วันอาทิตย์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2559

ถอดรหัสคำต่อคำ: ดร.ทักษิณ ชินวัตร สัมภาษณ์พิเศษ ไฟแนนเชียลไทมส์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ไฟแนนเชียลไทมส์ ได้เผยแพร่บทสัมภาษณ์พิเศษ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี  Lunch with the FT: Thaksin Shinawatra โดยทางกองบรรณาธิการ Social Media TV24 สถานีประชาชน ถอดความเป็นภาษาไทย มีเนื้อหาดังนี้


ในห้องส่วนตัวที่ปลอดจากเสียงของสมาชิกในครอบครัวที่สังสรรค์อาหารกลางวันในวันตรุษจีน ดร.ทักษิณ ชินวัตร ได้บอกฉันว่าสิ่งที่เขาเห็นในขณะนี้คือ “จินตนาการภาพในทางลบอย่างไม่มีเหตุมีผล” เกี่ยวกับตัวเขา  สองปีมาที่ฉันพยายามขอสัมภาษณ์เขา “ผมได้เงียบมาหลายปี แต่ตอนนี้น้องสาวผมเองบอกว่า ผมควรที่จะพูดอะไรบ้าง เพราะไม่เช่นนั้นความเข้าใจผิดๆ มันจะยังคงอยู่” ดร.ทักษิณอธิบาย  “ผมไม่ได้ต้องการต่อสู้เพื่อให้ได้กลับบ้าน แต่ผมกำลังสู้กับความอยุติธรรมที่มีต่อผมและผู้สนับสนุนผม”

ดร.ทักษิณ ยืนยัน  “ผมไม่สนใจที่จะกลับไปเป็นนายกรัฐมนตรีอีกแล้ว ผมไม่บ้าพอที่จะทำแบบนั้น" กลับกัน เขากลับบอกว่าสิ่งที่เขาต้องการคือการเรียกร้องให้คณะรัฐประหารคืนเสรีภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ให้กับประชาชนชาวไทย

ดร.ทักษิณ เรียกร้องให้คณะนายทหารมานั่งคุยเจรจาเพื่อยุติปัญหาทางตันทางการเมืองของประเทศที่เคยมีอัตราความเจริญเติบโตสูงและมีสถานะประเทศผู้นำกลุ่มเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ต้องสะดุดหยุดลงกลับไปกลับมาระหว่างกองทัพกับรัฐบาลพลเรือน “ประเทศของเราล้าหลังลงไปกว่า 10 ปี เราถอยหลังประเทศของเราแทนที่จะพัฒนาเดินหน้าสู่อนาคต” มากกว่านั้น “ประเทศไทยอาจจะเปรียบเทียบได้กับเกาหลีเหนือ” ดร.ทักษิณกล่าวถึงคณะรัฐประหารว่าจะมาสลายความขัดแย้ง ถ้าไม่อย่างนั้นก็อาจจะเปลี่ยนกรุงเทพให้เป็นกรุงเปียงยาง “ผู้ปกครองคนใดก็ตามที่ไม่ได้เคารพและไม่ใส่ใจประชาชน จะอยู่ได้ไม่นาน” เขากล่าว

เขามองตัวเองเป็นเหมือนกระบอกเสียงของฝ่ายประชาธิปไตยในประเทศที่มีลักษณะอนุรักษ์นิยมสุดขั้วที่เห็นว่าการเคารพต่อผู้มีอำนาจเป็นสิ่งสำคัญที่สุด อันเป็นลักษณะ “แบบไทยไทย” ที่ทิ้งหลักการของประชาธิปไตยของวินส์ตัน เชอร์ชิล และหลักระบบราชการของแม็กซ์เวเบอร์   ดร.ทักษิณมองว่า “แม้รัฐบาลพลเรือนที่จากการเลือกตั้งจะไม่สมบูรณ์แบบแต่ก็ยังดีกว่าระบบการปกครองแบบทหาร”

ดร.ทักษิณ เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงพลังทางการเมืองใหม่ๆที่เกิดขึ้น ชนชั้นนำทางการเมืองของไทยพยายามสร้างภาพรัฐธรรมนูญที่ดูเป็นเสรีนิยม แต่รัฐธรรมนูญก็ยังแสดงให้เห็นถึงว่าละเลยใส่ใจต่อเสียงของคนต่างจังหวัด ในขณะที่ดร.ทักษิณ กลับให้คำมั่นสัญญาที่จะนำความเจริญร่ำรวยมาสู่ประเทศด้วยการช่วยเหลือชาวบ้านด้วยโครงการสินเชื่อรายย่อยและโครงการ 30บาทรักษาทุกโรค

เมื่อเราถามว่าที่ไหนอะไร  ที่ทำให้ ดร.ทักษิณฉุกคิดประเด็นการช่วยเหลือชาวชนบท เรากลับได้รับคำตอบที่น่าทึ่งมากว่า เขามองไปที่ชาวนาชาวสวนที่กระเสือกกระสนทำงานอย่างหนักในไร่ ตอนที่เขายังเป็นเด็กนั่งจักรยานยนต์ไปโรงเรียนกับพ่อ ต่อมาเมื่อโตขึ้นเค้าก็เห็นคนใช้แรงงานที่มารับจ้างทำงานอยู่ในไร่สวนส้มของพ่อเค้า “ผมรู้สึกว่าผมทำอะไรสักอย่างช่วยคนเหล่านี้ เพราะผมรู้ว่าจะต้องทำงานอย่างไร เหมือนที่ผมเริ่มต้นทำงานจากไม่มีอะไรเลยจนร่ำรวยกลายเป็นมหาเศรษฐี” ดร.ทักษิณบอกบางทีการวิ่งเล่นภายในสวนของพ่อเขาอาจสอนอะไรเขาบางอย่าง

ดร.ทักษิณ ใช้ความระมัดระวังอย่างยิ่งเพื่อจะไม่เรียกร้องอะไรแบบกลับตาลปัตรเกินไปจากคณะรัฐประหาร แม้ว่าจะรังเกียจต่อรูปแบบการปกครองและร่างรัฐธรรมนูญที่จะทำให้นักการเมืองจากการเลือกตั้งต้องอ่อนแอลงไป

“ผมพยายามใช้เวลาในต่างประเทศให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด ไม่ใช่แค่ลอยไปลอยมารอเวลากลับบ้าน” ดร.ทักษิณกล่าว “ผมแค่ต้องการทำอะไรบางอย่างที่เกิดประโยชน์กับผมและกับประเทศของผมในอนาคต”

ผมถามว่าทำไมบรรดาคณะทหารและเครือข่ายชนชั้นนำต่างเกลียดคุณมากมายขนาดนี้ ดร.ทักษิณดูนิ่งไปสักพัก เราถามซ้ำอีกครั้งเพื่อทำลายความเงียบ ดร.ทักษิณตอบกลับมาว่า “มันเกี่ยวกับความหวาดระแวง เพราะผมเป็นเพียงนายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้งคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่สามารถชนะอย่างถล่มทลายและอยู่ครบเทอมคนแรก”

ดร.ทักษิณ พูดถึงบรรดานายพลทั้งหลายว่า “เขากังวลกันเกินไป” เกี่ยวกับท่าทีของเขา เขามัวแต่หลงอยู่การ  “เผาบ้านทั้งหลังเพื่อจับหนูหนึ่งตัว” ดร.ทักษิณเตือน “ผมเป็นแค่หนู แต่พวกเขาทำให้ผมดูกลายเป็นเสือ”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น