ร.ท.หญิง สุณิสา เลิศภควัต อดีตรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า "ขณะนี้สื่อต่างประเทศอ้างข้อมูลจากทำเนียบขาวของสหรัฐอเมริกาเปิดเผยว่าในการพบหารือกับประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในสัปดาห์หน้านี้ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังจะไปเจรจาขอซื้ออาวุธล็อตใหม่จากสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ยังจะไปปิดดีลการส่งมอบ เฮลิคอปเตอร์ รุ่นแบล็คฮอว์ค 4 ลำ ที่กองทัพไทยเคยเจรจาซื้อจากสหรัฐอเมริกาค้างไว้ ตั้งแต่สมัยรัฐบาล นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่ยังปิดดีลไม่สำเร็จ เพราะเกิดการยึดอำนาจโดย คสช. ขึ้นเสียก่อนเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ทำให้ดีลซื้อเฮลิคอปเตอร์ครั้งนั้นต้องหยุดชะงักเพราะยังไม่ได้ส่งมอบ เพราะเหตุนี้หรือเปล่า จึงต้องมีการตามไปปิดดีลกันอีกรอบ และไม่ทราบว่าดีลซื้อขายอาวุธครั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จะเอาผลประโยชน์ของชาติไปแลกด้วยหรือไม่? เพราะสื่อต่างประเทศระบุว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เตรียมกดดันให้ประเทศไทย เป็นหัวหอกในภูมิภาคเพื่อคว่ำบาตรรัฐบาลเกาหลีเหนือซึ่งกำลังมีความขัดแย้งตึงเครียดกับสหรัฐอเมริกาอยู่ในขณะนี้ เนื่องจากประเทศไทยเป็นที่ตั้งของสถานทูตเกาหลีเหนือ โดยสื่อต่างประเทศยังแฉอีกด้วยว่า เมื่อครั้งที่รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐอเมริกา คือ นายเร็กซ์ ทิลเลอสัน พบหารือกับ พล.อ.ประยุทธ์ ในไทยเมื่อเดือนที่แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ อาจปิดบังความจริงเรื่องความสัมพันธ์ทางการค้ากับเกาหลีเหนือ ซึ่งไทยอ้างว่า การค้าระหว่างไทยกับเกาหลีเหนือในปีนี้ลดลงไปแล้วถึง 94 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสวนทางกับข้อมูลของรอยเตอร์ ที่ระบุว่าการลงทุนของเกาหลีเหนือในไทยยังมีมูลค่าสูงเท่าเดิม และไม่พบว่าธนาคารของไทยจะปิดบัญชีของนักธุรกิจเกาหลีเหนือแต่อย่างใด ไม่ทราบว่าข้อมูลเหล่านี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่? แต่ถ้าเป็นความจริง ก็เป็นเรื่องที่น่าตกใจ
พล.อ.ประยุทธ์ ควรต้องชี้แจงต่อสังคม ว่า การเยือนสหรัฐอเมริกาครั้งนี้ ไทยจะได้ประโยชน์จริงหรือไม่? และจะได้ประโยชน์อย่างไร? เพราะไม่เห็นว่าสหรัฐอเมริกาจะใส่ใจกับประเด็นหารือ เกี่ยวกับการพัฒนาการค้าและการลงทุนกับสหรัฐอเมริกาที่เป็นรูปธรรมอย่างที่ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ พยายามประโคมข่าวแต่อย่างใด เห็นสหรัฐอเมริกาเน้นแต่เรื่องการเจรจาซื้ออาวุธและประเด็นเกี่ยวกับสงคราม และความขัดแย้งกับเกาหลีเหนือเท่านั้น นอกจากนี้ ก็น่าสงสัยด้วยว่า ถ้ารัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ ได้รับการยอมรับจากชาติมหาอำนาจจริง เหตุใด ในแผนการเดินทางเยือนภูมิภาคเอเชียเป็นครั้งแรกของ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ระหว่างวันที่ 