วันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2560

"วัฒนา" เผย "ทักษิณ" ลงทุนผลิตเครื่องตรวจDNA-วิจัยทางการแพทย์


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โพสต์ข้อความ ผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ โดยมีเนื้อหาดังนี้

ขอเล่าเรื่อง "ทักษิณ" (4)

ก่อนเล่าเรื่องการลงทุนอีกธุรกิจของท่านนายกทักษิณ ขอตอบโพสต์ของคุณหมอท่านหนึ่งที่สำนักข่าวเจ้าประจำนำมาขยายผล คุณหมอหาว่าผมหลอกลวงเพราะนายกทักษิณเพียงแค่ขอเข้าไปดูบริษัทเอกชนเท่านั้น แต่ผมเอามาประชาสัมพันธ์ว่าท่านเป็นคนพัฒนาเครื่องมือตรวจมะเร็งและเป็นผู้ร่วมลงทุน เทคโนโลยีเรื่องนี้ยังไม่ตกผลึก วงการแพทย์ยังไม่ได้ใช้เป็นวิธีมาตรฐานและยังมีทางเลือกอื่นอีก ผมขอชี้แจงว่า (1) วัตถุประสงค์ของเครื่องมือนี้คือให้ประชาชนได้ตรวจสอบเบื้องต้น หากพบว่าตัวเองเป็นมะเร็งจะได้รีบไปรักษาได้ทันท่วงที ซึ่งจะต้องได้รับการตรวจซ้ำจากแพทย์ก่อนการรักษาอยู่แล้ว (2) ส่วนที่หาว่าท่านนายกทักษิณเป็นเพียงผู้เข้าไปดูงานแล้วผมเอามาหลอกลวงว่าท่านเป็นผู้ร่วมทุน นั้น ถ้าการคิดแบบนี้ทำให้คุณหมอสบายใจผมจะปล่อยให้คิดต่อไป ในโลกมีคนประเภทที่รับไม่ได้เวลาเห็นคนอื่นประสบความสำเร็จเสมอ ผมแผ่เมตตาให้แล้วครับ

ท่านนายกทักษิณยังได้เข้าร่วมทุนกับนักวิชาการจากมหาวิทยาลัย Imperial College ตั้งบริษัท The Primer Shop Limited ผลิตอุปกรณ์ชื่อ DNAnudge (ตามภาพ)ใช้ตรวจดีเอ็นเอ ปัจจุบันนี้การตรวจดีเอ็นเอค่อนข้างมีความยุ่งยากต้องไปตรวจสอบผ่านห้องแลป แต่อุปกรณ์ดังกล่าวจะทำให้เราตรวจสอบดีเอ็นเอด้วยตนเองได้โดยใช้น้ำลายเจ้าของ ผลของดีเอ็นเอจะถูกนำมาใช้ประโยชน์ด้านสุขภาพ โดยจะแนะนำถึงอาหารที่เหมาะหรือไม่เหมาะกับสุขภาพของเจ้าของดีเอ็นเอผ่าน application บนโทรศัพท์มือถือแบบ smart phone และใช้การอ่านผ่านบาร์โค้ดบนกล่องอาหารให้ห้างสรรพสินค้าซึ่งจะทำให้มนุษย์มีอายุยืนยาวขึ้น ล่าสุดอุปกรณ์ดังกล่าวได้รับรางวัล the World Technology Network (WTN) ของปี 2016 ส่วนรายละเอียดและวิธีการตรวจท่านสามารถคลิกเข้าไปดูตามข้อมูลและภาพที่ผมแชร์มาให้ดูได้ แต่ผมไม่บอกจำนวนหุ้นที่ท่านถืออยู่เดี๋ยวหลายคนจะไม่มีความสุข

สุดท้ายคือเรื่องที่ปลัดกระทรวงการคลังออกมาตัดพ้อว่า "น้อยใจมากที่เอกชนไม่ลงทุน ทั้งที่ให้มาตรการภาษีแบบไม่เคยให้มาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย อ้อนวอนประชาสัมพันธ์ก็แล้ว ไม่เข้าใจว่าทำไมเอกชนไม่ลงทุน" ผมตอบให้ว่าเพราะเอกชนหรือนักลงทุนไม่เชื่อในระบอบการปกครองและระบบกฎหมายของไทยที่มิได้อยู่บนหลักนิติธรรม ทำให้ไม่มั่นใจว่าการลงทุนจะได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายที่มีความเป็นสากล เช่นมีการใช้มาตรา 44 ไปอายัดทรัพย์หรือยึดกิจการของเอกชน อันถือเป็นความเสี่ยงที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ ยิ่งมีผู้นำที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จแต่ไม่อยู่กับร่องกับรอยยิ่งทำให้เกิดความเสี่ยงสูงขึ้นไปอีก หากต้องการให้เกิดการลงทุนก็ต้องทำประเทศให้เป็นประชาธิปไตย มีระบบกฎหมายที่เป็นสากลอยู่บนหลักนิติธรรม บรรยากาศการลงทุนจะกลับมาเอง ประชาธิปไตยและหลักนิติธรรมคือเครื่องมือสร้างความเชื่อมั่นและทำให้สังคมเกิดความปรองดองที่มีราคาถูกที่สุดในโลก ท่องให้ขึ้นใจนะครับท่านผู้นำ





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น