโทษอีกครั้งกับข้อผิดพลาดทั้งหมด
คนเพื่อไทยขอยืนยันว่าศัตรูของเราคือ #ระบอบเผด็จการ และจะทำทุกอย่างเพื่อถนอมน้ำใจของกันและกันไว้ให้ดีที่สุด เพื่อรวมพลังกันต่อสู้ให้สำเร็จ เพื่อพี่น้องประชาชนที่รอความหวังจากพวกเรา
ณ วันนี้ซึ่งคนรุ่นใหม่ออกมารวมใจกันต่อต้านรัฐบาลเผด็จการ พวกเราซึ่งเป็นนักการเมืองฝ่ายค้าน ยิ่งต้องสมัครสมานสามัคคี ต่อสู้เคียงกัน
การต่อสู้ยังอีกยาวไกล จะสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความรักความสามัคคีของพวกเราครับ
วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563
วันอังคารที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563
“วัฒนรักษ์” เผย เพื่อไทย เตรียมอภิปรายฯต่อนอกสภา
"วัฒนรักษ์" แจง ยุทธการอรุณรุ่ง พร้อมเดินหน้าตีแผ่เปิดเผยความจริง จัดอภิปรายต่อนอกรัฐสภา
ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช กรรมการกิจการพิเศษ และหัวหน้าศูนย์ข้อมูลสารสนเทศ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ยุทธการอรุณรุ่ง พร้อมเปิด live สด อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีรายบุคคลนอกสภาฯ ควบคู่ไปกับการอภิปรายในสภาฯ โดยในวันนี้ เวลา 15.00 น. จะมีการอภิปรายนอกสภาเพื่อขยายผลเนื้อหาสาระ สำคัญที่เกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ได้ทำผิดพลาดมาตลอด ระยะเวลา 6 ปี โดย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง และคณะกรรมการฯ พร้อมที่จะสะกิดเปิดแผลของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เห็นบาดแผลที่ซ่อนลึกอยู่ภายใน โดยมีรายละเอียดและหลักฐานเพิ่มเติม จำนวนมากมาย อาทิเช่น
1.กรณีซื้อขายที่ดินย่านบางบอนของพ่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
2. การแก้ไขสัญญาร่วมทุน (สัญญาการบริหารและดำเนินกิจการศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์)
3. กรณีบริษัทฟิลลิป มอร์ริส (ไทยแลนด์) ลิมิเต็ด จำกัด กรณีหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากร
4. กรณี 13 ศพที่แม่น้ำโขง
5. กรณีการซื้อที่ดินติดถนนบางนา-ตราด
ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้ง คณะกรรมการกิจการพิเศษ ต้องการให้ประชาชนได้รับรู้รับทราบถึงความจริงมากที่สุด แต่ข้อจำกัดในเรื่องของเวลาที่ฝ่ายรัฐบาลให้นั้น ทำให้ ไม่สามารถนำเสนอข้อเท็จจริงทั้งหมดพร้อมหลักฐานในสภาฯได้ ดังนั้นการอภิปรายนอกสภาจึงมีความจำเป็น อย่างยิ่ง สำหรับการตีแผ่เพื่อเปิดเผยความจริงให้ประจักษ์แก่สายตาของประชาชนและสังคม
ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช กรรมการกิจการพิเศษ และหัวหน้าศูนย์ข้อมูลสารสนเทศ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ยุทธการอรุณรุ่ง พร้อมเปิด live สด อภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีรายบุคคลนอกสภาฯ ควบคู่ไปกับการอภิปรายในสภาฯ โดยในวันนี้ เวลา 15.00 น. จะมีการอภิปรายนอกสภาเพื่อขยายผลเนื้อหาสาระ สำคัญที่เกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ได้ทำผิดพลาดมาตลอด ระยะเวลา 6 ปี โดย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง และคณะกรรมการฯ พร้อมที่จะสะกิดเปิดแผลของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เห็นบาดแผลที่ซ่อนลึกอยู่ภายใน โดยมีรายละเอียดและหลักฐานเพิ่มเติม จำนวนมากมาย อาทิเช่น
1.กรณีซื้อขายที่ดินย่านบางบอนของพ่อพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
2. การแก้ไขสัญญาร่วมทุน (สัญญาการบริหารและดำเนินกิจการศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์)
3. กรณีบริษัทฟิลลิป มอร์ริส (ไทยแลนด์) ลิมิเต็ด จำกัด กรณีหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากร
4. กรณี 13 ศพที่แม่น้ำโขง
5. กรณีการซื้อที่ดินติดถนนบางนา-ตราด
ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้ง คณะกรรมการกิจการพิเศษ ต้องการให้ประชาชนได้รับรู้รับทราบถึงความจริงมากที่สุด แต่ข้อจำกัดในเรื่องของเวลาที่ฝ่ายรัฐบาลให้นั้น ทำให้ ไม่สามารถนำเสนอข้อเท็จจริงทั้งหมดพร้อมหลักฐานในสภาฯได้ ดังนั้นการอภิปรายนอกสภาจึงมีความจำเป็น อย่างยิ่ง สำหรับการตีแผ่เพื่อเปิดเผยความจริงให้ประจักษ์แก่สายตาของประชาชนและสังคม
วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563
"เฉลิม" พอใจ การอภิปรายไม่ไว้วางใจฯของฝ่ายค้าน
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธานคณะกรรมการกิจการพิเศษ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตนรู้สึกพึงพอใจกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีหลายบุคคล โดยมีขุนพลคนสำคัญ นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.จังหวัดมหาสารคาม ที่ได้อภิปรายฯ เกี่ยวกับเรื่องการแก้ไขสัญญาร่วมทุนการบริหาร และดำเนินการศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ที่เอื้อประโยชน์ต่อพรรคพวก และกลุ่มทุนเดิมหรือไม่อย่างไร เพราะทำให้รัฐขาดรายได้ที่ควรจะได้รับ เพราะถ้าหากเปิดให้มีการประมูลก็จะมีเอกชนที่สนใจเข้าสู้ราคา จะทำให้รัฐได้รับประโยชน์จากการประมูลมากขึ้น และการที่คณะรัฐมนตรีในยุค คสช. มีมติให้บริษัทเดิมเป็นผู้บริหารโดยดำเนินการตามสัญญาเดิมและเพิ่มระยะเวลาเป็น 50 ปี นั้น ถือได้ว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ อันมีเจตนาซ้อนเร้น แอบแฝงหรือมีการตอบแทนอะไรบางอย่างต่อกันหรือไม่อย่างไร
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวอีกว่า ยังมีกรณี บริษัทฟิลลิป มอร์ริส (ไทยแลนด์) ลิมิเต็ด จำกัด ซึ่งมีการหลีกเลี่ยงภาษีศุลกากร โดยจากการที่ยอดขายลดลง ดังกล่าวทำให้ การยาสูบแห่งประเทศไทยส่งรายได้เข้าคลังเมื่อเทียบกับก่อนใช้บังคับพรบ.ภาษีสรรพสามิต ในงบประมาณ 2560 ส่งรายได้เข้ารัฐ 8,816 ล้านบาท เมื่อใช้บังคับพรบ.ภาษีสรรพสามิต ส่งรายได้เข้ารัฐเพียง 184 ล้านบาท และในปีงบประมาณ 2562 ส่งรายได้เข้ารัฐ 151.32 ล้านบาท ดังนั้นจะเห็นได้ว่า รายได้ของการยาสูบแห่งชาติลดลงเป็นอย่างมาก ซึ่งผลกำไรที่หายไปนี้ไปตกอยู่กับบุหรี่ต่างประเทศ ซึ่งอาจจะเป็นผลมาจากการแก้กฎหมาย ทำให้ธุรกิจของการยาสูบแห่งประเทศไทยประสบกับปัญหาการขาดทุนและเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนหรือไม่
การอภิปรายพึ่งเริ่มต้น นี่เป็นเพียงแค่น้ำจิ้ม #ยุทธการอรุณรุ่ง ได้เกิดขึ้นแล้ว จึงรอเพียงแค่เวลาที่ “จันทร์โอชา” ดับ เท่านั้น
วิปฝ่ายค้าน พร้อมแล้ว! ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจฯ
วิปฝ่ายค้าน พร้อมแล้ว อภิปรายไม่ไว้วางใจ เริ่มวันนี้ 13.30 น. โดยจะอภิปรายอย่างสร้างสรรค์ หวังประชาชนได้ประโยชน์มากที่สุด
นายสุทิน คลังเเสง ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) แสดงความพร้อมในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในช่วงบ่ายวันนี้ (24 ก.พ. 63) เริ่ม 13.30 น.
นายสุทิน กล่าวว่า การอภิปรายครั้งนี้จะให้ประชาชนเห็นว่าการอภิปรายเป็นไปด้วยความสร้างสรรค์ เรียบร้อย โดยฝ่ายค้านจะรักษาเวลา เเละอภิปรายในประเด็นที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน ซึ่งจะพยายามหลีกเลี่ยงการอภิปรายที่จะนำไปสู่การทักท้วง ทั้งนี้ ลำดับการอภิปรายจะเริ่มจาก พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม / ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรเเละสหกรณ์ / นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี / นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ / พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เเละพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี โดยนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร จะเป็นผู้เปิดการอภิปราย และนายสุทิน จะเป็นผู้สรุป
ส่วนกรอบเวลาการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เริ่มในเวลา 13.30 น. ของวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ถึงเวลา 19.00 น. ของวันที่ 27 กุมภาพันธ์ โดยจะมีการสรุปการอภิปรายต่างหากอีก 2-3 ชั่วโมง และในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ จะเป็นการลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ซึ่งเวลาอาจมีการคลาดเคลื่อนบ้าง
นายสุทิน คลังเเสง ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) แสดงความพร้อมในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในช่วงบ่ายวันนี้ (24 ก.พ. 63) เริ่ม 13.30 น.
นายสุทิน กล่าวว่า การอภิปรายครั้งนี้จะให้ประชาชนเห็นว่าการอภิปรายเป็นไปด้วยความสร้างสรรค์ เรียบร้อย โดยฝ่ายค้านจะรักษาเวลา เเละอภิปรายในประเด็นที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน ซึ่งจะพยายามหลีกเลี่ยงการอภิปรายที่จะนำไปสู่การทักท้วง ทั้งนี้ ลำดับการอภิปรายจะเริ่มจาก พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม / ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรเเละสหกรณ์ / นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี / นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ / พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เเละพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี โดยนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร จะเป็นผู้เปิดการอภิปราย และนายสุทิน จะเป็นผู้สรุป
ส่วนกรอบเวลาการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เริ่มในเวลา 13.30 น. ของวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ถึงเวลา 19.00 น. ของวันที่ 27 กุมภาพันธ์ โดยจะมีการสรุปการอภิปรายต่างหากอีก 2-3 ชั่วโมง และในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ จะเป็นการลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ซึ่งเวลาอาจมีการคลาดเคลื่อนบ้าง
"เพื่อไทย" ขอบคุณทุกคะแนนเสียง ศึกเลือกตั้งซ่อมกำแพงเพชร
