วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

"อนุสรณ์" ติงใช้ ม.44 เร่งคดีจำนำข้าว "เลือกปฏิบัติ-สองมาตรฐาน"


นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี คําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 39/2558 ว่าด้วยการคุ้มครองและยกเว้นความผิดให้กับเจ้าหน้าที่ที่มาจัดการกับโครงการรับจำนำข้าว ว่า ความจริงก็ไม่เห็นผู้เจริญทั้งหลายออกมาให้การสนับสนุน มีเพียง นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม กับนายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เพียงสองคนที่ออกมาหนุนให้ใช้มาตรา 44 จัดการกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พร้อมแสดงภูมิรู้ ตั้งประเด็นกล่าวหานายกฯยิ่งลักษณ์ในโครงการรับจำนำข้าว จึงขอตอบคำถามเพื่อให้หมู่ชนผู้มีจิตเป็นธรรมอันถือเป็นบัวสามเหล่าได้ใช้เหตุผลในการพิจารณา ส่วนอีกสองคนอันถือเป็นบัวเหล่าที่ 4 หรือปทปรมะและยังมีมิจฉาทิฏฐิ ไม่ขอชี้แจงเพราะไม่เกิดประโยชน์ ดังนี้

1. ที่ยังมากล่าวหาว่านายกฯยิ่งลักษณ์ปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตนอกจากจะไม่เป็นความจริงแล้ว ยังเป็นการกล่าวหาในขณะที่คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลและกฎหมายยังสันนิษฐานว่าทุกคนเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่ากระทำผิด นายกฯยิ่งลักษณ์และรัฐมนตรีบุญทรงมีฐานะเป็นจำเลยย่อมมีสิทธิสู้คดีเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองได้อย่างเต็มที่ ส่วนคนอื่นที่ไม่มีส่วนได้เสียหรือเป็นคู่ความในคดีออกมากล่าวหาจำเลยนอกศาลนอกจากจะเป็นการเสียมารยาทแล้ว ยังถือเป็นการกดดันศาลซึ่งเป็นการไม่สมควร                                                                                    

2. การพิจารณาเห็นชอบให้รัฐหรือ G ของประเทศผู้ซื้อให้หมายความครอบคลุมถึงรัฐวิสาหกิจและหน่วยงานที่ได้รับมอบหมายจากประเทศนั้น ได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลังครั้งที่ 5/2552 ในการประชุมเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2552 ณ ห้องประชุม 3401 ชั้น 4 อาคารรัฐสภา 3 ต่อมาเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2553 มีการทำสัญญาขายแป้งมันสำปะหลังให้กับ Guangxi Mingyang Biochemical Science & Technology ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของมณฑลแบบเดียวกันกับที่มาซื้อข้าวในสมัยท่านบุญทรง และเป็นแบบเดียวกับที่ซื้อยางสมัยรัฐบาลประยุทธ์ เห็นปี พ.ศ. ที่ดำเนินการแล้วชัดเจนว่าอยู่สมัยรัฐบาลของใคร ส่วนที่บอกว่า ป.ป.ช. ไม่ชี้มูลความผิดการทำสัญญาของทั้งสองรัฐบาลแต่ชี้มูลเฉพาะท่านบุญทรงก็เป็นความจริง แทนที่จะตรวจสอบข้อมูลจะได้เพิ่มพูนสติปัญญากลับมาเถียงข้างๆ คูๆ

3. ที่อ้างว่ามีการขายข้าวให้ผู้ใกล้ชิด หรือมีข้าววนอยู่ในประเทศ หรือนายกฯยิ่งลักษณ์ไม่เรียกร้องเอาจากผู้ฝากเก็บ หรือข้อปฏิบัติเกี่ยวกับการซื้อขายก็ดี เหล่านี้เป็นข้อเท็จจริงในคดีที่ถูก ป.ป.ช. กล่าวหาซึ่งต้องไปพิสูจน์ในศาลอยู่แล้ว ไม่ขอนำมาพูดข้างนอกอีก เป็นการเสียมารยาท

4. นายกฯยิ่งลักษณ์ที่แม้จะเป็นหญิง แต่ก็มีความกล้าหาญช่วยเหลือชาวนาจนสุดความสามารถ จนถูกกลั่นแกล้งหาเรื่องถูกยึดอำนาจและถูกดำเนินคดีก็ไม่หนี ยอมเดินเข้าสู่ศาลอย่างสง่างามเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง แต่การออกคำสั่งคสช.ที่ 39/2558 ให้เจ้าหน้าที่และเครือข่ายไม่ต้องรับผิดชอบในการกระทำใดๆถือเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบและขัดต่อหลักนิติธรรม เท่ากับเลือกปฏิบัติและสร้างสิ่งที่เรียกว่าสองมาตรฐาน ที่ทำให้สังคมไทยแตกแยกเสียเอง การที่คนของพรรคการเมืองหนึ่งเห็นดีเห็นงามเท่ากับเป็นการยอมรับทฤษฎีสมคบคิด (conspiracy theory)

ดังนั้นเมื่อคนที่เป็นนายทำอะไรลูกน้องก็ต้องสอพลอคอยเชียร์แม้สิ่งนั้นจะไม่เป็นธรรมปานใดก็ตาม ดังพุทธวจนะที่ว่า "บัณฑิตย่อมยินดีในธรรม ส่วนคนพาลย่อมสำคัญบาปประดุจน้ำหวาน" ไม่เช่นนั่นคำพังเพยไทยที่ว่า "นายว่าขี้ข้าพลอย" คงไม่มีที่ใช้ ขอเรียนย้ำว่า พรรคเพื่อไทยไม่กลัวการตรวจสอบและไม่เห็นด้วยกับการทุจริตคอรัปชั่น เพียงแต่ขอให้การตรวจสอบนั้น เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมปรกติไม่เลือกปฏิบัติ และไม่สองมาตรฐาน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น