วันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

“วัฒนา” พร้อมสู้คดีบ้านเอื้ออาทร เผยถูกมุ่งเอาผิด-ขัดหลักนิติธรรม


ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคเพื่อไทย ว่า นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย นายนรินทร์พงศ์ จินาภักดิ์ นายกสมาคมทนายความ แถลงถึงกรณีคดีโครงการบ้านเอื้ออาทรว่า หลังรัฐประหารปี 2549 ได้มีการแต่งตั้ง คตส. เพื่อตรวจสอบโครงการดังกล่าว โดยกล่าวหาว่ามีการออกทีโออาร์ใหม่เพื่อเอื้อประโยชน์แก่ผู้ประกอบการ และมีการเรียกรับผลประโยชน์จากผู้ประกอบการในที่ประชุม แต่การไต่สวนไม่ได้ยึดหลักกฎหมายและข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง แต่มุ่งจะเอาผิดตน มีการข่มขู่พยาน โดยพยานรายใดที่ให้ความร่วมมือจะไม่ถูกดำเนินคดี แต่ก็ไม่มีประเด็นที่ตนเข้าไปเกี่ยวข้อง ล่าสุด ป.ป.ช. ชุดปัจจุบันได้ทำหนังสือถึงตนให้ไปพบอัยการ เพื่อให้อัยการนำตัวไปส่งฟ้องศาลในวันที่ 9 พฤษภาคม นี้ เท่ากับใช้เวลาในการไต่สวนคดีดังกล่าวนานถึง 12 ปี ทั้งที่เป็นคดีง่ายๆ ไม่มีความสลับซับซ้อน แต่แสดงให้เห็นว่ามีธงให้ดำเนินคดีกับตน

นายวัฒนา กล่าวต่อว่า คดีนี้ ป.ป.ช. ได้ส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดโดยไม่มีการแถลงข่าวถึงมติของ ป.ป.ช. และไม่มีการประกาศในเว็บไซต์ของ ป.ป.ช. ดังที่ได้ปฏิบัติกับคดีท่ัวไป โดยนายณรงค์ รัฐอมฤต เจ้าของสำนวนอ้างว่าไม่ต้องการให้ตนทราบ เพราะอาจมาร้องขอความเป็นธรรมซึ่งจะทำให้ส่งสำนวนไปยังอัยการสูงสุดไม่ได้นั้น ถือว่าขัดต่อหลักนิติธรรม เนื่องจากตนถูกฟ้องความผิดตามมาตรา 148 มีโทษสูงถึงประหารชีวิต จึงเป็นสิทธิของผู้ถูกกล่าวหาที่จะขอความเป็นธรรม การที่ ป.ป.ช. กลัวการร้องขอความเป็นธรรมจึงสอดคล้องกับการข่มขู่ของหัวหน้า คสช. ส่วนข้อกล่าวหาว่ามีการเรียกผลประโยชน์จากผู้ประกอบการนั้น ในชั้น คตส. กล่าวหาว่า ตนได้เรียกประชุมผู้ประกอบการ และเรียกผลประโยชน์ต่อหน้าที่ประชุมนั้น ต่อมา ป.ป.ช. ได้เปลี่ยนเป็นรู้เห็นเป็นใจเพราะไม่มีพยานหลักฐานใดๆ ที่พิสูจน์ได้ว่ามีความเกี่ยวข้องหรือเชื่อมโยงกับตน มั่นใจในความบริสุทธิ์และพร้อมที่จะต่อสู้คดีเพื่อพิสูจน์ เสียดายที่ไม่มีโอกาสได้ต่อสู้คดีภายใต้กระบวนการยุติธรรมปกติที่ปราศจากการแทรกแซงของคณะรัฐประหาร รัฐประหารครั้งแรกตั้ง คตส. รัฐประหารครั้งหลังมีการปลดอัยการสูงสุดทั้งที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้เป็นองค์กรอิสระจากฝ่ายบริหาร ทั้งยังมีการแทรกแซงการแต่งตั้ง ป.ป.ช. ออกกฎหมายให้ ป.ป.ช. อยู่ในตำแหน่งต่อไปทั้งที่ขาดคุณสมบัติ โดยเฉพาะประธาน ป.ป.ช. ที่มีคุณสมบัติต้องห้าม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น