วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2559

“ชวลิต” เห็นใจ “อุดมเดช” ถูกสอย เผยความดีเป็นเกราะคุ้มเพื่อไทย


นายชวลิต วิชยสุทธิ์ รักษาการ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ให้ความเห็นกรณี ปปช. มีมติชี้มูลความผิดกรณี ยื่นญัตติแก้ไข รธน.ประเด็นที่มา ส.ว.โดยให้ส่งเรื่องไปยัง สนช. พิจารณาถอดถอน และส่งเรื่อง
ไปยังอัยการเพื่อดำเนินคดีอาญา ยังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นั้น
       
ในฐานะที่เป็นวิปและเป็น 1 ใน 248 ส.ส.ที่ ปปช.เคยส่ง เรื่องไปยัง สนช.เพื่อพิจารณา ถอดถอนในประเด็นเดียวกัน ซึ่ง สนช.ได้มีมติไม่ถอดถอน 248 ส.ส.ไปแล้ว นั้น จึงรู้สึกเห็นใจ และสะเทือนใจที่ นายอุดมเดช รัตนเสถียร มาถูกชี้มูลซ้ำในเรื่องเดิม และ เพิ่มคดีอาญาเข้าไปอีก

โดยข้อเท็จจริง การยื่นญัตติ ขอแก้ไข รธน.ประเด็นที่มา ส.ว. ไม่มีการสลับร่างหรือปลอมแปลงร่างแต่ประการใด การใช้ถ้อยคำว่าปลอมร่างบ้าง สลับร่างบ้าง เป็นเพียงวาทกรรมเพื่อให้สังคมคล้อยตาม เพราะข้อเท็จจริงเป็นการปรับปรุงร่างญัตติให้เหมาะสม

ก่อนประธานบรรจุเป็นระเบียบวาระ ผู้ร่วมลงนามในญัตติก็รับทราบในการปรับปรุงร่างญัตติให้เหมาะสม ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติปกติในสภา ฯ ที่สามารถกระทำได้ โดยในครั้งการพิจารณาของ 248 ส.ส.ก็มีการพิจารณาในประเด็นนี้ด้วยเช่นกัน  ดังนั้น ตนจึงขอทบทวนความหลังในการพิจารณาของ สนช.ว่าจะถอดถอน 248 ส.ส.หรือไม่ ว่าหลังจาก สนช.ได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากเอกสารและพยานบุคคล โดยเฉพาะการเป็นพยานของอดีตเลขาธิการ ส.ว. ต่อมาเป็นเลขาธิการ สนช.ปัจจุบันเกษียณราชการแล้ว และได้รับการแต่งตั้งเป็น สปท. ซึ่งพยานสำคัญดังกล่าว เป็นข้าราชการประจำสูงสุดในสายรัฐสภา มีความเชี่ยวชาญเฉพาะในสายงานของรัฐสภา เป็นเครื่องยืนยันได้ว่ามีความเป็นกลาง ท่านได้เป็นพยานให้ความเห็นว่า การแก้ไขญัตติสามารถกระทำได้ก่อนที่ประธานจะรับญัตติและบรรจุเป็นระเบียบวาระ
       
ประการสำคัญที่สุด ญัตติ ที่แก้ไขปรับปรุงดังกล่าว ได้ส่งไปยังสมาชิกรัฐสภาทุกท่านทางไปรษณีย์ และวางอยู่บนโต๊ะในห้องประชุม ล้วนมีสาระตรงกันไม่มีส่วนใดเลยที่จะเป็นการปลอมแปลงหรือสลับร่าง จึงเป็นเหตเป็นผลที่ สนช.มีมติไม่ถอดถอน 248 ส.ส.ที่ผ่านมา ส่วนญัตติที่ ปปช.นำมาดำเนินการกับ
นายอุดมเดช ฯ นั้น อาจกล่าวได้ว่า เป็นญัตติปลอมหรือไม่ ยังเป็นที่สงสัย เพราะเป็นญัตติที่ประธานสภา ฯ ไม่ได้รับบรรจุเป็นระเบียบ วาระ

นายชวลิต กล่าวในที่สุดว่า นายอุดมเดช เป็น ส.ส.น้ำดี คนหนึ่งของ พรรคเพื่อไทย และของสภาฯ
มีความตั้งใจปฏิบัติหน้าที่เพื่อ ประโยชน์ของส่วนรวมมาจนเป็น ที่ประจักษ์ในหมู่เพื่อน ส.ส.แม้จะ
อยู่ต่างพรรค ตนมั่นใจว่าความสุจริตในการปฏิบัติหน้าที่ของ นายอุดมเดช จะเป็นเกราะคุ้มครองการทำหน้าที่โดยสุจริตให้ปลอดภัยจากข้อกล่าวหา เพียงแต่นายอุดมเดช ฯ ควรได้รับโอกาสที่จะแสดงพยาน หลักฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของผู้ลงมติ โดยในส่วนของ ปปช. ทราบจากนายอุดมเดช ฯ ว่า พยานสำคัญที่เสนอไปไม่ได้ถูกเรียกไปให้ถ้อยคำ เช่น พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ รักษาการ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ซึ่งถือเป็น อดีต ส.ส.อาวุโส ที่มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับของสภา ฯ เป็นอย่างดี และ นายสามารถ แก้วมีชัย อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร และ เป็นประธานคณะกรรมาธิการฯ ก็ไม่ได้ถูกเชิญไปให้ถ้อยคำใน ฐานะพยานของนายอุดมเดช แต่อย่างใด ซึ่งตนไม่อยากจะกล่าวว่าเป็นการรวบรัด ตัดความ เพียงแต่สะท้อนใจในสิ่งที่ได้รับและรำพึงกับตนเองด้วยความหดหู่ใจ

อนึ่ง ตนขอให้ความเห็นเฉพาะกรณีบุคคลทำหน้าที่เป็นการส่วนรวม  ส่วนการปฏิบัติเป็นรายบุคคล ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน ตนไม่มีความเห็นแต่อย่างใด

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น