วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2563

"ชุมสาย" ห่วงความเชื่อมั่นประเทศลด เพราะรัฐบาลสืบทอดอำนาจ

"ชุมสาย"​ ชี้​ 8 ข้อน่าห่วงกระบวนการยุติธรรมภายใต้รัฐบาลสืบทอดอำนาจ ประเทศต้องมีความไว้วางใจและความเชื่อมั่น แนะทุกภาคส่วนเร่งปฏิรูปด่วน 


นายชุมสาย​ ศรียาภัย​ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย​กล่าวว่า นับแต่มีรัฐประหารและคณะผู้มีอำนาจเข้าปกครองประเทศ อํานาจนิติบัญญัติ​และบริหารถูกควบคุมเบ็ดเสร็จ​ แต่ยังคาดหมายกันว่าเหลือที่พึ่งสุดท้ายของสุจริตชนเพียงหนึ่งเดียวคืออำนาจตุลาการ แต่กระนั้นก็ตาม ดูประหนึ่งว่า อำนาจตุลาการในยุคนี้ ถูกสังคมไทยตั้งคำถาม​ และเคลือบแคลงสงสัยในหลายมิติ​ ซี​่งพอจำแนกสาเหตุ​และอธิบายพฤติการณ์ได้​ ดังนี้
   
1.​ นักนิติศาสตร์  ในระดับปรมาจารย์ถูกใช้เป็นสถาปนิกอำนาจออกแบบ รธน.และกฎหมายเกี่ยวกับการเมือง​ บ้างก็ให้เป็นผู้นำในงานนิติบัญญัติ​ บ้างก็ให้เป็นคีย์แมนกฎหมายในฝ่ายบริหาร ทั้งนี้เพื่อสร้างอำนาจให้ผู้มีอำนาจและบริวารได้บริหารอำนาจ​ และจัดระเบียบอำนาจได้อย่างเบ็ดเสร็จ​ มั่นคงในระยะยาว ในขณะเดียวกันก็ได้ออกแบบ จำกัดตัดสิทธิลิดรอนอำนาจฝ่ายการเมืองฝั่งตรงข้าม​และประชาชนจนแทบไม่สามารถทำอะไรได้ตามที่ควรจะเป็นในครรลองประชาธิปไตย

2. มีการแก้ไขหลักการของกฎหมายที่เคยมามาแต่เดิมให้แตกต่างไปจากหลักยุติธรรมอันเป็นสากล เช่น การให้กฎหมายย้อนหลังเป็นโทษกับจำเลยได้ การไม่ต้องพิจารณาคดีต่อหน้าจำเลย และคดีการเมืองไม่ต้องมีอายุความ ซึ่งถูกสร้างขึ้นเพียงเพื่อต้องการ จัดการกับฝ่ายการเมืองฝั่งตรงข้าม โดยยอมทำลาย หลักนิติรัฐ​ นิติธรรม หลักยุติธรรมอันเป็นสากล

 3 ประเด็นเรื่องคดีความของนักการเมืองถูกคณะผู้มีอำนาจหยิบยกขึ้นมาเป็นเงื่อนไขต่อรองในทางการเมือง​ และมีผลต่อการตัดสินใจของนักการเมือง​บางกลุ่ม ส่งผลให้มีการดูด สส. ย้ายพรรค​ เพื่อประโยชน์ และความปลอดภัยในทางคดี​ความ​ ซึ่งไม่มี บุคลากรระดับผู้นำในกระบวนการยุติธรรม ออกมาปฏิเสธเรื่องนี้อย่างจริงจัง
   
4. ผู้นำรัฐบาลและบริวารมีวิธีคิด ในการใช้อำนาจ มากกว่า การใช้กฎหมาย ตามที่ควรจะเป็น ข้อเท็จจริงและเหตุการณ์เดียวกัน ถูกตีความ ต่างกัน ระหว่าง ฝ่ายผู้มีอำนาจ และฝ่ายการเมืองฝั่งตรงข้าม​ มีการบังคับใช้กฎหมาย สองมาตรฐานค่อนข้างชัดแจ้ง

5. กระบวนการทางกฎหมายและคดี ตลอดจนเจ้าหน้าที่  ของรัฐถูกใช้เป็น​เครื่องมือในทางการเมือง​อย่างชัดแจ้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อผู้นำของฝ่ายการเมือง​ บุคคลในครอบครัว หรือบริวาร ของฝ่ายตรงข้าม กับผู้มีอำนาจ

6. ผู้มีอำนาจในรัฐบาลที่รับผิดชอบด้านกฎหมาย แสดงความเห็น และตีความ ชี้ถูกผิดเสมือนหนึ่งว่าตนเอง เป็นกฎหมาย เป็นความถูกต้อง หรือเป็นความยุติธรรมเสียเองซึ่งขัดต่อหลักการทางกฎหมายที่ถูกยึดถือไว้อย่างมั่นคง​ ไม่นำพาต่อเสียงทักท้วงของสื่อมวลชนและคนในสังคม ก่อให้เกิดความสับสนทางกฎหมายขยายไปในวงกว้าง

7. มีข้อเท็จจริง และพฤติการณ์ในเชิงประจักษ์ว่าความการอำนวยความยุติธรรมในคดีการเมืองบางคดีที่เกี่ยวกับประโยชน์  ทางเศรษฐกิจมหาศาล เป็นไปเพื่อ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนธุรกิจผูกขาดรายใหญ่ที่มีความใกล้ชิดกับคณะผู้มีอำนาจ  โดยยอมทำลายหลักแห่งความยุติธรรมตามบรรทัดฐานที่ถูกต้องชอบธรรมในอดีตและสอดคล้องกับแนวทางสากล  ตามที่ควรจะเป็น

8.บรรดาข้อกล่าวหาหรือความผิดของนักการเมืองในซีกฝ่ายผู้มีอำนาจ ไม่ได้ถูกดำเนินคดี ในขณะที่ คดีของ ฝ่ายตรงข้าม จะถูกเร่งรัดดำเนินคดีอย่างรวดเร็ว

นายชุมสาย​ กล่าวต่อว่า  การที่ประเทศจะเป็นที่ยอมรับต่อนานาอารยะประเทศนั้น​ จะต้องมีความไว้วางใจ (trust)​ และ​ ความมั่นใจ (Confident)​ จึงจะเป็นหลักประกันของประเทศในทุกมิติ ให้กับคนทั้งในประเทศและต่างประเทศเชื่อมั่น ซึ่งขณะนี้ ประเทศไทยแทบจะไม่เหลือแล้วซึ่งทั้งสองสิ่งนี้ ทำให้ไม่มีใครคบหาค้า​ขายด้วย​ ซึ่งประเทศตกอยู่ในสภาพเช่นนี้มาตั้งแต่ การปฏิวัติรัฐประหาร เมื่อ​ปี​ พ.ศ.2557 หากยังปล่อยไว้ไม่แก้ไขมีความเสี่ยงจะเป็นประเทศที่ล้มเหลว (failed state)​ จึงจำเป็นต้อง สังคายนาและปฏิรูปการศาลและการยุติธรรมทุกมิติ โดยเร่งด่วน ก่อนจะสายเกินการ​ นายชุมสาย กล่าวทิ้งท้าย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น