วันจันทร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

"ทักษิณ" แนะ เปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรอยู่ที่วิธีคิด

ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้


การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรทั้งหลายหรือการปรับเปลี่ยนวิธีคิดของคน ผมอยากจะย้ำว่าวิธีคิดที่สำคัญคือ ต้องคิดเป็นวิทยาศาสตร์ ต้องมีคำตอบทางวิทยาศาสตร์ นั่นคือจะต้องแสวงหาคำตอบที่เป็นวิทยาศาสตร์ตลอดเวลานะครับ เค้าเรียกว่า “need scientific answer”

สวัสดีครับพี่น้องที่เคารพรักครับ วันนี้พบกันอีกครั้งหนึ่ง วันนี้ผมอยากจะพูดเรื่อง วิธีคิด เพราะวิธีคิดมันเป็นหัวใจสำคัญของเราที่จะทำให้เราก้าวหน้าหรือผิดพลาดแล้วมันไม่ได้เกิดเฉพาะตัวเรา มันจะมีผลต่อครอบครัวเราด้วย เพราะฉะนั้นก็เลยอยากพูดเรื่องวิธีคิด แต่ก่อนพูดถึงวิธีคิดก็เริ่มต้นด้วยวัฒนธรรมองค์กร
วัฒนธรรมองค์กรมันเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนองค์กรให้สำเร็จหรือไม่สำเร็จ ถ้าวัฒนธรรมนั้นถูกต้องต่อยุคสมัย ต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้น ก็จะทำให้องค์กรนั้นขับเคลื่อน ไปได้ดี แต่ถ้าหากว่าวัฒนธรรมองค์กรนั้นมันไม่ตรงไม่ผิดมันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง  กับยุคสมัยก็ต้องเปลี่ยนแปลง อย่างเช่น วัฒนธรรมขององค์กรที่ชอบเปลี่ยนแปลงตามยุคตามสมัยให้ทันต่อเทคโนโลยีก็จะไม่ตกโลก ก็จะสามารถที่จะพัฒนาตัวเองได้ตลอดเวลา บางองค์กรมีวัฒนธรรมที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงก็จะทำให้ล้าหลัง ถดถอยนะครับ วัฒนธรรมองค์กรมักจะถ่ายทอดโดยคนเป็นผู้นำองค์กรเป็นหลัก ถ้าผู้นำองค์กรถ่ายทอดสิ่งที่ดีให้กับองค์กร สิ่งเหล่านั้นมันก็จะติดอยู่ อย่างสมัยผมตั้งตัวใหม่ๆ บริษัทผมชินคอร์ปตอนนั้น ตอนนี้ขายไปแล้ว แล้วก็เปลี่ยนชื่อเป็นอินทัชแล้วนะครับไม่เกี่ยวกับผมแล้ว แต่ว่าวัฒนธรรมที่ผมเคยทิ้งไว้เนี่ยยังอยู่ยกตัวอย่างเช่น ผมเนี่ยชอบพาผู้บริหารไปดูนิทรรศการเพื่อจะได้เพิ่มพูนความรู้และทันสมัยในวิชาชีพของเราเอง ในสิ่งที่เราทำมาหากินเองว่างั้นเถอะ ผมจะไปดูนิทรรศการเกี่ยวกับ Telecom ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นเจนีวา สิงคโปร์ ฮ่องกง เยอรมันหรือบาร์เซโลน่า ผมไปหมด เพื่ออยากจะรู้ว่าอะไรไปถึงไหนแล้ว แนวโน้มมันจะเป็นยังไง เขาจะเอาของใหม่ๆ มาโชว์ ทำให้เรารู้ว่า Concept ใหม่ๆ กำลังจะเกิดขึ้นอะไรขึ้น แล้วเราจะไปตามเขาไหม หรือว่าเราคิดว่าเราไม่ไป เราจะไป อีกทางนึง เราจะได้เห็นชัด อันนี้ก็เป็นวัฒนธรรมอันนึงที่เราพยายามทำไว้
