วันเสาร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

“พิชัย” แนะ คสช. พิจารณาตนเอง-ปรับ ครม. ไม่ช่วยอะไร


นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และคณะทำงานฝ่ายเศรษฐกิจ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตามที่รัฐบาล โดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ ออกมาแสดงความดีใจที่ธนาคารโลกจัดอันดับความสะดวกในการลงทุนของไทยดีขึ้น 20 อันดับ จากอันดับที่ 46 ขึ้นมาอยู่ที่อันดับที่ 26 โดยอ้างว่าเป็นความสำเร็จในการบริหารงานของรัฐบาล ซึ่งอาจจะเป็นความจริงแค่บางส่วน ทั้งนี้อยากให้ข้อมูลที่เป็นจริง เพราะหากมองย้อนหลังจะพบว่า ก่อนการปฏิวัติรัฐประหารอันดับความสะดวกในการทำธุรกิจอยู่ที่ อันดับที่ 18 ในปี 2556 และ ปี 2557  และตั้งแต่มีการจัดอันดับตั้งแต่ปี 2547-2557 ประเทศไทยอยู่อันดับ 12-19 มาโดยตลอด อันดับมาตกลงอย่างหนักหลังการปฏิวัติ โดยในปี 2558 ตกลงมาอยู่ที่ 46 หรือตกลงถึง 26 อันดับ (ซึ่งถือเป็นความล้มเหลวหรือไม่) และตกลงไปถึงอันดับที่ 49 ในปี 2559 และพึ่งจะฟื้นมาอยู่ที่ 26  ซึ่งยังคงต่ำกว่าอันดับเดิมที่ 18 ก่อนจะมีการปฏิวัติ และในอดีตก็ไม่ต้องมี .44 ก็มีอันดับที่ดีกว่าได้  นอกจากนี้ ก็หวังว่าความสะดวกในการทำธุรกิจที่ดีขึ้นจะสามารถทำให้การลงทุนเพิ่มขึ้น และอยากให้นายสมคิด เปิดเผยยอดการลงทุนที่แท้จริงว่ามียอดเท่าไหร่? เทียบกับก่อนการปฏิวัติแล้วลดลงเท่าไหร่และที่เชิญกลุ่มนักลงทุนญี่ปุ่นมาโปรโมทเขตอีอีซี  5-600 คน แล้วมียอดการลงทุนเท่าไหร่? ซึ่งทราบว่ามียอดลงทุนไม่มากใช่หรือไม่ไม่อยากให้ใช้อันดับความสะดวกในการลงทุนเป็นเพียงแค่เครื่องมือเพื่อการตลาดเท่านั้น แต่การลงทุนไม่เกิดขึ้นจริง และหากการลงทุนเข้ามามากจริง รัฐบาลคงไม่ต้องออก .44 เพื่อเร่งการลงทุน โดยไม่คำนึงผลกระทบในอนาคต 

ดังนั้นจึงอยากให้รัฐบาลพยายามเพิ่มยอดการลงทุนให้ได้มากขึ้นจริงจะดีกว่า เพราะประเทศเพื่อนบ้านของไทยที่มีอันดับความสะดวกในการลงทุนต่ำกว่าไทยมากแต่กลับมีการลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าไทย ซึ่งรัฐบาลไทยจะต้องกลับมามองตัวเองว่าเป็นเพราะสาเหตุใด เปรียบเสมือนร้านค้าที่ได้คะแนนการให้บริการดีแต่กลับไม่มีลูกค้ามาใช้บริการ ก็ต้องหันกลับมาพิจารณาตัวเองว่าจะต้องแก้ไขปรับปรุงอย่างไร ถ้าสาเหตุเกิดจากการไม่ยอมรับระบอบการปกครองก็ต้องเร่งแก้ปัญหาให้ตรงจุด และการปรับ ครม. ก็คงจะไม่ช่วยอะไรนัก อีกทั้งพลเอกประยุทธ์พูดเองว่า คนที่มีความรู้ความสามารถไม่อยากเข้ามาทำงานในรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารนี้ ซึ่งหากพลเอกประยุทธ์มั่นใจว่าจะสามารถได้รับเสียงสนับสนุนให้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้งได้ จากกลไกรัฐธรรมนูญที่ประกาศใช้แล้ว ก็ไม่ควรจะถ่วงเวลา ปัญหาของประเทศจะได้รับการแก้ไขได้อย่างถูกต้อง 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น