วันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2561

"ชวลิต" ชี้ "โครงการกำจัดขยะ" ส่อแววทุจริต แนะ ป.ป.ช. ตรวจสอบอย่างจริงจัง


#TV24 นายชวลิต วิชยสุทธิ์ อดีตรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ รักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ให้ความสำคัญติดตามโครงการจัดตั้งศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยแบบครบวงจรเพื่อแปรรูปผลิตพลังงานหรือโรงไฟฟ้าขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) จำนวน 7,852 แห่ง ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งใช้งบประมาณมหาศาล จำนวน 178,000 ล้านบาท แบ่งเป็นงบประมาณของรัฐ 94,600 ล้านบาท และการลงทุนจากภาคเอกชน จำนวน 84,000 ล้านบาท ว่าส่อมีการทุจริตโครงการหรือไม่?

ทั้งนี้ มีข้อสงสัยหรือข้อพิรุธว่าอาจจะมีการทุจริตเชิงนโยบายหรือไม่? กล่าวคือ

1. คณะรัฐมนตรีมีมติให้การบริหารจัดการขยะ ซึ่งแต่เดิมมีหน่วยงานที่รับผิดชอบอยู่ที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และหน่วยงานอื่น ได้ปรับเปลี่ยนมาให้กระทรวงมหาดไทยกำกับดูแลจังหวัดและ อปท.ในการจัดทำแผนการบริหารจัดการและแผนปฏิบัติการเพื่อขอตั้งงบประมาณรายปีในการจัดการขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย

2. มีการจัดตั้งองค์กรเป็นการภายในที่กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น เพื่อพิจารณาโครงการศูนย์กำจัดขยะฯขึ้นเป็นการเฉพาะกิจ ขึ้นตรงต่อกระทรวงมหาดไทย

3. มีข้อสังเกตว่า เหตุใด นายกรัฐมนตรีจึงใช้อำนาจพิเศษตามมาตรา 44 งดเว้นการทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA และยกเว้นกฎหมายผังเมือง ทั้งๆที่การวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องจำเป็นและสำคัญยิ่งสำหรับโครงการที่อาจมีผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมกับประชาชน ซึ่งหากประชาชนได้รับความเดือดร้อนจากสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ ผู้ใช้มาตรา 44 จะรับผิดชอบอย่างไร?

4. มีข้อสังเกตว่า สื่อมวลชนออสเตรเลีย ซิดนีย์มอร์นิ่งเฮรัลด์ ได้เสนอข้อมูลเชิงลึกถึงเหตุผลในการย้ายนายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร จาก ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงรายไปเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา เพราะปกป้องงบประมาณของทางราชการด้วยการไม่เห็นชอบโครงการที่ไม่ถูกต้องหลายโครงการ และหนึ่งในหลายโครงการ มีโครงการกำจัดขยะของจังหวัดเชียงรายรวมอยู่ด้วย โดยมีโครงการศูนย์บริหารจัดการขยะและเตาเผาขยะ มูลค่า 12 ล้านดอลล่าร์ออสเตรเลีย ซึ่งสร้างขึ้นมาโดยไม่ได้มีการฟังความเห็นของชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียง รวมทั้งอาจจะใช้งานไม่ได้อีกด้วย เพราะตั้งแต่สร้างมาไม่ได้ใช้งานแต่อย่างใด

5. มีสื่อบางฉบับมีข้อสงสัยว่า กรณี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.1) ปฏิเสธว่า ลูกชายตนไม่ได้เกี่ยวข้องกับโครงการก่อสร้างโรงงานกำจัดขยะของกระทรวงมหาดไทย แต่เหตุใดลูกชาย มท.1 จึงมีนัดหมายพบผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต ในเรื่องดังกล่าว ในวันที่ 3 พฤษภาคม 2561 ที่ผ่านมา แม้ มท.1 จะออกมาปฏิเสธแทนลูกชายว่าไม่ได้พบกับผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต แต่นัดหมายดังกล่าวซึ่งเผยแพร่ทางเว็บไซด์ ได้กระจายไปทั่วแล้ว แม้ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตจะตอบคำถามผู้สื่อข่าวว่า ลบนัดหมายไปแล้ว และจำภาพคนมาพบไม่ได้ ก็ยิ่งเป็นข้อน่าสงสัยมากยิ่งขึ้น เพราะการนัดหมายผู้ว่าราชการจังหวัดในแต่ละวันมีข้อราชการสำคัญ ต้องผ่านการกลั่นกรองจากเลขานุการ และได้รับความเห็นชอบจากผู้ว่าราชการจังหวัดจึงจะลงนัดหมายได้ ยิ่งเป็นการนัดหมายจากลูกชาย มท.1 แล้ว จะลงนัดหมายหลวมๆโดยมิได้ตรวจสอบความถูกต้องไม่มีทางเป็นไปได้ในโลกของความเป็นจริง

อย่างไรก็ตาม ในกรณีนี้ สื่อฉบับที่เผยแพร่การนัดหมายดังกล่าว คงมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อรายงานข่าวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเด็นการได้มาซึ่งตารางนัดหมายของลูกชาย มท.1 กับ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เพื่อให้สังคมคลายข้อสงสัยต่อไป

ทั้งนี้ ทั้ง 5 ข้อสังเกตดังกล่าวข้างต้น ในชั้นนี้ ยังเป็นเพียงข้อสงสัย หรือข้อพิรุธ ยังมิได้กล่าวหาว่า มท.1 หรือผู้ใดทุจริตในโครงการกำจัดขยะ

อนึ่ง จากข้อมูลเพียงส่วนหนึ่งดังกล่าวข้างต้น ถ้าเป็นช่วงการเมืองปกติ มท.1 ก็คงถูกเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจไปแล้ว เพื่อเป็นการขอตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างตรงไป ตรงมา โดยมีเหตุผลสำคัญเพื่อรักษางบประมาณแผ่นดินของชาติให้ใช้ให้เกิดประโยชน์และมีประสิทธิภาพสูงสุด

ประการสำคัญ สังคมคงอยากเห็นนายกรัฐมนตรีซึ่งให้ความสำคัญกับนโยบายการปราบปรามการทุจริต ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงการบริหารจัดการโครงการกำจัดขยะของกระทรวงมหาดไทยว่า มีการดำเนินการที่ส่อว่ามีการทุจริตในขั้นตอนใดหรือไม่? โดยเฉพาะการตรวจสอบว่าลูกชาย มท.1 อาศัยอำนาจ และบารมีของบิดาเข้าไปทำธุรกิจโครงการกำจัดขยะจริงหรือไม่?

นอกจากนี้ สังคมคงอยากเห็น สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งเป็นองค์กรอิสระทำงานเชิงรุก ด้วยการลงไปตรวจสอบและให้คำแนะนำโครงการใหญ่ทั้งระบบที่กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย และลงไปตรวจโครงการย่อยที่จังหวัดเชียงราย ว่าโครงการก่อสร้างเสร็จแล้ว ใช้งานไม่ได้จริงหรือไม่? ป.ป.ช. ก็จะได้ชื่อว่าเอาจริงเอาจังกับการปราบปรามการทุจริต ไม่สองมาตรฐาน ความเชื่อมั่นด้านการปราบปรามการทุจริตก็จะฟื้นกลับคืนมา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น