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงผลการเลือกตั้งซ่อมส.ส.เขต 2 จังหวัดกำแพงเพชร ว่า พรรคเพื่อไทย ขอขอบพระคุณทุกคะแนนเสียงอันบริสุทธิ์ที่ได้มอบให้กับผู้สมัครพรรคเพื่อไทย ในการเลือกตั้งซ่อมจังหวัดกำแพงเพชร ถือเป็นชัยชนะของประชาชน ที่ได้ทำให้คนไทยทั้งประเทศรู้ว่า มีประชาชนเห็นต่างและแสดงตัวยืนตรงข้ามรัฐบาลจำนวนมาก ประชาชนตั้งใจเลือกผู้สมัครของพรรคฝ่ายค้าน เพื่อเป็นการส่งเสียงดังๆว่าประชาชนเดือดร้อนและจะไม่ทนอีกต่อไป ตั้งใจเลือกพรรคเพื่อไทยให้ไปทวงสัญญา นโยบายที่รัฐบาลหาเสียงและแถลงนโยบายไว้แต่ไม่สามารถทำได้ การเลือกตั้งเป็นช่องทางหนึ่งที่ได้ให้ประชาชนแสดงความรู้สึกและประเมินรัฐบาล แทบทุกโพลสะท้อนว่า ประชาชนเบื่อหน่ายสิ้นหวัง รัฐบาลแก้วิกฤติเศรษฐกิจไม่ได้ ก่อนเลือกตั้งพรรคพลังประชารัฐมั่นใจมากว่าจะชนะพรรคเพื่อไทยถึง 20,000 คะแนน แต่ผลคะแนนที่ออกมาห่างกันไม่มาก พรรคเพื่อไทยกลับมีคะแนนเพิ่มมากขึ้น 20,000 คะแนนจากการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2562 พิสูจน์ชัดว่า ประชาชนเอือมระอา เบื่อหน่ายรัฐบาลพลังประชารัฐและระบอบประยุทธ์มากแค่ไหน พรรคพลังประชารัฐอย่าฉวยโอกาสตีกินว่า ประชาชนพึงพอใจผลงานรัฐบาล เลยไม่คิดจะปรับปรุงการทำงานให้ดีขึ้น ถ้าโมเดล ไม่ต้องหาเสียง ไม่ต้องปราศรัยย่อย ไม่ต้องนำเสนอนโยบาย ไม่ต้องขายพรรค ไม่กล้าขึ้นรูปคู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กลัวคนจะรู้ว่าเป็นผู้สมัครจากพรรคอะไร ถึงวันเลือกตั้งค่อยใช้วิธีบริหารจัดการแบบพิเศษ แล้วสามารถมีผลคะแนนที่ดีได้ โมเดลการหาเสียงอาจเปลี่ยนไป ในสนามนี้ผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย ขอสงวนสิทธิ์ ในการที่จะร้องให้มีการตรวจสอบการเลือกตั้งที่อาจไม่สุจริตและเที่ยงธรรมต่อไป พรรคเพื่อไทย หัวใจคือประชาชน เชื่อมั่นในพลังบริสุทธิ์ของประชาชน การเดินเข้าหาและฟังเสียงประชาชน ทำให้ได้ผลคะแนนที่ใสสะอาด บริสุทธิ์ ทุกคะแนนคือความภาคภูมิใจที่ได้ยืนหยัดเคียงข้างพี่น้องประชาชน ส่วนพรรคที่ได้คะแนนมากกว่า รู้ดีว่าลุ้นเหนื่อยแค่ไหน กว่าจะผ่านพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยของประชาชน
"ชวลิต" เปรียบรัฐบาลมะม่วงสุก เจอลมพัดเดี๋ยวก็ร่วง
"ชวลิต" เปรียบเปรย "รัฐบาลประยุทธ์" เหมือนมะม่วงที่สุกงอม เพียงลมจากปากประชาชนที่เบื่อ ก็สั่นคลอนจนหลุดจากขั้ว
นายชวลิต วิชยสุทธิ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และ ส.ส.นครพนม ให้ความเห็นว่า การยุบพรรคอนาคตใหม่เป็นผลพวงหนึ่ง ที่เกิดภายหลังการรัฐประหารและการสืบทอดอำนาจของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่บริหารประเทศต่อเนื่องยาวนานเป็นเวลาถึง 6 ปี
ผลจากการรัฐประหารและการสืบทอดอำนาจดังกล่าว เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า ประเทศชาติขาดความเชื่อมั่นอย่างรุนแรง โดยมีผลสะเทือนตามมาทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และการต่างประเทศ โดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจ ปากท้อง กระทบกระเทือนอย่างทึ่สุด จนมิอาจปฏิเสธได้ เพราะประชาชนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า
ลำพังปัญหาการเมืองที่ไม่มีเสถียรภาพก็หนักหนาอยู่แล้ว เพราะออกแบบมาเพื่อการสืบทอดอำนาจของตนเองและพวกพ้อง แต่ลืมคิดประเด็นความเชื่อมั่นประเทศซึ่งเป็นผลประโยชน์ของชาติ ซึ่งส่งผลให้รัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาของประเทศได้ จนทำให้ประชาชนเบื่อหน่ายรัฐบาลที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนได้ และปัญหาได้จมลึกลงไปเรื่อย ๆ จนยากจะเยียวยา
ยิ่งเกิดกรณีการยุบพรรคอนาคตใหม่ ที่สังคมทั้งไทยและต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป เห็นว่าขัดกับหลักประชาธิปไตย ยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ภายในประเทศให้เบื่อหน่ายรัฐบาลมากยิ่งขึ้นถึงขั้นสุกงอม เพราะมองไม่เห็นหนทางว่า รัฐบาลจะแก้ไขปัญหาของประเทศได้ มีแต่จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง
นายชวลิต กล่าวในที่สุดว่า ผมเชื่อว่า หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ซึ่งจะมีข้อมูลความล้มเหลวในการบริหารประเทศ ตลอดจนข้อมูลการทุจริต คอรัปชั่น เผยแพร่ต่อสาธารณะอย่างแพร่หลาย เพราะประชาชนมีจิตใจจดจ่อติดตามสถานการณ์ ที่สุกงอมแล้ว สุกงอมอีก อย่างใกล้ชิด
ที่ผมกล่าวว่า สถานการณ์สุกงอมนั้น หมายถึง ประชาชนถึงขั้น "เบื่อ" รัฐบาลชุดนี้แล้ว จนอาจเปรียบเปรยได้ว่า มะม่วงมันสุกแล้ว เพียงลมจากปากประชาชนก็สามารถสั่นคลอนจนมะม่วงหลุดจากขั้วร่วงลงสู่พื้นดิน
นายชวลิต วิชยสุทธิ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และ ส.ส.นครพนม ให้ความเห็นว่า การยุบพรรคอนาคตใหม่เป็นผลพวงหนึ่ง ที่เกิดภายหลังการรัฐประหารและการสืบทอดอำนาจของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่บริหารประเทศต่อเนื่องยาวนานเป็นเวลาถึง 6 ปี
ผลจากการรัฐประหารและการสืบทอดอำนาจดังกล่าว เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า ประเทศชาติขาดความเชื่อมั่นอย่างรุนแรง โดยมีผลสะเทือนตามมาทั้งทางด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และการต่างประเทศ โดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจ ปากท้อง กระทบกระเทือนอย่างทึ่สุด จนมิอาจปฏิเสธได้ เพราะประชาชนเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า
ลำพังปัญหาการเมืองที่ไม่มีเสถียรภาพก็หนักหนาอยู่แล้ว เพราะออกแบบมาเพื่อการสืบทอดอำนาจของตนเองและพวกพ้อง แต่ลืมคิดประเด็นความเชื่อมั่นประเทศซึ่งเป็นผลประโยชน์ของชาติ ซึ่งส่งผลให้รัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหาของประเทศได้ จนทำให้ประชาชนเบื่อหน่ายรัฐบาลที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนได้ และปัญหาได้จมลึกลงไปเรื่อย ๆ จนยากจะเยียวยา
ยิ่งเกิดกรณีการยุบพรรคอนาคตใหม่ ที่สังคมทั้งไทยและต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป เห็นว่าขัดกับหลักประชาธิปไตย ยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ภายในประเทศให้เบื่อหน่ายรัฐบาลมากยิ่งขึ้นถึงขั้นสุกงอม เพราะมองไม่เห็นหนทางว่า รัฐบาลจะแก้ไขปัญหาของประเทศได้ มีแต่จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง
นายชวลิต กล่าวในที่สุดว่า ผมเชื่อว่า หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ซึ่งจะมีข้อมูลความล้มเหลวในการบริหารประเทศ ตลอดจนข้อมูลการทุจริต คอรัปชั่น เผยแพร่ต่อสาธารณะอย่างแพร่หลาย เพราะประชาชนมีจิตใจจดจ่อติดตามสถานการณ์ ที่สุกงอมแล้ว สุกงอมอีก อย่างใกล้ชิด
ที่ผมกล่าวว่า สถานการณ์สุกงอมนั้น หมายถึง ประชาชนถึงขั้น "เบื่อ" รัฐบาลชุดนี้แล้ว จนอาจเปรียบเปรยได้ว่า มะม่วงมันสุกแล้ว เพียงลมจากปากประชาชนก็สามารถสั่นคลอนจนมะม่วงหลุดจากขั้วร่วงลงสู่พื้นดิน
"อนุดิษฐ์" ยืนยัน อภิปรายไม่ไว้วางใจฯ ประชาชนไม่ผิดหวัง
"อนุดิษฐ์" ชี้การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ เปรียบเสมือนการกระชากหน้ากากของวิญญูชนจอมปลอมให้สังคมได้เห็น โดยยืนยันว่าฝ่ายค้านจะไม่ทำให้ประชาชนผิดหวังอย่างแน่นอน
น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ ฝ่ายค้านจะไม่ทำให้ประชาชนผิดหวัง แม้รัฐบาลจะตั้งวอร์รูมนอกสภาไว้คอยกดดัน หรือมีการยุบพรรคอนาคตใหม่ตัดหน้าการอภิปราย แต่พรรคอนาคตใหม่ก็สามารถจัดผู้อภิปรายมาทำหน้าที่ได้ไม่ต่างจากแกนนำคนสำคัญที่ถูกตัดสิทธิ์ไป ดังนั้นจึงขอให้ประชาชนติดตามการอภิปรายครั้งแรกในรอบ 6 ปีของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ให้ดี เพราะฝ่ายค้านมีข้อมูลทีเด็ดหลายเรื่อง แม้รัฐบาลอาจเก็งข้อสอบถูกบ้าง แต่ด้วยข้อหาความผิดมากมาย จึงเชื่อว่าคนที่ถูกอภิปรายเองก็คงคาดไม่ถึงว่าฝ่ายค้านสามารถนำข้อมูลลับออกมาได้อย่างไร
ในรอบ 6 ปีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ ทำอะไรก็ไม่ผิด เพราะไม่มีใครกล้าตรวจสอบ แถมยังเขียนนิรโทษกรรมตัวเองและพวกพ้องเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ จึงทำอะไรบางเรื่องแบบไม่เห็นหัวประชาชน แต่วันนี้มีสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ฝ่ายค้านจะไม่ยอมให้รัฐบาลทำอะไรตามอำเภอใจอีกต่อไป ซึ่งตนเองเชื่อว่ารัฐบาลเองก็คงจะรู้ดีว่ารัฐมนตรีของตัวเองไม่สามารถตอบได้ทุกเรื่อง จึงต้องคิดเกมปั่นป่วนทั้งในและนอกสภาเพื่อเบี่ยงเบนประเด็น แทนที่จะเอาเวลาไปให้รัฐมนตรีตอบ สะท้อนให้เห็นความหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด และ การไม่ยอมรับการตรวจสอบในระบบรัฐสภาของฝ่ายค้าน
"ตอนนี้รัฐบาลกลัวถึงขนาดที่มีกระแสข่าวเรื่องการข่มขู่กันเองว่า หากได้รับเสียงโหวตไม่เท่าคนอื่นก็จะนำเรื่องทุจริตของรัฐมนตรีอีกฝ่ายมาแฉ หรือจะจัดการเรื่องครอบครองที่ดินโดยไม่ถูกต้อง หากไม่โหวตให้ ซึ่งเข้าข่ายแบล็คเมล์อย่างชัดเจน จึงหวังว่ากระแสข่าวเหล่านี้คงจะไม่เกิดขึ้น หากรัฐบาลชุดนี้โปร่งใสไร้เรื่องทุจริตอย่างที่โฆษณามาตลอด 6 ปี"น.อ.อนุดิษฐ์กล่าว
น.อ.อนุดิษฐ์กล่าวต่ออีกว่า ครั้งนี้ฝ่ายค้านจะอภิปรายแบบมียุทธศาสตร์ที่เชื่อมโยงเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยพยานหลักฐานที่อ้างอิงได้ ซึ่งเชื่อว่าเมื่อประชาชนได้รู้ความจริงในสิ่งที่ถูกปกปิดเอาไว้ก็จะไม่ยอมให้รัฐบาลชุดนี้อยู่ต่อไปอย่างแน่นอน แม้รัฐบาลจะมีเสียงข้างมากในสภา แต่ก็คงไม่สามารถสู้กับเสียงของประชาชนที่นับวันจะเบื่อหน่าย สิ้นหวังกับรัฐบาลชุดนี้ ที่ทำอะไม่เป็น แก้เศรษฐกิจไม่ได้ เก่งแต่เฉพาะการแจกเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ กับการพูดไปเรื่อยเปื่อย หาสาระอะไรแทบไม่ได้เลย
"จากโพลของสวนดุสิต สะท้อนว่าตอนนี้คนไทยมาถึงจุดที่ต้องพึ่งตัวเอง เพราะไม่สามารถพึ่งหวังรัฐบาลได้ ทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ถือเป็นสัญญาณอันตรายของรัฐบาล และยิ่งมีการยุบพรรคการเมืองด้วยเหตุผลที่ค้านกับความรู้สึกของคนทั่วไป ก็ยิ่งจะทำให้คนส่วนใหญ่คงจะไม่ทนกับรัฐบาลนี้อีกต่อไป เมื่อมาประกอบกับการอภิปรายที่เปรียบเสมือนการกระชากหน้ากากของวิญญูชนจอมปลอมให้สังคมได้เห็น ก็เชื่อว่ารัฐบาลนี้จะอยู่ได้ไม่นานอย่างแน่นอน" น.อ.อนุดิษฐ์กล่าวทิ้งท้าย
น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ยืนยันว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ ฝ่ายค้านจะไม่ทำให้ประชาชนผิดหวัง แม้รัฐบาลจะตั้งวอร์รูมนอกสภาไว้คอยกดดัน หรือมีการยุบพรรคอนาคตใหม่ตัดหน้าการอภิปราย แต่พรรคอนาคตใหม่ก็สามารถจัดผู้อภิปรายมาทำหน้าที่ได้ไม่ต่างจากแกนนำคนสำคัญที่ถูกตัดสิทธิ์ไป ดังนั้นจึงขอให้ประชาชนติดตามการอภิปรายครั้งแรกในรอบ 6 ปีของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ให้ดี เพราะฝ่ายค้านมีข้อมูลทีเด็ดหลายเรื่อง แม้รัฐบาลอาจเก็งข้อสอบถูกบ้าง แต่ด้วยข้อหาความผิดมากมาย จึงเชื่อว่าคนที่ถูกอภิปรายเองก็คงคาดไม่ถึงว่าฝ่ายค้านสามารถนำข้อมูลลับออกมาได้อย่างไร