อีกอันนึงเวลาผมไปเดินทางไปเนี่ย ผมไปเมืองนอกกลับมาตอนเช้ามืด กลับจากยุโรปตีห้ากว่า 6 โมงเช้า ผมเข้าที่ทำงานอาบน้ำทำงานเลย ทำงานทั้งวันเลยตอนนี้ผู้บริหารทุกคนก็เป็นอย่างนั้นครับ เพราะว่าเมื่อผมเนี่ยเป็นทั้งเจ้าของ เป็นทั้งผู้บริหาร ยังขยันอย่างนั้นทุกคนก็เลยต้องขยันตาม ก็เป็นวัฒนธรรมที่ผมเชื่อว่าวันนี้ทุกคนก็ยังทำอย่างนั้น
วัฒนธรรมองค์กรเนี่ยถ้ามันไม่ดีเนี่ยต้องเปลี่ยนครับ ถ้าไม่เปลี่ยนมันตามไม่ทันเหมือนที่ Jack Welch ที่เคยเป็นประธานของบริษัท GE ซึ่งตอนนั้นรุ่งเรืองมาก แต่ตอนนี้ GE เจ๊งไปหลายตัวแล้วเหลือนิดหน่อย ตอนนั้น Jack Welch เนี่ยก็สอนตลอดเวลาว่า คุณต้องเปลี่ยนก่อนที่จะถูกบังคับให้เปลี่ยน ถ้าเราเปลี่ยนแปลงช้ามันก็หมายความว่าเหมือนกับคลื่นมันมาแล้วเนี่ย เรายังไม่เตรียมตัวที่จะว่ายไป   ตามคลื่นให้ได้เนี่ย คลื่นมันก็พัดเราตกทะเลจมน้ำไปนะครับ เพราะฉะนั้นเนี่ยถ้าเราสามารถเปลี่ยนแปลง เราสามารถรู้ว่าจะเปลี่ยนยังไงเนี่ย เราวางแผนการเปลี่ยนแปลงได้ แต่ถ้าเราไม่ทันได้เปลี่ยน แต่เหตุการณ์มันบังคับให้เราเปลี่ยนยกตัวอย่างที่เกิดขึ้นในปี 1997 ต้นต้มยำกุ้งเรานี่แหละ คือเราไม่ยอมปรับค่าเงิน  ให้มันเป็นความเป็นจริง เรายืนค่าเงินแข็งอยู่ ผลสุดท้ายถูกโจมตี พังเลยตอนนั้น เป็นหนี้เป็นสินต้องไปกู้หนี้ IMF มาเป็นหลายแสนล้านบาท นั่นคือสิ่งที่เขาเรียกว่าต้องเปลี่ยนก่อนถูกบังคับให้เปลี่ยน ถ้าเราไม่ได้เปลี่ยนก็ถูกเขากระแทกต้องเปลี่ยนเนี่ยพังเลย นี่คือสิ่งที่อยากจะบอกว่านักธุรกิจทุกคนที่ตั้งบริษัทใหม่ๆ ขึ้นมาเนี่ย ต้องเริ่มสร้างวัฒนธรรมที่ถูกต้อง วัฒนธรรมที่ถูกต้องก็คือวัฒนธรรมของการใฝ่รู้นะครับขยันที่จะเรียนรู้ แล้วก็ปรับปรุงตัวเองตลอดเวลา แล้วก็ต้องให้ทุกคน    มีความสามัคคีปรองดองกัน ช่วยกันทำงานเป็นทีมให้ได้ นั่นคือสิ่งที่ต้องเริ่มตั้งแต่บริษัทยังเล็กๆ ถ้าบริษัทใหญ่แล้วเนี่ยมันแก้ยากแล้ว ต้องพยายามเริ่มสร้างโดยเฉพาะเถ้าแก่ใหม่ทั้งหลายเนี่ย ต้องเริ่มสร้างวัฒนธรรมที่ดีไว้ เพราะว่าลูกน้องจะได้เลียนแบบ ทำตาม แล้วก็จะกลายเป็นองค์กรที่มีวัฒนธรรมที่ดีงามและพร้อมปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลานะครับ
การปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรทั้งหลายเนี่ย หรือการปรับเปลี่ยนวิธีคิดของคนเนี่ย ผมอยากจะย้ำว่าวิธีคิดที่สำคัญคือ ต้องคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์ ต้องมีคำตอบทางวิทยาศาสตร์ นั่นก็คือจะต้องแสวงหาคำตอบที่เป็นวิทยาศาสตร์ตลอดเวลา นะครับ เค้าเรียกว่าเรา need scientific answer การแสวงหาคำตอบที่เป็นวิทยาศาสตร์เนี่ยก็เกิดจากอะไรบ้าง 1.