วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2561

“นพดล” ถาม “รัฐบาล คสช.” ลดงบด้านการศึกษา แล้วจะพัฒนาคุณภาพการศึกษาได้อย่างไร


#TV24 นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่าตนเห็นความพยายามของกระทรวงศึกษาธิการที่จะปฏิรูปการศึกษาในบางเรื่อง และเข้าใจว่าเป็นงานยาก แต่ถ้าเอาจริงก็มีทางสำเร็จ แต่ถ้าดูตัวเลขงบประมาณด้านการศึกษาที่ปรากฏอยู่ในเอกสารงบประมาณโดยสังเขปประจำปีงบประมาณ 2562 งบประมาณด้านการศึกษาอยู่ที่ 510,504.9 ล้านบาท ซึ่งเท่ากับร้อยละ 17 ของงบประจำปี 3 ล้านล้านบาท ซึ่งต่ำกว่างบประมาณด้านการศึกษาปี 2561 ซึ่งอยู่ที่ 523,569.4 ล้าน เท่ากับร้อยละ 17.2 ของงบทั้งหมดในปีนั้น โดยงบการศึกษาปี 2562 ลดลงประมาณ 13,000 ล้านบาทเศษ และถ้าดูในรายละเอียดจากเอกสารดังกล่าว งบด้านการวิจัยและพัฒนาด้านการศึกษาลดลง 2,000 กว่าล้านบาท ส่วนตัวเลขรายละเอียดหลังผ่านการพิจารณาของ สนช. เมื่อวานนี้คงมีการปรับตัวเลขบ้าง ซึ่งถ้าหากหลังปรับแล้ว งบประมาณด้านการศึกษาปี 2562 ยังต่ำกว่าปี 2561 นั้นหมายความว่าอย่างไร? ทำไมรัฐบาลไม่เพิ่มงบด้านนี้ทั้งๆที่คุณภาพการศึกษามีปัญหามาก ไม่ว่าอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษามีปัญหา เด็กออกจากโรงเรียนนับแสนเพราะยากจน ปัญหาโรงเรียนขนาดเล็กและในพื้นที่ห่างไกล การพัฒนาครู นอกจากนั้นแผนปฏิรูปการศึกษากำหนดให้กระทรวงศึกษาและอื่นๆต้องดำเนินการอย่างมากมายหลายเรื่อง รวมทั้งรัฐบาลจะตั้งกระทรวงอุดมศึกษาฯ อีกด้วย แล้วจะเอางบประมาณที่ไหนมารองรับ ตนจึงอยากให้รัฐบาลและกระทรวงได้ชี้แจงให้ประชาชนทราบว่าทำไมในเอกสารดังกล่าวท่านจัดงบด้านการศึกษาน้อยลง แล้วจะมีผลกระทบต่อการจัดการศึกษาให้มีคุณภาพหรือไม่? ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ปกครองทราบทิศทางการจัดการศึกษาก่อนการเลือกตั้ง ส่วนพรรคเพื่อไทยนั้นให้ความสำคัญอย่างยิ่งในเรื่องการศึกษา ช่วยรีบปลดล็อกจะได้นำเสนอแนวคิดให้ประชาชนได้พิจารณา

"อนุสรณ์" เผย เพื่อไทยเตรียมยกระดับ 30 บาทรักษาทุกโรค จี้ "ประยุทธ์" ปลดล็อกพรรคการเมือง รับฟังปัญหาประชาชน


#TV24 นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ให้การต้อนรับ นางชุมยา สวามินาถัน รองผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก และคณะทำงานเฉพาะกิจภายใต้สหประชาชาติ ที่ชื่นชมการทำงานด้านสาธารณสุข ระบุว่า "โครงการบัตรทองของไทยใช้ได้จริง สร้างความยั่งยืนด้านสุขภาพแก่ประชาชนไทย ว่าเห็น พล.อ.ประยุทธ์ ไปนั่งยิ้มสวยต้อนรับ รองผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลก ไม่แน่ใจว่าท่านทราบที่มาหลักคิดของโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ที่ทำให้คนไทยได้เข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานในการรักษาพยาบาลหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นผ่าตัดหัวใจ ไส้ติ่ง คลอดลูก ถ้าไม่มีโครงการนี้บางคนต้องเอาที่นาไปจำนองเป็นหนี้สินล้นพ้นตัวจากการรักษาพยาบาลยามเจ็บป่วย แต่เมื่อมีโครงการที่ให้หลักประกัน ให้ความมั่นคงในชีวิต จึงเกิดความมั่นใจกล้าจับจ่ายใช้สอย เกิดการหมุนเวียนของระบบเศรษฐกิจจากการใช้จ่ายภาคครัวเรือน"

นายอนุสรณ์ กล่าวต่อว่า "พล.อ.ประยุทธ์ เคยสอนประชาชนหลายครั้งว่า อย่าเลือกพวกหน้าเก่า เลือกแบบเดิมประเทศก็จะเป็นแบบเดิม เลือกแบบเดิมทุกอย่างก็ตาย จึงอยากให้ท่านลองมองอย่างให้ความเป็นธรรม ให้เครดิตกันแบบสุภาพบุรุษ จะเห็นว่า โครงการนี้เป็นโครงการที่ดี จนองค์การอนามัยโลกนำไปเป็นต้นแบบในหลายประเทศ การเลือกตั้งครั้งหน้า สิ่งที่พรรคเพื่อไทยเตรียมดำเนินการคือการต่อยอดยกระดับโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคแบบใหม่ ภายใต้ปรัชญา "ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส" อยากให้รัฐบาล คสช. รีบปลดล็อก เพื่อจะได้ไปสำรวจข้อมูลและเก็บตัวอย่างความพึงพอใจจาก แพทย์ พยาบาล บุคลากรทางสาธารณสุข และประชาชน จะทำอย่างไรให้โครงการนี้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ดีขึ้น และใช้งบประมาณของภาครัฐอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด"

"ดังนั้นการปลดล็อกพรรคการเมือง เพื่อให้สามารถไปรับฟังปัญหาของประชาชนได้ จึงเป็นสิ่งสำคัญมากกว่าการคำนึงถึงแต่ความมั่นคงของรัฐบาลคสช. เป็นหลัก แต่อาจทำให้ประชาชนสูญเสียโอกาสในการได้สะท้อนปัญหาและนำไปสู่การจัดทำนโยบายที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนต่อไป หรือไม่?" นายอนุสรณ์ กล่าว

วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2561

"วัฒนา" ซัด เผด็จการไม่มีทางเข้าใจ นโยบายประชานิยม ปลดล็อกเมื่อไหร่ จะได้เห็น ของแท้เกรดเอ


#TV24 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

การที่นายกทักษิณพูดว่ารัฐบาลนี้เป็น “ของก๊อปไร้เกรด” เพราะลอกเลียนแบบสิ่งที่รัฐบาลของท่านทำมาแทบทุกเรื่อง แต่เป็นการลอกเลียนที่ไม่เข้าใจถึงปรัชญาและวิธีคิด จึงกลายเป็นเด็กโง่แอบลอกข้อสอบเพื่อนที่สอบได้ที่หนึ่งแต่กลับสอบตก

สิ่งที่ถูกเรียกว่านโยบาย “ประชานิยม” ของพรรคไทยรักไทย เช่น “30 บาทรักษาทุกโรค” ได้แฝงปรัชญาและแนวคิดทางเศรษฐกิจที่คนลอกเลียนไม่มีทางเข้าใจ การเก็บค่ารักษา 30 บาทเท่ากันเพื่อให้เห็นว่าคนยากจนหรือคนมั่งมีล้วนมีความเป็นคนเท่ากัน และที่เก็บค่ารักษาเพียง 30 บาทแต่รักษาได้ทุกโรคเพื่อให้ประชาชนปลอดจากความกลัวไม่ต้องกังวลกับการเก็บเงินไว้เผื่อการเจ็บป่วย ประชาชนก็จะกล้าจับจ่ายใช้สอยเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ ดังนั้น การที่หัวหน้ารัฐบาลบางคนจำกัดสิทธิการรักษาพยาบาลของประชาชนแต่กลับมีเงินไปซื้ออาวุธ ทำให้ประชาชนเกิดความกลัวต้องเก็บเงินไว้เผื่อการเจ็บป่วยไม่กล้าใช้เงิน กลายเป็นผลเสียหายต่อเศรษฐกิจเพราะความด้อยปัญญาของผู้นำ

นายกทักษิณไม่เคยใช้นโยบายแจกเงิน แต่นำเงินไปลงทุนที่ทำให้เกิดการต่อยอดทางเศรษฐกิจอย่างมียุทธศาสตร์ ต่างจากรัฐบาลที่ปล้นอำนาจจากประชาชนที่คิดจะชดเชยสิ่งที่ปล้นไปด้วยการหว่านเศษเงินที่มาจากภาษีของประชาชน หรือจัดสวัสดิการขาดๆ เกินๆ แบบการสงเคราะห์คนอนาถา เช่น บัตรคนจนที่เอื้อประโยชน์กลุ่มทุนด้วยการบังคับให้ใช้เศษเงินที่แจกให้ไปซื้อของในร้านที่ตนกำหนด ผลที่ได้คือเงินเข้ากระเป๋าของคนกลุ่มหนึ่งแต่ไม่ทำให้เกิดการต่อยอดทางเศรษฐกิจ

ที่เป็นเช่นนี้เพราะเผด็จการมองประชาชนเป็นผู้ใต้การปกครอง ไม่ใช่ในฐานะคนที่มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เท่ากัน จึงไม่แปลกใจที่เสียเงินมหาศาลไปกับนโยบายที่ลอกเลียนแบบแต่กลับได้มาแค่ของเกรดต่ำ คงต้องรอวันปลดล็อกการเมืองให้นำเสนอนโยบาย วันนั้นประชาชนก็จะได้เห็นนโยบายของพรรคเพื่อไทยว่าของแท้เกรดเอเป็นอย่างไร

วัฒนา เมืองสุข
30 สิงหาคม 2561

"อนุสรณ์" แนะ คสช. ยึดประโยชน์ของ ประเทศ-ประชาชนเป็นหลัก


นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะทำการคลายล็อกให้พรรคการเมืองเคลื่อนไหวได้บางส่วนเพื่อดำเนินกิจกรรม ภารกิจตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ว่า จนถึงขณะนี้สัญญาณจากแกนนำรัฐบาลและ คสช. ยังไม่ชัดเจนในเรื่องคลายล็อกพรรคการเมือง แกนนำรัฐบาลและ คสช. ต่างคนต่างพูด ไม่เป็นเอกภาพหรือไม่ ซึ่งจะส่งผลถึงความเชื่อมั่นว่าจะมีการเลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 ได้จริงหรือไม่?