ในรอบ 6 ปีที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ ทำอะไรก็ไม่ผิด เพราะไม่มีใครกล้าตรวจสอบ แถมยังเขียนนิรโทษกรรมตัวเองและพวกพ้องเอาไว้ในรัฐธรรมนูญ จึงทำอะไรบางเรื่องแบบไม่เห็นหัวประชาชน แต่วันนี้มีสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ฝ่ายค้านจะไม่ยอมให้รัฐบาลทำอะไรตามอำเภอใจอีกต่อไป ซึ่งตนเองเชื่อว่ารัฐบาลเองก็คงจะรู้ดีว่ารัฐมนตรีของตัวเองไม่สามารถตอบได้ทุกเรื่อง จึงต้องคิดเกมปั่นป่วนทั้งในและนอกสภาเพื่อเบี่ยงเบนประเด็น แทนที่จะเอาเวลาไปให้รัฐมนตรีตอบ สะท้อนให้เห็นความหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด และ การไม่ยอมรับการตรวจสอบในระบบรัฐสภาของฝ่ายค้าน
"ตอนนี้รัฐบาลกลัวถึงขนาดที่มีกระแสข่าวเรื่องการข่มขู่กันเองว่า หากได้รับเสียงโหวตไม่เท่าคนอื่นก็จะนำเรื่องทุจริตของรัฐมนตรีอีกฝ่ายมาแฉ หรือจะจัดการเรื่องครอบครองที่ดินโดยไม่ถูกต้อง หากไม่โหวตให้ ซึ่งเข้าข่ายแบล็คเมล์อย่างชัดเจน จึงหวังว่ากระแสข่าวเหล่านี้คงจะไม่เกิดขึ้น หากรัฐบาลชุดนี้โปร่งใสไร้เรื่องทุจริตอย่างที่โฆษณามาตลอด 6 ปี"น.อ.อนุดิษฐ์กล่าว
น.อ.อนุดิษฐ์กล่าวต่ออีกว่า ครั้งนี้ฝ่ายค้านจะอภิปรายแบบมียุทธศาสตร์ที่เชื่อมโยงเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยพยานหลักฐานที่อ้างอิงได้ ซึ่งเชื่อว่าเมื่อประชาชนได้รู้ความจริงในสิ่งที่ถูกปกปิดเอาไว้ก็จะไม่ยอมให้รัฐบาลชุดนี้อยู่ต่อไปอย่างแน่นอน แม้รัฐบาลจะมีเสียงข้างมากในสภา แต่ก็คงไม่สามารถสู้กับเสียงของประชาชนที่นับวันจะเบื่อหน่าย สิ้นหวังกับรัฐบาลชุดนี้ ที่ทำอะไม่เป็น แก้เศรษฐกิจไม่ได้ เก่งแต่เฉพาะการแจกเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ กับการพูดไปเรื่อยเปื่อย หาสาระอะไรแทบไม่ได้เลย
"จากโพลของสวนดุสิต สะท้อนว่าตอนนี้คนไทยมาถึงจุดที่ต้องพึ่งตัวเอง เพราะไม่สามารถพึ่งหวังรัฐบาลได้ ทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ถือเป็นสัญญาณอันตรายของรัฐบาล และยิ่งมีการยุบพรรคการเมืองด้วยเหตุผลที่ค้านกับความรู้สึกของคนทั่วไป ก็ยิ่งจะทำให้คนส่วนใหญ่คงจะไม่ทนกับรัฐบาลนี้อีกต่อไป เมื่อมาประกอบกับการอภิปรายที่เปรียบเสมือนการกระชากหน้ากากของวิญญูชนจอมปลอมให้สังคมได้เห็น ก็เชื่อว่ารัฐบาลนี้จะอยู่ได้ไม่นานอย่างแน่นอน" น.อ.อนุดิษฐ์กล่าวทิ้งท้าย
"การุณ" ดักทางประยุทธ์ เตือนหยุดโวยวายในสภาฯ
“การุณ” เตือน “ประยุทธ์” ตั้งสติอย่าโวยวายในสภา ชี้รัฐบาลทำประชาชนทุกข์ยากและหมดศรัทธา ฝ่ายค้านต้องชำแหละ
วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2563 นายการุณ โหสกุล ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคเพื่อไทย เปิดเผยถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นกลไกการทำงานของสภาผู้แทนราษฎร ที่จะตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล ว่า ที่ผ่านมาบริหารประเทศตามแนวนโยบายที่ให้ไว้กับรัฐสภา และทำตามสัญญาที่รับปากไว้กับประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ ซึ่งเป็นการทำงานตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด และเป็นไปตามหลักการถ่วงดุลอำนาจ
ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ และพวกพ้อง ไม่ให้ความสำคัญกับการทำงานของสภาผู้แทนราษฏร โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีที่หลีกเลี่ยงไม่มาตอบกระทู้สดในสภา ดังนั้นการอภิปรายไม่ไว้วางใจจึงเป็นเครื่องมือการตรวจสอบการทำงานขั้นสูงสุดของฝ่ายนิติบัญญัติต่อฝ่ายบริหาร ที่พล.อ.ประยุทธ์ ไม่สามารถหลบหนีได้อีกต่อไป จึงขอให้ประชาชนติดตามดูอย่างต่อเนื่อง
นายการุณ กล่าวต่อว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี บริหารประเทศต่อเนื่อง 6 ปี พบว่าการดำเนินชีวิตของประชาชนลำบาก การค้าขายฝืดเคือง เศรษฐกิจพังพินาศ โรงงานอุตสาหกรรมปิดกิจการนับพันแห่ง คนตกงานนับล้านคน กระทบเศรษฐกิจในครัวเรือน จนเกิดปรากฎการณ์ คนฆ่าตัวตายรายวัน นี่คือผลจากการบริหารราชการที่ไร้ความสามารถของหัวหน้าทีมเศรษฐกิจที่ชื่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
“ที่ผ่านมา ฝ่ายค้านรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริง หลักฐานที่มีอยู่ เพื่อนำมาตรวจสอบรัฐบาลอย่างเข้มข้นและตรงไปตรงมา ขอเตือนว่ารัฐบาลจะอยู่ลำบากขึ้นเรื่อยๆ เพราะประชาชนทุกข์ยาก หมดศรัทธา และไม่เหลือความหวังกับพลเอกประยุทธ์ อีกต่อไปเราจะเน้นการอภิปรายให้ตรงปัญหา และชี้ให้เห็นว่านโยบายของรัฐบาลไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชน การใช้จ่ายเงินภาษีประชาชนไร้ประสิทธิภาพ และเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุน อยากให้พลเอกประยุทธ์ และคณะ ตั้งสติให้ดี อย่าใช้อารมณ์ชี้แจงในการอภิปราย อย่าเอานิสัยโวยวายมาใช้ในสภา เพราะรัฐสภาไม่ใช่ค่ายทหาร” นายการุณกล่าว
วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2563 นายการุณ โหสกุล ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคเพื่อไทย เปิดเผยถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นกลไกการทำงานของสภาผู้แทนราษฎร ที่จะตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล ว่า ที่ผ่านมาบริหารประเทศตามแนวนโยบายที่ให้ไว้กับรัฐสภา และทำตามสัญญาที่รับปากไว้กับประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ ซึ่งเป็นการทำงานตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด และเป็นไปตามหลักการถ่วงดุลอำนาจ
ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ และพวกพ้อง ไม่ให้ความสำคัญกับการทำงานของสภาผู้แทนราษฏร โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีที่หลีกเลี่ยงไม่มาตอบกระทู้สดในสภา ดังนั้นการอภิปรายไม่ไว้วางใจจึงเป็นเครื่องมือการตรวจสอบการทำงานขั้นสูงสุดของฝ่ายนิติบัญญัติต่อฝ่ายบริหาร ที่พล.อ.ประยุทธ์ ไม่สามารถหลบหนีได้อีกต่อไป จึงขอให้ประชาชนติดตามดูอย่างต่อเนื่อง
นายการุณ กล่าวต่อว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี บริหารประเทศต่อเนื่อง 6 ปี พบว่าการดำเนินชีวิตของประชาชนลำบาก การค้าขายฝืดเคือง เศรษฐกิจพังพินาศ โรงงานอุตสาหกรรมปิดกิจการนับพันแห่ง คนตกงานนับล้านคน กระทบเศรษฐกิจในครัวเรือน จนเกิดปรากฎการณ์ คนฆ่าตัวตายรายวัน นี่คือผลจากการบริหารราชการที่ไร้ความสามารถของหัวหน้าทีมเศรษฐกิจที่ชื่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
“ที่ผ่านมา ฝ่ายค้านรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริง หลักฐานที่มีอยู่ เพื่อนำมาตรวจสอบรัฐบาลอย่างเข้มข้นและตรงไปตรงมา ขอเตือนว่ารัฐบาลจะอยู่ลำบากขึ้นเรื่อยๆ เพราะประชาชนทุกข์ยาก หมดศรัทธา และไม่เหลือความหวังกับพลเอกประยุทธ์ อีกต่อไปเราจะเน้นการอภิปรายให้ตรงปัญหา และชี้ให้เห็นว่านโยบายของรัฐบาลไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชน การใช้จ่ายเงินภาษีประชาชนไร้ประสิทธิภาพ และเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุน อยากให้พลเอกประยุทธ์ และคณะ ตั้งสติให้ดี อย่าใช้อารมณ์ชี้แจงในการอภิปราย อย่าเอานิสัยโวยวายมาใช้ในสภา เพราะรัฐสภาไม่ใช่ค่ายทหาร” นายการุณกล่าว
"ชลน่าน" อัดรัฐบาลปากกล้าขาสั่น-กลัวอภิปรายไม่ไว้วางใจ
“หมอชลน่าน” ลั่นฝ่ายค้านพุ่งเป้าฟอก “ประยุทธ์” อัดรัฐอย่าปากกล้าขาสั่น มั่นใจว่าดีจริงต้องไม่มีตัวช่วย
นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เปิดเผยถึงกรณีที่พรรคพลังประชารัฐ ตั้งคณะทำงานตอบโต้พรรคร่วมฝ่ายค้าน ในการอภิปรายญัตติไม่ไว้วางใจรัฐบาล ว่า การตั้งคณะทำงานของฝ่ายรัฐบาล เพื่อตอบโต้และนำข้อมูลมาหักล้างการอภิปรายของพรรคฝ่ายค้านเพื่อหมายแก้ต่างให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ การกระทำดังกล่าว ของส.ส.รัฐบาล เป็นเรื่องน่าละอาย และไม่ควรเกิดขึ้น การตรวจสอบการทำงานรัฐบาลของพรรคฝ่ายค้าน เป็นกลไกตามรัฐธรรมนูญ ในระบบรัฐสภา
การตั้งทีมตอบโต้ของรัฐบาลและข่มขู่ฝ่ายค้าน จากการเห็นรายชื่อคณะทำงานแล้วไม่น่าจะมีอะไรใหม่ เป็นเพียงการใช้สำนวนโวหาร หรือ ปั้นน้ำเป็นตัว แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมปากกล้าขาสั่น และต้องการปกปิดความผิดพลาดในการบริหารประเทศของรัฐบาลที่ต้องตั้งคณะทำงานปกปิดความผิดตัวเอง น่าละอายมาก ถ้าเชื่อมั่นจริงว่าที่ผ่านมาทำงานจริงและทำดีจริงแล้วก็ไม่ต้องกลัว สิ่งที่ฝ่ายค้านจะอภิปราย
นายแพทย์ชลน่าน กล่าวว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้เป็นครั้งแรกหลังจากรัฐบาลบริหารประเทศต่อเนื่องมา 5 ปี ที่ พลเอกประยุทธ์ ไร้ฝีมือ ไร้ประสิทธิภาพ บริหารประเทศล้มเหลว นำประเทศชาติเข้าสู่วิกฤติเศรษฐกิจ และการเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนใกล้ชิดรัฐบาล
“อยากขอให้ประชาชนติดตามการอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ ประชาชนจะรับรู้ความจริง ที่พลเอกประยุทธ์ บอกว่าไม่เคยทำอะไรผิดและไม่หวังผลประโยชน์อื่น จะเป็นจริงตามที่พูดหรือไม่ ฝ่ายค้านจะเปิดเผยความจริงที่พลเอกประยุทธ์ปกปิดไว้ทั้งหมด” นายแพทย์ชลน่านกล่าว
นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เปิดเผยถึงกรณีที่พรรคพลังประชารัฐ ตั้งคณะทำงานตอบโต้พรรคร่วมฝ่ายค้าน ในการอภิปรายญัตติไม่ไว้วางใจรัฐบาล ว่า การตั้งคณะทำงานของฝ่ายรัฐบาล เพื่อตอบโต้และนำข้อมูลมาหักล้างการอภิปรายของพรรคฝ่ายค้านเพื่อหมายแก้ต่างให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ การกระทำดังกล่าว ของส.ส.รัฐบาล เป็นเรื่องน่าละอาย และไม่ควรเกิดขึ้น การตรวจสอบการทำงานรัฐบาลของพรรคฝ่ายค้าน เป็นกลไกตามรัฐธรรมนูญ ในระบบรัฐสภา
การตั้งทีมตอบโต้ของรัฐบาลและข่มขู่ฝ่ายค้าน จากการเห็นรายชื่อคณะทำงานแล้วไม่น่าจะมีอะไรใหม่ เป็นเพียงการใช้สำนวนโวหาร หรือ ปั้นน้ำเป็นตัว แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมปากกล้าขาสั่น และต้องการปกปิดความผิดพลาดในการบริหารประเทศของรัฐบาลที่ต้องตั้งคณะทำงานปกปิดความผิดตัวเอง น่าละอายมาก ถ้าเชื่อมั่นจริงว่าที่ผ่านมาทำงานจริงและทำดีจริงแล้วก็ไม่ต้องกลัว สิ่งที่ฝ่ายค้านจะอภิปราย