เกิดจากการที่เราอ่านตำราที่ถูกต้อง แล้วก็ดูผลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวที่เราทำ หรือทำวิจัยซะเองเลย อย่างตอนนั้น   ผมเนี่ยลงทุนทำธุรกิจมีคนมาเสนอผม ธุรกิจผมอันนี้ดีมากนะครับมาลงทุนเถอะครับ ผมสงสัยไม่แน่ใจว่ะ ผมยอมเสียตังค์นะล้านห้าแสนบาทเนี่ยไปจ้างทำ Research เลยว่าถ้าธุรกิจเป็นอย่างนี้ สินค้าเป็นอย่างนี้เนี่ย มีประชาชนสนใจจะ  ซื้อไหม แล้วกำลังซื้อในราคาขนาดนี้เป็นเท่าไหร่ๆ ก็จ้างบริษัทมืออาชีพทำ     หมดไปล้าน 5 ล้าน 5 นี้ผมอาจจะทิ้งน้ำเลยก็ได้ถ้าผมไม่ลงทุน แต่ถ้าผมลงทุน  ผมมั่นใจได้เลยว่ามันไปได้ มันกำไร ไม่ขาดทุนแน่นอน เพราะฉะนั้นผมก็ยอมจ่ายล้าน 5 ไป แล้วผลสุดท้ายออกมา โอ้วมันดีเกินคาด ผมก็เลยลงทุน เนี่ยคือหลัก   วิธีคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์ อย่าไปคิดว่าชอบหรือไม่ชอบไม่ได้เลยนะครับ เดี๋ยวผมจะปิดท้ายว่า ถ้าบอกชอบไม่ชอบ แล้วมันมีผลยังไงนะครับ
เรื่องการพิสูจน์ความจริงเนี่ย มันมีตั้งแต่สมัยโบราณหลายร้อยปีพันปีแล้ว สมัยนักปราชญ์สมัยโบราณเขาก็บอกว่า อย่างสมมติแม้กระทั่งว่า เราจะกล่าวหาใครผิดไม่ผิดทางอาญาเนี่ย เขาใช้คำว่า Proof Beyond a Reasonable Doubt หมายถึงว่า ต้องพิสูจน์จนสิ้นกระแสความนั้น จนสิ้นสุด คือไม่มีความสงสัยแล้ว หมดความสงสัยแล้ว ถึงจะมาพิจารณาว่าผิดหรือไม่ผิดนะครับ เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่สามารถพิสูจน์ได้เนี่ย ก็ยังไม่ตัดสินใจ นั่นคือสิ่งที่หลักสมัยโบราณยังไม่มีวิทยาศาสตร์    แต่วันนี้วิทยาศาสตร์ชัดเจน ทำวิจัยก็ดีอะไรก็ดี เขาก็บอกว่าขอให้พิสูจน์แบบชนิดที่สิ้นกระแสความ หรือว่าเราจะวิทยาศาสตร์มาตอบ ก็ตอบให้ชัดเจนว่ามันเป็นอย่างนี้ๆๆ ตอนสมัยผมทำการเมืองก็เหมือนกัน ผมทำโพลทุกรอบ เพราะฉะนั้นผมจะไม่เดาว่า เห้ย..ถ้าเราไปถึงเนี่ย คนก็จะเชียร์ๆๆ เราก็นึกว่าดีหรือเปล่า เราไม่รู้ แต่ที่รู้แน่ๆ ก็ต้องทำโพลหรือทำวิจัยนะครับ อันนี้คือหลักที่ผมคิดมาตลอดว่า      ทุกอย่างต้องคำตอบทางวิทยาศาสตร์เท่านั้นนะครับ
อย่างแม้กระทั่ง Bill Gates เศรษฐีใหญ่เขายังชอบอ่านหนังสือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผมคิดว่าเขาเองเนี่ยเป็นต้นแบบอันหนึ่งที่ผมเองชอบในการเอาวิธีคิดของเขา เขามีหนังสือเล่มหนึ่งที่เค้าเขียนเองนะครับ Business@the Speed of Thought  เป็นหนังสือเก่าล่ะ คือเขาบอกว่ามันต้องมีระบบเครือข่ายทางดิจิตัล เพื่อให้คน    ในองค์กรได้ใส่ข้อมูล ในสมัยก่อนยังไม่มี Cloud Computing นะครับ เค้าก็ใช้วิธีการเก็บข้อมูลใน Server ก็ทุกบริษัทเขาก็แนะนำว่าต้องมีระบบเครือข่ายทาง Digital เพื่อให้ผู้ที่ทำงานสามารถที่จะสื่อสารข้อมูลถึงกันได้ แล้วก็ล้วงข้อมูลกลางของบริษัทในการตัดสินใจได้ เพื่อจะทำให้เราตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว คือด้วยความเร็ว คือคิดได้ปุ๊บก็กดปั๊บ ตัดสินใจได้ปั๊บเลย เพราะว่ามันมีข้อมูลพร้อม