วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2563

"พิชัย" แนะ "ประยุทธ์" ลาออก เพื่อประเทศเดินหน้า

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยด้านเศรษฐกิจ กล่าวในการเสวนาหัวข้อ “ประชานิยมกับนโยบายหาเสียงเลือกตั้งของพรรคการเมืองไทย” ที่จัดโดย กกต. ที่ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งว่า ถ้าพูดถึงนโยบายประชานิยม ทุกคนจะต้องนึกถึงพรรคไทยรักไทย ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ซึ่งทำให้แม้หลังรัฐบาลครบเทอมสมัยแรกแล้ว พรรคยังกลับมาชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลายถึง 377 เสียง จนกระทั่งมาถูกปฏิวัติในปี 2549 และ เป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาการเมืองไทยนับแต่นั้นมา 


นโยบายที่ได้รับความนิยมสูงสุดจนกระทั่งปัจจุบันคือนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน หนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (โอทอป) SMEs , SML ซึ่งหลักคิดของนโยบายประชานิยมในช่วงนั้นคือการคิดให้ครบทุกกรอบคือ ให้คนต้องมีสุขภาพดี เข้าถึงแหล่งทุน และสามารถทำธุรกิจสร้างรายได้ และยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน ซึ่งนับว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก ผลคือรายได้ประชาชาติ (จีดีพี) เพิ่มขึ้นสูงทุกปี และยังมีการกระจายรายได้อย่างทั่วถึงเพราะคนส่วนใหญ่มีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างแท้จริง ไม่เหมือนขณะนี้ที่ความเหลื่อมล้ำของไทยสูงที่สุดในโลก


ที่สำคัญจากการสำรวจของนักลงทุนและบุคลากรในตลาดหลักทรัพย์พบว่า รัฐบาลไทยรักไทย 1 เป็นรัฐบาลที่ได้รับความนิยมสูงสุด เมื่อเทียบกับทุกรัฐบาลที่ผ่านมาเพราะมีประสิทธิภาพสูงสุดซึ่งเป็นเรื่องจริง


นอกจากนี้ รัฐบาลในสมัยนั้นยังคิดเรื่อง เศรษฐกิจคู่ขนาน (Dual Track Economy) ซึ่งหมายถึง การต้องช่วยเหลือบริษัทใหญ่ๆของไทยให้สามารถแข่งขันกับประเทศอื่นๆได้ ในขณะที่ช่วยเหลือประชาชนระดับล่างให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นแล้ว โดยมี เมกกะโปรเจกต์ ที่พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในทุกด้าน ยกตัวอย่างเช่น การสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ ที่ช่วยสนับสนุนการท่องเที่ยวและธุรกิจไทยอย่างมาก ซึ่งทั้งหมดลองคิดดูว่าถ้าหากไม่มีสนามบินสุวรรณภูมิ ประเทศไทยคงย่ำแย่กว่านี้มาก 


ความสำเร็จของนโยบายประชานิยมในขณะนั้นเป็นที่ยอมรับกันในระดับโลกถึงกับมีผู้นำฟิลิปปินส์ในขณะนั้นขนานนามว่าเป็น “ทักษิโณมิกส์” ซึ่งเป็นการยกย่องอย่างมาก


อีกแนวคิดหลักที่ยังไม่ได้ทำคือ โมเดิร์นไนซ์ไทยแลนด์ ที่จะพัฒนาประเทศไทยให้เป็นระบบดิจิตอลทั้งหมด คล้ายกับประเทศเอสโตเนียที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก เพิ่มรายได้ให้กับประชาชนอย่างมหาศาลแต่มาถูกปฏิวัติเสียก่อนเลยอดทำ 


และเรื่องที่สำคัญมาก แต่กลับไม่มีคนพูดถึงคือการเปลี่ยนแปลงกรอบความคิดของระบบข้าราชการให้มารับใช้ประชาชน ไม่ใช่ทำตัวเป็นเจ้านายของประชาชน ซึ่งทำให้ระบบราชการมีประสิทธิภาพ แต่พอมาถูกปฏิวัติ ข้าราชการก็กลับไปเป็นเหมือนเดิม ขนาดสลายม็อบทำร้าย นักเรียน นักศึกษายังไม่รู้สึกสำนึกผิดกันเลย


ประชานิยมสมัยนั้นถูกโจมตีตั้งแต่เปิดตัวและถูกดูถูกว่าจะทำไม่ได้จริง แต่สุดท้ายก็ทำได้หมด และต่อมาเมื่อทำสำเร็จแล้วก็ยังถูกโจมตี ซึ่งถูกหาว่าจะทำให้ชาติล่มจม เพื่อทำให้เป็นเรื่องน่ารังเกียจ แต่เมื่อดูหนี้สาธารณะของไทยต่อจีดีพีตลอดหลายปีที่ผ่านมาพบว่ามีเพียงประมาณ  40% ของจีดีพีเท่านั้น ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าไม่ได้ทำให้ชาติล่มจมอย่างแน่นอน 