นายแพทย์ชลน่าน กล่าวว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้เป็นครั้งแรกหลังจากรัฐบาลบริหารประเทศต่อเนื่องมา 5 ปี ที่ พลเอกประยุทธ์ ไร้ฝีมือ ไร้ประสิทธิภาพ บริหารประเทศล้มเหลว นำประเทศชาติเข้าสู่วิกฤติเศรษฐกิจ และการเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มทุนใกล้ชิดรัฐบาล
“อยากขอให้ประชาชนติดตามการอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ ประชาชนจะรับรู้ความจริง ที่พลเอกประยุทธ์ บอกว่าไม่เคยทำอะไรผิดและไม่หวังผลประโยชน์อื่น จะเป็นจริงตามที่พูดหรือไม่ ฝ่ายค้านจะเปิดเผยความจริงที่พลเอกประยุทธ์ปกปิดไว้ทั้งหมด” นายแพทย์ชลน่านกล่าว
วันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563
"เพื่อไทย" แพร่แถลงการณ์ ให้กำลังใจ "อนาคตใหม่"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พรรคเพื่อไทยเผยแพร่แถลงการณ์พรรคเพื่อไทย เรื่อง ยุบพรรคอนาคตใหม่ ต่อสื่อมวลชน โดยมีเนื้อหาดังนี้
จากเหตุการณ์ที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคอนาคตใหม่ และตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค 10 ปี ทางพรรคเพื่อไทยรู้สึกเสียใจกับคำตัดสินดังกล่าว ซึ่งส่งผลกระทบกับสมาชิกพรรค อนาคตใหม่ และประชาชนผู้สนับสนุนอีกกว่า 6 ล้านคน
ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา พรรคอนาคตใหม่และพรรคเพื่อไทย ยืนยันหลักการเดียวกันคือ “ต่อต้านการสืบทอดอำนาจ คสช.” ระหว่างทาง ทั้งสองพรรคได้ยืนหยัดต่อสู้ในอุดมการณ์ ดังกล่าว แม้จะต้องเผชิญอุปสรรคต่างๆ เป็นอย่างมากก็ตาม
ทั้งระบบกลไกการเลือกตั้งที่ไม่เป็นธรรม การแทรกแซงด้วยอำนาจรัฐ ซึ่งพรรคเพื่อไทยและพรรคอนาคตใหม่ต่างก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกันมาโดยตลอด
พรรคเพื่อไทยขอเป็นกำลังใจให้ผู้บริหารและสมาชิกพรรคอนาคตใหม่ทุกท่านและมั่นใจว่าสมาชิกผู้ร่วมเดินทางในเส้นทางประชาธิปไตยทุกท่านจะยังคงไม่ท้อถอย รักษาอุดมการณ์ และมีกำลังใจในการเดินหน้าทำหน้าที่เพื่อรักษาประชาธิปไตยต่อไป
โดยพรรคเพื่อไทยจะคงยึดมั่นอุดมการณ์ ในการรักษาระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างมั่นคง และจะร่วมเดินหน้าเคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้ร่วมอุดมการณ์ประชาธิปไตยทุกท่าน เพื่อต่อสู้กับการใช้อำนาจไม่เป็นธรรม ที่จ้องทำลายระบอบประชาธิปไตยของเราต่อไป
พรรคเพื่อไทย
21 กุมภาพันธ์ 2563
จากเหตุการณ์ที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคอนาคตใหม่ และตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรค 10 ปี ทางพรรคเพื่อไทยรู้สึกเสียใจกับคำตัดสินดังกล่าว ซึ่งส่งผลกระทบกับสมาชิกพรรค อนาคตใหม่ และประชาชนผู้สนับสนุนอีกกว่า 6 ล้านคน
ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา พรรคอนาคตใหม่และพรรคเพื่อไทย ยืนยันหลักการเดียวกันคือ “ต่อต้านการสืบทอดอำนาจ คสช.” ระหว่างทาง ทั้งสองพรรคได้ยืนหยัดต่อสู้ในอุดมการณ์ ดังกล่าว แม้จะต้องเผชิญอุปสรรคต่างๆ เป็นอย่างมากก็ตาม
ทั้งระบบกลไกการเลือกตั้งที่ไม่เป็นธรรม การแทรกแซงด้วยอำนาจรัฐ ซึ่งพรรคเพื่อไทยและพรรคอนาคตใหม่ต่างก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกันมาโดยตลอด
พรรคเพื่อไทยขอเป็นกำลังใจให้ผู้บริหารและสมาชิกพรรคอนาคตใหม่ทุกท่านและมั่นใจว่าสมาชิกผู้ร่วมเดินทางในเส้นทางประชาธิปไตยทุกท่านจะยังคงไม่ท้อถอย รักษาอุดมการณ์ และมีกำลังใจในการเดินหน้าทำหน้าที่เพื่อรักษาประชาธิปไตยต่อไป
โดยพรรคเพื่อไทยจะคงยึดมั่นอุดมการณ์ ในการรักษาระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างมั่นคง และจะร่วมเดินหน้าเคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้ร่วมอุดมการณ์ประชาธิปไตยทุกท่าน เพื่อต่อสู้กับการใช้อำนาจไม่เป็นธรรม ที่จ้องทำลายระบอบประชาธิปไตยของเราต่อไป
พรรคเพื่อไทย
21 กุมภาพันธ์ 2563
“กิตติรัตน์” หนุนจัดสรรทรัพยากรกันใหม่ แก้ปัญหาเศรษฐกิจ
“กิตติรัตน์” แนะรัฐนำแนวคิด "การจัดสรรทรัพยากรกันใหม่ (Re-Matching Resources)" แก้ปัญหาเศรษฐกิจและผลกระทบจากไวรัสโควิด-19
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะอดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 จะส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจของไทยเป็นวงกว้างและลึก ทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งจะมากกว่าที่เข้าใจกันว่าจะกระทบเพียงธุรกิจการท่องเที่ยว โดยโควิด-19 จะกระทบทั้งภาคการผลิต การส่งออกและนำเข้า เนื่องจากปัจจุบันจีนเป็นประเทศที่มีความสำคัญกับห่วงโซ่อุปทานของภาคการผลิตในหลายประเทศทั่วโลก และมีบทบาทสำคัญต่อการค้าของสหรัฐ เยอรมัน ญี่ปุ่น และเกาหลีในสัดส่วนที่มากที่สุด
ในปีที่ผ่านมาจีนมีการขนส่งสินค้าสำเร็จรูป และกึ่งสำเร็จรูปทางทะเลในสัดส่วนถึงร้อยละ 14 ของโลก, สินค้ากลุ่มเคมีร้อยละ 12, อาหารแห้งร้อยละ 2 ขณะที่จีนนำเข้าอาหารแห้งในสัดส่วนสูงสุดที่ร้อยละ 35, ผลิตภัณฑ์เคมีร้อยละ 20, แก๊ส ร้อยละ 18, น้ำมันและพลังงานร้อยละ 16 และการขนส่งสินค้าทางทะเลร้อยละ 7 หากจีนปิดการขนส่งสินค้าในเมืองสำคัญจะกระทบต่อการผลิตของโลก เนื่องจากวัตถุดิบส่วนประกอบที่หลายประเทศต้องนำเข้าจากจีน หากไม่มีวัตถุดิบจากจีน การผลิตสินค้าขั้นปลาย (Finished Goods) จะมีต้นทุนที่สูงขึ้น เพราะผู้ผลิตจะต้องนำเข้าวัตถุดิบจากแหล่งอื่นซึ่งมีราคาสูงกว่า คาดว่าในระยะเวลา 1-2 เดือนนี้จะเห็นผลกระทบชัดเจน ทั้งด้านความขาดแคลนสินค้า และราคาสินค้า
ขณะที่ภาคการส่งออกของประเทศต่างๆ ที่ขายเข้าไปในประเทศจีนย่อมจะเกิดปัญหา โดยเฉพาะสินค้าเกษตรของไทยเริ่มได้รับผลกระทบ เนื่องจากจีนระงับการสั่งซื้อจำนวนมาก ทำให้สินค้าเกษตรล้นตลาดและราคาสินค้าตกต่ำ โดยพบว่าสินค้ากลุ่มทุเรียน รังนก กุ้ง ได้รับผลกระทบแล้ว
อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เสนอแนะให้รัฐบาลนำเอาแนวคิด "การจัดสรรทรัพยากรกันใหม่ (Re-Matching Resources)" ซึ่งเป็นแนวคิดที่ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เคยแนะนำแนวคิดนี้ไว้ว่าให้เคลื่อนย้ายทรัพยากรที่เหลือใช้จากจุดหนึ่ง ไปใช้ประโยชน์อีกจุดที่ต้องการ โดยไม่มุ่งใช้งบประมาณอย่างสิ้นเปลือง ซึ่งเป็นหลักการที่ควรเร่งนำมาใช้ได้ดีในประเทศไทย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามวิกฤตเช่นนี้ โดยควรเร่งทำก่อนที่จะเสียหายมากจนยากที่จะเยียวยาแก้ไข เช่น ให้ภาครัฐ และองค์กรผู้แทนธุรกิจเอกชน เร่งหารือกับภาคการผลิตที่เคยส่งไปขายที่จีนว่าจะเบนทิศทางไปยังตลาดใดแทนด้วยความช่วยเหลือสนับสนุนกันและกันของรัฐและเอกชน (ซึ่งย่อมรวมถึงภาคการเงินด้วย) หรือแม้แต่การแก้ปัญหาระยะยาวอย่าง การแก้ไขปัญหาน้ำแล้ง โดยจ้างงานเกษตรกรที่ประสบปัญหาน้ำไม่เพียงพอต่อการเพาะปลูก หรือได้รับความเดือดร้อนจากภัยแล้ง มาร่วมกันแก้ไขปัญหาน้ำขาดแคลน อย่างการขุดบ่อชลประทานทั้งขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดย่อม ซึ่งจะส่งผลดีเป็นทวีคูณเมื่อวิกฤตการคลี่คลายลง ในระยะสั้น เกษตรกรมีรายได้ไปใช้จ่ายประทังคุณภาพชีวิต แต่ไม่ใช่ได้เงินรับแจกแบบให้ทานโดยไม่เกิดประโยชน์ ยังมีประเด็นอื่นอีกมากทั้งเรื่องใหญ่ ไปจนถึงเรื่องเล็กๆ ที่เราจะร่วมไม้ร่วมมือกันทำได้ ด้วยการนำของภาครัฐ แต่ขอไม่เสนอในที่นี้ด้วยเกรงว่าผู้มีอำนาจจะเกิดทิฐิ จนกลายเป็นดื้อดึงไม่ยอมทำ
“ขอยืนยันหลักคิดที่ว่า "ในทุกวิกฤต มีโอกาสซ่อนอยู่" หาให้พบ "จับคู่ (Re-matching)" ให้ได้ ให้ทันเวลา แล้วเราจะผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน” นายกิตติรัตน์ กล่าว
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะอดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 จะส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจของไทยเป็นวงกว้างและลึก ทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งจะมากกว่าที่เข้าใจกันว่าจะกระทบเพียงธุรกิจการท่องเที่ยว โดยโควิด-19 จะกระทบทั้งภาคการผลิต การส่งออกและนำเข้า เนื่องจากปัจจุบันจีนเป็นประเทศที่มีความสำคัญกับห่วงโซ่อุปทานของภาคการผลิตในหลายประเทศทั่วโลก และมีบทบาทสำคัญต่อการค้าของสหรัฐ เยอรมัน ญี่ปุ่น และเกาหลีในสัดส่วนที่มากที่สุด
ในปีที่ผ่านมาจีนมีการขนส่งสินค้าสำเร็จรูป และกึ่งสำเร็จรูปทางทะเลในสัดส่วนถึงร้อยละ 14 ของโลก, สินค้ากลุ่มเคมีร้อยละ 12, อาหารแห้งร้อยละ 2 ขณะที่จีนนำเข้าอาหารแห้งในสัดส่วนสูงสุดที่ร้อยละ 35, ผลิตภัณฑ์เคมีร้อยละ 20, แก๊ส ร้อยละ 18, น้ำมันและพลังงานร้อยละ 16 และการขนส่งสินค้าทางทะเลร้อยละ 7 หากจีนปิดการขนส่งสินค้าในเมืองสำคัญจะกระทบต่อการผลิตของโลก เนื่องจากวัตถุดิบส่วนประกอบที่หลายประเทศต้องนำเข้าจากจีน หากไม่มีวัตถุดิบจากจีน การผลิตสินค้าขั้นปลาย (Finished Goods) จะมีต้นทุนที่สูงขึ้น เพราะผู้ผลิตจะต้องนำเข้าวัตถุดิบจากแหล่งอื่นซึ่งมีราคาสูงกว่า คาดว่าในระยะเวลา 1-2 เดือนนี้จะเห็นผลกระทบชัดเจน ทั้งด้านความขาดแคลนสินค้า และราคาสินค้า
ขณะที่ภาคการส่งออกของประเทศต่างๆ ที่ขายเข้าไปในประเทศจีนย่อมจะเกิดปัญหา โดยเฉพาะสินค้าเกษตรของไทยเริ่มได้รับผลกระทบ เนื่องจากจีนระงับการสั่งซื้อจำนวนมาก ทำให้สินค้าเกษตรล้นตลาดและราคาสินค้าตกต่ำ โดยพบว่าสินค้ากลุ่มทุเรียน รังนก กุ้ง ได้รับผลกระทบแล้ว
อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เสนอแนะให้รัฐบาลนำเอาแนวคิด "การจัดสรรทรัพยากรกันใหม่ (Re-Matching Resources)" ซึ่งเป็นแนวคิดที่ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เคยแนะนำแนวคิดนี้ไว้ว่าให้เคลื่อนย้ายทรัพยากรที่เหลือใช้จากจุดหนึ่ง ไปใช้ประโยชน์อีกจุดที่ต้องการ โดยไม่มุ่งใช้งบประมาณอย่างสิ้นเปลือง ซึ่งเป็นหลักการที่ควรเร่งนำมาใช้ได้ดีในประเทศไทย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามวิกฤตเช่นนี้ โดยควรเร่งทำก่อนที่จะเสียหายมากจนยากที่จะเยียวยาแก้ไข เช่น ให้ภาครัฐ และองค์กรผู้แทนธุรกิจเอกชน เร่งหารือกับภาคการผลิตที่เคยส่งไปขายที่จีนว่าจะเบนทิศทางไปยังตลาดใดแทนด้วยความช่วยเหลือสนับสนุนกันและกันของรัฐและเอกชน (ซึ่งย่อมรวมถึงภาคการเงินด้วย) หรือแม้แต่การแก้ปัญหาระยะยาวอย่าง การแก้ไขปัญหาน้ำแล้ง โดยจ้างงานเกษตรกรที่ประสบปัญหาน้ำไม่เพียงพอต่อการเพาะปลูก หรือได้รับความเดือดร้อนจากภัยแล้ง มาร่วมกันแก้ไขปัญหาน้ำขาดแคลน อย่างการขุดบ่อชลประทานทั้งขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดย่อม ซึ่งจะส่งผลดีเป็นทวีคูณเมื่อวิกฤตการคลี่คลายลง ในระยะสั้น เกษตรกรมีรายได้ไปใช้จ่ายประทังคุณภาพชีวิต แต่ไม่ใช่ได้เงินรับแจกแบบให้ทานโดยไม่เกิดประโยชน์ ยังมีประเด็นอื่นอีกมากทั้งเรื่องใหญ่ ไปจนถึงเรื่องเล็กๆ ที่เราจะร่วมไม้ร่วมมือกันทำได้ ด้วยการนำของภาครัฐ แต่ขอไม่เสนอในที่นี้ด้วยเกรงว่าผู้มีอำนาจจะเกิดทิฐิ จนกลายเป็นดื้อดึงไม่ยอมทำ