เพราะฉะนั้นการตัดสินใจทุกอย่างเนี่ยก็ต้องอาศัยระบบข้อมูลที่มีจำนวนถูกต้องมากพอ และรวดเร็วนะครับ นี่คือวิธีที่เขาสอน แล้ว Bill Gates ก็แนะนำหนังสือ    30 กว่าเล่ม แต่มีเล่มนึงนะครับ เป็นเล่มที่เขียนโดย Daniel Kahneman เป็นคนที่ได้รับรางวัล Nobel Prize หนังสือเก่านะครับ 2011 แต่ว่า Nobel Prize สาขาเศรษฐศาสตร์ เขาก็พูดถึงเรื่อง Thinking fast and slow หนังสือชื่อ Thinking fast and slow คือเขาก็จะบอกวิธีคิดแนวคิดว่า เวลาคิดเร็วเป็นยังไง คิดช้าเป็นยังไง และคิดโดยไม่มีอคติ คิดโดยวิเคราะห์วิจัยเป็นยังไง ก็เพื่อจะให้จิตวิทยา     ในการหัดคิดของคนนะครับ
อีกคนนึงที่เขียนหนังสือในเรื่องความคิดเนี่ย ก็มีคนแก่คนนึงนะครับเคยเจอผมตอนผมเป็นนายก Dr.Edward de Bono, Edward de Bono เนี่ยเขียนหนังสือเกี่ยวกับคิดทั้งนั้นเลย หนังสือเล่มแรกๆ ของเขาคือ Teach Yourself to Think คือสอนตัวเองให้หัดคิด คือบางทีเนี่ยเราไม่คิดไง เราอยู่กับเรื่องง่ายๆ เพราะฉะนั้นบางทีบางครั้งเนี่ย การเรียนรู้วิธีคิดเป็นเรื่องสำคัญ แม้กระทั่งอีกเล่มหนึ่งเค้าเขียนหนังสือเรื่อง Six Thinking Hats ก็คือว่า สมมุติว่าเราใส่หมวกสีฟ้าบ้าง สีขาวบ้างสีแดงบ้าง สีดำบ้าง สีเหลืองบ้าง สีเขียวบ้าง เพื่อเตือนให้ว่า direction เราคิดยังไง สมมุติว่าคิดเป็น creative ก็สมมติใส่สีเขียว บังคับให้เราคิดในเชิงสร้างสรรค์อย่างเดียว ใส่หมวกสีเหลือง ก็ลองคิดว่ามองโลกในแง่ดีอย่างเดียว ใส่หมวกนี้    ให้คิดในแง่ร้ายไว้ก่อน เราจะได้รู้ว่าคำตอบจริงๆ คืออะไร ถ้าคิดทุกอย่างออกมาในแง่ร้าย ในแง่ดี คิดในเชิงสร้างสรรค์ หรือว่าคิดในเชิงที่มีข้อมูล คิดในเชิงที่เป็นอารมณ์ อะไรพวกนี้ เขาก็จะสอนวิธีคิด พวกนี้มันเล็กๆ น้อยๆ มันทำให้เราได้พัฒนาวิธีคิดของเรานะครับ
ก็ตอนสมัยผมเป็นนายก ผมอ่านหนังสือเล่มนึง ชื่อ Blink ที่เขียนโดย Malcolm Gladwell นานแล้ว หนังสือเก่าแล้ว Blink เค้าบอกว่า คิดโดยไม่ต้องคิด Blink  แปลว่า กระพริบตาเนี่ย คิดโดยไม่ต้องคิด คือว่า มีอะไรเข้ามา ตัดสินใจได้ทันที แต่ว่าสิ่งเหล่านี้เกิดจากการสั่งสมประสบการณ์ ข้อมูล ความผิดถูก ล้มเหลว ความสำเร็จมานาน จนสามารถที่จะคิดอย่างนั้นได้ เช่นว่า คนที่จัดงานแต่งงานพวก Wedding planner ทั้งหลายเนี่ย เขาเห็นคู่บ่าวสาวมาร่วมงานกับเขาเนี่ย เช่นว่า มาเตรียมถ่ายพรีเวดดิ้งบ้าง ถ่ายรูปบ้าง มาเตรียม มาปรึกษาเรื่องงานตรงนั้นตรงนี้บ้าง เขาสามารถเดาได้เลยว่าคู่นี้จะไปรอดหรือไม่รอด เพราะประสบการณ์ที่เขาเห็นมาเยอะ เห็นมาแล้วว่าทะเลาะกัน มาถึงก็ทะเลาะกัน  ถ้าจะไปไม่รอด อะไรทำนองนี้ หรือไม่ก็นักเล่นของเก่า ไปเห็นของเก่าติดราคาหลายร้อยล้านบาท แต่เค้าเห็นปั๊บ เค้าบอกอันนี้ปลอม เขาบอกอย่างนั้นได้ยังไง ก็แสดงว่าต้องสั่งสมประสบการณ์และความรู้มาเยอะ เหมือนกับอดีตนายกของสิงคโปร์ชื่อท่านลีกวนยู ท่านอายุมากกว่าผม ท่านมาเยี่ยมผมตอนผมเป็นนายก ผมถามท่านว่า ทำไมท่านอายุเยอะแล้ว ท่านยังคมมาก ความรู้ยังแน่นอยู่เลย    ท่านอ่านหนังสือเยอะเหรอ ท่านบอกว่า หนังสืออ่านไม่ไหวหรอกมันเยอะ ท่านก็อาศัยว่าพูดคุยกับคน แต่หนังสือเนี่ยอ่านอยู่ แต่พูดคุยกับคน คนแต่ละคนที่มาหาเราเนี่ย เขามีประสบการณ์ในชีวิต ลองผิดลองถูกกับชีวิตเขามาเป็นสิบๆ ปี เพราะฉะนั้นเวลาเขาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเราเนี่ย ทำให้เราเรียนรู้ได้ บางมุมเราอาจจะมองไม่เห็น เค้ามองเห็น เช่นว่าเรามองว่าสถานการณ์บ้านเมืองของโลกตอนนี้เป็นอย่างนี้ ท่านมองยังไง เขาก็วิเคราะห์ในมุมของเค้า เราก็จะได้เข้าใจว่า เอ้อ..บางมุมเราไม่มี นะครับ สิ่งเหล่านี้มันเกิดประโยชน์
เราไปดูสิ่งที่มันเป็นสารคดี มันเป็นเรื่องนิยายที่เป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งมันเอาอนาคตมาเล่าให้ฟัง และสิ่งเหล่านี้มันเป็นจริงในอีก 10 ปีต่อมาก็เป็นจริงไปเรื่อยๆอย่างนี้น่าจะได้ประโยชน์กว่า นะครับ
เพราะฉะนั้นก็ ผมคิดว่าวิธีคิดหรือการพัฒนาวิธีคิดของคนไทยเราเนี่ยสำคัญ เพราะไม่งั้นจะเสียเปรียบนะครับ ถ้าคนไทยเราคิดเป็น เพราะระบบการเรียนการสอนเราเนี่ยมันสอนให้ท่องจำมานานเกินไป สุดท้ายมันไม่สร้างวิธีคิดให้กับเรา เพราะฉะนั้นวันนี้ถ้าอยากจะให้ลูกหลานเก่งในอนาคตข้างหน้า หรือลูกหลานปัจจุบันเนี่ยมันไม่สายเกินไปหรอกครับ อ่านหนังสือ มีเหตุมีผลกับวิทยาศาสตร์แล้วเราจะได้เชื่อในสิ่งที่มันเป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่เชื่อเพราะเขาบอกมา เหมือนที่พระพุทธเจ้า ปิดท้ายพระพุทธเจ้าบอกว่า กาลามสูตร 10 นะครับ กาลามสูตร 10 ของพระพุทธเจ้าเนี่ย ท่านสอนไว้ว่า อย่าเชื่อเพราะว่าคนที่พูดเป็นครูบาอาจารย์ เรา คือฟังได้ทุกคน แต่ว่าอย่าเพิ่งเชื่อจนกว่าเราได้คำตอบที่เป็นวิทยาศาสตร์       มีเหตุมีผลถึงค่อยเชื่อ อย่างนั้นเราจะได้ฝึกวิธีคิดเรา

ปิดท้ายด้วยคำสอนของท่านพระพุทธทาสท่านบอกว่า โลภ โกรธ หลง ทำให้เป็นม่านบังตา หรือทำให้โง่ ก็คือว่าถ้าเมื่อไหร่เราต้องตัดสินใจบนพื้นฐานของความโลภ ความโกรธ และความหลง มันจะทำให้เราเนี่ยตัดสินใจผิดพลาดได้ เพราะ   มันเป็นม่านบังตาให้เราขาดความคิดอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ เพราะฉะนั้นขอให้คิดอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ แล้วเราจะได้คำตอบที่ถูกต้อง เป็นทางเดินของชีวิตเรา ที่ถูกต้อง เราคิดถูกเราสำเร็จ แล้วคนรอบตัวเราก็จะมีความสุขและสำเร็จไปด้วย ถ้าเราคิดผิดคนรอบตัวเราก็จะทุกข์และก็ลำบากไปด้วยครับ ขอบคุณครับ สวัสดีครับ แล้วพบกันใหม่ครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น