นายอนุสรณ์ กล่าวว่า ถึงแม้สถานการณ์ของรัฐบาล คสช. ที่กำลังก้าวขึ้นสู่ปีที่ 5 อาจอยู่ในสภาวะ ยื้อก็พัง เลือกตั้งก็แพ้ หรือไม่? แต่ช่วงระยะเวลาเตรียมการสู่การเลือกตั้งเป็นสิ่งสำคัญ ถ้ายึดเอาประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นตัวตั้งปัญหาจะไม่เกิด แต่หากปล่อยให้มีการเอาเปรียบกันโดยเฉพาะในช่วงสุญญากาศ ปล่อยให้กลุ่มการเมืองในเครือข่ายที่จะสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่อหลังการเลือกตั้งเอาเปรียบคนอื่นหรือไม่? มีการร้องเรียนเข้ามามากว่าขณะนี้ในหลายจังหวัดในภาคอีสาน เช่น อุบลราชธานี มีการอาศัยสถานการณ์น้ำท่วมที่จะต้องเข้าไปช่วยเหลือเยียวยาประชาชน กลับลงพื้นที่พร้อมกับว่าที่ผู้สมัครของพรรคการเมืองหรือกลุ่มการการเมืองที่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา มีการใช้ทรัพยากรของรัฐ องคาพยพส่วนราชการ หัวหน้าส่วนราชการระดับ ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบก เข้าไปดำเนินการหรือไม่?

"ในขณะที่พรรคการเมืองใดที่ไม่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์ ก็จะไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือประชาชนได้ ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้ เศรษฐกิจแย่ น้ำยังมาท่วมในหลายพื้นที่ ขอให้คิดการเมืองน้อยๆ คิดถึงบ้านเมืองให้มาก และจะดำเนินการอย่างไรที่จะนำไปสู่การจัดการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม" นายอนุสรณ์ กล่าว

"ลดาวัลลิ์" ส่งเสริมให้ผู้หญิงไทยก้าวเข้ามามีบทบาททางการเมืองเพิ่มมากขึ้น


ผู้สื่อข่าวรายงาน เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2561 นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว Ladawan Wongsriwong ว่า

วอนขอทุกพรรคการเมืองให้พื้นที่ทางการเมืองแก่ผู้หญิงเพื่อเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) สมัยหน้าให้เพิ่มจำนวนมากขึ้น ทั้งผู้หญิงที่เคยได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.มาแล้ว และผู้ที่ยังไม่เคยลงสมัครฯมาก่อน
          
สังคมไทยปัจจุบันยอมรับบทบาทของผู้หญิงตามยุคสมัยใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม คือนอกจากการทำงานเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวแล้ว ผู้หญิงยังเข้ามามีบทบาทในการบริหารกิจการของบ้านเมือง รวมถึงการบริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยผ่านการเป็นตัวแทนทางการเมือง เช่น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ผู้บริหารและสมาชิกสภาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อีกทั้งยังได้รับการยอมรับว่านักการเมืองหญิงมีความละเอียดอ่อน รอบคอบกว่าผู้ชาย รวมถึงนักการเมืองหญิงมีแนวคิดในการพัฒนาสังคม เศรษฐกิจที่เน้นไปทางด้านการส่งเสริมคุณภาพชีวิตได้ลึกซึ้งรอบด้านกว่าเพศชายที่เน้นไปทางด้านสาธารณูปโภคและสาธารณูปการ แต่ในทางสถิติกลับพบว่าจำนวนสัดส่วนของเพศหญิง ต่อเพศชายในการเข้ามาดำรงตำแหน่งทางการเมืองของประเทศไทยยังอยู่ในสัดส่วนที่น้อยกว่านานาประเทศ ดังจะเห็นว่าในการเลือกตั้งล่าสุดปี 2554 มี ส.ส.ที่เป็นผู้หญิงมีจำนวน 85 คน จาก ส.ส.ทั้งหมด 500 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 17 จากจำนวน 6 พรรค ดังนี้

พรรค                 ส.ส.บัญชี     ส.ส.เขต    รวม
เพื่อไทย                 15              34        49
ประชาธิปัตย์             6               16        22
ภูมิใจไทย                1                9         10
ชาติไทยพัฒนา         0                2          2
พลังชล                   0                1          1
ประชาธิปไตยใหม่      1                0          1
รวมทุกพรรค             23              62        85

การส่งเสริมให้ผู้หญิงไทยก้าวเข้ามามีบทบาททางการเมืองเพิ่มมากขึ้น จนกระทั่งมีสัดส่วนนักการเมืองหญิงสูงขึ้นตามมูลค่ามาตรฐานของโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ หรือ UNDP (United Nations Development Programme ) ที่กำหนดไว้คือร้อยละ 30 ในเร็ววันนี้ ก็ต้องมุ่งไปที่พรรคการเมืองทุกพรรคว่าจะให้ความสำคัญและสนับสนุนนักการเมืองหญิงมากน้อยแค่ไหน ดังนั้นในการเตรียมการเลือกตั้งนับจากวันนี้เป็นต้นไป ทุกภาคส่วนต้องช่วยกันสรรหาผู้หญิงที่มีคุณสมบัติตามกฎหมายเลือกตั้ง แล้วส่งรายชื่อให้พรรคการเมืองต่างๆพิจารณาคัดเลือกเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ที่จะมีขึ้นในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 นี้ และขอความร่วมมือจากทุกพรรคการเมืองคัดเลือกผู้สมัครทั้งระบบเขตและระบบบัญชีรายชื่อที่เป็นหญิงให้มากที่สุดอย่างน้อย 30 ต่อ 70 แม้ว่าจะมีการปรับเปลี่ยนการทำ “ไพรมารี่โหวต” หรือไม่ก็ตาม โดยเฉพาะผู้สมัครระบบบัญชีรายชื่อที่แต่ละพรรคจะต้องจัดส่งจำนวน 150 คน ให้ประชาชนเป็นคนตัดสินใจเลือกนั้น ขอให้เป็นผู้หญิงอย่างน้อย 45 คนหรือร้อยละ 30 ด้วย เพื่อสนับสนุนให้ผู้หญิงมีส่วนร่วมทางการเมือง จะได้ร่วมคิดนโยบายแก้ไขปัญหาความยากจน ปัญหาการว่างงาน ปัญหาราคาผลผลิตการเกษตรตกต่ำ ปัญหาสิ่งแวดล้อม และปัญหาสังคมที่ส่งผลกระทบต่อเด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาส และครอบครัว เป็นต้น

"ชวลิต" ชี้ สังคมจับตา ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดคดีจัดซื้อ GT200


นายชวลิต วิชยสุทธิ์ อดีตรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ให้ความเห็นกรณีมีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ท่านหนึ่งเปิดเผยความคืบหน้าการไต่สวนข้อเท็จจริงการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิด (GT 200) สรุปว่า "การจะวินิจฉัยว่า ถูกหรือผิด เป็นเรื่องยากเพราะบางครั้งไม่ได้อยู่ที่มูลค่าของเครื่อง แต่เป็นเหมือน ความเชื่อ เหมือนพระเครื่อง ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่นำไปใช้แล้วเขารู้สึกว่า คุ้มค่า"

นายชวลิต กล่าวว่า ฟังเหตุผลของกรรมการ ป.ป.ช.ท่านนั้นแล้ว "รู้สึกช็อค หัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออก" เราจะจับทุจริตได้อย่างไร หรือนี่คือวิธีดองเรื่อง หรือสองมาตรฐานตามคำร่ำลือ นึกไม่ถึงว่า ที่ ป.ป.ช.ใช้เวลานานหลายปี ยังชี้มูลความผิดคดี GT 200 ไม่ได้ เพราะจากความเชื่อดังกล่าวอย่างนั้นหรือ? สำหรับการตรวจสอบ GT 200 ในต่างประเทศ ศาลอังกฤษได้ตัดสินจำคุกประธานบริษัทผู้จำหน่าย GT 200 เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2556 เป็นเวลา 7 ปี ในข้อหาฉ้อโกง ทั้งยึดทรัพย์อีกเกือบ 400 ล้าน เพราะตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์แล้วพบว่า เป็นสินค้าหลอกลวง ไม่มีคุณภาพตามโฆษณา โดยหลังศาลอังกฤษตัดสินคดีดังกล่าว คนไทยเรียก GT 200 ว่า "ไม้ล้างป่าช้าลวงโลก" จึงไม่ทราบว่า ศาลอังกฤษจะเห็น ป.ป.ช.ไทย มีมาตรฐานในการตรวจสอบการทุจริต หรือไม่ อย่างไร? ถ้าทราบความเห็นของ ป.ป.ช.ท่านดังกล่าวแต่สำหรับคนไทยแล้ว

"ผมเชื่อว่าวิญญูชนทั่วไปเห็นว่า การตรวจสอบคุณสมบัติเครื่องตรวจวัตถุระเบิด (GT 200) ถือเป็นเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งต้องทดสอบด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น ถึงจะทราบว่ามีคุณสมบัติเหมาะสมกับราคาหรือไม่ ไม่ใช่การทดสอบด้วย "ความเชื่อ" ในเครื่องราง ของขลังอย่างแน่นอน ความเห็นของกรรมการ ป.ป.ช.ท่านนั้น จึงเป็นเรื่องแปลกประหลาดในมาตรฐานของการตรวจสอบการทุจริตอย่างยิ่ง" นายชวลิต กล่าว

นายชวลิต กล่าวต่อว่า จากการติดตามการให้ข่าวของ ป.ป.ช. ท่านดังกล่าว จาก หนังสือพิมพ์เพียงฉบับเดียว ในเวลา ไม่กี่ชั่วโมงนับจากการให้สัมภาษณ์ มีผู้แชร์ข่าวถึง 76K ไม่นับที่จะมีการแชร์ทางโซเชียลอีกมากมาย แสดงว่า สังคมสนใจมาตรฐานของ ป.ป.ช. อย่างมาก จึงน่าจะเป็นแรงกดดันให้ ป.ป.ช. ทั้งคณะได้หันมาฟังสังคมว่า สังคมคาดหวังการทำหน้าที่ของ ป.ป.ช. อย่างเที่ยงตรง ไม่สองมาตรฐาน ที่สำคัญ ศาลอังกฤษได้ลงโทษจำคุกผู้ผลิตฐานผลิต GT 200 สินค้าลวงโลกไปนานแล้ว แต่องค์กรในการตรวจสอบของประเทศไทยยัง มะงุมมะงาหราแค่การตรวจสอบข้อเท็จจริง ทั้งที่เวลาผ่านมาหลายปีแล้ว