“ขอยืนยันหลักคิดที่ว่า "ในทุกวิกฤต มีโอกาสซ่อนอยู่" หาให้พบ "จับคู่ (Re-matching)" ให้ได้ ให้ทันเวลา แล้วเราจะผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน” นายกิตติรัตน์ กล่าว
วันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563
"เพื่อไทย" เผยชื่อ "ยุทธการอรุณรุ่ง" เพราะต้องการดับ "จันทร์โอชา"
ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช กรรมการกิจการพิเศษ และหัวหน้าศูนย์ข้อมูลสารสนเทศ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีรายบุคคลในครั้งนี้ คือหน้าที่ของฝ่ายค้าน ตามระบบรัฐสภา ซึ่งการอภิปรายจะอยู่บนเนื้อหาของญัตติ ถูกต้องตามข้อบังคับและกฎหมายที่กำหนด โดยถ้าหากฝ่ายรัฐบาลคิดว่าไม่มีบาดแผล ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องคอยแต่ประท้วง จนทำให้ทุกฝ่ายต้องเสียเวลา เพราะการกระทำแบบนี้ไม่สร้างสรรค์ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ก็ออกมาพูดเองว่า พร้อมที่จะชี้แจงในทุกเรื่อง และตนก็ยังเห็นเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจว่าทำไม ส.ส. ฝ่ายรัฐบาลบางคนยังไม่รู้หน้าที่ของตนเองว่าเวทีนี้คือเวทีที่ฝ่ายค้านใช้ในการซักฟอกรัฐบาล ไม่ใช่เวทีของฝ่ายรัฐบาลที่จะมาตรวจสอบการทำงานของฝ่ายค้าน โดยในครั้งนี้ขอยืนยันอีกครั้งว่าทางฝ่ายค้านของเรามีการเตรียมความพร้อมในการอภิปรายแล้ว 100% ทั้งผู้อภิปราย หลักฐานและมีใบเสร็จพร้อมเช็คบิลรัฐมนตรีทั้ง 6 คน พร้อมทั้งยังเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมอีกว่าข้อมูลที่มีจะทำให้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่ลำบากแน่นอน
การที่พรรคเพื่อไทย เปิด “ยุทธการอรุณรุ่ง” หรือ “Dawn Battle” นั้น ก็เพื่อ ที่จะเปิดเผยตีแผ่ความจริงต่อสาธารณะ โดยเราพร้อมแล้วที่จะทำเพื่อให้ประชาชนได้รับรู้ถึงการทำงาน ที่ไร้ความสามารถของรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ โดยถึงเวลาแล้วที่ประชาชนคนไทยจะต้องดับ “จันทร์โอชา” เพราะเมื่อเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้น พระจันทร์ ก็ต้องตกลงไป ตามกฏเกณฑ์ของธรรมชาติ ซึ่งระยะเวลา 6 ปี ที่ผ่านมานั้นรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ อยู่อย่างสบายมาโดยตลอด เพราะยังไม่เคยถูกตรวจสอบอย่างจริงจัง เนื่องจากมีข้อจำกัดและกฎกติกาที่ถูกกำหนดไว้ ดังนั้นการอภิปรายในครั้งนี้จะทำให้สังคมไทยได้รับรู้รับทราบถึงข้อเท็จจริงต่างๆ ของการบริหารราชการที่ถูกปิดบังซ่อนเร้นไว้ โดยการบริหารราชการที่ผิดพลาดเพราะขาดประสิทธิภาพนั้น ทำให้เศรษฐกิจของประเทศไทยตกต่ำ บริษัท ร้านค้าต้องทยอยปิดตัว ทำให้คนไทยตกงาน และคนไม่มีกำลังซื้อ ส่งผลให้หนี้สาธารณะพุ่งสูงถึง 6.9 ล้านล้านบาท หรือสาเหตุที่หนี้สาธารณะสูงขึ้นถึงขนาดนี้นั้น เป็นเพราะรัฐบาลนี้หาเงินไม่เป็น ดีแต่จะกู้เงิน ปัญหาต่างๆ ทั้งพืชผลทางเกษตรที่ตกต่ำ ข้าวของราคาแพง โครงการบ้านมั่นคงสำหรับผู้มีรายได้น้อย แต่ค่าไฟกลับแพง เพราะในหลายแห่งนั้นใช้ระบบมิเตอร์รวม และแทนที่จะนำงบประมาณมาสร้างรถไฟฟ้าในเมือง เพื่อแก้ไขปัญหารถติด ฝุ่นพิษ PM2.5 เกินมาตรฐาน แต่กลับทำโครงการสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน เป็นยุทธศาสตร์ที่ถูกต้องแล้วหรือ? ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ กล่าว
วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563
"พิชัย" ห่วงเศรษฐกิจไทยทรุดยาวฟื้นยาก แนะรัฐตัดงบทหาร
"พิชัย" หวั่น เศรษฐกิจไทยทรุดยาวฟื้นยาก แนะ รัฐบาล คิดให้เป็น เปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส เสนอตัดงบทหาร ลดช่องว่างดอกเบี้ย ปรับโครงสร้างภาษี ก่อนจะบานปลาย
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน กล่าวในงานเสวนาเรื่อง การอภิปรายไม่ไว้วางใจ จัดโดยสภาที่ 3 และ คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 ที่สมาคมนักข่าวฯ ว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาสสุดท้ายปีที่แล้วขยายตัวได้เพียง 1.6% ซึ่งถือว่าต่ำมาก ตำ่ที่สุดใน 21 ไตรมาส ทำให้ทั้งปี 2562 เศรษฐกิจไทยขยายได้เพียง 2.4% ต่ำที่สุดในรอบ 5 ปี ทั้งที่ต้นปีรัฐบาลบอกเองว่าจะโตได้ 4 % แต่กลับลดต่ำลงมาอย่างหนัก
เศรษฐกิจไทยที่ย่ำแย่ในปี 2562 โดยเฉพาะในไตรมาสสุดท้าย ไทยยังไม่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรน่า (โควิท-19) เลย แสดงถึงความเสื่อมถอยของเศรษฐกิจไทยอย่างรุนแรง และยังเป็นความล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจ และปีนี้เศรษฐกิจไทยจะยิ่งทรุดจากผลกระทบของไวรัสโควิท-19 และจะขยายตัวต่ำลงจากปีที่แล้ว
คำถามที่คาใจประชาชนคือ หากหลังจาก วิกฤตการณ์ไวรัสโควิท-19 ผ่านพ้นไปแล้ว เศรษฐกิจไทยจะกลับมาขยายตัวได้อย่างไร ในเมื่อเสาหลักเศรษฐกิจได้เสื่อมถอยหมดแล้ว และที่ผ่านมารัฐบาลยังไม่ได้แก้ไขปรับปรุงปัญหาต่างๆเลย ดังนั้นในภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่นี้ รัฐบาลควรคิดให้เป็นโดยพลิกวิกฤตเป็นโอกาส ดำเนินการแก้ไขปรับปรุงแก้ปัญหา 12 ข้อ ดังนี้
1. ปรับลดส่วนต่างดอกเบี้ยเงิบฝากและดอกเบี้ยเงินกู้ ของระบบธนาคารพาณิชย์ ทั้งนี้เพราะธนาคารกำไรเกินควร ในขณะที่เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำเพียง 2.4% แต่ ธนาคารพาณิชย์กลับมีผลกำไรเพิ่มขึ้นถึง 30.8% เป็นเช่นนี้แล้วรัฐบาลจะไม่ถูกครหาว่าเอื้อประโยชน์แก่นายทุนได้อย่างไร
2. ปรับลดราคาพลังงานโดยปรับทั้งโครงสร้าง ทั้งราคาหน้าโรงกลั่น ราคาเอทานอล รวมถึงราคาไฟฟ้า ทั้งนี้เพราะในภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ แต่บริษัทพลังงานยังมีกำไรที่สูงมาก และโครงสร้างราคาพลังงานยังมีการบิดเบือน
3. ปรับปรุงโครงสร้างภาษีเพื่อให้เกิดความยุติธรรม และ ลดความเหลื่อมล้ำผู้มีรายได้สูง มีทรัพย์สินมาก นายทุนและเจ้าสัว ควรต้องจ่ายภาษีให้รัฐมากขึ้น เพื่อจะได้นำเงินมาช่วยพัฒนาประเทศและช่วยเหลือสนับสนุนประชาชนผู้ด้อยโอกาส อย่างเช่น การปรับปรุงภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ปัจจุบันยังมีโครงสร้างการเก็บภาษีที่บิดเบี้ยว
4. ตัดงบทางการทหาร เพื่อมาช่วยประชาชนที่กำลังยามลำบาก งบทางการทหารเพิ่มขึ้นอย่างมากตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ดังนั้นในภาวะที่เศรษฐกิจย่ำแย่ และยังไม่มีภัยคุกคามเด่นชัด งบทางการทหารควรต้องปรับลดเพื่อนำมาใช้พัฒนาประเทศทางด้านเศรษฐกิจ
5. ตั้งหน่วยงานพิเศษเพื่อรับมือกับการยิงกราด และ การฆ่าตัวตาย หรือ การฆ่าตัวตายพร้อมครอบครัว ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเกิดเพิ่มขึ้น จากภาวะความเครียดของประชาชน ทั้งนี้หลังจากโศกนาฏกรรมทหารกราดยิงที่โคราช ก็ปรากฏการลอกเลียนแบบแล้วอย่างน้อย 2 หน แต่โชคดีที่ยังไม่มีผู้เสียชีวิต โดยส่วนใหญ่ความเครียดเกิดจากปัญหาทางเศรษฐกิจ
6. ผู้นำประเทศจะต้องนำการเจรจาหาข้อเสนอไม่ให้โรงงานย้ายหนีออกจากไทย โดยล่าสุด จีเอ็มได้ขายโรงงานให้จีนและถอนตัวจากไทย ก่อนหน้านี้ มาสด้า โยกย้ายฐานการผลิตบางรุ่นกลับญี่ปุ่น เป็นต้น โดยอยากให้ดูตัวอย่าง ผู้นำสหรัฐที่เจรจาและมีข้อเสนอไม่ให้โรงงานย้ายออก
7. ต้องเร่งแก้ไขเรื่องฝุ่นละออง PM 2.5 จากโรงงานอุตสาหกรรม ดังเห็นได้จากคลิปถ่ายหมอกควันดำจำนวนมากจากโรงงานอุตสาหกรรมในเขตอุตสาหกรรมฝั่งตะวันออก อีกทั้ง วางแผนการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าในอนาคตเพื่อลดปัญหาฝุ่น PM 2.5
8. รักษาค่าเงินบาทให้อ่อนค่าลง และ คงความอ่อนค่าไว้ ค่าเงินบาทได้อ่อนลงจากปัญหาเศรษฐกิจที่ไทยกำลังประสบ ดังนั้นรัฐบาลและแบงก์ชาติต้องถือโอกาสนี้คงความอ่อนค่าของบาทไว้อย่าปล่อยให้แข็งค่าอีก
9. เร่งหารายได้ จากการเจรจาแหล่งพลังงานใน พื้นที่ทับซ้อน ไทย กัมพูชา โดยไม่ต้องพูดถึงการแบ่งเขตแดนที่ถกเถียงกันไม่จบ เพื่อขุดก๊าซธรรมชาติ สร้างรายได้ให้ประเทศ และ พัฒนาธุรกิจต่อเนื่อง อีกทั้งนำมาลดราคาค่าพลังงานให้กับประชาชน โดยจะทำให้ประเทศไทยได้รายได้เพิ่มขึ้นปีละหลายแสนล้านบาท ก่อนที่ในอนาคตโลกอาจจะไม่ใช้ก๊าซแล้วก็เป็นได้ ซึ่งถึงตอนนั้นอาจจะไม่มีค่าเลย อีกทั้ง รัฐบาลต้องคิดหาทางเพิ่มรายได้ให้ประเทศทางด้านอื่นๆ เช่น โครงการคลองไทย หรือ โครงการแลนด์บริดจ์ในพื้นที่ภาคใต้
10. สนับสนุน และ ปรับปรุงสิทธิประโยชน์การส่งเสริมการลงทุนเพื่อให้บริษัทเทคโนโลยีสตาร์ทอัพของไทยแข่งกับบริษัทต่างชาติได้ โดยไม่ปล่อยให้บริษัทต่างประเทศครอบงำธุรกิจเทคโนโลยีของประเทศไทยทั้งหมด อีกทั้งเร่งส่งเสริมธุรกิจเทคโนโลยีไทยให้เกิดขึ้นเร็วที่สุด เพื่อสร้างเอสเคิร์ฟอย่างแท้จริง
11. แก้ไขปัญหาการใช้อำนาจรัฐ และ ที่ดินของรัฐโดยผิดกฎหมาย โดยยกตัวอย่างการคืนที่ให้กับกรมธนารักษ์ ของ กองทัพบก ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดี และ ให้รัฐเร่งพัฒนาพื้นที่เพื่อประโยชน์ของประเทศโดยรวม
12. รัฐต้องเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่แนวทางการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป จะต้องทำเพื่อให้เกิดการสร้างงาน ไม่ใช่แจกเงินสะเปะสะปะอย่างที่ผ่านมา
นี่เป็นเพียงบางตัวอย่างเท่านั้น ยังมีอีกหลายแนวทางที่รัฐบาลควรคิดได้เองและต้องเร่งทำ โดยอยากให้รัฐบาลนำไปพิจารณาปรับปรุงแก้ไขเพื่อพัฒนาประเทศ อีกทั้งต้องทำให้ประชาชนมั่นใจได้ว่า หลังจากวิกฤตการณ์ไวรัสโควิท-19 ผ่านไปแล้ว เศรษฐกิจไทยจะฟื้นกลับมาได้ ไม่ใช่ทรุดแล้วทรุดเลยอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ และหากทำไม่ได้ หรือ ทำไม่เป็น ก็ควรจะต้องออกไป เพื่อให้คนที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาบริหารประเทศแทน
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน กล่าวในงานเสวนาเรื่อง การอภิปรายไม่ไว้วางใจ จัดโดยสภาที่ 3 และ คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 ที่สมาคมนักข่าวฯ ว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาสสุดท้ายปีที่แล้วขยายตัวได้เพียง 1.6% ซึ่งถือว่าต่ำมาก ตำ่ที่สุดใน 21 ไตรมาส ทำให้ทั้งปี 2562 เศรษฐกิจไทยขยายได้เพียง 2.4% ต่ำที่สุดในรอบ 5 ปี ทั้งที่ต้นปีรัฐบาลบอกเองว่าจะโตได้ 4 % แต่กลับลดต่ำลงมาอย่างหนัก
เศรษฐกิจไทยที่ย่ำแย่ในปี 2562 โดยเฉพาะในไตรมาสสุดท้าย ไทยยังไม่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโคโรน่า (โควิท-19) เลย แสดงถึงความเสื่อมถอยของเศรษฐกิจไทยอย่างรุนแรง และยังเป็นความล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจ และปีนี้เศรษฐกิจไทยจะยิ่งทรุดจากผลกระทบของไวรัสโควิท-19 และจะขยายตัวต่ำลงจากปีที่แล้ว
คำถามที่คาใจประชาชนคือ หากหลังจาก วิกฤตการณ์ไวรัสโควิท-19 ผ่านพ้นไปแล้ว เศรษฐกิจไทยจะกลับมาขยายตัวได้อย่างไร ในเมื่อเสาหลักเศรษฐกิจได้เสื่อมถอยหมดแล้ว และที่ผ่านมารัฐบาลยังไม่ได้แก้ไขปรับปรุงปัญหาต่างๆเลย ดังนั้นในภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่นี้ รัฐบาลควรคิดให้เป็นโดยพลิกวิกฤตเป็นโอกาส ดำเนินการแก้ไขปรับปรุงแก้ปัญหา 12 ข้อ ดังนี้
1. ปรับลดส่วนต่างดอกเบี้ยเงิบฝากและดอกเบี้ยเงินกู้ ของระบบธนาคารพาณิชย์ ทั้งนี้เพราะธนาคารกำไรเกินควร ในขณะที่เศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำเพียง 2.4% แต่ ธนาคารพาณิชย์กลับมีผลกำไรเพิ่มขึ้นถึง 30.8% เป็นเช่นนี้แล้วรัฐบาลจะไม่ถูกครหาว่าเอื้อประโยชน์แก่นายทุนได้อย่างไร
2. ปรับลดราคาพลังงานโดยปรับทั้งโครงสร้าง ทั้งราคาหน้าโรงกลั่น ราคาเอทานอล รวมถึงราคาไฟฟ้า ทั้งนี้เพราะในภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ แต่บริษัทพลังงานยังมีกำไรที่สูงมาก และโครงสร้างราคาพลังงานยังมีการบิดเบือน
3. ปรับปรุงโครงสร้างภาษีเพื่อให้เกิดความยุติธรรม และ ลดความเหลื่อมล้ำผู้มีรายได้สูง มีทรัพย์สินมาก นายทุนและเจ้าสัว ควรต้องจ่ายภาษีให้รัฐมากขึ้น เพื่อจะได้นำเงินมาช่วยพัฒนาประเทศและช่วยเหลือสนับสนุนประชาชนผู้ด้อยโอกาส อย่างเช่น การปรับปรุงภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ปัจจุบันยังมีโครงสร้างการเก็บภาษีที่บิดเบี้ยว
4. ตัดงบทางการทหาร เพื่อมาช่วยประชาชนที่กำลังยามลำบาก งบทางการทหารเพิ่มขึ้นอย่างมากตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ดังนั้นในภาวะที่เศรษฐกิจย่ำแย่ และยังไม่มีภัยคุกคามเด่นชัด งบทางการทหารควรต้องปรับลดเพื่อนำมาใช้พัฒนาประเทศทางด้านเศรษฐกิจ
5. ตั้งหน่วยงานพิเศษเพื่อรับมือกับการยิงกราด และ การฆ่าตัวตาย หรือ การฆ่าตัวตายพร้อมครอบครัว ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเกิดเพิ่มขึ้น จากภาวะความเครียดของประชาชน ทั้งนี้หลังจากโศกนาฏกรรมทหารกราดยิงที่โคราช ก็ปรากฏการลอกเลียนแบบแล้วอย่างน้อย 2 หน แต่โชคดีที่ยังไม่มีผู้เสียชีวิต โดยส่วนใหญ่ความเครียดเกิดจากปัญหาทางเศรษฐกิจ
6. ผู้นำประเทศจะต้องนำการเจรจาหาข้อเสนอไม่ให้โรงงานย้ายหนีออกจากไทย โดยล่าสุด จีเอ็มได้ขายโรงงานให้จีนและถอนตัวจากไทย ก่อนหน้านี้ มาสด้า โยกย้ายฐานการผลิตบางรุ่นกลับญี่ปุ่น เป็นต้น โดยอยากให้ดูตัวอย่าง ผู้นำสหรัฐที่เจรจาและมีข้อเสนอไม่ให้โรงงานย้ายออก
7. ต้องเร่งแก้ไขเรื่องฝุ่นละออง PM 2.5 จากโรงงานอุตสาหกรรม ดังเห็นได้จากคลิปถ่ายหมอกควันดำจำนวนมากจากโรงงานอุตสาหกรรมในเขตอุตสาหกรรมฝั่งตะวันออก อีกทั้ง วางแผนการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าในอนาคตเพื่อลดปัญหาฝุ่น PM 2.5
8. รักษาค่าเงินบาทให้อ่อนค่าลง และ คงความอ่อนค่าไว้ ค่าเงินบาทได้อ่อนลงจากปัญหาเศรษฐกิจที่ไทยกำลังประสบ ดังนั้นรัฐบาลและแบงก์ชาติต้องถือโอกาสนี้คงความอ่อนค่าของบาทไว้อย่าปล่อยให้แข็งค่าอีก
9. เร่งหารายได้ จากการเจรจาแหล่งพลังงานใน พื้นที่ทับซ้อน ไทย กัมพูชา โดยไม่ต้องพูดถึงการแบ่งเขตแดนที่ถกเถียงกันไม่จบ เพื่อขุดก๊าซธรรมชาติ สร้างรายได้ให้ประเทศ และ พัฒนาธุรกิจต่อเนื่อง อีกทั้งนำมาลดราคาค่าพลังงานให้กับประชาชน โดยจะทำให้ประเทศไทยได้รายได้เพิ่มขึ้นปีละหลายแสนล้านบาท ก่อนที่ในอนาคตโลกอาจจะไม่ใช้ก๊าซแล้วก็เป็นได้ ซึ่งถึงตอนนั้นอาจจะไม่มีค่าเลย อีกทั้ง รัฐบาลต้องคิดหาทางเพิ่มรายได้ให้ประเทศทางด้านอื่นๆ เช่น โครงการคลองไทย หรือ โครงการแลนด์บริดจ์ในพื้นที่ภาคใต้
10. สนับสนุน และ ปรับปรุงสิทธิประโยชน์การส่งเสริมการลงทุนเพื่อให้บริษัทเทคโนโลยีสตาร์ทอัพของไทยแข่งกับบริษัทต่างชาติได้ โดยไม่ปล่อยให้บริษัทต่างประเทศครอบงำธุรกิจเทคโนโลยีของประเทศไทยทั้งหมด อีกทั้งเร่งส่งเสริมธุรกิจเทคโนโลยีไทยให้เกิดขึ้นเร็วที่สุด เพื่อสร้างเอสเคิร์ฟอย่างแท้จริง
11. แก้ไขปัญหาการใช้อำนาจรัฐ และ ที่ดินของรัฐโดยผิดกฎหมาย โดยยกตัวอย่างการคืนที่ให้กับกรมธนารักษ์ ของ กองทัพบก ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดี และ ให้รัฐเร่งพัฒนาพื้นที่เพื่อประโยชน์ของประเทศโดยรวม
12. รัฐต้องเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่แนวทางการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป จะต้องทำเพื่อให้เกิดการสร้างงาน ไม่ใช่แจกเงินสะเปะสะปะอย่างที่ผ่านมา
นี่เป็นเพียงบางตัวอย่างเท่านั้น ยังมีอีกหลายแนวทางที่รัฐบาลควรคิดได้เองและต้องเร่งทำ โดยอยากให้รัฐบาลนำไปพิจารณาปรับปรุงแก้ไขเพื่อพัฒนาประเทศ อีกทั้งต้องทำให้ประชาชนมั่นใจได้ว่า หลังจากวิกฤตการณ์ไวรัสโควิท-19 ผ่านไปแล้ว เศรษฐกิจไทยจะฟื้นกลับมาได้ ไม่ใช่ทรุดแล้วทรุดเลยอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ และหากทำไม่ได้ หรือ ทำไม่เป็น ก็ควรจะต้องออกไป เพื่อให้คนที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาบริหารประเทศแทน
วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563
"เพื่อไทย" เปิดตัว 8 ขุนพล ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจฯ
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยกำชับ ส.ส ให้ซักซ้อมให้ดีในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล หากพบประเด็นเรื่องทุจริต ก็อย่าให้เรื่องจบแค่วันอภิปราย แต่ต้องติดตามดำเนินคดีเพื่อรักษาผลประโยชน์ประชาชน พร้อมบอก ส.ส. ว่าหลังเสร็จศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็มีงานหนักรออยู่ คือ การลงพื้นที่แก้ปัญหาภัยแล้ง และแคมเปญ "ฝ่าวิกฤติกับพรรคเพื่อไทย" ซึ่งจะคิกออฟ วันที่ 3 มี.ค นี้ พร้อมเปืด 8 รายชื่อแรกของ ส.ส ที่ถูกวางตัวอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในส่วนของพรรคเพื่อไทย
วันนี้ในการประชุมพรรคเพื่อไทย ได้มีการเตรียมความพร้อมในการอภิปราย ไม่ไว้วางใจรัฐบาล ที่กำลังจะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า โดยคุณหญิง สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ได้กำชับให้ผู้อภิปราย มุ่งเน้น 3 ประเด็นหลัก คือ 1. ความล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาล 2. การบริหารงานที่ไร้ประสิทธิภาพ และ 3. ปัญหาทุจริตคอรัปชั่น ซึ่งในกรณีที่เป็นประเด็นการทุจริตของรัฐบาลนั้น ต้องไม่ปล่อยให้เรื่องจบแค่ในสภา แต่ต้องติดตามดำเนินคดีอย่างจริงจังเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชน และภายหลังเสร็จสิ้นการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ขอให้ ส.ส เตรียมลุยงานหนักในช่วงปิดสมัยประชุมสภา โดยแกนนำพรรคจะเดินทางลงพื้นที่ ร่วมกับ ส.ส พรรคเพื่อไทย เพื่อติดตามการแก้ไขปัญหาให้ชาวบ้าน โดยเฉพาะปัญหาภัยแล้ง และ ตั้งแต่วันที่ 3 มีนาคม 2563 พรรคเพื่อไทยจะเดินหน้าจัดแคมเปญ "ฝ่าวิกฤติกับพรรคเพื่อไทย" ซึ่งจะเป็นการผลักดันการแก้ปัญหาทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น เศรษฐกิจ สังคม หรือ สุขภาพ เป็นต้น
ในขณะที่ น.อ. อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย และนาย สุทิน คลังแสง ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน ได้ติวเข้ม ส.ส. ที่ถูกกำหนดตัวเป็นผู้อภิปรายหลัก 14 คน โดยกำชับให้เตรียมข้อมูลให้พร้อม ซึ่งพรรคจะไม่เข้าไแก้าวก่ายเนื้อหาการอภิปรายของ ส.ส. แต่ละท่าน แต่จะสนับสนุน เรื่อง อุปกรณ์ทางด้านเทคนิค และการช่วยเผยแพร่เนื้อหาการอภิปรายของ ส.ส เพื่อให้สังคมรับทราบความบกพร่องในการบริหารงานของรัฐบาล ทั้งนี้ รายชื่อส่วนหนึ่งของ ส.ส. ที่ถูกวางตัวเป็นผู้อภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้ ประกอบด้วย แกนนำพรรคและ ส.ส. ที่เป็นคนรุ่นใหม่ของพรรคซึ่งมีบทบาทโดดเด่นในสภา เช่น
1.นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์
2.น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ
3.นายสุทิน คลังแสง
4.นายศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกต
5.นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร
6.นายชลน่าน ศรีแก้ว
7.นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ และ
8.นางสาวจิราพร สินธุไพร
"ภูมิธรรม" ชวนประชาชน เกาะติดศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจฯ
นายภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้
24 ก.พ.63 ถึงเวลาตีแผ่ “ความจริง” ของพลเอกประยุทธ์และพวกที่ถูกซุกเก็บไว้ 6 ปี
สัปดาห์หน้า ตั้งแต่วันที่ 24 ก.พ. เป็นต้นไป คือช่วงเวลาสำคัญที่สุดของการทำหน้าที่ของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ในการทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลอย่างจริงจัง ด้วยการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และ รัฐมนตรีร่วมคณะอีก 5 คน
ความสำคัญของการอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้เป็นที่สนใจและเฝ้ารอของพี่น้องประชาชน เนื่องจากเกือบ 6 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังไม่เคยถูกตรวจสอบผ่านระบบรัฐสภาอย่างเข้มข้นจริงจัง แบบเปิดเผยเลยแม้แต่น้อย อันเนื่องจากข้อจำกัดและกฎกติกาที่ถูกออกแบบไว้ ทั้งๆที่มีข้อกล่าวหามากมายที่สะท้อนหรือส่งสัญญาณให้เห็นถึงความไม่โปร่งใส และความไร้ประสิทธิภาพในการบริหารบ้านเมือง
