วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2561

"ชวลิต" ชี้ "เศรษฐกิจ ปากท้อง เป็นปัจจัยกำหนดผู้บริหารประเทศ


นายชวลิต วิชยสุทธิ์ อดีตรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตนรอดูว่ารัฐมนตรีในรัฐบาลนี้จะไปเปิดตัวกับพรรคพลังประชารัฐตามข่าว หรือไม่? แล้วก็เป็นความจริง มีรัฐมนตรี 4 ท่าน ไปเป็นผู้บริหารในพรรคพลังประชารัฐ และ 2 ใน 4 ท่านได้ดำรงตำแหน่งสำคัญ คือ นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมไปเป็นหัวหน้าพรรค นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ไปเป็น เลขาธิการพรรค ไม่เป็นเรื่องแปลก หากจะมีรัฐมนตรีในรัฐบาลไปดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองควบคู่ไปด้วย แต่ที่เป็นเรื่องแปลกประหลาดอย่างยิ่งก็คือ การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังนั่งอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยมีอำนาจพิเศษตาม ม.44 ควบคุมประเทศ ทั้งก่อนเลือกตั้ง ระหว่างเลือกตั้ง และหลังเลือกตั้ง จนกว่าการจัดตั้งรัฐบาลจะแล้วเสร็จ โดยที่พรรคพลังประชารัฐประกาศสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์  เป็น นายกรัฐมนตรี ให้ได้ยินไปทั้งประเทศ พฤติกรรมดังกล่าวถือได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ มีส่วนได้เสียในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยมีอำนาจพิเศษอยู่ในมือดังกล่าว และถือได้ว่าเป็นผลประโยชน์ขัดกันอีกประเด็นหนึ่ง ทั้งยังขัดกับจรรยาบรรณทางการเมือง ที่มีการเอาเปรียบกันในการแข่งขันทางการเมือง ซึ่งถือว่าไม่ชอบธรรมอย่างยิ่ง ถ้าจะเปรียบให้เห็นง่ายๆ เหมือนการแข่งขันกีฬาฟุตบอล ที่ พล.อ.ประยุทธ์ และรัฐมนตรีทั้ง 4 ท่านดังกล่าว เป็นทั้งนักกีฬาและเป็นกรรมการด้วย รู้ถึงไหน ก็อายถึงนั่น ดังนั้น การเลือกตั้งทั่วไปที่จะถึงจะเป็นการเลือกตั้งที่มีการเอาเปรียบกันอย่างสุดๆ ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย

นายชวลิต กล่าวต่อว่า บางครั้งรู้สึกหดหู่ ท้อใจ อับจนปัญญาที่จะให้ข้อคิด ข้อเสนอแนะทางออกประเทศจากปัญหาความขัดแย้งที่มีอยู่ เพราะฝ่ายบริหารในปัจจุบันไม่รู้สึก รู้สา ไม่รู้ร้อน รู้หนาว ด้วยซ้ำว่า ความยุติธรรม คืออะไร หากบ้านเมืองขาดความยุติธรรม แล้วจะเป็นอย่างไร คิดแต่เพียงว่า ทำอย่างไรจะได้อยู่ในอำนาจต่อ จึงรู้สึกเหนื่อยหน่าย เอือมระอา แต่เมื่อกลับไปพบชาวบ้านซึ่งลำบากมากในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน รวมทั้งลูกหลานที่จบการศึกษามาแล้วตกงานกันจำนวนมาก ล้วนให้กำลังใจให้เป็นส่วนหนึ่งทำหน้าที่เป็นปากเป็นเสียงให้ชาวบ้าน อย่างน้อยก็ช่วยจุดประกายไฟเล็กๆ ในใจประชาชนให้คนไทยที่รักความเป็นธรรมได้เห็น ได้ทราบความจริงเพื่อการตัดสินใจทางการเมือง ขณะนี้ตนเลิกหวังสปิริตจากรัฐบาลนี้ เพราะพฤติกรรมฟ้องประชาชนและชาวโลกโจ่งแจ้ง เขายังไม่รู้สึกละอายใดๆ ต่อการเอาเปรียบทางการเมือง เนติบริกรก็หาช่องว่างทางกฎหมายคอยแก้ตัว จึงหวังจากประชาชนที่จะสนับสนุนฝ่ายประชาธิปไตยให้ชนะอย่างถล่มทลายเมื่อการเลือกตั้งมาถึง ที่หวังเช่นนี้เพราะคนไทยได้สัมผัสความจริงมาแล้วว่า 4 ปีที่รัฐบาลนี้ได้บริหารประเทศ สภาพเศรษฐกิจในครอบครัวของแต่ละครอบครัวเป็นอย่างไร คงไม่มีใครอยากลำบากไปมากกว่านี้อีกแล้ว ผมเชื่อว่า "เศรษฐกิจ ปากท้อง จะเป็นปัจจัยกำหนดผู้บริหารประเทศ"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น