"จาตุรนต์ ฉายแสง" การเมืองไทย: ถนนสู่การเลือกตั้ง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมา นายจาตุรนต์ ฉายแสง ในฐานะผู้แทนจากพรรคเพื่อไทย เดินทางมาร่วมงานเสวนา "การเมืองไทย: ถนนสู่การเลือกตั้ง" (Political Roadmap: The Election Ahead) ในงาน Thailand Focus 2018 : The Future is Now โอกาสการลงทุน...ไม่ต้องรออนาคต จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ณ โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ กรุงเทพฯ โดยมีผู้สนใจร่วมงานเสวนาทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศกว่า 500 คน รวมทั้งสื่อมวลชนต่างประเทศหลายสำนัก โดยดำเนินการเสวนาเป็นภาษาอังกฤษ


นายจาตุรนต์ ฉายแสง กล่าวตอบคำถามผู้ดำเนินงานเสวนา การเลือกตั้งในปี 2019 จะทำให้เกิดความมั่นคงและนำมาซึ่งประชาธิปไตยของไทยอย่างไร? ว่า "ความเร่งด่วนนั้นต้องการมาเมื่อสัก 4 ปีที่แล้ว ยิ่งทหารอยู่ในอำนาจนานเท่าไหร่ ก็ยิ่งแย่สำหรับประเทศเท่านั้น ประเทศชาติได้จ่ายแพงมากไปแล้วสำหรับการมีรัฐบาลทหารที่ไม่ได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ การลงทุนจากต่างประเทศ ไม่มากเท่าที่ควร ประชาชนก็ไม่ได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจใดๆ ของรัฐบาล รัฐบาลไม่เคยฟังเสียงประชาชน ทำให้เราเสียโอกาสไปมาก ที่ผ่านมายังไม่มีการปฏิรูปใดๆเกิดขึ้นตั้งแต่รัฐบาลนี้จัดตั้งขึ้นมา ทั้งการปฏิรูปการเมืองก็ดี หรือการปฏิรูปบ้านเมืองก็ดี ไม่มีใครบอกได้เลยว่า การปฏิรูปเกิดขึ้นตรงไหนบ้าง เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้นเร็วในระดับหนึ่ง ภาคการส่งออกโตขึ้น แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังไม่ได้รับประโยชน์ คนส่วนใหญ่บนท้องถนนยังบอกว่าเศรษฐกิจไม่ดี รายได้ไม่ดี แม้รัฐบาลจะบอกว่าเศรษฐกิจโต แต่รัฐบาลต้องดูเรื่องของการกระจายรายได้บ้าง ว่าทั่วถึงหรือไม่ ดูเหมือนรัฐบาลกับประชาชนพูดกันคนละภาษา"


ต่อคำถามที่ว่า คิดว่าจะเกิดการเลือกตั้งที่เสรีและยุติธรรมได้หรือไม่? นั้น นายจาตุรนต์ กล่าวว่า "คงไม่เป็นไปตามความคาดหวัง หลังจากมีการประกาศกฎหมายลูกออกมาบังคับใช้แล้วในเดือน กันยายน ก็ยังมีเวลาอีก 150 วัน ที่จะมีการจัดการเลือกตั้งในช่วงเวลานั้น หากต้องการเลื่อนการเลือกตั้ง ก็ทำได้โดยใช้มาตรา 44 หรือเข้าไปแก้รัฐธรรมนูญในการเลื่อนเลือกตั้ง แต่เรื่องนี้ก็ไม่ง่ายสำหรับ คสช. มากนัก เพราะอาจเสี่ยงต่อการถูกประชาชนออกมาวิจารณ์รัฐบาลได้ สิ่งที่รู้สึกคือ คสช. นั้นต้องการอยู่ในอำนาจให้นานที่สุด และสองต้องการเวลาในการเตรียมตัวเองเพื่อให้กลับมามีอำนาจอีกครั้งหลังจากการเลือกตั้ง พวกเขาพยายามทำให้พรรคการเมืองอ่อนแอลง ด้วยการใช้อำนาจทางกฎหมายบางอย่าง ทำให้เราไม่สามารถขยับตัวทำอะไรได้มากนัก ไม่สามารถมีกิจกรรมใดๆ กับประชาชน มีความพยายามทำให้การเลือกตั้งดูไร้ความหมาย เห็นได้ชัดว่าเราอยู่ภายใต้ระบบทีมีคนกลุ่มหนี่งที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในประเทศนี้ ที่อาจจะพยายามจะรักษาอำนาจไว้ที่กลุ่มของตัวเอง”


ผู้ดำเนินงานเสวนา ถามว่า มีอะไรบ้างที่พรรคการเมืองควรมีจุดยืนร่วมกัน? นายจาตุรนต์ กล่าวว่า ผมพยายามที่จะบอกว่าอะไรที่มีประโยชน์ต่อประเทศบ้าง และพรรคการเมืองควรจะมาร่วมมือ ใน 4 ประเด็น ที่ตรงข้ามกับแผนยุทธศาสตร์ของทาง คสช. ที่พยายามจะทำให้พรรคการเมืองอ่อนแอลง ผมเสนอว่า พรรคการเมืองควรจะ

1. หาทางทำให้ คสช. ให้ยกเลิกกฏเกณฑ์ต่างๆ ที่ห้ามไม่ให้พรรคการเมืองดำเนินการใดๆ
2. พรรคการเมืองควรร่วมมือกันผลักดันให้เกิดการเลือกตั้งเสรี
3. หาทางป้องกัน คสช. ไม่ให้ตั้งรัฐบาล โดยบอกให้ประชาชนรู้ว่าเราไม่สนับสนุนรัฐบาลทหาร
4. พรรคการเมืองควรจะมีจุดยืนร่วมกันเรียกร้องไม่ให้มีการแก้ไขกฎหมายที่เอื้อให้ คสช. กลับมาเป็นรัฐบาล นี่เป็นสิ่งที่พรรคการเมืองควรจะมาร่วมมือกัน เร็วที่สุดยิ่งดี


ผู้ดำเนินงานเสวนา ถามว่า พรรคของคุณจะผลักดันนโยบายอะไรกันบ้าง? นายจาตุรนต์ กล่าวว่า "ผมคิดว่านโยบายเศรษฐกิจจะเป็นนโยบายหลักของพรรคเรา และเป็นเรื่องที่ประชาชนต้องการ การเติบโตและความมั่นคง เป็นสิ่งที่ประชาชนคาดหวัง พอๆกับเรื่องของการกระจายรายได้ เราควรให้ประชาชนมีโอกาสได้เข้าถึงแหล่งเงินทุน มีโอกาสสร้างธุรกิจ"





วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2561

“วิชาญ” เตือนนายกฯ ทบทวน แก้ไข พ.ร.บ.กทม. ชี้ อาจเกิดปัญหาดูแลไม่ทั่วถึง


นายวิชาญ มีนชัยนันท์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ ส.ส.กรุงเทพมหานคร เขตมีนบุรี กล่าวถึง กรณีการปรับปรุงแก้ไข พ.ร.บ.ท้องถิ่น 6 ฉบับ การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นนั้น โดยสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ตนอยากถามไปยังนายกรัฐมนตรีว่าท่านทราบหรือไม่ว่าร่าง พ.ร.บ. กทม. (ฉบับที่..) พ.ศ. .. ฉบับนี้มีการแก้ไขโดยยกเลิก สมาชิกสภาเขต (ส.ข.) แถมลดจำนวน สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) ลง

นายวิชาญ กล่าวว่า ทั้งนี้เพราะดูจากเนื้อหาแล้วทำให้เห็นว่าการแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ของรัฐบาลชุดนี้กลับทิ้งประชาชน คน กทม. ไว้ข้างหลัง อาทิเช่น เดิมให้มี ส.ก. อย่างน้อยเขตละ 1 คน โดยคำนึงถึงจำนวนประชากรเป็นหลักเช่น เขตสายไหม ประชากร 200,000 คนก็มี ส.ก. ในพื้นที่ดังกล่าว 2 คน แต่วันนี้กลับถอยหลังเข้าคลอง โดยให้มี ส.ก. เขตละ 1 คนเท่านั้นซึ่งในทางปฎิบัติ ทำให้ประชาชนไม่สามารถมีโอกาสเข้าถึงส่วนราชการได้ เพราะเขตใหญ่มีประชากร 200,000 คน แต่กลับมีตัวแทนแค่ 1 คน ส่วนเขตสัมพันธวงศ์ มีประชากรไม่ถึง 25,000 คน ก็มี ส.ก. 1 คนแค่คิดก็ผิดตรรกะการบริหารราชการแผ่นดินแล้ว

นายวิชาญ กล่าวต่อไปว่า วันนี้ กทม. มี 50 เขต มาถึง 20 ปี ไม่เคยมีการปรับเปลี่ยนตามประชากรที่เพิ่มขึ้น ทำให้ทุกวันนี้ เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำของประชาชน ใน กทม. ในด้านการให้บริการทำให้การดูแลประชาชนไม่ทั่วถึง

"นอกจากนี้ตนไม่ทราบว่า นายกรัฐมนตรี รู้หรือไม่ว่า พ.ร.บ. กทม. ฉบับนี้ซับซ้อนยากต่อการเข้าใจของประชาชนไว้หลายประเด็น เช่น สมาชิกสภาเขต (ส.ข.) ที่ดูเหมือนจะคงไว้ใน พ.ร.บ. ฉบับนี้ แต่เมื่อไปดู มาตรา 25 วรรค 2 จะเห็นว่า ซับซ้อนไม่เกิดความชัดเจน ซึ่งแปลความก็คือ บัญญัติให้เป็นการยกเลิก ส.ข.(แช่แข็ง) ไปโดยปริยาย ทั้งๆที่ ส.ข. คือ ผู้ประสานงาน และช่วยเหลือราชการได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นไปตามหลักการกระจายอำนาจ ตนเชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ คงไม่ทราบในประเด็นเหล่านี้แน่นอน ตนจึงเข้าชี้แจงและนำเสนอต่อคณะกรรมการกฤษฎีกาในวันนี้ และอยากเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ เรียกเรื่องนี้กลับมาทบทวนดู ซึ่งไม่ทราบว่ามีใครไปทำให้เกิดความสับสนและให้หลงประเด็นหรือไม่?" นายวิชาญกล่าว


