วันอาทิตย์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2560

"เพื่อไทย" เตือน ม.44 ให้สิทธิพิเศษรถไฟฯจีน กระทบความเชื่อมั่น


นายชวลิต วิชยสุทธิ์ อดีตรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ตอบคำถามผู้สื่อข่าว กรณี กรธ. กับ กมธ. พ.ร.ป.พรรคการเมือง มีความเห็นไม่ตรงกันประเด็นไพรมารี่โหวต กับกรณีนายกรัฐมนตรีใช้มาตรา 44 ให้สิทธิพิเศษแก่ประเทศจีนในโครงการรถไฟความเร็วสูง โดยมีความเห็นต่อ 2 กรณีดังกล่าว ดังนี้
   
ประเด็นแรก ตนเห็นว่า ไม่ว่ากฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญจะออกมาอย่างไร หากมีสาระไม่ขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ ตนรับได้ ทุกภาคส่วนควรช่วยกันประคับประคองบ้านเมืองให้เดินไปตามโรดแมป เพื่อให้มีก้าวแรกก่อน แล้วค่อยๆ คลี่คลายปัญหาไปตามลำดับความเร่งด่วน
     
ประเด็นที่ 2 ตนไม่สบายใจ และคิดว่าคนไทยส่วนใหญ่ก็ไม่สบายใจ กล่าวคือ ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว หลังจากนี้ ไม่ควรมีการใช้อำนาจพิเศษตามมาตรา 44 ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรระมัดระวังอย่างยิ่ง นอกจากนี้ยังหมิ่นเหม่ต่อการขัดกับระบบนิติธรรม และกระทบต่อเกียรติภูมิของประเทศ ซึ่งส่งผลถึงการขาดความเชื่อมั่นที่สังคมโลกจะมีต่อประเทศไทย
     
และประเด็นกรณีนายกรัฐมนตรีใช้มาตรา 44 ให้สิทธิพิเศษแก่ประเทศจีนในโครงการรถไฟความเร็วสูง นั้น ตนเห็นว่าน่าจะส่งผลให้นานาประเทศที่มีเทคโนโลยีรถไฟความเร็วสูงขาดโอกาสในการแข่งขัน ซึ่งจะส่งผลตามมาอย่างร้ายแรง คือ ประเทศไทยจะขาดความเชื่อมั่นในสังคมโลกว่ากระบวนการในระบบกฎหมายของไทยไม่เป็นไปตามหลักนิติธรรม โดยเฉพาะในการทำนิติสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
     
ประการสำคัญ หลักธรรมาภิบาล ซึ่งปรากฏอยู่ในคำถาม 4 ข้อ ที่นายกรัฐมนตรีได้สอบถามความเห็นประชาชนจะถูกทำลายลงจากการออกคำสั่งดังกล่าวเสียเอง หรือไม่?
     
นายชวลิต กล่าวเพิ่มเติมว่า "ตนเคยเสนอความเห็นต่อสาธารณะไว้หลายครั้งว่า การจะแก้ปัญหาหลายๆ ปัญหาของประเทศ ต้องค้นหัวใจของปัญหาให้พบ ซึ่งตนเห็นว่าหัวใจของปัญหาของประเทศไทยในขณะนี้ คือ ปัญหาการเมือง การปกครองที่ไม่เป็นประชาธิปไตย และไม่มีเสถียรภาพ ถึงจะพยายามกล้อมแกล้มทำให้เสมือนจะเป็นประชาธิปไตย ก็เป็นแค่ประชาธิปไตยครึ่งใบ ซึ่งต่างชาติเขามองประเทศไทยทะลุปรุโปร่ง ว่า การเมืองการปกครองของประเทศไทยไม่มีเสถียรภาพ ความเชื่อมั่นจึงมีน้อย ทำให้โอกาสในการลงทุนจึงมีน้อยตามไปด้วย"
       
นายชวลิต กล่าวในที่สุดว่า "ไม่มีใครจะสร้างความเชื่อมั่นให้กับบ้านเมืองของเราได้ นอกจากประชาชนคนไทยด้วยกันเองที่จะตกผลึกทางความคิด ร่วมกันนำพาบ้านเมืองออกจากวิกฤตอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ขณะนี้คนไทยส่วนใหญ่ระดับรากหญ้า ซึ่งได้แก่เกษตรกรและผู้ใช้แรงงาน หาเช้ากินค่ำ กำลังเดือดร้อนจากปัญหาเศรษฐกิจที่ฝืดเคือง รายรับไม่พอกับรายจ่าย หากหลายภาคส่วนยังไม่ตระหนักถึงปัญหาส่วนรวมของประเทศ โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจ ปากท้องประชาชนดังกล่าว ยังสร้างความขัดแย้ง สร้างวาทกรรมระหว่างกันไม่จบสิ้น ก็ไม่สามารถหลุดจากกับดักแห่งความขัดแย้งไปได้ ขอวิงวอนให้ทุกภาคส่วนร่วมกันสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นกับประเทศให้เห็นหนทางว่าประเทศของเราจะเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ มีเสถียรภาพ ปัญหาเศรษฐกิจก็จะได้รับการคลี่คลายโดยเร็ว"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น