การเข้ามาบริหารประเทศของรัฐบาลภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่แม้จะมีกลไกอำนาจหลายด้านเป็นเกราะคุ้มภัย แต่ผลงานนั้นกลับเป็นที่ประจักษ์ชัดต่อสายตาประชาชนว่าไม่ได้ทำให้ประเทศก้าวหน้า หรือ ทำให้ประชาชนมีความสุขตามเพลงโฆษณาชวนเชื่อที่แต่งขึ้น ในทางตรงกันข้าม รัฐบาลภายใต้ผู้นำคนนี้กลับยิ่งฉุดรั้งความเจริญเกือบทุกด้านจนทำให้ประเทศถอยไปสู่ความล้าหลังไกลมาก ประเด็นที่แสดงผลชัดเจนคือการดำเนินนโยบายผิดพลาดหลายอย่างโดยเฉพาะนโยบายด้านเศรษฐกิจที่สร้างความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนอย่างถ้วนหน้า ประชาชนประสบความยากจนฝืดเคือง ทำมาหากินด้วยความยากลำบากกันอย่างถ้วนทั่ว
การดำเนินนโยบายที่ผิดพลาด ความไม่ชอบมาพากลในเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่น รวมทั้งการทำลายหลักการ กติกา กฎหมาย ตามหลักสากลที่สังคมโลกยอมรับในยุคที่ผู้นำครองอำนาจเบ็ดเสร็จ ล้วนแล้วแต่กระทำขึ้นด้วยความย่ามใจโดยไม่สนใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์ หรือ การตรวจสอบใด ๆ เพราะท่านสามารถบันดาล “ข้อยกเว้น” ความผิดทั้งหลายให้ท่านผู้นำและพวกพ้องได้แบบปาฏิหาริย์ทางก.ม. แม้แต่องค์กรอิสระที่ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบก็พลอยตกหลุมอำนาจจนด่างพร้อยขาดความน่าเชื่อถือไปด้วย
วันที่24 กพ.นี้…ฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร จะได้ทำหน้าที่นำความจริงทั้งหลายที่เคยถูกสงสัย ถูกตั้งคำถาม จากสังคม และพี่น้องประชาชน รวมทั้งข้อมูลต่าง ๆ ที่ซุกไว้ใต้พรมเพื่อกลบเกลื่อนความจริงมาตลอด 6 ปี เปิดเผยให้สังคมไทยได้รับทราบ การอภิปรายไม่ไว้วางใจจัดเป็นมาตรการสูงสุดในทางการเมืองที่ฝ่ายค้านจะกระทำ โดยได้กล่าวโทษพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาและรัฐมนตรีร่วมคณะอีก5คน ว่าเราไม่สามารถและไม่อาจปล่อยให้บุคคลเหล่านี้บริหารประเทศชาติสืบต่อไปอีกได้ เพราะรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์และพวกได้ทำร้ายผลประโยชน์ของประเทศชาติ ทำลายระบอบประชาธิปไตยและ หลักนิติธรรม อีกทั้งยังละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน ใช้มาตรการคุกคามในการจัดการกับคนที่มีความคิดเห็นต่าง ปล่อยปละ ละเลย ให้เกิดการทุจริตคอรัปชั่นเต็มบ้านเต็มเมือง
ผลการบริหารประเทศอย่างไร้ประสิทธิภาพ จนมาตรการการเงินและการคลังเสียสมดุลรุนแรง เศรษฐกิจและแรงงานจำนวนมากอยู่ในสภาพต้องปิดตัว ขาดการบริหารจัดการภายใต้สถานการณ์ที่มีความเปลี่ยนแปลง สะท้อนถึงการขาดศักยภาพทางการบริหาร ทำให้ประเทศเผชิญวิกฤตที่ยาวนานจนก่อความเสียหายทั้งในปัจจุบันและเกิดผลกระทบสู่อนาคต หากปล่อยให้บริหารประเทศต่อไป ประเทศจะเสียหายร้ายแรงเกินเยียวยา
การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ จะเป็นบันไดขั้นต้นที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรัฐบาล แม้ว่าในระบบนี้มือของพรรคร่วมฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรอาจจะมีไม่มากพอที่จะเอาชนะพรรคร่วมรัฐบาลได้
แต่พวกเราเชื่อว่า เสียงของพี่น้องประชาชนยังมีพลัง และเป็นพลังที่มากพอ จนสามารถทำให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะต้องคิดทบทวนอย่างหนัก ว่าจะเลือกหนทางใด .....ลาออก ปรับคณะรัฐมนตรี หรือไม่ทำอะไรเลยทนอยู่ไปวันๆ
โปรดเปิดหูและเปิดใจฟังเสียงกล่าวโทษจากตัวแทนของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศให้ดีนะครับ และควรจัดเวลาเข้าฟังการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ด้วยใจที่หนักแน่น และมีวุฒิภาวะด้วยครับ ประชาชนจะรอดูว่าผู้นำที่อ้างตัวว่าเป็น “คนดี”เช่นพวกท่านจะตอบข้อสงสัยได้กระจ่างชัดสักแค่ใหน และต้องหยุดทำตัวเป็นผู้นำที่แตะต้องไม่ได้ มีองครักษ์ทั้งในและนอกสภาที่จะทำลายบรรยากาศของการตรวจสอบเต็มไปหมด
เราทุกคนกำลังจับตาดูท่านอยู่ครับ
ภูมิธรรม เวชยชัย
ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร
18 กุมภาพันธ์ 2563
24 ก.พ.63 ถึงเวลาตีแผ่ “ความจริง” ของพลเอกประยุทธ์และพวกที่ถูกซุกเก็บไว้ 6 ปี
สัปดาห์หน้า ตั้งแต่วันที่ 24 ก.พ. เป็นต้นไป คือช่วงเวลาสำคัญที่สุดของการทำหน้าที่ของพรรคร่วมฝ่ายค้าน ในการทำหน้าที่ตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลอย่างจริงจัง ด้วยการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และ รัฐมนตรีร่วมคณะอีก 5 คน
ความสำคัญของการอภิปรายไม่ไว้วางใจในครั้งนี้เป็นที่สนใจและเฝ้ารอของพี่น้องประชาชน เนื่องจากเกือบ 6 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังไม่เคยถูกตรวจสอบผ่านระบบรัฐสภาอย่างเข้มข้นจริงจัง แบบเปิดเผยเลยแม้แต่น้อย อันเนื่องจากข้อจำกัดและกฎกติกาที่ถูกออกแบบไว้ ทั้งๆที่มีข้อกล่าวหามากมายที่สะท้อนหรือส่งสัญญาณให้เห็นถึงความไม่โปร่งใส และความไร้ประสิทธิภาพในการบริหารบ้านเมือง
การเข้ามาบริหารประเทศของรัฐบาลภายใต้การนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่แม้จะมีกลไกอำนาจหลายด้านเป็นเกราะคุ้มภัย แต่ผลงานนั้นกลับเป็นที่ประจักษ์ชัดต่อสายตาประชาชนว่าไม่ได้ทำให้ประเทศก้าวหน้า หรือ ทำให้ประชาชนมีความสุขตามเพลงโฆษณาชวนเชื่อที่แต่งขึ้น ในทางตรงกันข้าม รัฐบาลภายใต้ผู้นำคนนี้กลับยิ่งฉุดรั้งความเจริญเกือบทุกด้านจนทำให้ประเทศถอยไปสู่ความล้าหลังไกลมาก ประเด็นที่แสดงผลชัดเจนคือการดำเนินนโยบายผิดพลาดหลายอย่างโดยเฉพาะนโยบายด้านเศรษฐกิจที่สร้างความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชนอย่างถ้วนหน้า ประชาชนประสบความยากจนฝืดเคือง ทำมาหากินด้วยความยากลำบากกันอย่างถ้วนทั่ว
การดำเนินนโยบายที่ผิดพลาด ความไม่ชอบมาพากลในเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่น รวมทั้งการทำลายหลักการ กติกา กฎหมาย ตามหลักสากลที่สังคมโลกยอมรับในยุคที่ผู้นำครองอำนาจเบ็ดเสร็จ ล้วนแล้วแต่กระทำขึ้นด้วยความย่ามใจโดยไม่สนใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์ หรือ การตรวจสอบใด ๆ เพราะท่านสามารถบันดาล “ข้อยกเว้น” ความผิดทั้งหลายให้ท่านผู้นำและพวกพ้องได้แบบปาฏิหาริย์ทางก.ม. แม้แต่องค์กรอิสระที่ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบก็พลอยตกหลุมอำนาจจนด่างพร้อยขาดความน่าเชื่อถือไปด้วย
วันที่24 กพ.นี้…ฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร จะได้ทำหน้าที่นำความจริงทั้งหลายที่เคยถูกสงสัย ถูกตั้งคำถาม จากสังคม และพี่น้องประชาชน รวมทั้งข้อมูลต่าง ๆ ที่ซุกไว้ใต้พรมเพื่อกลบเกลื่อนความจริงมาตลอด 6 ปี เปิดเผยให้สังคมไทยได้รับทราบ การอภิปรายไม่ไว้วางใจจัดเป็นมาตรการสูงสุดในทางการเมืองที่ฝ่ายค้านจะกระทำ โดยได้กล่าวโทษพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาและรัฐมนตรีร่วมคณะอีก5คน ว่าเราไม่สามารถและไม่อาจปล่อยให้บุคคลเหล่านี้บริหารประเทศชาติสืบต่อไปอีกได้ เพราะรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์และพวกได้ทำร้ายผลประโยชน์ของประเทศชาติ ทำลายระบอบประชาธิปไตยและ หลักนิติธรรม อีกทั้งยังละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน ใช้มาตรการคุกคามในการจัดการกับคนที่มีความคิดเห็นต่าง ปล่อยปละ ละเลย ให้เกิดการทุจริตคอรัปชั่นเต็มบ้านเต็มเมือง
ผลการบริหารประเทศอย่างไร้ประสิทธิภาพ จนมาตรการการเงินและการคลังเสียสมดุลรุนแรง เศรษฐกิจและแรงงานจำนวนมากอยู่ในสภาพต้องปิดตัว ขาดการบริหารจัดการภายใต้สถานการณ์ที่มีความเปลี่ยนแปลง สะท้อนถึงการขาดศักยภาพทางการบริหาร ทำให้ประเทศเผชิญวิกฤตที่ยาวนานจนก่อความเสียหายทั้งในปัจจุบันและเกิดผลกระทบสู่อนาคต หากปล่อยให้บริหารประเทศต่อไป ประเทศจะเสียหายร้ายแรงเกินเยียวยา
การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ จะเป็นบันไดขั้นต้นที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรัฐบาล แม้ว่าในระบบนี้มือของพรรคร่วมฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรอาจจะมีไม่มากพอที่จะเอาชนะพรรคร่วมรัฐบาลได้
แต่พวกเราเชื่อว่า เสียงของพี่น้องประชาชนยังมีพลัง และเป็นพลังที่มากพอ จนสามารถทำให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะต้องคิดทบทวนอย่างหนัก ว่าจะเลือกหนทางใด .....ลาออก ปรับคณะรัฐมนตรี หรือไม่ทำอะไรเลยทนอยู่ไปวันๆ
โปรดเปิดหูและเปิดใจฟังเสียงกล่าวโทษจากตัวแทนของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศให้ดีนะครับ และควรจัดเวลาเข้าฟังการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ด้วยใจที่หนักแน่น และมีวุฒิภาวะด้วยครับ ประชาชนจะรอดูว่าผู้นำที่อ้างตัวว่าเป็น “คนดี”เช่นพวกท่านจะตอบข้อสงสัยได้กระจ่างชัดสักแค่ใหน และต้องหยุดทำตัวเป็นผู้นำที่แตะต้องไม่ได้ มีองครักษ์ทั้งในและนอกสภาที่จะทำลายบรรยากาศของการตรวจสอบเต็มไปหมด
เราทุกคนกำลังจับตาดูท่านอยู่ครับ
ภูมิธรรม เวชยชัย
ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร
18 กุมภาพันธ์ 2563
"เฉลิม" เปิดยุทธการ "อรุณรุ่ง" ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธานคณะกรรมการกิจการพิเศษ พรรคเพื่อไทย แถลงว่า ขณะนี้ พรรคเพื่อไทย มีความพร้อมที่สุดในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลประยุทธ์ นอกจากนี้ยังเห็นว่ารัฐบาลนี้บริหารงาน ไร้ประสิทธิภาพ พร้อมประกาศชื่อยุทธการอรุณรุ่ง และ #ประชุมสภา ในการสื่อสาร
ร้อยตำรวจเอก เฉลิม อยู่บำรุง ประธานคณะกรรมการกิจการพิเศษ พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของพรรคเพื่อไทยว่า ได้ขออนุญาตหัวหน้าและเลขาธิการพรรค ให้ชื่อการอภิปรายครั้งนี้ว่า "ยุทธการอรุณรุ่ง" แต่ไม่เปิดเผย รายละเอียดและความหมาย ซึ่งรอให้ประชาชนติดตามจาก การอภิปรายไม่ไว้วางใจก็จะรู้เอง พร้อมย้ำว่า แม้เสียงในสภาของฝ่ายค้านจะแพ้ในการลงมติ ไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลแต่การอภิปรายจะทำให้คนในรัฐบาลอาย ถึงขั้นต้องสวมหน้ากากอนามัยเดินตามท้องถนนแม้ว่าไวรัสโคโรนาหมดไปแล้วก็ตาม
ร้อยตำรวจเอกเฉลิม ยังไม่ให้ราคา คณะองครักษ์พิทักษ์รัฐบาล พร้อมตั้งฉายาให้ว่าเป็นทีม "นางงามตกรอบ" ที่สำคัญยังไม่รู้ว่าฝ่ายค้านจะอภิปรายประเด็นอะไรแต่กลับออกมาข่มขู่ว่าเตรียมตอบโต้และ เปิดเผยความผิดของฝ่ายค้านไว้แล้ว ซึ่งยืนยันว่า พรรคฝ่ายค้านไม่เคยกลัว ไม่เหมือนพรรคพลังประชารัฐที่มีปัญหาอยู่หลายคน และรัฐมนตรีบางคนเป็นผู้ต้องหาก็ยังไม่ยอมมอบตัว ซึ่งตนจะคอยดูว่าหลัง ปิดสมัยประชุมสภาผู้แทนราษฎรจะใช้เอกสิทธิ์อะไรคุ้มครอง