“อนุสรณ์” แนะ คสช. ปลดล็อกพรรคการเมือง สร้างบรรยากาศประชาธิปไตย


#TV24 นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี รัฐบาล คสช. จะคลายล็อกทางการเมือง ว่า "ไม่เหนือความคาดหมายที่จะทำเพียงแค่การคลายล็อกไม่ใช่การปลดล็อก ทั้งที่ประชาชนสะท้อนความเห็นผ่านช่องทางต่างๆว่าอยากเห็นการปลดล็อกพรรคการเมือง เพื่อนำไปสู่การรับฟังปัญหาของพี่น้องประชาชนและกิจกรรมทางการเมืองอื่นๆ ไม่ใช่เพียงแค่การคลายล็อก ซึ่งอาจสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาล คสช. ยังคงไม่ไว้วางใจฝ่ายการเมืองหรือไม่? ทั้งที่ คสช. มีเครื่องมือและเครือข่ายในการบริหารจัดการมากมาย ผลงานเด่นของ คสช. ที่คุยมาตลอด 4 ปีกว่าที่ผ่านมา คือเรื่องรักษาความสงบเรียบร้อย พรรคการเมืองต่างๆก็ไม่ได้เคลื่อนไหวจนถือเป็นภัยความมั่นคงแห่งรัฐ ส่วนประเด็นที่เป็นห่วงว่าจะมีการโจมตีกันทางโซเชียลมีเดียนั้น คสช. มีบุคลากรและหน่วยงานต่างๆกำกับดูแล ใครทำผิดก็ดำเนินคดีได้อยู่แล้ว แต่อย่าหาเหตุมาเหมารวมเพื่อจะไม่ปลดล็อกเลย ประชาชนจับตาดูอยู่ ใครทำอะไร"

นายอนุสรณ์ กล่าวต่อว่า "วันนี้ทุกฝ่ายควรสร้างบรรยากาศที่เป็นประชาธิปไตย เพื่อเตรียมการนำประเทศกลับไปสู่การเลือกตั้ง อะไรที่จะเป็นการดำเนินการเพื่อให้วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 เป็นวันเลือกตั้งได้จริง ต้องช่วยกันส่งสัญญาณที่จะลดความหวาดระแวง และสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน นักลงทุน ทั้งในประเทศ ต่างประเทศ การเมืองยุคใหม่ แข่งขันกันที่นโยบายว่าแนวนโยบายของพรรคไหน จะตอบโจทย์แก้ไขปัญหาความยากจน แก้เศรษฐกิจปากท้อง ปัญหาหนี้ครัวเรือน กำลังซื้อที่หดหาย คนตกงานราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ใครจะช่วยพี่น้องประชาชนได้ ไม่มีอะไรต้องหวาดระแวง ถ้ามีคนที่พึงพอใจในนโยบายของรัฐบาลปัจจุบัน เขาก็ต้องเลือกพรรคที่เป็นเครือข่ายของรัฐบาลอยู่แล้ว ส่วนใครที่เห็นว่าเศรษฐกิจของประเทศสามารถดีกว่านี้ได้ ควรเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ใช้สิทธิของตนเองในการเลือกตัวแทนที่จะเข้าไปทำหน้าที่แทนเขาได้ ประชาชนต้องมีสิทธิเลือก ถึงวันนั้นใครจะได้รับโอกาส ประชาชนจะเป็นผู้ให้คำตอบ ความกลัว ทำให้เสื่อม ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกล้วการตัดสินใจของประชาชน"

“นพดล” ชี้ คลายล็อคไม่ตอบโจทย์ ควรปลดล็อค-ยกเลิกคำสั่ง 3/58


ผู้สื่อข่าวรายว่าเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2561 นายนพดล ปัทมะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่าตามข่าวที่ คสช. จะคลายล็อคให้พรรคการเมืองดำเนินกิจกรรมทางการเมืองได้ในบางเรื่อง แต่ยังไม่เปิดให้ชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คน เช่น ไปประชุม พบปะประชาชนเพื่อรับฟังความเห็นกลุ่มอาชีพต่างๆเพื่อจัดทำนโยบายได้ เนื่องจากยังไม่ยกเลิกคำสั่งที่ 3/58 สะท้อนว่าอาจยังไม่วางใจฝ่ายการเมือง ทั้งๆที่หลายปีที่ผ่านมาพรรคการเมืองต่างๆ ก็ไม่ได้เคลื่อนไหวหรือทำการใดที่จะกระทบความมั่นคง และ คสช. ก็พูดเองว่าสามารถดูแลให้เกิดความสงบได้ ดังนั้นถ้า คสช. เปิดพื้นที่ให้พรรคสามารถทำงานด้านนโยบายได้ก็จะช่วยให้บรรยากาศทางการเมืองกลับคืนสู่ปกติ ความเชื่อมันก็จะเกิดขึ้น และเห็นพูดบ่อยๆ ว่าเลือกตั้งคราวหน้าให้เลือกดีๆ แต่ประชาชนคงต้องการดูนโยบายดีๆ ด้วยว่าของพรรคไหนเป็นอย่างไร แก้ปัญหาประเทศและประชาชนได้จริงไหม การจะได้นโยบายที่ดีที่ตอบโจทย์ประเทศต้องให้เวลาพรรคการเมืองไปทำด้วย มิฉะนั้นการเลือกตั้งจะเทไปที่ตัวบุคคลมากเกินไป ขนาดแผนยุทธศาตร์ชาติและแผนปฏิรูปใช้เวลาร่างตั้งหลายปี แต่ให้เวลาพรรคการเมืองไม่กี่เดือนทำนโยบายจะพอหรือไม่?

นายนพดล กล่าวต่อว่า “เวลาซื้อมือถือเขายังต้องเทียบสเปคของรุ่นและยี่ห้อต่างๆ นี่จะหย่อนบัตรใบเดียวเลือกทั้งคนและพรรคผู้เลือกจึงต้องให้ความสำคัญกับนโยบายด้วย หวังว่า คสช. จะทบทวนแล้วปลดล็อค ไม่ใช่แค่คลายล็อคเท่านั้น”

วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2561

"ณัฐวุฒิ" ยินดี "สุชาติ" ยกฟ้องคดีสลายพันธมิตร ย้อนถาม ป.ป.ช. คดี 99 ศพเมื่อใดจะได้รับความยุติธรรม


#TV24 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2561 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. กล่าวว่า ยินดีกับ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ที่การต่อสู้กว่า 10 ปีได้ข้อยุติว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ และไม่มีปัญหาที่กลุ่มพันธมิตรฯ ได้รับโอกาสทวงถามความยุติธรรมจนถึงขั้นตอนสุดท้าย แม้จะพอใจกับคำตัดสินหรือไม่ก็ตาม อย่างน้อยก็ยังมีคำตอบให้ตัวเองว่าได้สู้จนครบกระบวนการ แต่ตนมีคำถามถึงคณะกรรมการ ป.ป.ช.ว่า ท่านยังสุขสบายดีกันอยู่หรือ? คดีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ ป.ป.ช. ปฏิบัติหน้าที่ครบทุกเม็ด อัยการสูงสุดไม่ฟ้องท่านฟ้องเอง ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองยกฟ้องท่านยื่นอุทธรณ์ หลังจากนี้ถ้ากฎหมายยังเปิดช่องให้ทำอะไรได้เชื่อว่าคงทำต่อไปอีก

นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า ขณะที่คดี 99 ศพ นปช. กลับถูกริดรอนสิทธิ์ในการต่อสู้ไว้แค่ ป.ป.ช. ทั้งที่ปรากฏชัดว่าดุลยพินิจของ ป.ป.ช.กับคำวินิจฉัยของศาลย่อมแตกต่างกันได้ คดีกลุ่มพันธมิตรฯ ป.ป.ช.มั่นใจถึงขีดสุดว่าจำเลยผิดแน่ แต่ศาลยืนยันว่าไม่ผิด แล้วคดี นปช.จะให้ประชาชนมั่นใจได้อย่างไรว่ามติของ ป.ป.ช.ถือเป็นที่สุด วันไปฟังแถลงข่าวตนถามย้ำกับเลขาธิการ ป.ป.ช.ว่าเชื่อหรือไม่ว่านี่คือความยุติธรรม ตัวเลขาฯ ก็ไม่กล้าพูด แต่ตนกล้ายืนยันว่าเราไม่ได้รับความยุติธรรม และจะยืนยันอย่างนี้จนกว่าคดีจะเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมเหมือนกลุ่มอื่น

"นี่ไม่ใช่การจมปลักอยู่กับความเจ็บแค้นในอดีตโดยไม่ยอมมองไปข้างหน้า เพราะสำหรับผมไม่มีความชิงชังต่อใครหรือกลุ่มไหนเป็นการส่วนตัว แต่ที่กำลังทำคือการตั้งคำถามว่าเราจะมองข้ามศพคนไทยเกือบร้อยชีวิตที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมไปได้อย่างไร ขณะนี้การรวบรวมข้อมูลหลักฐานต่างๆ ยังทำอยู่ ส่วนการรวบรวมรายชื่อประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งไม่ต่ำกว่า 20,000 ชื่อเพื่อยื่นต่อประธานรัฐสภา กำลังจะหารือแกนนำ นปช.หลังมีการปลดล็อคเพื่อเดินหน้าเป็นวาระแรกๆ ในสภา
ฯ ชุดใหม่" นายณัฐวุฒิกล่าว

“ทนายวิญญัติ” ยัน จำเลยขอนแก่นโมเดล ไม่เคยขอให้กลุ่มสามมิตรช่วยเหลือ


 #TV24 ผู้สื่อข่าวรายงาน เมื่อเวลา 11:00 น. วันที่ 28 สิงหาคม 2561 ตามที่มีกลุ่มบุคคลที่เป็นอดีตนักการเมืองกลุ่มหนึ่งอ้างว่า จำเลยในคดีขอนแก่นโมเดลขอความช่วยเหลือไปนั้น วันนี้นัดสืบพยานโจทก์ที่ศาลมณฑลทหารบกที่ 23 จังหวัดขอนแก่น นายวิญญัติ ชาติมนตรี และทนายความจากสมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิเสรีภาพ (สกสส.) ได้พบและพูดคุยกับจำเลย ทราบว่าเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง จำเลยไม่ได้เป็นฝ่ายร้องขอความช่วยเหลือ แต่เกิดจากกลุ่มการเมืองดังกล่าวเป็นฝ่ายติดต่อมาหลายครั้งอ้างว่าสามารถให้ความช่วยเหลือคดีได้

นายวิญญัติ กล่าวว่า “ที่มีข่าวว่าจำเลยถูกทอดทิ้งไม่ได้รับความช่วยเหลือทางคดีนั้น เราในฐานะทนายยืนยันว่า นับแต่ที่ถูกจับกุมคุมตัวในค่ายทหารกระทั่งถูกฟ้องดำเนินคดีต่อศาลทหารจนถึงปัจจุบันกว่าเวลาสี่ปีแล้ว ทีมทนายความ สกสส. ได้ให้การช่วยเหลือทางคดีมาโดยตลอด ตนเห็นว่าข่าวดังกล่าวอาจเป็นเพียงการสร้างกระแสเพื่อหวังผลประโยชน์ทางการเมืองเท่านั้น โดยเฉพาะการอ้างว่าจะช่วยเหลือทางคดีได้ การอ้างเช่นนี้เสมือนเป็นการใช้อำนาจนอกระบบแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมของศาลทหารได้หรือไม่?”

