วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

นายกฯสมชาย ขึ้นศาลคดี พันธมิตรฯยึดทำเนียบ-รัฐสภา


‪#‎TV24‬ ‪#‎BreakingNews‬ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางถึงศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่นัดพิจารณาคดี พันธมิตรฯก่อจลาจลปิดทำเนียบรัฐบาลและอาคารรัฐสภา โดยนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ มีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส

ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะพิจารณาคดี ป.ป.ช.เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี พลตำรวจเอก พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และพลตำรวจโท สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล

ในความผิด ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มาตรา 295 และ 302 จากกรณีการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย ปิดล้อมรัฐสภาเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ทั้งนี้ การนัดพิจารณาคดีครั้งแรก เพื่อสอบคำให้การ บุคคลทั้งสี่ต้องเดินทางไปศาลด้วยตัวเอง

จากเหตุการณ์นี้ พลตำรวจเอก พัชรวาท ในฐานะผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เคยถูกปลดออกจากราชการ ในสมัยรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต่อมา คสช.มีคำสั่ง ฉบับที่ 93/2557 ให้ยกโทษปลดออกจากราชการ อาศัยอํานาจ ตาม พ.ร.บ.ตํารวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 และกฎ ก.ตร.ว่าด้วยการอุทธรณ์และการพิจารณาอุทธรณ์

ส่วนความคืบหน้าคดีกลุ่มพันธมิตรฯ บุกยึดทำเนียบรัฐบาล ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน นั้น วานนี้ (วันที่ 28 พฤษภาคม 2558) ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 708 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลได้อ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายพิภพ ธงไชย นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ นายสม ศักดิ์ โกศัยสุข และ นายสุริยะใส กตะศิลา แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นจำเลยที่ 1-6 ในความผิดฐานฐานร่วมกันบุกรุกตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป และทำให้เสียทรัพย์ กรณีเมื่อปี 2551 จำเลยได้ร่วมกันนำแนวร่วมพันธมิตรฯบุกเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล เพื่อกดดันให้ นายสมัคร สุนทรเวช และ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี (ในขณะนั้น) ลาออกจากตำแหน่ง ทำให้มีทรัพย์สินในทำเนียบรัฐบาลได้รับความเสียหายคิดเป็นมูลค่า 6,766,548 บาท ซึ่งจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ ทั้งนี้ศาลได้พิเคราะห์จากพยานหลักฐานที่ทั้งสองฝ่ายนำสืบแล้ว เห็นว่าจำเลยได้กระผิดจริง จึงตัดสินจำคุกคนละ 3 ปี แต่คำให้การของจำเลยมีประโยชน์ต่อการพิจารณาบ้าง จึงลดโทษให้ 1 ใน 3 เหลือโทษจำคุกคนละ 2 ปี โดยไม่มีการรอลงอาญา อย่างไรก็ดีหลังศาลได้มีคำพิพากษา ทางด้านทนายฝ่ายจำเลยได้เตรียมหลักทรัพย์เป็นกรมธรรม์ประกันอิสรภาพ วงเงินคนละ 2 แสนบาท เพื่อขอประกันตัวในระหว่างอุทธรณ์คดี













1 ความคิดเห็น:

  1. ให้กำลังใจ เพราะท่านเป็นฝ่ายธรรมะที่แท้จริง.

    ตอบลบ