ร้อยตำรวจเอกเฉลิม ยืนยันว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เป็นวาระของฝ่ายค้านยื่นญัตติ ซึ่งฝ่ายรัฐบาลต้องให้โอกาสอภิปรายอย่างเต็มที่ ส่วนจะประท้วงนอกสภาฯก็ไม่เป็นไร แต่อย่าคิดว่าพรรคฝ่ายค้านเล่นเกมการเมืองนอกสภาฯไม่เป็น แต่ก็จะไม่ทำ เพราะทำงานการเมืองด้วยความสุภาพ และอย่าอ้างเรื่องความสงบหรือห้ามไม่ให้ฝ่ายค้านอภิปรายย้อนหลังถึงยุค คสช. ที่พรรคประชาธิปัตย์ ร่วมมือกับกปปส.และพลเอกประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรสงกลาโหม สร้างสถานการณ์จนนำสู่การรัฐประหาร และได้รัฐบาล คสช.ได้ทิ้ง "มรดกบาป" เอาไว้มากมาย
ร้อยตำรวจเอกเฉลิม ยังระบุถึงการที่ สนช.ซึ่งมี 72 คนมาเป็นน ส.ว.ในปัจจุบัน ได้เขียนกฎหมายอย่างฉ้อฉลเป็นมรดกบาปเอาไว้ โดยพรรคฝ่ายค้านจะต้องแก้ไขที่สำคัญ คือ
1.) แก้กฎหมายย้อนหลังในทางให้โทษที่ขัดต่อหลักสากล
2.) แก้กฎหมายโดยไม่ให้มีอายุความ
3.) พิจารณาคดีลับหลัง
ร้อยตำรวจเอกเฉลิม ยังปฏิเสธที่จะให้ความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ของพรรคอนาคตใหม่ โดยกล่าวเพียงว่า ในฐานะนักการเมืองด้วยกัน ก็ขอภาวนาให้รอดพ้นจากการถูกยุบพรรค เพราะมีการยุบพรรคมามากแล้วทั้งพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชน อย่ายุบพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้ามผู้มีอำนาจอีกเลย
"อนุดิษฐ์" ฉะ องครักษ์พิทักษ์นายกรัฐมนตรีไม่มีประโยชน์
น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเคือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้
ผมคิดว่าการจัดเตรียมองครักษ์พิทักษ์นายกรัฐมนตรี น่าจะไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะจากที่ผมได้รับทราบเนื้อหา และแนวทางของผู้อภิปรายจากทุกพรรค เชื่อว่าผู้อภิปรายทุกคนจะอภิปรายในเนื้อหาของญัตติไม่ไว้วางใจที่เป็นข้อเท็จจริงเท่านั้น จะไม่เปิดโอกาสให้องครักษ์ทั้งหลายลุกขึ้นประท้วงให้เสียเวลาสภา การวางแผนประท้วงเพื่อรบกวนการอภิปรายจึงน่าจะเป็นหมัน
และขอเตือนองครักษ์ทั้งหลายที่จะลุกขึ้นประท้วงโดยไม่ยึดข้อบังคับ ต้องการเพียงเพื่อจะปั่นป่วนการอภิปราย เพื่อเอาใจนายกรัฐมนตรี ขอให้สำนึกไว้ด้วยว่า
"การกระทำเช่นนั้นไม่ใช่การทำงานเพื่อประชาชน แต่เพื่อเป็นการรับใช้นายเท่านั้น และสุดท้ายทั้งพวกคุณและนายของคุณจะกลายเป็นตัวตลกในสายตาประชาชน"
ผมชี้แจงไปหลายครั้งแล้วว่าการอภิปรายไม่ได้ห้ามให้กล่าวถึงเนื้อหาที่เชื่อมโยงพฤติกรรมในอดีต ทั้งนี้การอภิปรายต้องสอดคล้องและเป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ หากองครักษ์ทั้งหลายจะได้กรุณาศึกษาข้อกฎหมายและข้อบังคับ จะพบว่าถ้าการอภิปรายอยู่ในเนื้อหาของญัตติ และเป็นการเชื่อมโยงเพื่อสะท้อนให้เห็นว่าทำไมนายกฯ และพวกจึงต้องถูกอภิปรายก็สามารถอภิปรายได้อย่างแน่นอน
ส่วนเรื่องกระแสงูเห่ามีมาตั้งแต่เริ่มต้นเปิดสภาผู้แทนราษฎร บ้างก็บอกว่ามี 30 ตัว บ้างก็ว่ามี 20 ตัว แต่ที่ผ่านมาก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นแค่การปล่อยข่าวหรือเป็นเพียงการร่ำลือเท่านั้น เพราะเอาเข้าจริงก็จะปรากฏงูเห่าเพียงไม่กี่คนที่ประชาชนรับรู้ในพฤติกรรมของแต่ละท่านอยู่แล้ว
ผมเองไม่ขอไปก้าวล่วงใครอยู่พรรคไหนและทำผิดอะไรก็ต้องได้รับโทษตามข้อบังคับของแต่ละพรรค แต่ที่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือพี่น้องประชาชนจะตัดสิน ส.ส.เหล่านี้ในการเลือกตั้งครั้งหน้าอย่างแน่นอนครับ
ผมคิดว่าการจัดเตรียมองครักษ์พิทักษ์นายกรัฐมนตรี น่าจะไม่เกิดประโยชน์อะไร เพราะจากที่ผมได้รับทราบเนื้อหา และแนวทางของผู้อภิปรายจากทุกพรรค เชื่อว่าผู้อภิปรายทุกคนจะอภิปรายในเนื้อหาของญัตติไม่ไว้วางใจที่เป็นข้อเท็จจริงเท่านั้น จะไม่เปิดโอกาสให้องครักษ์ทั้งหลายลุกขึ้นประท้วงให้เสียเวลาสภา การวางแผนประท้วงเพื่อรบกวนการอภิปรายจึงน่าจะเป็นหมัน
และขอเตือนองครักษ์ทั้งหลายที่จะลุกขึ้นประท้วงโดยไม่ยึดข้อบังคับ ต้องการเพียงเพื่อจะปั่นป่วนการอภิปราย เพื่อเอาใจนายกรัฐมนตรี ขอให้สำนึกไว้ด้วยว่า
"การกระทำเช่นนั้นไม่ใช่การทำงานเพื่อประชาชน แต่เพื่อเป็นการรับใช้นายเท่านั้น และสุดท้ายทั้งพวกคุณและนายของคุณจะกลายเป็นตัวตลกในสายตาประชาชน"
ผมชี้แจงไปหลายครั้งแล้วว่าการอภิปรายไม่ได้ห้ามให้กล่าวถึงเนื้อหาที่เชื่อมโยงพฤติกรรมในอดีต ทั้งนี้การอภิปรายต้องสอดคล้องและเป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ หากองครักษ์ทั้งหลายจะได้กรุณาศึกษาข้อกฎหมายและข้อบังคับ จะพบว่าถ้าการอภิปรายอยู่ในเนื้อหาของญัตติ และเป็นการเชื่อมโยงเพื่อสะท้อนให้เห็นว่าทำไมนายกฯ และพวกจึงต้องถูกอภิปรายก็สามารถอภิปรายได้อย่างแน่นอน
ส่วนเรื่องกระแสงูเห่ามีมาตั้งแต่เริ่มต้นเปิดสภาผู้แทนราษฎร บ้างก็บอกว่ามี 30 ตัว บ้างก็ว่ามี 20 ตัว แต่ที่ผ่านมาก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นแค่การปล่อยข่าวหรือเป็นเพียงการร่ำลือเท่านั้น เพราะเอาเข้าจริงก็จะปรากฏงูเห่าเพียงไม่กี่คนที่ประชาชนรับรู้ในพฤติกรรมของแต่ละท่านอยู่แล้ว
ผมเองไม่ขอไปก้าวล่วงใครอยู่พรรคไหนและทำผิดอะไรก็ต้องได้รับโทษตามข้อบังคับของแต่ละพรรค แต่ที่เหนือสิ่งอื่นใดก็คือพี่น้องประชาชนจะตัดสิน ส.ส.เหล่านี้ในการเลือกตั้งครั้งหน้าอย่างแน่นอนครับ
วันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563
"ชัชชาติ" แนะ กทม. เพิ่มงบฯห้องสมุดประชาชน
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้
เมื่อวานผมไปร่วมงานหนังสือ LIT FEST ที่มิวเซียมสยามมา เป็นงานหนังสือที่น่ารัก มีกิจกรรมหลายอย่าง มีสำนักพิมพ์หลากหลายทั้งเล็กใหญ่มาร่วมงาน ผมแบกหนังสือขึ้นรถใต้ดินกลับบ้านไปถุงใหญ่เลยครับ
หนังสือ ความรู้ การอ่าน เป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาความคิดของคนซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุดของเมือง ปัจจุบันเรามีห้องสมุดประชาชนของ กทม. อยู่ 36 แห่ง ในอนาคตเราต้องเปลี่ยนห้องสมุดเป็นศูนย์การเรียนรู้ที่น่าสนใจและทันสมัย ไม่ใช่มีแค่หนังสือแต่เป็นแหล่งความรู้ที่ให้ทุกคนสามารถมาหาความรู้ด้านต่างๆ มี Makerspace หรือพื้นที่สำหรับการสร้างสรรค์ มี 3D Printer ห้องตัดต่อ ถ่ายทำ Digital Content หนังสือ Internet และมีจำนวนกระจายให้มากกว่านี้
ถ้าเราลองมาดูงบประมาณปี 2562 ของ กทม. เรามีงบประมาณรายจ่ายประมาณ 80,000 ล้านบาท
เรามีงบประมาณที่ตั้งไว้เกี่ยวกับการรักษาความสะอาดหรือการจัดการ "ขยะ" ทั้งที่สำนักสิ่งแวดล้อมและที่เขต รวมกันประมาณ 11,848 ล้านบาท (14.81% ของงบประมาณ) ในขณะที่เรามีงบประมาณงานห้องสมุดประชาชนหรือการจัดการ "ความรู้" อยู่ที่ 210 ล้านบาท (0.26% ของงบประมาณ)
เราใช้เงินจำนวนมากในการจัดการ "ขยะ" มากกว่าการจัดการ "ความรู้" หลายสิบเท่า ถ้าเราสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการขยะ ลดค่าใช้จ่ายลงสัก 5-10% แล้วเอามาใช้ในการจัดการความรู้ เราน่าจะทำสิ่งดีๆให้ กทม. ได้อีกเยอะครับ
เมื่อวานผมไปร่วมงานหนังสือ LIT FEST ที่มิวเซียมสยามมา เป็นงานหนังสือที่น่ารัก มีกิจกรรมหลายอย่าง มีสำนักพิมพ์หลากหลายทั้งเล็กใหญ่มาร่วมงาน ผมแบกหนังสือขึ้นรถใต้ดินกลับบ้านไปถุงใหญ่เลยครับ
หนังสือ ความรู้ การอ่าน เป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาความคิดของคนซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่สุดของเมือง ปัจจุบันเรามีห้องสมุดประชาชนของ กทม. อยู่ 36 แห่ง ในอนาคตเราต้องเปลี่ยนห้องสมุดเป็นศูนย์การเรียนรู้ที่น่าสนใจและทันสมัย ไม่ใช่มีแค่หนังสือแต่เป็นแหล่งความรู้ที่ให้ทุกคนสามารถมาหาความรู้ด้านต่างๆ มี Makerspace หรือพื้นที่สำหรับการสร้างสรรค์ มี 3D Printer ห้องตัดต่อ ถ่ายทำ Digital Content หนังสือ Internet และมีจำนวนกระจายให้มากกว่านี้
ถ้าเราลองมาดูงบประมาณปี 2562 ของ กทม. เรามีงบประมาณรายจ่ายประมาณ 80,000 ล้านบาท
เรามีงบประมาณที่ตั้งไว้เกี่ยวกับการรักษาความสะอาดหรือการจัดการ "ขยะ" ทั้งที่สำนักสิ่งแวดล้อมและที่เขต รวมกันประมาณ 11,848 ล้านบาท (14.81% ของงบประมาณ) ในขณะที่เรามีงบประมาณงานห้องสมุดประชาชนหรือการจัดการ "ความรู้" อยู่ที่ 210 ล้านบาท (0.26% ของงบประมาณ)
เราใช้เงินจำนวนมากในการจัดการ "ขยะ" มากกว่าการจัดการ "ความรู้" หลายสิบเท่า ถ้าเราสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการขยะ ลดค่าใช้จ่ายลงสัก 5-10% แล้วเอามาใช้ในการจัดการความรู้ เราน่าจะทำสิ่งดีๆให้ กทม. ได้อีกเยอะครับ
"ยุทธพงศ์" เปิดข้อมูลอภิปรายฯ สั่ง "ประยุทธ์" ทนฟังไม่ได้ให้ลาออก
ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคเพื่อไทย ว่า นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม และรองประธานคณะกรรมการกิจการพิเศษ พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า จากกรณีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เร่งรัดให้มีการย้ายโรงงานยาสูบย่านคลองเตย เนื้อที่ประมาณ 400 ไร่ ที่อยู่ติดกับศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยให้ย้ายไปสวนอุตสาหกรรมโรจนะ พระนครศรีอยุธยา และจะต้องก่อสร้างอีกประมาณ 2 หมื่นล้านบาท โดยที่บริเวณนั้นเป็นพื้นที่ต่ำ เมื่อปี2554 เคยเกิดน้ำท่วมหนักมาก และถ้าในอนาคตเกิดน้ำท่วมอีกจะทำอย่างไร?
นายยุทธพงศ์ ตั้งคำถามถึงการก่อสร้างสวนสาธารณะแห่งใหม่ คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้นำเงินรายได้จากโรงงานยาสูบ มาก่อสร้างให้อีก 950ล้านบาท ก่อนหน้านี้พล.อ.ประยุทธ์ เดินทางไปยังบริเวณสวนป่าเบญจกิตติ ขอตั้งเป็นข้อสังเกตว่า เดินทางเพื่อจะไปดูว่า สวนแห่งใหม่ที่จะสร้างไปถึงไหนแล้ว โรงงานยาสูบย้ายไปหมดหรือยังใช่หรือไม่? แม้สวนแห่งนี้จะระบุเป็นการสร้างเพื่อคนกรุงเทพฯ ตนไม่เถียง แต่คนที่จะได้ประโยชน์มากสุดจากสวนแห่งนี้คือ คนที่มีบ้านอยู่ติดกับสวน พล.อ.ประยุทธ์ เคยบอก เอาโรงงานยาสูบออกไป เพื่อสร้างสวนป่าจึงย้ายโรงงานยาสูบหรือไม่?
คณะกรรมการกิจการพิเศษ พรรคเพื่อไทยเตรียมข้อมูล จะแฉ พล.อ.ประยุทธ์ ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ถ้าพล.อ.ประยุทธ์ ทนฟังไม่ได้ ยังมีเวลาภายในอาทิตย์นี้ ควรไปลาออก ก็ยังทัน แต่อย่าไปยุบสภาฯ เพราะเรื่องนี้ ส.ส.ไม่เกี่ยว ไม่เช่นนั้นคนอื่นจะเดือดร้อนด้วย
"ขอให้พล.อ.ประยุทธ์ ฟังการอภิปราย อย่าให้องครักษ์มาคอยประท้วง เพราะประชาชนต้องการฟังข้อมูลดีๆ จากการอภิปราย" นายยุทธพงศ์ กล่าว
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)