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าก่อนหน้านี้เคยมีการติดต่อให้ความช่วยเหลือกับจำเลยหรือไม่ นายวิญญัติ กล่าวว่า “ที่ผ่านมากลุ่มบุคคลเหล่านี้ไม่เคยให้ความสนใจต่อความทุกข์ยากลำบากของจำเลยหรือเห็นอกเห็นใจมาก่อน จนกระทั่งมีแนวโน้มว่าจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น กลุ่มบุคคลดังกล่าวจึงมีการเคลื่อนไหวและให้ข้อมูลที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงดังที่เป็นข่าว ตนขอย้ำว่า ขณะนี้กลุ่มจำเลยซึ่งเป็นพลเรือนที่ได้รับผลกระทบจากการดำเนินคดีในศาลทหาร ก็ไม่ถูกต้องอยู่แล้ว ขออย่าได้แสวงหาประโยชน์บนความทุกข์ของชาวบ้านอีกเลย”


วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2561

"หมวดเจี๊ยบ" ชี้ "คสช." รู้ปัญหาในค่ายทหารดี แต่ไม่แก้ไข ซัดอย่าใช้กองทัพเป็นเครื่องมือสืบทอดอำนาจ


#TV24 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ร้อยโทหญิง สุนิสา ทิวากรดำรง หรือ หมวดเจี๊ยบ โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังสมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

"เห็นข่าวรองนายกฯ บอกว่าเรื่องปฏิรูปกองทัพ ให้รอรัฐบาลหน้าที่ชนะเลือกตั้งเข้ามาทำ แล้วอยากบอกรัฐบาลว่า การปฏิรูปกองทัพ โดยเฉพาะประเด็นการเกณฑ์ทหารนั้น มีหลายเรื่องที่รัฐบาล คสช. สามารถลงมือทำได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องรอให้มีการเลือกตั้ง เพราะเป็นรัฐบาลทหารย่อมรู้ปัญหาในกองทัพเป็นอย่างดี แต่ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะมีความตั้งใจจริงที่จะแก้ปัญหาหรือไม่

ซึ่งมาตรการเร่งด่วนขณะนี้ คือ การดูแลสวัสดิภาพกำลังพลและสร้างความมั่นใจต่อกระบวนการยุติธรรมให้ครอบครัวทหารเกณฑ์ที่ถูกซ้อมทรมานและคนไทยทั้งประเทศรู้สึกมั่นใจว่าลูกหลานเขาจะปลอดภัยเมื่อต้องมาใช้ชีวิตในค่ายทหาร

ทั้งนี้ ระบบซ้อมทรมานในค่ายทหารต้องหมดไป เพราะสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ชาวบ้านเรียกร้องให้ยกเลิกการบังคับเกณฑ์ทหารแล้วใช้ระบบสมัครใจแทน ก็เพราะ เห็นภาพข่าวการซ้อมทหารปางตาย นับ 10 ราย ในรอบ 9 ปี ทั้งๆที่อยู่ในการดูแลของกองทัพเพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นในค่ายทหาร แต่ไม่รู้ว่ามีอีกกี่สิบกี่ร้อยรายที่ถูกปิดข่าว

ซึ่งการซ้อมทรมานนั้น ก็จัดเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้ทหารเกณฑ์หลายคนใช้วิธีติดสินบนผู้บังคับกองพันเพื่อขอลากลับบ้าน โดยยอมเซ็นต์ชื่อรับเบี้ยเลี้ยงแล้วยกเงินเดือนให้ผู้พันแทน ซึ่งผู้พันที่หากินด้วยวิธีนี้ จะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 1 แสนบาท แบบง่ายๆ ถ้าปล่อยให้ทหารลาเดือนละ 10 คน ขึ้นไป

นอกจากนี้ ทหารเกณฑ์ที่ไม่ยอมรับระบบการซ่อมทหาร ก็ยอมไปเป็นทหารรับใช้ตามบ้านญาติโกโหติกาของผู้คับบัญชา ทั้งๆที่ไม่เต็มใจ แต่ก็กลัวเป็นแบบ พลทหาร คชา พะชะ เป็นต้น

เหล่านี้คือสาเหตุที่ชาวบ้านสนับสนุนให้ยกเลิกการบังคับเกณฑ์ทหารแล้วหันมารับผู้สมัครใจมากขึ้นเรื่อย ๆ

นอกจากนี้ คนส่วนใหญ่ก็ไม่เห็นด้วยที่กองทัพส่งกำลังพลไปทำงานผิดประเภท ดังนั้น กองทัพต้องเลิกใช้ทหารไปเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่หรือบังคับใช้ทหารเป็นทาสแรงงานเยี่ยงการค้ามนุษย์ และอย่านำกองทัพไปเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อสืบทอดอำนาจ เป็นต้น

โดย กลุ่ม NGO และสื่อบางแขนง เช่น ประชาไท ยังเสนอให้ตั้งผู้ตรวจการกองทัพที่ภาคประชาชนมีส่วนร่วม ซึ่งจะมีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจของกองทัพ เหมือนที่สวิตเซอร์แลนด์

ทั้งนี้ ถ้ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ รู้ปัญหาเหล่านี้ แล้วไม่คิดจะแก้ไขทั้งที่มีอำนาจล้นมือ ก็ไม่ทราบว่าจะอยู่เป็นรัฐบาลไปทำไมให้เปลืองงบประมาณแผ่นดิน ทั้งยังทำให้ประเทศชาติเสียโอกาสในการพัฒนา

ซึ่งประเทศใดมีรัฐบาลที่ดีแต่นั่งงอมืองอเท้าไปวันๆ เช่นนี้ ยิ่งอยู่นาน บ้านเมืองก็จะยิ่งเสื่อมถอย

"ลดาวัลลิ์" ฉะ "บิ๊กตู่" ยิ่งอยู่คนไทยยิ่งเครียด จี้ คืนความสุขให้ประชาชน จัดเลือกตั้ง24 ก.พ.62


#TV24 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2561 นางลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยมีเนื้อหาดังนี้ ขอให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีจัดการเลือกตั้งทั่วไปตามที่ กกต.คาดการณ์ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2562 อย่าหาเหตุเลื่อนอีกเลย ต้องทำตามสัญญา เมื่อ พ.ศ.2557 บอกว่าขอเวลาไม่นานแล้วจะคืนความสุขให้ประชาชน แต่ผ่านไป 4 ปี แล้ว ประชาชนคนไทย กลับเครียดมากขึ้นจากปัญหาเศรษฐกิจและการเงิน

โดยมีข้อมูลยืนยันจากสถาบันวิจัยและบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (เอยูโพล) ได้เปิดเผยผลวิจัยเชิงสำรวจเรื่องดัชนีความเครียดของคนไทย เดือนส.ค. 2561 กรณีศึกษาประชาชนในเขตกรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ ขอนแก่น และสงขลา จำนวนทั้งสิ้น 2,007 ตัวอย่าง พบว่า คนไทยตั้งแต่วัยเรียน วัยทำงาน จนถึงวัยชรา ต่างก็มีความเครียดในเรื่องเศรษฐกิจ/การเงินมาเป็นอันดับ 1 ร้อยละ 77.08 ไม่ว่าจะเป็นราคาสินค้าและบริการที่แพงขึ้น ภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ปัญหาหนี้สินและรายรับไม่พอกับรายจ่าย ได้ส่งผลให้ค่าครองชีพของคนไทยเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว แม้ว่ารายงานภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ผ่านมาจะมีการขยายตัว และปรับตัวลดลงมาเพียงเล็กน้อย แต่ความเครียดของคนไทยในเรื่องนี้ยังมีสูงอยู่จึงเป็นภาพความขัดแย้งระหว่างตัวเลขจากรายงานภาวะเศรษฐกิจของหน่วยงานต่างๆ ที่ออกมาดี กับอารมณ์ความรู้สึกของคนไทยที่กังวลต่อภาวะเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต

ทั้งนี้ปัญหาการตกงานว่างงานก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่น่าเป็นห่วงในปัจจุบัน ทำให้คนไทยในวัยทำงานวิตกกังวลต่อความมั่นคงในการทำงาน เนื่องจากมีหลายบริษัทของไทยนำปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ได้อย่างอัจฉริยะของระบบคอมพิวเตอร์ (Artificial Intelligence/cognitive intelligence)มาใช้ทำงานแทนคนมากเป็นอันดับ 2 รองจากอินโดนีเซีย มีการเลิกจ้าง Lay off พนักงานและปิดสาขาธนาคารหลายแห่งจากรายงานของธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่าจำนวนสาขาธนาคารพาณิชย์ของไทยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2561 ปรับลดลงถึง 46 แห่ง เหลือ 6,734 แห่ง จากเมื่อช่วงต้นปี 2561 ที่มีจำนวนถึง 6,780 แห่ง และแม้กระทั่งอาจารย์มหาวิทยาลัยเอกชนก็ยังถูก Lay off เนื่องจากจำนวนนักศึกษาลดน้อยลงจนต้องขายกิจการให้ต่างชาติ

"ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาแห่งความเคว้งคว้างของคนไทย ที่ตกอยู่ในสภาพขาดรัฐบาลที่ประชาชนเลือก ขาดผู้แทนราษฎรที่เคยปรึกษาหารือ เคยร้องเรียนปัญหาทุกข์ร้อน และคอยติดตามตรวจสอบความล่าช้าความไม่โปร่งใสของฝ่ายบริหารแทนประชาชน ดังนั้นการคืนความสุข คลายความเครียดให้แก่คนไทยทุกคนอย่างได้ผลดีที่สุดก็คือ การเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรมตามครรลองประชาธิปไตย ให้ได้รัฐบาล และ ให้ได้นายกรัฐมนตรีด้วยการเลือกของประชาชน เพราะการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยย่อมส่งผลให้เศรษฐกิจเข้มแข็ง และจะทำให้สังคมมีคุณภาพอยู่ดีกินดีกันถ้วนหน้า จะไม่เครียดเหมือนเช่นทุกวันนี้" นางลดาวัลลิ์ กล่าว

“พิชัย” ตอก “อภิสิทธิ์ ” ย้อนดูพฤติกรรมตัวเอง จะเห็นชัดเจนว่าใครทำให้ประชาชนลำบากจนทุกวันนี้ แนะ ศึกษาแนวคิด “ทักษิโณมิกส์” เพื่อนำไปพัฒนานโยบายแทนชั่งไข่


#TV24 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ตามที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ให้สัมภาษณ์แก้ตัวกับสื่อต่างประเทศปฏิเสธไม่ได้อยากให้เกิดการปฏิวัติ และพยายามโทษมาที่พรรคเพื่อไทยนั้น อยากให้นายอภิสิทธิ์ได้กลับไปย้อนหลังดูพฤติกรรมและการให้สัมภาษณ์ของนายอภิสิทธิ์เอง ตั้งแต่ในอดีตจะเห็นได้ชัดเจนว่านายอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์มีเจตนาเช่นไร และเมื่อนายนคร มาฉิม อดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์ออกมายอมรับและเปิดเผยข้อมูลเบื้องลึกเอง ก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำให้เห็นชัดเจน ซึ่งข้อมูลในอดีตนี้ทำให้สื่อต่างประเทศที่ติดตามการเมืองไทยได้เข้าใจดีจนยากจะปฏิเสธ และคนไทยส่วนใหญ่เองก็เห็นเช่นกัน ซึ่งต้องถามว่าคนไทยส่วนใหญ่เชื่อใครมากกว่ากันระหว่าง นายนคร มาฉิม หรือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนว่าใครบ้างมีส่วนเป็นสาเหตุทำให้ ประชาชนส่วนใหญ่ลำบากกันอย่างมากจนถึงทุกวันนี้ ทั้งนี้อยากให้นายอภิสิทธิ์ได้ตอบ 5 คำถามนี้
1. หากนายอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ต้องการให้เกิดการปฏิวัติ เหตุใดพรรคประชาธิปัตย์จึงบอยคอตการเลือกตั้ง และนี่ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะในปี 2549 นายอภิสิทธิ์ และ พรรคประชาธิปัตย์ก็บอยคอตการเลือกตั้งเช่นกัน และต่อมาก็เกิดการปฏิวัติ ดังนั้นการบอยคอตการเลือกตั้งครั้งที่ 2 นี้ ประชาชนคาดว่านายอภิสิทธิ์จะหวังผลเช่นไร?
2. เหตุใดนายอภิสิทธิ์ และแกนนำพรรคประชาธิปัตย์รวมถึง นายชวน หลีกภัย จึงลงมาเป่านกหวีดร่วมประท้วงกับกลุ่ม กปปส. ที่มีอดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์เป็นผู้นำ ซึ่งการประท้วงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการปฏิวัติใช่หรือไม่?
3. เหตุใดสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ถึงได้ลบหลู่ประธานสภาฯ ซึ่งเป็นประมุขของฝ่ายนิติบัญบัติ ด้วยการ กระชากเก้าอี้ และขว้างเอกสารใส่ ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนรังเกียจพฤติกรรมของนักการเมือง แลัวจึงเกิดการปฏิวัติ ใช่หรือไม่? 
4. หากนายอภิสิทธิ์เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยทำผิด เหตุใดจึงไม่ให้ประชาชนตัดสินและลงโทษในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งในขณะนั้นพรรคประชาธิปัตย์ อาจจะชนะการเลือกตั้งก็เป็นได้ หรืออย่างน้อยก็ต้องได้ ส.ส. มากกว่าเดิม และอาจจะสามารถจัดตั้งรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยได้ แล้วจะบอกว่าพรรคประชาธิปัตย์ เชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยได้อย่างไร? 
5. หากนายอภิสิทธิ์บอกว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่สนับสนุนการปฏิวัติ และไม่สนับสนุนเผด็จการ นายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์กล้าประกาศแบบชัดๆ หรือไม่ว่าจะไม่สนับสนุน พรรคทหาร และพลเอกประยุทธ์ เป็น นายกฯ และไม่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจต่อหลังการเลือกตั้ง? ไม่ใช่ใช้โวหารพูดแบบกำกวม

นี่เป็นเพียงบางคำถามเท่านั้น หากนายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ประกาศจะยืนอยู่ข้างฝั่งประชาธิปไตยต้องตอบและประกาศเรื่องเหล่านี้ให้ชัดเจน ไม่ใช่อาศัยเพียงคำพูดและวาทกรรมที่ตนถนัด เพียงเพื่อให้ได้คะแนนเสียงจากการเลือกตั้งเท่านั้น แล้วสุดท้ายก็อาจจะไปยกมือสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ก็เป็นได้  ซึ่งหากพรรคประชาธิปัตย์ ยังไม่ยอมรับความผิดในอดีต และไม่หาจุดยืนเพื่อแก้ไข ประชาชนจะลงโทษพรรคประชาธิปัตย์ ในการเลือกตั้งที่จะถึงนี้ ซึ่งคาดกันว่า พรรคประชาธิปัตย์ จะเป็นพรรคต่ำร้อย คือ ได้ ส.ส.น้อยกว่า 100 เสียง และอยากให้นายอภิสิทธิ์ ได้ฟังหลานชายตนเองที่ยอมรับความจริงว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยออกนโยบายได้โดนใจประชาชนเลย จึงทำให้พรรคประชาธิปัตย์พ่ายแพ้การเลือกตั้งมาโดยตลอด 20 ปี โดยอยากให้นายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์ ได้ศึกษาแนวคิด “ทักษิโณมิกส์” เผื่อจะมีแนวนโยบายที่ถูกใจประชาชนบ้าง ไม่ใช่ประชาชนจะจำได้แค่ นโยบายชั่งไข่ นโยบายแจกเช็ค 2,000 บาท นโยบายไทยเข้มแข็งที่ประชาชนไม่รู้เลยว่า 4 แสนล้านบาท เอาไปใช้จ่ายอะไร และนโยบายสร้างโรงพัก 396 แห่งไม่เสร็จที่ ป.ป.ช. กำลังจะฟ้องอยู่ เป็นต้น ประชาชนต้องการนโยบายที่จับต้องได้และรู้สึกดีขึ้นได้จริงเช่น “ทักษิโณมิกส์” ที่เห็นผลมาแล้ว ไม่ใช่นโยบายดีแต่พูดหรือโม้แค่ตัวเลข ซึ่งหากพรรคประชาธิปัตย์สามารถคิดและพัฒนานโยบายที่สามารถแข่งขันกับพรรคเพื่อไทยได้ สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ก็จะได้ไม่ต้องไปร่วมประท้วงแล้วสร้างปัญหาให้กับประเทศอีก

"มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล" ร้อง "บิ๊กฉัตร" บูรณาการ พม. แก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว


#TV24 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อ เวลา 10.00 น. ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล นางสาวอังคณา อินทสา หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล พร้อมด้วยนายเตชาติ์ มีชัย ผู้ประสานงานเครือข่ายนักกฎหมายเพื่อเด็กและเยาวชน และภาคีเครือข่ายที่ทำงานด้านรณรงค์ยุติความรุนแรงในครอบครัว กว่า 30 คน เข้ายื่นจดหมายเปิดผนึกถึง พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลงานด้านสังคม เรียกร้องให้มีมาตรการแก้ปัญหาความรุนแรงในครอบครัว โดยบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ทำงานเชิงรุก

นางสาวอังคณา กล่าวว่า "ปัจจุบันปัญหาความรุนแรงในครอบครัว คู่รัก มีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้น สะท้อนได้จากข้อมูลที่มูลนิธิฯเก็บสถิติข่าวความรุนแรงในครอบครัว ปัจจัยกระตุ้นสำคัญมาจากการดื่มสุราและยาเสพติด ซึ่งผู้ก่อเหตุมีความสัมพันธ์เป็นสามีภรรยา และมูลเหตุในการกระทำเกิดจากการบันดาลโทสะ หึงหวง และมีเรื่องปัญหาเศรษฐกิจในครอบครัวมาเกี่ยวข้อง นอกจากนี้ ผู้ที่พบเห็นเหตุความรุนแรง เลือกที่จะนิ่งเฉย ไม่เข้าไปช่วยเหลือในปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้น"

นางสาวอังคณา กล่าวว่า "จากปัญหาที่เกิดขึ้น ข้อเสนอต่อรองนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลงานด้านสังคม รวมถึงกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ดังนี้

1. ขอให้รัฐบาลหยิบยกปัญหาความรุนแรงในครอบครัวเป็นปัญหาสำคัญเร่งด่วนที่ต้องเร่งป้องกันแก้ไข โดยบูรณาการการทำงานเชิงรุก ร่วมกับกระทรวง พม.กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงยุติธรรม กระทรวงมหาดไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมถึงประชาสัมพันธ์ให้สังคมเข้าใจว่าปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ผู้พบเห็นเหตุการณ์ต้องเข้าให้การช่วยเหลือหรือแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อลดปัญหาการสูญเสียชีวิต

2. ดำเนินการให้ระบบการเรียนการสอน สร้างความเข้าใจเคารพในสิทธิเนื้อตัวร่างกายผู้อื่น เคารพให้เกียรติกัน ไม่ใช้ความรุนแรงแก้ไขปัญหา ใส่ใจช่วยเหลือไม่มองว่าความรุนแรงเป็นเรื่องส่วนตัว เพื่อเป็นทักษะชีวิตตั้งแต่วัยเด็ก

3. กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ซึ่งมีกลไกอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ประจำหมู่บ้าน(อพม.)ประสานส่งต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เฝ้าระวังปัญหาสังคมทุกหมู่บ้านทั่วประเทศ และมีการพัฒนาทักษะประสานการทำงานกับสหวิชาชีพในพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ เน้นปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้กระทำความรุนแรงในครอบครัวให้มากขึ้น

