วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2563

"เพื่อไทย" ห่วงภาคธุรกิจกระทบโควิด แนะรัฐเลิกเอื้อเฉพาะทุนใหญ่

“เพื่อไทย” ห่วง โควิดระบาดทำธุรกิจ SMEs เจ๊งอีกมาก เตือน 30 ธันวาคม ไทยถูกตัดจีเอสพี ครั้งที่ 2 และอาจโดนเรื่องอื่นอีก แนะ “ประยุทธ์” ช่วย SMEs จริงจัง เลิกเอื้อเฉพาะทุนใหญ่ 

นายกฤษฎา ตันเทอดทิตย์ ส.ส. หนองคาย อดีตรองเลขาธิการสภาอุตสาหกรรม คณะทำงานเศรษฐกิจของพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การระบาดของไวรัสโควิดครั้งใหม่ที่เกิดจากความล้มเหลวของฝ่ายความมั่นคง ที่ปล่อยให้มีการลักลอบนำแรงงานต่างด้าวเถื่อนเข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตัวโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของคนในชาติทั้งที่รู้กันว่าเมียนมาร์มีผู้ติดเชื้อไวรัสเป็นจำนวนมาก โดยการระบาดของไวรัสได้เริ่มขยายในวงกว้าง และเริ่มทำความเสียหายทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 

ทั้งนี้คาดกันว่าความเสียหายทางเศรษฐกิจได้เพิ่มขึ้นเป็นเดือนละ 2 แสนล้านบาทแล้วและอาจจะเพิ่มขึ้นอีก โดยธุรกิจ SMEs จะได้รับผลกระทบมากที่สุดโดยจะมีธุรกิจ SMEs ปิดตัวเพิ่มขึ้นอีกมาก โดยเฉพาะธุรกิจ SMEs ด้านอาหารทะเลจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง เพราะคนจำนวนมากจะไม่กล้าทานอาหารทะเลที่เชื่อว่ามีการใช้แรงงานต่างด้าวที่มีโอกาสติดเชื้อไวรัสโควิด และการที่รัฐบาลส่งอธิบดีกรมประมงออกมาทานกุ้งโชว์ เพื่อให้แน่ใจว่าอาหารทะแลที่ผ่านการต้มสุกแล้ว จะไม่แพร่เชื้อ แต่แทนที่จะใช้กุ้งจากจังหวัดสมุทรสาคร กลับใช้กุ้งที่มาจากบริษัทใหญ่โดยมีกล่องโชว์ยี่ห้ออย่างเห็นได้ชัด ยิ่งตอกย้ำปัญหาการเอื้อนายทุนใหญ่มากกว่าธุรกิจรายย่อย ทั้งๆที่มีพ่อค้าขายกุ้งในจังหวัดสระแก้วต้องฆ่าตัวตายเพราะขายกุ้งไม่ได้ และหากรัฐบาลยังไม่อาจสร้างความมั่นใจขนาดพลเอกประยุทธ์ไม่ยอมกินกุ้งเอง แต่กลับส่งนายอนุชา นาคาศัย รมต. ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีไปกินกุ้งแทน ยิ่งสร้างความคลางแคลงใจให้กับประชาชน นี่เฉพาะธุรกิจอาหารทะเลเท่านั้น และธุรกิจ SMEsอื่นๆก็ได้ผลกระทบทั้งหมด โดยเฉพาะ SMEs ธุรกิจท่องเที่ยวที่น่าจะโดนผลกระทบซ้ำเติมเพิ่มขึ้นจากเดิมขึ้นไปอีก 

นอกจากนี้ ในวันที่ 30 ธันวาคมที่จะถึงนี้จะถึงกำหนดวันที่สหรัฐตัดจีเอสพีไทยเป็นครั้งที่ 2 ในสินค้า 231 รายการ มูลค่ากว่า 25,433 ล้านบาท หลังจากตัดครั้งแรก จำนวน 531 รายการ มูลค่าประมาณ 4 หมื่นล้านบาท มีผลวันที่ 25 เมษายนที่ผ่านมา แสดงถึงความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่ระหว่างสหรัฐกับไทย และจะส่งผลให้การส่งออกไทยที่ติดลบและย่ำแย่อยู่แล้วย่ำแย่มากขึ้นไปอีก อีกทั้งวุฒิสภาสหรัฐยังได้ส่งหนังสือท้วงติงไทยในเรื่องการต้องเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงและการดำเนินคดีกับผู้ชุมนุมที่ชุมนุมโดยสงบ ซึ่งไทยอาจจะโดนมาตรการด้านอื่นซ้ำเติมอีก อย่างเช่นข้อหาการปั่นค่าเงินบาท ทั้งที่ความจริงคือค่าเงินบาทของไทยแข็งค่ามากทั้งที่เศรษฐกิจไทยย่ำแย่ติดลบหนักและการส่งออกก็ติดลบ แต่กลับโดนข้อหานี้ แสดงว่าสหรัฐต้องการแสดงความไม่พอใจกับรัฐบาลไทยใช่หรือไม่ ซึ่งหากพลเอกประยุทธ์ยังไม่เปลี่ยนแปลงความคิดและหลักปฏิบัติ ก็น่าเป็นห่วงว่าประเทศไทยอาจจะโดนมาตรการลงโทษอย่างอื่นเพิ่มเติมได้ ซึ่งจะส่งผลกระทบกับ SMEs ส่งออกของไทยอย่างมาก เพราะทุกวันนี้ SMEs ส่งออก ก็แย่กันอยู่แล้วจากปริมาณการส่งออกที่ลดลงแถมค่าเงินบาทที่ยังแข็งค่ามาก 

ในภาวะผันผวนนี้ พลเอกประยุทธ์จะต้องตั้งหลักคิดให้ดี เพราะหากยังบริหารจัดการไม่เป็นที่ยอมรับของประชาคมโลกหรือฝืนกระแสโลก เศรษฐกิจไทยที่แย่อยู่แล้วจะไม่ฟื้น อีกทั้งธุรกิจ SMEs จะได้รับผลกระทบมากสุด อยากเรียกร้องให้พลเอกประยุทธ์มาสนใจช่วยเหลือธุรกิจ SMEs มากกว่าที่จะคิดข่วยเจ้าสัวอย่างเดียว เพราะหาก SMEs เจ๊งและปิดกิจการกันมาก จะเกิดการว่างงานมากและเศรษฐกิจไทยจะฟื้นได้ยากหรือไม่ฟื้นเลย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น