ต่อมาในสมัยพลังประชาชน ก็มีนโยบาย น้ำฟรี ไฟฟ้าฟรี (แต่ต้องใช้แบบประหยัด) รถเมล์ฟรี รถไฟฟรี เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน ซึ่งก็ได้ความนิยมอย่างมาก และ ใช้เงินไม่มากเลย 


พอมาสมัยพรรคประชาธิปัตย์ มีการแจกเงิน 2,000 บาท มีโครงการไทยเข้มแข็งที่ใช้เงินนอกงบประมาณสูงถึง 4 แสนล้านบาทแต่คนจำไม่ได้เลยว่าใช้เงินทำอะไรบ้าง อีกทั้ง มีไข่ชั่งกิโลขาย และมีโรงพักที่สร้างไม่เสร็จ ซึ่งไม่ได้สร้างความนิยมจึงแพ้การเลือกตั้ง


ต่อมาในสมัยพรรคเพื่อไทย มีนโยบายเครดิตการ์ดชาวนา เพื่อช่วยเหลือชาวนาในการซื้อปัจจัยการผลิต  นโยบายจำนำข้าว แม้จะเป็นที่ถกเถียงกันมาก แต่ชาวนาก็ได้ประโยชน์ ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท/วัน รถคันแรก บ้านหลังแรก ส่วนนโยบายที่ให้ประโยชน์อย่างมากคือโครงการแจกแท็บเล็ต ที่ผมเป็นผู้เสนอเอง ซึ่งเป็นการปูพื้นฐานเพื่อรองรับเศรษฐกิจดิจิตอล และเป็นการแสดงวิสัยทัศน์อย่างชัดเจนเพราะคิดมาก่อนเมื่อกว่า 10 ปีที่แล้ว ก่อนที่เศรษฐกิจดิจิตอลจะรุ่งเรื่องอย่างมากทั่วโลกในปัจจุบัน แต่มาถูกยกเลิกหลังการปฏิวัติ 


ในด้านพลังงานก็มีการระงับการจัดเก็บเงินกองทุนน้ำมันชั่วคราว ทำให้ราคาน้ำมันเบนซินลดลงลิตร 7-8 บาท ดีเซลลดลงลิตรละ 3 บาท มีเครดิตการพลังงานช่วยผู้ประกอบการขนส่งสาธารณะ และ คูปองลดราคาอุปกรณ์ไฟฟ้าประหยัดพลังงานหลังน้ำท่วม เป็นต้น ดังนั้น จึงอยากให้เห็นว่าตั้งแต่ในอดีตถึงปัจจุบันทุกนโยบายที่พรรคเคยหาเสียงไว้สามารถทำจริงได้ทั้งหมด


ในส่วนของพรรคพลังประชารัฐมีบัตรคนจนที่แจกกระจายกว่า 14 ล้านใบ โดยคนจำนวนมากอาจจะไม่ได้จนจริงในขณะนั้น และยังมีโครงการ ชิมช้อปใช้ และเที่ยวแล้วได้เงินคืน ซึ่งไม่เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจเลย เพราะจีดีพี ขยายตัวต่ำมาตลอด และที่ประชาชนฝากทวงถามมา คือนโยบายหาเสียงของพรรคพลังประชารัฐที่สัญญาไว้มากมาย เช่น ค่าแรงขั้นต่ำ 400-425 บาท ปริญญาตรี 20,000 บาท/เดือน อาชีวะ 18,000 บาท/เดือน ลดภาษีบุคคลธรรมดา 10% โครงการมารดาประชารัฐ ข้าวหอมมะลิ 18,000 บาท/ตัน ข้าวเจ้า 12,000 บาท/ตัน อ้อย 1,000 บาท/ตัน ยางพารา 65 บาท/กก. ปาล์ม 5 บาท/ กก. มันสำปะหลัง 3 บาท/กก. เป็นต้น ซึ่งยังไม่สามารถทำได้เลย  จึงอยากถามพลเอกประยุทธ์ที่เป็นแคนดิเดทนายกฯของพรรค พปชร. ว่าเมื่อไหร่จะทำ หรือจะไม่ทำแล้ว ซึ่งจะผิดกฏหมายหรือไม่ ที่สัญญาแล้วไม่ทำ 


ทั้งนี้นอกจากไม่ทำตามสัญญาแล้วยังไม่มีแนวทางในการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้วย โครงการ EEC ก็ไม่ประสพความสำเร็จ ดังนั้น พลเอกประยุทธ์ควรต้องพิจารณาตัวเองแล้วว่าอยู่ไปก็เป็นตัวถ่วงความเจริญ ดังนั้นจึงควรลาออกไป เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น