4. ขอให้ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน 1300 เน้นการทำงานเชิงรุกและบูรณาการประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาเร่งด่วนในสังคมให้มากขึ้น นอกจากการให้คำปรึกษาแนะนำและประสานส่งต่อปัญหาสังคมทั่วไป และควรมีการประชาสัมพันธ์การทำงานให้ประชาชนรับรู้ให้มากขึ้น



"เรืองไกร" ร้องทำเนียบฯ ชี้ ผลขาดทุนโครงการรับจำนำข้าวไม่มีจริง


#TV24 ผู้สื่อข่าวรายงาน เมื่อเวลา 10.00 น. นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตวุฒิสภา เดินทางมายืนหนังสือที่ทำเนียบรัฐบาล เพื่อให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตรวจสอบการจำหน่ายข้าวสารในสต็อกของรัฐ จำนวน 245,077 ตัน และ 22,341 ตัน ในวันที่ 29 และ 30 สิงหาคม 2561 นี้ ว่า ข้าวสารจำนวนนี้มีการทำบัญชี หรือปิดบัญชีเป็นรายโครงการหรือไม่? และหน่วยงานใดของรัฐเป็นผู้รับผิดชอบอย่างเป็นทางการในการลงบัญชีและปิดบัญชีเกี่ยวกับข้าวสารในสต็อกของรัฐ


นายเรืองไกร กล่าวว่า "เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2561 กรมการค้าต่างประเทศ ออกประกาศจะจำหน่ายข้าวสารในสต็อกของรัฐ เข้าสู่อุตสาหกรรมที่ไม่ใช่การบริโภคของคน จำนวน 245,077 ตัน และ 22,341 ตัน โดยจะเปิดซองเสนอซื้อในวันที่ 29 และ 30 สิงหาคม 2561 จากการตรวจสอบรายการในรายละเอียดคลังสินค้าท้ายประกาศพบว่า ส่วนใหญ่เป็นข้าวในโครงการรับจำนำข้าวสมัยรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่มีข้อสังเกต คือ มีข้าวนาปรัง 2551 ที่เป็นข้าวปทุมธานี อยู่ที่คลังสินค้าองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) จังหวัดชัยนาท จำนวน 27 ตัน และข้าวนาปี 2551/52 ที่เป็นข้าวขาว 15% อยู่ที่คลังสินค้าองค์การคลังสินค้า (อคส.) จังหวัดสงขลา จำนวน 37 ตัน และมีข้าวนาปรัง 2551 ที่เป็นข้าวปทุมธานี อยู่ที่คลังสินค้า อ.ต.ก. จังหวัดนครสวรรค์ จำนวน 90 ตัน รวมอยู่ด้วย ซึ่งข้าวทั้ง 3 รายการดังกล่าว น่าจะเป็นข้าวสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตนจึงพิศวงงงงวยมาก เพราะไม่รู้ว่า รัฐบาลจะเลือกปฏิบัติในแนวทางใดกับตัวเลขโครงการรับจำนำข้าวของสมัยนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งมีตัวเลขข้าวสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ปนอยู่ด้วย แค่นี้ก็พอสร้างความสงสัยแล้วว่า ถ้าข้าวนาปรัง 2551 และข้าวนาปี 2551/52 ยังคงเหลืออยู่ให้นำมาประมูลขายได้ แสดงว่าข้าวสามารถเก็บไว้ได้นานไม่ได้เสื่อมสภาพเร็วแต่อย่างใด ดังนั้นที่มีการกล่าวหามาตั้งแต่เดือน พฤษภาคม 2557 ว่า ข้าวในโครงการรับจำนำข้าวสมัยนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีการเสื่อมสภาพเป็นจำนวนมากนั้น จึงอาจมีพิรุธน่าสงสัย"


นายเรืองไกร กล่าวต่อว่า "ข่าวที่ระบุว่าข้าวหายไปจากบัญชี 1 ล้านตันนั้น หากพิจารณาจากข้อมูลข้าวสารในสต็อกของรัฐที่กรมการค้าต่างประเทศนำออกมาประมูลในแต่ละครั้ง แสดงว่าต้องมีบัญชีให้ตรวจสอบได้ และข้าวที่หายไปจากบัญชีร่วมล้านตัน ก็ต้องตรวจสอบได้เช่นกัน จึงมายื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ตรวจสอบการจะจำหน่ายข้าวสารในสต็อกของรัฐดังกล่าว ว่า มีการทำบัญชี หรือปิดบัญชีเป็นรายโครงการหรือไม่? และข้าวที่หายไปจากบัญชีประมาณ 1 ล้านตัน มีการตรวจสอบได้ผลเป็นที่ยุติแล้วหรือไม่? หน่วยงานใดของรัฐเป็นผู้รับผิดชอบในการลงบัญชีและปิดบัญชี และขอให้ตรวจสอบด้วยว่า โครงการรับจำนำข้าวจะเอาอย่างไรกันแน่ จะปิดบัญชี หรือจะไม่ปิดบัญชี เพราะข้อมูลจากหน่วยงานรัฐระบุไปคนละทิศละทางไม่สอดคล้องต้องกัน และหากยังเป็นเช่นนี้ ไม่สงสัยหรือว่า ผลขาดทุนที่นำมากล่างอ้างโดยตลอดนั้นมีอยู่จริงหรือไม่? ดังนั้น ผลขาดทุนที่นำมาใช้กล่าวหาอ้างในด้านต่างๆเพื่อใช้เป็นข้อกล่าวหาเฉพาะสมัยรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นตัวเลขที่ตรวจสอบหาความถูกต้องยังไม่ได้ใช่หรือไม่? แต่ถ้าท่านเห็นว่าตรวจสอบได้ ต้องมีหลักฐานทางบัญชีมารับรองหรือไม่ และเป็นบัญชีที่มีการตรวจสอบรับรองจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แล้วหรือยัง?"




"วิญญัติ" เร่ง ป.ป.ช.ชี้มูลคดีโรงพักพร้อมส่งหลักฐานเด็ด เป็นคำพิพากษาคดีโรงพัก 60 หน้า ระบุชัดการอนุมัติผิดมติคณะรัฐมนตรี


เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2561 เวลา 10.00 น. นายวิญญัติ ชาติมนตรี เลขาธิการสมาพันธ์นักกฎหมายเพื่อสิทธิเสรีภาพ (สกสส.) ได้เข้ายื่นหลักฐานคำพิพากษาคดีโรงพักจำนวน 60 หน้า ชี้ชัดการอนุมัติก่อสร้างโรงพักผิดมติคณะรัฐมนตรีพร้อมส่งภาพประติมากรรมคดีทุจริตโรงพัก พ.ศ. 2555 มูลค่าความเสียหาย 5,848 ล้านบาท ขององค์กรต่อต้านคอรัปชั่น (ACT) เพื่อให้เร่งยุติชี้มูลคดีเพราะเหตุเกิดกว่า 6 ปีแล้ว
​นายวิญญัติ กล่าวว่า

1. คดีนี้ตนได้มาติดตามทวงถามเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2561 เพราะเห็นว่ารัฐเสียหายกว่า 5 พันล้านบาท ประชาชนไม่ได้ใช้บริการ ตำรวจไม่มีสถานที่ทำงานกว่า 6 ปี ที่เกิดเรื่องและประธานกรรมการ ป.ป.ช. รับว่าจะให้คดีนี้แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายน 2561 แต่มาถึงวันนี้คดีส่อว่าจะล่าช้าไม่เป็นไปตามสัญญาจนกระทั่งมีผู้ถูกกล่าวหาบางรายท้าทายการปฏิบัติหน้าที่ของ ป.ป.ช. และยัง ท้าทายให้เร่งฟ้องคดีอีกด้วย อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาตั้งแต่ก่อตั้ง ป.ป.ช. มาเมื่อปี พ.ศ. 2542

2. เพื่อให้คดีนี้ยุติโดยเร็ว ตนมีหลักฐานใหม่เป็นคำพิพากษาคดีโรงพักจำนวน 60 หน้า ระบุชี้ชัดผู้เกี่ยวข้องคดีนี้อนุมัติให้ก่อสร้างโรงพักจำนวน 396 แห่ง โดยวิธีการรวมก่อสร้างในสัญญาเดียวทั่วประเทศ เป็นการกระทำผิดมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 เป็นเหตุให้รัฐเสียหาย คดีเหลือเพียงว่าใครกระทำผิดบ้างในฐานะตัวการและผู้สนับสนุน คดีนี้จึงไม่ควรช้าเกินกว่าเดือนกันยายน 2561 ตามที่ประธาน ป.ป.ช. รับปาก

3. คดีนี้คณะกรรมการว่าด้วยการพัสดุด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ (กวพ.อ.) ที่มีนางสาวสุภา ปิยะจิตติ รองปลัดกระทรวงการคลัง ปฏิบัติหน้าที่ปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธาน มีข้อวินิจฉัยไว้ว่า เป็นการขัดมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2552 และถือว่าคำวินิจฉัยเป็นที่สุด

​นายวิญญัติกล่าวทิ้งท้ายว่า เรื่องนี้ ป.ป.ช.จะเกรงใจใครนัก รับเรื่องไว้ไต่สวนตั้งแต่ ปี 2556 ไต่สวนกันมากว่า 5 ปีแล้ว มีการขอเปลี่ยนนายวิชา มหาคุณ ออกจากการเป็นประธานไต่สวน ป.ป.ช. ก็ให้โอกาสและตามใจผู้ถูกกล่าวหามามากเพียงพอแล้ว ทั้งเมื่อเร็วๆ นี้ ผู้ถูกกล่าวหามาท้าทายให้เอาผิดอ้างโน่นนี่ถึงหน้าบันได ป.ป.ช. บ้านเมืองนี้จะเอาแบบนี้ใช่ไหม กฎหมายยังเหลือความศักดิ์สิทธิ์หรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนี้องค์กรอิสระจะมีอยู่ทำไม อย่าให้ชาวบ้านเขามองว่า 2 มาตรฐานอีกต่อไป ผมขอให้กำลังใจกรรมการ ป.ป.ช.ในการทำงานคดีนี้













วันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2561

"หมวดเจี๊ยบ" เสนอ "ปฏิรูปกองทัพ 4.0" เคารพสิทธิมนุษยชนกำลังพล-ตรวจสอบได้


#TV24 ร้อยโทหญิง สุณิสา ทิวากรดำรง หรือ หมวดเจี๊ยบ สมาชิกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า "ปัญหาการซ้อมทรมาน พลทหารฯ คชา พะชะ ชี้ให้เห็นความไร้ภาวะผู้นำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ไม่ใช่นักแก้ปัญหาที่ดี แต่ชอบซุกปัญหาไว้ใต้พรม เพื่อซื้อเวลาแล้วรอให้เรื่องเงียบไปเอง เช่น เหตุการณ์น้ำท่วม ที่ จ.เพชรบุรี รัฐบาลดีแต่โทษว่าสื่อเสนอข่าวรุนแรงเกินจริง แต่ผลปรากฎว่าขณะนี้ สถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ยังอยู่ในภาวะวิกฤติจริงๆ แถมยังไม่ได้รับความสนใจจากสังคมเท่าที่ควร เพราะไม่ค่อยมีข่าวอีกต่างหาก เช่นเดียวกับปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ รัฐบาลก็ใช้วิธีปิดข่าวเพื่อไม่ให้สังคมรู้สึกว่าแก้ปัญหาไม่ได้ ทั้งๆที่ปัญหายังรุนแรงอยู่ แต่เมื่อสังคมไม่สนใจ รัฐบาลก็ไม่รู้สึกกดดันและแก้ปัญหาแบบเช้าชามเย็นชามได้ แต่พฤติกรรมการบริหารงานแบบผักชีโรยหน้าเช่นนี้ สะท้อนให้เห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำประเทศ"

ร้อยโทหญิง สุณิสา กล่าวต่อว่า "ทั้งนี้ ถ้าเป็นผู้นำประเทศที่กล้าคิดกล้าตัดสินใจ เมื่อเกิดปัญหาทหารเกณฑ์ถูกซ้อมจนสมองตาย ป่านนี้ก็ต้องผลักดันให้กองทัพ รีบชี้แจงแล้วว่า เกิดอะไรขึ้น แล้วทำไมการทำร้ายร่างกายถึงขั้นทำให้สมองตาย เหตุใดจึงไม่ทิ้งร่องรอยเป็นหลักฐาน ซึ่งแม้แต่แพทย์ก็ตรวจไม่พบ แสดงว่ามันมีกรรมวิธีซ้อมทรมานโดยทำให้ไม่เห็นบาดแผลเพื่อให้สาวไม่ถึงตัวคนกระทำผิด ที่ปฏิบัติกันจนเคยชินจนเป็นเรื่องธรรมดาอย่างนั้นหรือ? หรือว่าการแถลงผลการตรวจของโรงพยาบาลมีปัญหาหรือถูกกดดัน นอกจากนี้กองทัพกำลังทำตัวเหมือนเป็นคนกลางนำตัวคนลงมือมารับโทษเพื่อให้เรื่องจบซึ่งไม่เพียงพอ รัฐบาลและกองทัพค้องร่วมรับผิดชอบและลงมือแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ ไม่งั้นก็จะยังมีเหยื่อรายต่อไปไม่จบสิ้น ทั้งยังจะกระทบความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อกระบวนการยุติธรรมและระบบการเกณฑ์ทหารด้วย"

"ทั้งนี้ ถ้าจะทำให้การซ้อมทรมานหมดไปจากระบบ ทั้งรัฐบาลและกองทัพต้องปฎิรูปแนวทางดูแลกำลังพลโดยต้องเคารพสิทธิมนุษยชนของกำลังพล และปฏิรูปกองทัพให้เป็นยุค 4.0 ซึ่ง Small but Sure and Accountable หรือ เล็กพริกขี้หนูและตรวจสอบได้ ทั้งยังควรเปลี่ยนมารับผู้สมัครใจเป็นทหารแทน แล้วเลิกบังคับให้ทุกคนต้องเกณฑ์ทหาร ซึ่งจะสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งสถานการณ์โลกในยุคปัจจุบันที่เปลี่ยนไป" ร้อยโทหญิง สุณิสา กล่าว

"ชวลิต" จี้ "คสช." ปลดล็อคพรรคการเมือง ซัด อย่าปิดประตูตีแมวเหมือนทำประชามติ


#TV24 นายชวลิต วิชยสุทธิ์ อดีตรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า "การที่รัฐบาลจะคลายล็อคโดยไม่ปลดล็อคก็ดี การให้เวลาหาเสียงเพียงเวลา 20 วันก็ดี เห็นเจตนาชัดเจนว่า ต้องการปิดประตูตีแมว เหมือนช่วงลงประชามติ รัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ผ่านมา เป็นการเอาเปรียบทางการเมืองอย่างมาก ภาษาอีสานเรียกว่า "ตีหน้ามึน" เอาเปรียบ พฤติกรรมดังกล่าว ถือว่าไม่เป็นกลาง ไม่เหมาะสมที่จะเป็นรัฐบาลรักษาการเพื่อจัดการเลือกตั้งอย่างเสรีและเป็นธรรม ประเทศจะได้รับความเชื่อมั่นได้อย่างไร?"

นายชวลิต กล่าวต่อว่า "ขอให้รัฐบาลมองจากหลายมุม โดยเฉพาะหากมองจากต่างประเทศ ใครจะกล้ามาทำการค้าการลงทุนกับประเทศที่ถูกควบคุมด้วยอำนาจพิเศษทุกกระเบียดนิ้ว แม้จะบริหารประเทศมาย่างเข้าปีที่ 5 และแม้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จะตั้งตุ๊กตากำหนดวันเลือกตั้งในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562 แล้วก็ตาม แต่รัฐบาลก็ยังไม่ปลดล็อคให้พรรคการเมืองทำกิจกรรมได้ ทำยังกับว่าประเทศนี้เป็นบ้านป่า เมืองเถื่อน ที่ดูน่ากลัว ต้องใช้อำนาจพิเศษตาม ม.44 ควบคุมไว้ตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง ระหว่างเลือกตั้ง และจนกว่าจะจัดตั้งรัฐบาลแล้วเสร็จ หากบ้านเมืองเป็นไปเช่นนี้ จะเกิดการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรมได้อย่างไร?"

"ขอเรียนว่า ที่พรรคการเมืองต่างๆ เรียกร้องให้ปลดล็อคการเมือง ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของพรรคการเมืองที่จะทำกิจกรรมตามกฎหมายเท่านั้น แต่ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นมหาศาลกับประเทศชาติและประชาชนโดยส่วนรวม คือ เท่ากับส่งสัญญาณบวกว่า บ้านนี้ เมืองนี้ จะเปิดประเทศแล้ว จะเป็นประชาธิปไตยที่เชื่อมโยงกับชาวโลกแล้ว ผมยังมองไม่เห็นประโยชน์อันใดที่รัฐบาลจะค่อยๆปลดล็อคเป็นขยักๆ นอกจากเพื่อประโยชน์ทางการเมืองส่วนตนและพวกพ้อง โดยมองข้ามผลลบหรือผลเสียที่จะตกแก่ส่วนรวม หากมองผลประโยชน์ของชาติไม่ออก ก็ไม่สมควรที่จะเป็นรัฐบาลรักษาการจัดการเลือกตั้ง ควรลาออกมาทำงานการเมืองอย่างแฟร์ๆจะเหมาะสมกว่า" นายชวลิต กล่าว

"วัฒนา" เตือนสติ หน้าที่กองทัพ คือ "ป้องกัน" ไม่ใช่ "รุกราน" ประเทศ



#TV24 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2561 นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก โดยมีเนื้อหาดังนี้


"หน้าที่ของกองทัพคือ "การเตรียมกำลังและใช้กำลังเพื่อป้องกันภัยคุกคามต่อราชอาณาจักร" ซึ่งสอดคล้องกับชื่อภาษาอังกฤษของกระทรวงกลาโหมคือ "Ministry of Defense" อันหมายถึงการป้องกัน แต่ทุกครั้งที่มีการรัฐประหารกระทรวงกลาโหมจะถูกขยายอำนาจ จนล่าสุดถึงขั้นมีอำนาจหน้าที่ในการพัฒนาประเทศ การป้องกันและแก้ไขปัญหาจากภัยพิบัติทั้งที่มีหน่วยงานอื่นรับผิดชอบอยู่แล้ว เพื่อเป็นข้ออ้างในการเพิ่มงบประมาณและขยายกำลังพล

ปัจจุบันกองทัพมีกำลังประจำการประมาณ 335,000 นาย เมื่อรวมกับทหารเกณฑ์ปีนี้ที่สูงกว่า 100,000 นาย ทำให้มีกำลังประจำการมากถึง 440,000 นาย ซึ่งสูงมากเมื่อเทียบกับมหาอำนาจที่มีขนาดและประชากรใกล้เคียงกัน เช่น กำลังประจำการของสหราชอาณาจักร 150,000 คน ฝรั่งเศส 215,000 คน หรือเยอรมัน 180,000 คน ยิ่งเมื่อคำนึงถึงหน้าที่ของกองทัพคือการ "ป้องกัน" ไม่ใช่ "รุกราน" รวมถึงภูมิรัฐศาสตร์ของประเทศที่ตั้งอยู่ท่ามกลางมิตรประเทศได้แก่ ลาว กัมพูชา มาเลเซีย และเมียนมาร์ ซึ่งรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวคือ "ประชาคมอาเซียน" ดังนั้น การมีกำลังพลจำนวนมากจึงเกินความจำเป็นและเป็นภาระแก่งบประมาณ

นับจากการรัฐประหารในปี 2549 งบประมาณกระทรวงกลาโหมถูกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก 85,000 ล้านบาท ในปี 2549 เพิ่มเป็น 227,000 ล้านบาทในปี 2562 หรือเพิ่มขึ้นถึง 167% งบประมาณจำนวนมากหมดไปกับการเพิ่มกำลังพลและการซื้ออาวุธที่ไม่สอดคล้องกับภารกิจและภัยคุกคาม เช่น การจัดซื้อเรือดำน้ำที่ยังไม่จำเป็นแต่กลับซื้อมาถึง 3 ลำ ดังนั้น ภารกิจเร่งด่วนหลังการเลือกตั้งคือการปฏิรูปกองทัพให้มีขนาดที่เหมาะสม มีความทันสมัยและมีขีดความสามารถต่อการป้องกันภัยคุกคามรูปแบบใหม่ ให้เป็นกองทัพของประชาชนที่ปฏิบัติหน้าที่ตรงตามภารกิจ ไม่ซ้ำซ้อน และไม่ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองจนกองทัพกลายเป็นภัยคุกคามเสียเอง"