วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2558

“ขัตติยา” FB สวัสดีปีใหม่ เชื่อประชาชนจะกลับมาเข้มแข็ง แก้ไขความไม่ยุติธรรม


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า "เดียร์-ขัตติยา สวัสดิผล" อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่าน เครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

อยู่ดีๆ เมื่อวานเดียร์และใครอีกหลายคนก็ได้รับของขวัญปีใหม่หน้าตาอัปลักษณ์จากปปช. เป็นมติ 7 ต่อ 0 ให้ตีตกคำร้องขอให้ถอดถอนและคำกล่าวหานายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และพลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ สั่งใช้กำลังทหาร ตำรวจ และข้าราชการพลเรือนเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มนปช. ในวันที่ 10 เมษายน 2553 จนถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก โดยปปช.ให้เหตุผลว่า...จากการไต่สวนยังรับฟังไม่ได้ว่าทั้งสามคนนี้ (อภิสิทธิ์/สุเทพ/อนุพงษ์ ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนหลักใน ศอฉ.และมีอำนาจสั่งการในทุกด้านและทุกหน่วยงานในขณะนั้น) ได้ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยมีเจตนาเพื่อให้เกิดความเสียหายกับประชาชนผู้บริสุทธิ์ หรือเป็นผู้ก่อหรือใช้ให้มีการฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาเล็งเห็นผลแต่อย่างใด และโยนให้เป็นความรับผิดชอบเฉพาะตัวแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ (ง่ายๆ ก็คือพวกทหารและตำรวจ) ที่จะต้องพิสูจน์ว่าการใช้อาวุธในแต่ละกรณีนั้นสุจริต เลือกปฏิบัติ และเกินสมควรแก่เหตุหรือไม่ ซึ่งดีเอสไอจะต้องเป็นผู้สืบสวนหาความจริงในเรื่องนี้ต่อไป

ฟังดูเหมือนปปช. ได้ล้างความผิดให้กับผู้ชายทั้งสามคนนี้ไปเรียบร้อยแล้ว แต่ที่ยังอยู่ก็คือหลักการ ความเชื่อ และความรู้สึกของญาติคนตายที่ทำใจยอมรับไม่ได้ว่า...ผู้ชายทั้งสามคนนี้ไม่ได้มีส่วนร่วมหรือเจตนาให้มีความตายเกิดขึ้น เพราะการออกคำสั่งอนุญาตให้เจ้าหน้าที่นำอาวุธสงครามออกมาใช้เพื่อสลายการชุมนุม ผู้สั่งการย่อมมีเจตนาเล็งเห็นผลได้ว่าการกระทำนั้นจะเกิดอันตรายขึ้นแก่ผู้อื่น

ทหารและตำรวจถูกสอนและฝึกฝนมาว่าต้องฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชาและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด น่าเห็นใจเจ้าหน้าที่ที่รับคำสั่งให้เข้าไปปฏิบัติการสลายการชุมนุมและลงมือฆ่าผู้ชุมนุม ที่คงไม่ทันได้คิดว่าสิ่งที่ตัวเองทำลงไปตามคำสั่งในขณะนั้น ในอนาคตมันจะกลายเป็นความผิดเฉพาะตัวที่ผู้บังคับบัญชาสูงสุดหรือผู้สั่งการได้หนีเอาตัวรอดเพื่อให้ตัวเองพ้นผิดไปอย่างง่ายดาย ทิ้งให้แต่เจ้าหน้าที่ต้องมาพิสูจน์การกระทำของตัวเองว่าสุจริตหรือเกินสมควรแก่เหตุหรือไม่ เท่ากับว่านอกจากคนตายที่ตกเป็นเหยื่อของความขัดแย้งแล้ว...เจ้าหน้าที่ก็กลายเป็นเหยื่อของนักการเมืองหรือผู้บังคับบัญชาของตนเองในขณะนั้นเหมือนกัน

แต่ที่น่าสงสารกว่า ก็คือผู้ตายและญาติที่ต้องสูญเสียผู้เป็นที่รัก เพราะโอกาสที่จะหาว่าเจ้าหน้าที่คนไหนเป็นคนฆ่าดูจะริบหรี่มาก และดูเหมือนจะไม่มีความหวังว่าจะหาตัวคนฆ่าบุพพการีหรือญาติพี่น้องของตัวเองได้ แถมคนที่ควรจะได้ชื่อว่าเป็นผู้สั่งการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุนให้มีการตาย ก็ดูเหมือนจะลอยนวลหลุดพ้นความผิดไปแล้ว

สิ่งที่ต้องจับตามองและเป็นสิ่งที่เดียร์กังวลมาตลอดว่ามันจะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต คือการใช้ทฤษฎีสมคบคิดและการทำงานอย่างเป็นระบบของผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้อง ที่อาจจะโยนความผิดในเรื่องนี้กลับมาใส่คนตายที่ไม่สามารถฟื้นขึ้นมาพิสูจน์ความจริงได้ และเป็นแพะรับบาปได้ดีที่สุด เพื่อทำให้ผู้สั่งการและผู้ปฏิบัติพ้นผิดกันไปแบบตัวลอยและไม่บาดหมางกันเอง

น่าเสียใจที่ลำพังคนที่ตายต้องมาจบชีวิตไปทั้งๆที่ไม่มีอาวุธอยู่ในมือมันก็น่าอนาถกับสังคมไทยมากพอแล้ว ถ้าจะต้องเอาความผิดมาแปะไว้บนศพคนตายอีก กระบวนการยุติธรรมในประเทศไทยก็คงไม่ได้มีไว้ให้พึ่งพา แต่คงตราหน้าไว้ได้ว่าเป็นเพียงเครื่องมือทางการเมือง

สุดท้ายนี้ ท่ามกลางสิ่งที่คนไทยต้องเผชิญในภาวะตกต่ำของสิทธิมนุษยชนไทย เดียร์ยังเชื่อว่าซักวันหนึ่งเมื่อประชาชนกลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง เราจะสามารถแก้ไขความไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้นในอดีต และทำให้มันถูกต้องเสียที

เดียร์ขอสวัสดีปีใหม่ทุกท่านและขออวยพรให้ทุกท่านเข็มแข็ง สุขภาพดี และมีความสุขตลอดปี 2559 ค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น