3-14 พฤศจิกายน 2560 นั้น ทำไมจึงไม่มีรายชื่อประเทศไทยอยู่ใน 5 ประเทศที่ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาจะไปเยือน ทั้งๆที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ มีกำหนดจะไปเยือนเวียดนามและฟิลิปปินส์ด้วย ซึ่งก็ไม่ได้อยู่ไกลจากประเทศไทย มันแปลกหรือไม่ที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ อุตส่าห์บากหน้าเดินทางดั้นด้นไปหาประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ถึงสหรัฐอเมริกา โดยเอาภาษีคนไทยไปจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินและค่ากินอยู่หลายสิบล้าน แต่พอ นายโดนัลด์ ทรัมป์ เดินทางมาใกล้ๆ เมืองไทยแค่ปลายจมูกนิดเดียว กลับเลือกที่จะเดินทางข้ามประเทศไทยไปโดยไม่คิดจะแวะมาเลยแม้แต่น้อย เรื่องนี้เห็นได้ชัดว่า รัฐบาลทหารของ พล.อ.ประยุทธ์ กำลังถูกสหรัฐอเมริกาบีบฝ่ายเดียว เพราะสหรัฐอเมริกาตระหนักดีว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่อยู่ในฐานะจะต่อรองอะไรได้มากนัก เพราะมีที่มาไม่ชอบธรรมจึงเป็นฝ่ายต้องง้อประชาคมโลก และต้องยอมทำทุกวิถีทางเพื่อให้พอมีที่ยืนในเวทีประชุมกับต่างประเทศบ้างหรือแค่ได้สัมผัสมือกับผู้นำต่างชาติที่มีชื่อเสียงบ้างก็พอใจแล้ว เพื่อหวังสร้างภาพให้คนไทยเห็นว่าตัวเองไม่ได้ถูกต่างชาติรังเกียจ"
ร.ท.หญิง สุณิสา กล่าวต่อไปว่า "อย่างไรก็ตาม ตนขอเตือนสติ พล.อ.ประยุทธ์ ว่ากรณีความขัดแย้งสหรัฐอเมริกาและเกาหลีเหนือนั้นเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและสุ่มเสี่ยงเป็นอย่างมาก โดยทุกๆการตัดสินใจของ พล.อ.ประยุทธ์ จะมีผลผูกพันกับชะตากรรมของคนไทยทั้งชาติ โดยเฉพาะในเรื่องความมั่นคงและความปลอดภัย ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่จะเอาไปยื่นหมูยื่นแมวกับมหาอำนาจ เพื่อผลประโยชน์ด้านการค้าอาวุธหรือเพื่อสร้างภาพทางการเมืองเพื่อแลกกับการได้เข้าไปยืนสัมผัสมือประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ถ่ายภาพในทำเนียบขาวเพื่อสร้างภาพว่าไม่ได้ถูกตั้งข้อรังเกียจจากประชาคมโลก แต่ความจริงแล้ว หลังฉากการเจรจา ไม่ทราบว่ามีการเอาผลประโยชน์ของชาติเรื่องใดไปต่อรองแลกมาหรือไม่? แถมยังเอาภาษีของคนไทยจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินและค่าเบี้ยเลี้ยงคณะทำงานของผู้ที่อ้างตัวเป็นผู้ทรงเกียรติทั้งหลาย เป็นเงินหลายสิบล้านบาท ทั้งๆที่รัฐบาลไทยถังแตกถึงขนาดที่ไม่มีเงินจะจ่ายเบี้ยยังชีพคนชราเดือนละ 500-600 บาท ถึงขั้นจะเอายันต์เจ้าคุณธงชัยไปจ่ายเป็นค่าสวัสดิการผู้สูงอายุ แทนค่าเบี้ยคนชรา ทั้งยังจ้องจะเก็บภาษีจากชาวไร่ชาวนาที่ใช้น้ำเพื่อทำการเกษตรอีก แต่รัฐบาลกลับมีความคิดจะใช้งบประมาณแผ่นดินไปซื้ออาวุธอีกเป็นพันเป็นหมื่นล้านบาทได้ เหมือนไม่รู้ร้อนรู้หนาวถึงความเดือดร้อนของประชาชน และเหมือนไม่สนใจว่าอะไรคือความจำเป็นเร่งด่วนของประเทศในเวลานี้"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น