วันเสาร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2561

"จาตุรนต์" ห่วงตรวจทุจริตเหลว หวั่นคอรัปชั่นพุ่ง


นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ อดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และแกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความ เรื่อง ความล้มเหลวของระบบต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่น ผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

ตอนที่2 หลังรัฐประหารปี 2557 เกิดอะไรขึ้นกับระบบต่อต้านการคอรัปชั่น?

นับตั้งแต่คสช.ทำรัฐประหารยึดอำนาจเป็นต้นมา ระบบการต่อต้านคอรัปชั่นก็เปลี่ยนไปอย่างมาก การตรวจสอบถ่วงดุลการใช้อำนาจของรัฐ ถูกจำกัดลงอย่างมาก กล่าวคือ

1. ไม่มีการตรวจสอบการทุจริตคอรัปชั่นโดยฝ่ายนิติบัญญัติ ทั้งการตั้งกระทู้ การเสนอญัตติในสภา โดยเฉพาะไม่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ หรือแม้แต่การตรวจสอบโดยคณะกรรมาธิการต่างๆ

2. การตรวจสอบโดยสื่อมวลชนทำได้อย่างจำกัด โดยเฉพาะการเสนอข้อมูลหรือความเห็นที่เป็นการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลคสช. ถูกจำกัดด้วยการควบคุมสื่อ ทั้งโดยเปิดเผยและไม่เปิดเผย ทั้งด้วยการเข้าระงับยับยั้งโดยตรงด้วยการยกเลิกรายการหรือปิดสถานีและการบีบบังคับให้สื่อเซ็นเซอร์ตัวเอง

3. การตรวจสอบโดยภาคประชาชนถูกขัดขวาง ทั้งด้วยการใช้อำนาจของคสช.ในเรื่องห้ามชุมนุมทางการเมืองและการใช้กฎหมายอาญาเกี่ยวกับความมั่นคงและกฎหมายคอมพิวเตอร์ที่เป็นไปในลักษณะกลั่นแกล้งตามอำเภอใจ ดำเนินคดีทั้งในศาลทหารและศาลยุติธรรม

4. มีการใช้คำสั่งคสช.แต่งตั้งโยกย้ายในลักษณะลงโทษหรือให้คุณให้โทษแก่ข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ ในเรื่องเกี่ยวกับการทุจริตโดยไม่มีการสอบสวนเสียก่อน ไม่เปิดโอกาสให้มีการชี้แจง อุทธรณ์หรือกระทั่งร้องต่อศาลปกครอง ต่อมาแม้พบว่าไม่มีความผิดก็ไม่มีการแก้ไขคำสั่งหรือเยียวยา เท่ากับทำลายระบบในการแต่งตั้งโยกย้าย โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันปราบปรามการทุจริต จนหาหลักหาเกณฑ์อะไรไม่ได้

5. ไม่ปรากฎว่า มีการจัดระบบเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างที่เชื่อได้ว่า จะป้องกันการทุจริตคอรัปชั่นได้ดีขึ้น แต่กลับมีการใช้คำสั่งคสช.ยกเว้นการรับผิดทางแพ่ง ทางอาญาหรือทั้งสองอย่างแก่เจ้าหน้าที่ราชการหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐประเภทอื่น ในการดำเนินการที่อาจเกิดการทุจริต

ซ้ำร้ายในการดำเนินโครงการใหญ่มูลค่ามหาศาล ก็ได้มีคำสั่งคสช.กำหนดสาระสำคัญและกระบวนการทำงานของโครงการ โดยให้ยกเว้นการใช้กฎหมายเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดจ้างที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เช่นโครงการรถไฟความเร็วสูง เป็นต้น

เกิดอะไรขึ้นกับองค์กรต่อต้านคอรัปชั่น?

หลังการรัฐประหารปี 2557 เป็นต้นมา คสช.มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ซึ่งต่อมาก็บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 มาตรา 44 แล้วรับรองโดยรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ทำให้สิ่งที่เรียกกันว่า องค์กรอิสระทั้งหลาย รวมทั้งที่มีหน้าที่เกี่ยวกับการต่อต้านหรือปราบปรามคอรัปชั่นไม่มีความเป็นอิสระอีกต่อไป แม้จะยังคงมีกฎหมายต่างๆที่เกี่ยวข้องอยู่

คสช.ยังได้ออกคำสั่งที่ 69/2557 เรื่อง มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตประพฤติมิชอบ สั่งทุกส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐให้ดำเนินการต่างๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ และได้สั่งให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินการทั้งหลาย และรายงานผลการปฏิบัติพร้อมทั้งเสนอความเห็นให้คสช.พิจารณา

คำสั่งนี้ มีลักษณะทำให้อำนาจในเรื่องที่เกี่ยวกับกับป้องกันปราบปรามการทุจริตอยู่ในมือของคสช.อย่างสมบูรณ์

มีการตั้งคกก.ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ เมื่อ 13 ตุลาคม 2557

ต่อมา 24 พฤศจิกายน 2557 นรม. ออกคำสั่งที่ 226/2557 เรื่องจัดตั้งศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติขึ้น ภายในสำนักงาน คกก.ปปท.เรียกโดยย่อว่า ศอตช. มีรมว.ยุติธรรมเป็นประธาน เลขาธิการปปช.เป็นกรรมการ เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ผู้ตรวจการแผ่นดินเป็นกรรมการ รวมองค์กรภาคเอกชนอีก 2 องค์กรเป็นกรรมการด้วย

อำนาจหน้าที่สำคัญ คือ กำหนดแนวทางและแผนการปฏิบัติให้เป็นไปตามนโยบายของฝ่ายบริหารในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตประพฤติมิชอบ พร้อมทั้งขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตสู่การปฏิบัติให้บังเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม

อำนวยการและประสานการปฏิบัติ เร่งรัด ติดตาม กำกับดูแล ตรวจสอบและประเมินผลการดำเนินงานของส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การแก้ไขปัญหาการทุจริตเป็นไปอย่างบูรณาการโดยมีเอกภาพชัดเจน

ต่อมาคำสั่งคสช.ที่ 127/2557 ลว. 15 ธันวาคม 2557 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ มีหัวหน้าคสช.เป็นประธาน มีอำนาจหน้าที่กว้างขวางมาก เช่น จัดทำแนวทางและมาตรการในการบูรณาการเพื่อเสริมสร้างและประสานความร่วมมือในการป้องกันและขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบ และเสนอให้ครม.ทราบและดำเนินการตามอำนาจหน้าที่

ติดตามประสานงานและสนับสนุนให้เกิดความร่วมมือในการดำเนินงานของคณะกรรมการตามกฎหมายและหน่วยงานของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวข้อง

คำสั่งนี้ มีลักษณะครอบคลุมกว้างขวางมาก องค์กรที่มีหัวหน้าคสช.เป็นประธานนี้ กลายเป็นองค์กรสูงสุดในเรื่องคอรัปชั่นที่กำกับควบคุมองค์กรทั้งหลายทั้งปวง

ต่อมา มีคำสั่งคสช.ที่ 1/2558 แต่งตั้งคณะกรรมการตามองค์ประกอบคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ

หลังจากนั้น จะเห็นภาพการเรียกปปช. สตง.มาสั่งการ ประสาน ร่วมประชุมเป็นว่าเล่น จนกลายเป็นระบบที่ไม่ได้อาศัยองค์กรอิสระ หรือไม่มีองค์กรอิสระที่อิสระจริง อำนาจอยู่ที่คสช.เป็นหลัก ถัดมา คือ รัฐบาล
แต่องค์กรที่ตั้งขึ้นนี้ ต่อมาก็ไม่ได้มีบทบาทที่เป็นแก่นสารใดๆ

สำหรับปปช.นั้น นอกจากถูกครอบและบดบังโดยระบบและโครงสร้างไปแล้ว ปปช.เองยังถูกแทรกแซงโดยคสช.และรัฐบาลโดยตรงอีกด้วย เมื่อกรรมการปปช.ชุดเดิมบางคนพ้นจากตำแหน่งไป ก็เกิดการสรรหาและแต่งตั้งคนใหม่ขึ้นแทน ในการนี้คสช.ได้ออกคำสั่งกำหนดให้ประธานสนช.และรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมายเข้าเป็นกรรมการสรรหาและต่อมาได้ผ่านความเห็นชอบของสนช. จนได้เป็นคณะกรรมการปปช.ชุดปัจจุบัน ซึ่งก็เป็นที่รับรู้ทั่วไปว่า กรรมการคนสำคัญบางคนเป็นคนสนิทของคสช.โดยตรง

3 ปีกว่าภายใต้การปกครองของคสช. ระบบในการต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่นได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก จนทำให้แท้จริงแล้ว ในระบบนี้ไม่มีองค์กรอิสระ หากแต่เป็นระบบที่คสช.กำกับควบคุมได้ หรือเรียกได้ว่า รวมศูนย์อำนาจอยู่ในมือของของคสช.อย่างสมบูรณ์ ระบบนี้อยู่ในสภาพที่ขาดการตรวจสอบถ่วงดุล ทั้งจากฝ่ายนิติบัญญัติ สื่อมวลชน และประชาชน

ภายใต้ระบบที่สังคมจะสามารถตรวจสอบการทำงานของ คสช.และรัฐบาลได้อย่างจำกัดมากนี้ แม้จะมีข่าวการทุจริตคอรัปชั่นมากขึ้นๆ แต่ก็ไม่มีใครทราบว่า แท้จริงแล้วมีการทุจริตคอรัปชั่นมากหรือน้อยเพียงใด สังคมจะได้รับรู้ความจริงกัน ก็ต่อเมื่อมีระบบในการป้องกันปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่นที่ดีและมีประสิทธิภาพ และต่อเมื่อประชาชนมีสิทธิเสรีภาพในการตรวจสอบการทำงานของรัฐแล้วเท่านั้น
ระบบที่การตรวจสอบถ่วงดุลเพื่อป้องกันปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่นทำได้อย่างจำกัดนี้ จะอยู่กับเราไปอีกอย่างน้อยตลอดระยะเวลาที่คสช.ยังอยู่ในอำนาจ

ส่วนระบบที่ถูกออกแบบไว้สำหรับอนาคตเป็นอย่างไร ไว้พูดกันในตอนต่อไปครับ
......
(รออ่าน ตอนที่3)
ในภาพอาจจะมี 1 คน, ข้อความ

พลรักษ์ รักษาพล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น