วันจันทร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2560

"พิชัย" เตือนรัฐ หลัง "อาลีบาบา" เมินลงทุนในไทย


นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า "ตามที่ อาลีบาบา ประกาศว่าจะไปตั้งศูนย์กระจายสินค้าในประเทศมาเลเซีย แทนที่จะตั้งในประเทศไทย ทั้งๆที่ประเทศไทยมีที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ที่เหมาะสมกว่า และนายแจ๊ค หม่า ยังเคยมาเยือนไทยถึง 2 หน และรัฐบาลอ้างเสมอว่าสนิทสนมมากกับนายแจ๊ค หม่า แต่รัฐบาลกลับไม่สามารถชักชวนให้อาลีบาบามาตั้งในประเทศไทยได้ นายแจ๊ค หม่า บอกว่าได้คุยกับนายกฯ มาเลเซีย 10 นาที ก็ตัดสินใจเลย แสดงให้เห็นความแตกต่างของวิสัยทัศน์ของผู้นำที่เขามองออก โดยเหตุผลหนึ่งที่นายแจ๊ค หม่า เลือกที่จะตั้งในประเทศมาเลเซียคือ มาเลเซียมีความเป็นมิตรทางธุรกิจ ซึ่งหากพิจารณาประเทศไทยที่มีปัญหาทางการเมืองมายาวนานและยังไม่รู้จะสิ้นสุดเมื่อไหร่ อีกทั้งระบอบการปกครองที่ไม่เป็นที่ยอมรับของประชาคมโลก และองค์กรความโปร่งใสสากลยังจัดระดับความโปร่งใสของไทยหล่นมาอยู่อันดับที่ 101 จากอันดับที่ 76 แถมล่าสุด ไทยยังถูกจัดอันดับการจ่ายสินบนอยู่อันดับที่ 3 แย่กว่า เมียนมาร์และกัมพูชาเสียอีก นอกจากนี้การที่ไทยยังไม่ยอมรับเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น การห้ามรถยนตร์ Uber ให้บริการ และการยังยึดติดกับโรงไฟฟ้าถ่านหินที่หลายประเทศกำลังจะเลิกแล้ว และยังมี พ.ร.บ คอมพิวเตอร์ และ ซิงเกิลเกตเวย์ ที่เป็นอุปสรรคกับธุรกิจออนไลน์ในอนาคตตามที่ได้เคยเตือนแล้วหลายหน และ ปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชน อีกทั้งล่าสุดยังจะมีอภินิหารของกฏหมาย ที่สื่อต่างประเทศมองว่าเป็นการใช้ภาษีเป็นเครื่องมือทางการเมือง ที่จะเรียกเก็บภาษีจากกำไรของหุ้นที่รัฐยึดกำไรไปหมดแล้วอีก  จึงไม่แปลกใจเลยที่ทำไม อาลีบาบา และ แจ๊ค หม่า ถึงเลือกจะตั้งศูนย์กระจายสินค้าในมาเลเซียแทนที่จะเป็นประเทศไทย"

"การที่ไทยเสียโอกาสครั้งนี้นับเป็นความเสื่อมถอยของประเทศอย่างมากและหวังว่ารัฐบาลจะได้กลับมาพิจารณาสาเหตุและหาทางแก้ไขปรับปรุงเพื่อให้ประเทศไทยสามารถพัฒนาเป็นประเทศที่น่าสนใจในการลงทุนของธุรกิจที่เป็นอนาคตของโลกได้ มิเช่นนั้นประเทศก็จะค่อยๆล้าหลังและเสื่อมถอยลงไปเรื่อยๆตามที่ธนาคารโลกออกมาเตือนและจะเป็นเหมือนทฤษฎีกบถูกต้มของกลุ่มอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ ที่ได้ออกมาเตือนรัฐบาล และตนก็เคยเตือนเช่นเดียวกันมาโดยตลอด" นายพิชัยกล่าว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น