"แค่โพสต์คำขอโทษทางเฟซบุ๊ก 7 วัน น้อยไปมั้ย? ก้บการใส่ร้ายป้ายสีนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในทีวีดาวเทียมอย่างต่อเนื่องไม่รู้ว่านานกี่วันและแพร่ภาพไปกี่ประเทศทั่วโลก แต่โพสต์ขอโทษนิดหนึ่งแล้วรีบลบ พอถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง ก็กลับมาโพสต์ขอโทษใหม่ งานนี้ไม่คุ้มเลยสำหรับชื่อเสียงเกียรติยศของลูกผู้ชายและเป็นถึงนักการเมืองระดับชาติ ที่กล่าวมุสาวาทาฯเพื่อทำลายชื่อเสียงของผู้หญิงในทางเสียหาย นายกฯยิ่งลักษณ์ต้องข่มใจอดทนต่อความเลวร้ายของทั้งสามชายนี้มาหลายปี กว่าจะได้รับความเป็นธรรมจากศาล การที่มีข่าวว่านายกฯยิ่งลักษณ์ยอมความไม่เอาผิดต่อชายนักการเมืองทั้ง 3 คน นับว่าท่านใช้หลักเมตตาธรรม ท่านละความโกรธ ละความเกลียดชัง ไม่ใช้กระบวนการทางศาลลงโทษสถานหนักถึงกับตัดอนาคตทางการเมืองของทั้ง 3 คนดังกล่าวนี้
ท่านนายกฯยิ่งลักษณ์ เลือกทางสันติสุข โดยไม่แก้แค้นให้คู่กรณีเจ็บปวดรวดร้าวเหมือนที่ท่านได้รับจากการกระทำของพวกเขาทั้งสามคน กรณีนี้คงจะเป็นบทเรียนราคาแพงมากสำหรับนักการเมืองทั้งสามคนผู้กระทำผิดกฏหมาย และทุกคนในสังคมปัจจุบันที่อยู่ในยุคดิจิทัล สังคมออนไลน์ การโพสต์ภาพและข้อความที่เป็นเท็จก็จะได้รับโทษอย่างแน่นอน อย่าคิดว่าการสืบค้นหาคนกระทำผิดจะทำได้ยาก เพราะยุคดิจิทัลความลับไม่มีในโลก และที่สำคัญสังคมคงจะเกิดความตระหนักรู้กันมากขึ้น ถึงสิ่งที่นายศิริโชค โสภาและพวกกระทำผิดต่อนายกฯยิ่งลักษณ์นี้ เป็นความรุนแรงอย่างหนึ่ง ซึ่งแม้จะเป็นการใช้ภาพใช้ถ้อยคำกล่าวหาใส่ร้ายป้ายสี ก็ทำให้เหยื่อรู้สึกว่าตนเสียชื่อเสียง อาจมีคนเกลียดชังเพราะเข้าใจผิด เหล่านี้คือการกระทำความรุนแรงประเภทหนึ่ง นอกเหนือจากการใช้กำลังชกต่อย ทุบตีให้ได้รับความเจ็บปวดทางร่างกาย กรณีนี้คือการใช้ความรุนแรงทางจิตใจซึ่งองค์การสิทธิมนุษยชนขององค์การสหประชาชาติได้ระบุว่า การกระทำความรุนแรงนั้น นับรวมความรุนแรงทางวาจา ด้วยการกล่าวหาอันเป็นเท็จ ใส่ร้ายป้ายสี ด่าด้วยคำหยาบคาย เสียดสี ให้เจ็บใจเสียใจและรู้สึกอับอาย ด้วยเช่นกัน"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น